แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พูดกับทุกท่าน พูดกับทุกคน เพราะสิ่งที่เราพูด มันก็มีอยู่กับทุกคนแล้ว การพูดเนี่ยเหมือนกับสอบอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องไปสอบถามทีละคนๆ หรือไปเยี่ยมนักปฏิบัติ เราพบกันด้วยของจริงคือมันมีอยู่ ถ้าผิดเราก็ตกไป ถ้าถูกเราก็สอบผ่าน เกรดดีพระพุทธเจ้าสอน เรามาเรียนตามพ่อก่อตามครูเรา มีครูบาอาจารย์ ไม่ชะลอด้นดั้นคิดเอาเอง พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้มีสติดูกาย สติปัฏฐาน เป็นทางอันเอก เห็นกายในกาย เห็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา และเราก็เห็นกันทุกคน ตาในที่เห็นกายนี้คือสติ เป็นความรู้สึกตัว มันมีการแสดงอะไรตามอาการของกาย ตามธรรมชาติของกาย เราเห็นหรือเราก็เป็นไปกับมัน ถ้าเราเห็นมีสติก็ถูกต้องผ่านได้ ถ้าเราเป็น เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย เรียกว่าผ่านไม่ได้เกรดไม่ดี สอบตกอย่างนี้ใครเป็นคนตรวจให้ ไม่มีใครตรวจให้เรา เราตรวจตัวเอง ถ้าเราเห็นเนี่ย รู้แล้ว มันปวด มันเมื่อย มันร้อน มันหนาว มันหิว มันกระหาย ที่เกิดขึ้นกับกาย เรารู้ ไม่เป็นไปกับมัน เรียกว่าเห็น ตอกเข้าไปให้มันสมน้ำหน้ามัน กายสักแต่ว่ากาย ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา สมน้ำหน้ามันอาการต่างๆ ไม่ย่ำยีเราได้ ไม่เป็นภัยต่อเรา กายที่เป็นภัย กายที่เป็นปัญหา เราก็ได้ปัญญาตรงนั้นด้วย นี่เป็นกันทุกคน เราจึงให้มาดูกัน ถ้าไม่ดูก็ไม่เห็น ร่วมไปกับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกาย มันก็ไม่เห็นหละ มันก็มืดอยู่ที่นั้น ไม่เห็นแจ้งตรงนี้ เวทนาก็ดีที่มันเกิดขึ้น รวบรวมเอากาย เอาใจมาเป็นเวทนา เอารูป เอารส เอาเสียง เอากลิ่น มาเป็นเวทนา เอาตา เอาหู เอาอะไรต่างๆ อายตนะภายนอกภายในซึ่งเป็นประตูรับอาคันตุกะเข้ามา เราก็ร่วมมากับเขา เรียกว่าเวทนา เป็นสุข เป็นทุกข์ หลายประตู ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ เกิดกับกายเรา เกิดกับใจเรา เราก็รวบยอดเข้าว่า เหมือนกันกับเห็นกาย สุข ทุกข์ ไม่ใช่ตัวใช่ตน เราก็รู้แล้ว ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่เป็นเวทนานี้ ถ้าเราเห็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าผ่านได้ เกรดดี ถ้าเราเป็นไปกับมัน เป็นสุข เป็นทุกข์ ของเรา เป็นภพ เป็นชาติอยู่ตรงนี้ มันก็ไปไหนไม่ได้ โซ่ไม่แก้ กุญแจไม่ไข ก็หลุดออกไม่ได้เลย
จิตก็เหมือนกัน มีไหม มี มันอะไรอะ จิต มันคิด เป็นสุข เป็นทุกข์ ก็ความคิด เหตุผลเกิดจากความคิด บัญญัติเอาจากความคิดว่าชอบ ว่าไม่ชอบ เอาความคิดเป็นใหญ่ เหตุผลเป็นใหญ่ ไม่มีความรู้สึกตัว ไปตามอาการของจิตที่มันสั่งการ โดยที่ไม่ใช่ความถูกต้องก็มี อย่างที่เราแปล มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วที่ใจ แปลผิดไปหน่อยหนึ่ง ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด ไม่ประเสริฐถ้ายังไม่ฝึกอ่ะ สำเร็จแล้วที่ใจ ถ้าไม่ฝึกมันก็ไม่ประเสริฐ ถ้าใจไม่ฝึก ไม่สำเร็จ สำเร็จแบบไหน สำเร็จแบบทำชั่ว ทำชั่วได้สำเร็จ สำเร็จแบบทำดี ทำดีได้สำเร็จ ไม่ใช่สำเร็จประเสริฐ ถ้าทำชั่วการทำสำเร็จไม่ประเสริฐเลย ไปฆ่ากัน ไปปล้น ไปจี้ ไปข่มขืน ไปขโมยสิ่งของ เอากาย เอาใจ ไปทำไปคิด มันก็ล่วงเกินเขาแล้ว แม้แต่ความคิดเนี่ย มันก็สั่งงานสั่งการ จำเลยหมายเลขหนึ่งคือความคิด จิตใจของเรา กายเป็นจำเลยที่สอง วาจาเป็นจำเลยที่สอง ที่สามไป เราจึงมาเห็นมันซะ เห็นแล้ว ก็เป็นจิตที่มันคิด ความคิดที่เกิดจากเราไม่ได้ตั้งใจอะ มันเป็นสมุทัย มันเป็นตัวสังขาร อย่าวิ่งตามมันเกินไป เช่นเราเดินจงกรมอยู่ เรานั่งสร้างจังหวะอยู่ มันคิดก็อย่าไปกับมัน เห็นว่าคิดเป็นตัวหนึ่ง ตัวรู้สึกตัวนี่เป็นตัวหนึ่ง เวลานี้ไม่ใช่เรามานั่งคิด เรามานั่งสร้างความรู้สึกตัว มาเดินให้รู้สึกตัว เราเดินไวไวหน่อย ตบเท้าสักหน่อย ชั่วโมงหนึ่งอาจจะเป็นหมื่นๆ ก้าว หลวงตาเดินเมื่อเช้านี้เป็นหมื่นก้าว ตีสามก็เดินแล้วชั่วโมงหนึ่งจนถึงตีฆ้องเนี่ย อาจจะเป็นหมื่นก้าวรู้ทุกก้าว หมื่นก้าวชั่วโมงหนึ่ง หมื่นรู้จะเป็นยังไง ถ้ามันหลงก็แย่งไป ก็หลงไปกับความคิด แต่ถ้าเรารู้มีประโยชน์ แต่ถ้าเราหลงไปกับมันไม่มีประโยชน์ เรียกว่าไม่ผ่าน ถ้ามันคิดไปรู้สึกตัวตรงนั้นเป็นประโยชน์ เรารู้สึกผ่านได้ เรียกว่าเกรดดี
ธรรม ก็เหมือนกัน ธรรมนี้คือ ความพอใจ ความไม่พอใจ มันเกิดจากกาย จากใจ จากเวทนา เรียกว่าธรรม ความพอใจ ความไม่พอใจ ความสุข ความทุกข์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ที่มันเกิดขึ้นมา เช่นหลวงพ่อเทียนถูกสอบอารมณ์ เพียงแต่เห็นก็บัญญัติขึ้นมาพอใจ เพียงแต่เห็นบัญญัติขึ้นมาไม่พอใจ เพียงแต่ได้ยินทางหูบัญญัติขึ้นมาชอบ ได้ยินทางหูบัญญัติขึ้นมาไม่ชอบ เรียกว่า ธรรม ทั้งนั้น ความพอใจ ความไม่พอใจเป็นธรรม หัวใจของธรรมนี่ เรียกว่าธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนะ อะไรที่พูดออกมานี่คือสติสัมปชัญญะ ก็นั่นแหละมันจะไปบัญญัติ หลวงพ่อเทียนถูกสอบอารมณ์
อาจารย์สอบอารมณ์ : “เป็นยังไงโยมเชียงคาน?”
หลวงพ่อเทียน : “ไม่เป็นอะไรครับ”
อาจารย์ : “เอ้าปฏิบัติมาหลายวันไม่เป็นอะไร ไป เข้า ไปห้องกรรมฐานอีกไป”
หลวงพ่อเทียน : ก็ โอ๊ยอาจารย์นี่ มาถามกันอย่างนี้ก็ตอบอย่างนี้ ปัดโธ่ เสียเปรียบแล้ว เราจะต้องตอบให้มันดีๆ หน่อย เมื่อไหร่อาจารย์จะมาถามอีกหนอ หลวงพ่อเทียนประสบการณ์อะไรๆเลย เห็นมาแล้ว อะไรไม่เป็นอะไรจากการที่ปฏิบัติ หลายวันรอเมื่อไหร่หนออาจารย์จะมาสอบอารมณ์ พออาจารย์มาสอบอารมณ์อีก “เป็นยังไงโยมเชียงคานวันนี้?” “มานี่ก็พูดให้ฟัง
อาจารย์ : “รู้อะไร”
หลวงพ่อเทียน : “รู้รูป รู้นาม”
อาจารย์ : “เอ้า คนไม่รู้รูปรู้นาม ก็คนบ้าแหละ”
หลวงพ่อเทียน : “เอ้า ผมเป็นบ้าสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่เป็นบ้าแล้ว ผมรู้มัน รูปธรรม นามธรรม มันคืออะไร เพราะการสร้างสติมันเห็นรูป เห็นกาย เห็นนามคือใจ มันรู้อะไรได้ มันเป็นของต่อกัน เป็นปัญหาเรื่องรูป เป็นปัญหาเรื่องใจ เรียกว่ารูปธรรม นามธรรม รูปมันทำชั่ว รูปมันทำดี นามมันทำชั่ว นามมันทำดี มันเอารูป เอานามนี้มาทำความชั่ว มาทำความดี แต่ก่อนนี้เอารูปไปทำชั่ว แต่ก่อนนี้เอานามไปทำชั่ว แต่นี้ต่อไปจะไม่เอารูปนี้ไปทำชั่ว เอารูปทำความดี จะเอานามทำความดี จะเอานามไม่ทำความชั่ว” คุยโวไป ถ้าจะคุยให้มากก็ได้เยอะแยะเลย
ถามต่อไปว่า “สมมุติว่าโยมเชียงคาน อยู่ท่าบ่อ อาตมาอยู่วัดมุกรังสีศรัทธารามเนี่ย อาตมาสั่งให้โยมเชียงคานมาหา แต่ว่าทางที่จะเดินจากท่าบ่อมาวัดนี้ มันมีดอนหนึ่งมีเสือถูกยิง มันเจ็บ มันดุ มันใส่ มันใครมาก็กัดก่อน ตายมาหลายคนแล้ว โยมเชียงคาน อยู่ท่าบ่อ อาตมาอยู่นี่ สั่งให้มาหา จะมาหาไหม”
หลวงพ่อเทียน : “ก็มาซิ อาจารย์สั่ง”
อาจารย์ “มายังไง มาแล้วเสือก็จะกัด”
หลวงพ่อเทียน : “เอ้า ก็ผมยังไม่เห็นเสือเนี่ย ถ้าผมเห็นเสือ ผมก็อาจจะฆ่ามันก็ได้ ผมยังไม่เห็นเสือจะไปกลัวทำไม ผมอาจจะไม่กลัวก็ได้ ผมอาจจะฆ่าเสือตายก็ได้”
อาจารย์ : “เอ้า ไม่มีใครฆ่าเสือได้ มีแต่กัด เสือน่ะมันกัดก่อน”
หลวงพ่อเทียน : “แต่ก็ไม่เป็นไร ให้ผมเจอก่อน อาจารย์สั่งมา ก็มา”
อาจารย์ก็ถามต่อไปอีกว่า “เกลือมันเค็มไหม โยมเชียงคาน”
หลวงพ่อเทียน : “เกลือก็ไม่เค็มอะไร มันอยู่ในกระทอโน่น ผมอยู่นี่ ผมไม่เค็ม”
อาจารย์ : “เอ้า เกลือมันต้องเค็มน่ะ พูดอะไรอย่างนั้นนะ เกลือทำไมว่าไม่เค็ม”
หลวงพ่อเทียน : “เกลือมันอยู่ในกระทอ ต่อเมื่อมากระทบลิ้นผมน่ะ ผมจึงจะตอบได้ว่ามันเค็ม
อาจารย์ : “โอ พูดอย่างนั้นก็ได้เหรอ”
หลวงพ่อเทียน : “พูดอย่างนี้แหละ “
อาจารย์ : “เอ้า พริกน่ะ มันเผ็ดมั๊ย”
หลวงพ่อเทียน : “พริกก็ไม่เผ็ด”
อาจารย์ : “เอ้า บ้าแล้ว พริกก็ไม่เผ็ด ”
หลวงพ่อเทียน : “พริกมันอยู่ในกระทอ อยู่ต้นมันโน้นละ ผมอยู่นี่ ผมจะเผ็ดยังไง ไม่เผ็ด ” ก็ถามไปเท่านี้แหละ หมายความว่ายังไง?
หมายความว่า เราสมมติบัญญัติ พอเค้าพูดสรรเสริญ ดีใจ พอเขานินทา เสียใจ มันมีรสชาติใช่ไหม เป็นสุขเพราะสรรเสริญมีไหม เป็นทุกข์เพราะนินทามีไหม บัญญัติเอา มีรสชาติ นินทาก็เสียใจ สรรเสริญก็ดีใจ ได้มาก็ดีใจ เสียไปก็ทุกข์ใจ อะไรต่างๆ มันบัญญัติ เอาสิ่งภายนอกมาห้อยมาแขวนไว้ในใจเรา เอาใจเรามาห้อยแขวนกับสิ่งภายนอก ใจมันต้องเป็นใจ ไม่ต้องเป็นอะไรกับมัน ก็หมายถึงอย่างนั้น
หลวงพ่อเทียน พอได้ยินเค้าว่าเสือก็กลัวแล้ว พอได้ยินว่าเกลือก็เค็มแล้ว พอได้ยินว่าพริกก็เผ็ดแล้ว คนเราเนี่ย เป็นเช่นนั้น สุขทุกข์ไปห้อยไปแขวนไว้กับคนอื่น ความรัก ความชังให้คนอื่นบงการเรา เห็นหน้าก็โกรธ เห็นหน้าก็รักกัน ไม่เป็นตัวของตัวเลย หลวงพ่อเทียนก็ตอบไป ผู้ถามก็ถามแบบปรมัตถ์ ไม่ใช่แบบสมมติ ทั้งปรมัตถ์ด้วย ทั้งสมมติด้วย มันมีสมมติอยู่ในเรา มันมีปรมัตถ์อยู่ในเรา สมมติคือบัญญัติเอา ว่าชอบ ว่าไม่ชอบ เพราะวัตถุภายนอกภายใน บัญญัติเอาว่าของจริง ถ้าเรารักก็รักจริงๆ ถ้าเราโกรธก็โกรธจริงๆ ทำตามความรัก ทำตามความโกรธ หลวงพ่อเทียนตอบไปเท่านี่ อาจารย์ก็ว่า “อนุโมทนาเด้อ โยมเชียงคานเอ๊ย ร้อยคน จะมีหนึ่งคน เท่านี้ หมายความว่ายังไง หมายถึงรู้จักปรมัตถ์เลยทีเดียว ว่าสมมตินี่ บัญญัติวัตถุอาการต่างๆ มันล้นโลก โลกมันเต็มไปด้วยสมมติ ด้วยบัญญัติ เราเป็นสุข เป็นทุกข์ เพราะสมมุติบัญญัติมามากแล้ว จึงมาดูมันเนี่ย เห็นธรรม สักว่าธรรม ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เห็นไหม ผ่านตรงนี่ไหม ทุกคนต้องเจอ เหมือนกับทาง ไปตรงนี้ จะมีอะไรตรงนี้ เหมือนทางมาสุคะโต มันหลงตรงไหน บางคนเค้าก็มาบอกให้เขียนป้าย เราก็ยังไม่เขียนป้ายเท่าที่ควร นี่อาจารย์ตุ้มมาเขียน อาจารย์ตุ้มมาอยู่ หกปีเจ็ดปีมานี่ มาเขียนป้าย แต่ก่อนเราไม่เขียน แต่ก่อนสุคะโต ก็เพียงเขียนว่าป่าสุคะโต คนมาหาก็วัดป่าสุคะโต เป็นวัดหรือเป็นบ้านหนอ หรือเป็นอุทยานเลยหนอ เอาป้าย คนมาบอกเขียนป้ายด้วยๆ เราไม่ได้เขียนเลย เพราะเราไม่อยากเอาป้ายไปติดไว้กับปักธงชาติแบบนั้น เราก็ไม่ค่อย บางทีเอารูปพระอาจารย์ไปติดไว้ที่ป้ายวัด โชว์เป็นสไลด์ไป ตามถนนหนทาง เราไม่ชอบแบบนั้น จนถึงเจ้าคณะจังหวัด มาบอกเขียนวัดซิ มันเป็นวัดทำไมไม่เขียนเป็นวัด ทำไมเขียนป่าสุคะโต แล้วมาเขียนเป็นวัดป่าสุคะโต ที่จริงมันวัดเอราวัณ แต่คนส่วนมากเรียกสุคะโต เพราะว่าที่นี่มาดี ไปดี อยู่ดี ปฏิบัติดี สมแล้ว การพูด การพบกันทุกวันนี้ หมายถึงสอบอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องให้ไปถามเป็นตัวๆ ไป เราสอบเอาเอง เราตกเอาเอง เราผ่านเอาเอง ถ้าเราเห็นกาย
อย่าเป็นไปกับอาการทั้งหมด อะไรก็ตามไม่ใช่กาย แม้แต่รูป รส กลิ่น เสียง ที่มันมี เกี่ยวข้องกับกายกับรูปธรรม นามธรรมนี้ ให้เราเห็นมัน เราจึงจะอยู่กับโลกอย่างสง่างาม ศิลปะแห่งการอยู่กับโลกอย่างงดงาม เค้านินทาเราก็ โอเขาไม่รู้หนอ สงสารเขา เขาสรรเสริญเรา โอเราก็รู้ตัวเองกว่าเขารู้เรา เราไม่เป็นไปกับเขา รู้ ไม่ใช่ดีใจ ไม่ใช่เสียใจ เรียกว่าอะไรเรียกว่าโลกธรรม คนส่วนมากตกอยู่ในโลกธรรมครอบงำ อะไรโลกธรรมบ้าง อย่างที่เราสวด เราถูกครอบงำแล้ว ความชรา แก่เฒ่า นำเข้าไม่ยั่งยืน เราจะต้องพลัดพราก จากของรักของชอบใจ ทั้งนั้น อะไรที่เราสวดกันหนะ มันเป็นโลกธรรม อยู่ในเราก็สังขารโลก รูปโลก มันไหลไปเรื่อย สู่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มีใครป้องกันได้ บางทีเรายังไม่ตาย ไม่เจ็บ ก็กลัวแล้วทุกข์แล้ว ยังไม่เป็นไร พอนึกถึงความเจ็บก็กลัวแล้ว หรือว่าคุณหมอจะมาฉีดยาให้หนะ กลัวแล้ว ยังไม่ทันฉีดเลย กลัวแล้ว เหมือนหลวงตาเอาคนบ้าไปฉีดยา แต่ก่อนมีคนบ้าอยู่นี่คนแล้วคนเล่า พวกเราอยากจะดูแลรักษา พาไปหาหมอที่จิตเวช จะเอาไปฉีดยาให้ พอเอาไปฉีดยา ขึ้นเตียง หมอเอาเข็ม โดดลงเตียงทันที วิ่งออกประตู ไปยืนอยู่หน้ารพ. ลานหญ้า ชี้มือ โถ มันจะฆ่ากูหรือนี่ กูไม่รู้หนะ ถ้ากูรู้ไม่ทันมัน กูตายแน่นอน ก็เลยชี้มือ ชี้ไม้อยู่ โวยวายๆอยู่ มาโกรธหลวงตาด้วย ว่าจะให้เขาเอาไปฆ่า เลยมาพูดทำไงดีหมอ หมอเลยบอกว่า เอาตำรวจมา เอาตำรวจมาจับ มามัดมัน มาฉีดยาให้มัน ฉีดยาให้มันนอนหลับซะ แล้วเราจะพามันกลับบ้าน แล้วทำยังไงถ้ามันนอนไม่หลับ มันจะโดดลงรถเหรอ มันจะตายหรือเป็นไง หรือมันจะฆ่าเราซะ เขาก็เป็นหนุ่ม เราก็แก่แล้ว ก็ไปกับคนขับรถ ๒ คนน่ะ ก็เลยไปพูด เอ๊ย จ่อยเอ๊ย มึงเนี่ย ดีดีไป กูจะพามึงกลับบ้าน อยู่นี่ได้หรือเขาจะฆ่ามึง เอ๊ยมันจะฆ่าเราหนะ ไป ไป กูจะพามึงกลับบ้าน ขึ้นรถเร็ว วิ่ง วิ่งขึ้นรถ ปิดกระจก ปิดประตูหลังนะ ไม่ให้มันนั่งข้างหน้าด้วย แต่ก่อนให้มันนั่งหน้าด้วย แต่ตอนนี้บอกให้มันนั่งหลัง ไปบอกหมอ คุณหมอเอายานอนหลับให้อาตมา อาตมาจะเอาไปให้หมออนามัยฉีดให้ ไปหลอกมันขึ้นรถปิดประตู หน้าต่างก็ไม่ให้เปิดเลย มึงอย่าเปิดหน้าต่างนะ มันร้อนช่างหัวมัน มาถึงวัดป่าสุคะโต เปิดหน้าต่างออกเหงื่อไหลโทรมเลย สมน้ำหน้ามัน แล้ววันต่อมาก็พาไปหาหมออนามัย เอาอีกเหมือนเดิมแหละ พอไปอนามัย พอจะฉีดยาก็กระโดดลงเตียงอีก วิ่งมาท่ารถพอดีรถโดยสารจอดอยู่ หลวงตาก็เดินมา บอกว่า จับบักจ่อยให้หน่อย ผู้โดยสารก็จับมัดมันเลย หิ้วมันขึ้นสถานีอนามัย ฉีดยาให้ ดิ้น จับมัดไว้หลายๆ คน พอฉีดยาแล้วร้อง พ่อเอ๊ย แม่เอ๊ย เขาจะฆ่าข้อยแล้ว มาช่วยข้อยหน่อยเด้อ พ่อแม่เอ๊ย สนุกดี หัวเราะมัน พอฉีดยาแล้วหัวเราะ หมอบอกว่าเอามันขึ้นรถไวๆ เดี๋ยวมันจะหลับ ขึ้นรถกลับมาวัดป่าสุคะโต ลากคอมันมานอนที่ศาลา หลับ ๒ วัน ๒ คืน สมน้ำหน้ามึงหละ เดี๋ยวนี้ไม่อยู่นี้แล้ว ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วเป็นบ้า อยู่แก้งคร้อ กินน้ำคลองในตลาดไม่เบื่อไม่เมาเลย กอบ กินน้ำไหลจากลานปลาสด ดูดน้ำกินของสดของเหลือไป นอนให้ยุงกัด ไม่มีอะไรเลย เลือดบ้า หมากัดก็ไม่เป็นบ้า งูกัดก็ไม่ปวด พวกนี้ เลือดบ้ามัน กินน้ำไหลจากตลาดก็ท้องเสียแล้ว มันบ้าเต็มร้อยเลย
อันนี้เหมือนกันหละ กลัว พอเห็นเข็มเราก็กลัว ยังไม่ถูกเราเลย เราต้องไม่ต้องกลัวเลย เอ้าเจ็บก็เจ็บไป เอ้าปวดก็ปวดไป เราไม่ทุกข์เพราะการเจ็บ เราไม่ทุกข์เพราะการปวด เราไม่สุขเพราะอะไรทั้งสิ้นในโลกนี้จะเป็นยังไง จึงจะเป็นเกรดที่ดี เข้าประตูแห่งพระอริยบุคคลได้ ถ้าเกรดไม่ดีเข้าไม่ได้นะ เหมือนเราเรียนหนังสือเนี่ย ถ้าเกรดไม่ดีเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ต้องนับตั้งแต่ประถมไป อะไรเกรด ๔ เกรดอะไรเนี่ย เอาไปอ้างไป เอาไปเข้ามัธยม เอาไปเข้าชั้นอุดม มหาวิทยาลัยได้สบายเลย การปฏิบัตินี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นภาวะที่รู้ให้มากๆ มันก็ไม่ยากหรอก อาศัยใครก็ไม่ได้ต้องอาศัยตัวเอง มันมีบทเรียนอยู่ตลอดเวลา ความรู้ ความหลง มันคู่กัน โชว์กันอยู่ตลอดเวลา ความสุข ความทุกข์ก็มา อะไรที่มันเกิดเยอะแยะเลยเนี่ย โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหา ราคะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน มีเยอะแยะเลย ดงนะเนี่ย ชีวิตของเราเนี่ย ป่าดงพงไพร มีทุกอย่างอยู่ในชีวิตเราเนี่ย ความรักก็มี ความชังก็มี ความโลภ ความโกรธความหลง กิเลส ตัณหา ราคะ ก็มีแล้วแต่บัญญัติ วัตถุอาการสั่งงานเรา วัตถุอาการก็เต็มไปด้วยโลก มีท้องฟ้า มีก้อนเมฆ มีน้ำฝน มีแสงอาทิตย์ มีแสงแดด มีละอองหนาว มีอะไรเยอะแยะไปเลย ไม่ต้องรู้ได้ไหม เป็นเห็นเป็นธรรมชาติเป็นอาการ แม้แต่จะแก่ จะเจ็บ จะตาย ก็ไม่ต้องทุกข์เลย ไม่ต้องทุกข์เลย มันทำได้จริงๆ มันจึงเหนือการเกิดแก่เจ็บตาย ได้จริงๆน่ะ นี้อันที่พระศาสดาของเราอุบัติขึ้นมาในโลก ก็มาโปรดสัตว์ทั้งหลายก็คือคนเรานี้น่ะ มันมีอยู่ในตัวเรา ความรู้ ความหลงมีอยู่ในตัวเรา ความสุขความทุกข์ มีอยู่ในตัวเรา บางทีก็เปลี่ยนกัน สุขก็เป็นทุกข์ได้ ความรักก็กลายเป็นความชังได้ เคยเสียใจเพราะความรัก เคยดีใจเพราะความรัก คนดีเรารักก็ทุกข์ คนชั่วเราก็ทุกข์ มันเป็นทุกข์ ไม่ทุกข์ได้ไหม แต่ทุกคนต้องพลัดพรากจากกันไป ถ้าไม่ทำใจตรงนี้มันจะประเสริฐได้ไง คนเราน่ะ ก็เลยสอน ไปๆ มาๆ เนี่ย ก็เลยอยากเห็น ยิ้มให้หลวงตาดูสักหน่อย วางใจสักหน่อย เดี๋ยวนี้นะ ไม่ใช่ไปคิดอะไร เดี๋ยวนี้ มันละเดี๋ยวนี้ได้ เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ได้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ร่ำรี้รำไร พิไรรำพันอะไร เรียกว่ากำหนดรู้โดยการรู้ กำหนดรู้โดยการบรรเทา กำหนดรู้โดยการละ อันความทุกข์นี่ไม่ใช่บรรเทา เป็นการละได้เลย หนูเอ๊ยอันความหิวนี่มันบรรเทานะ ทุกข์เพราะความหิวต้องไปกินข้าว ทุกข์เพราะความหนาวต้องไปห่มผ้า ทุกข์เพราะความร้อนต้องไปอาบน้ำ ทุกข์เพราะนั่งนานต้องยืนขึ้น ทุกข์เพราะนอนนานต้องลุกขึ้น มันต้องบรรเทาทุกข์อันนั้นน่ะ แต่ทุกข์ใจนี้ไม่ต้องบรรเทา กูด่ามันแล้วกูจะดีใจ กูฆ่ามันแล้วกูจะดีใจ ถ้ากูไม่ด่ามันกูไม่ดีใจ ไม่ใช่ไปบรรเทาแบบนั้น ละทันที เดี๋ยวนี้ ความทุกข์แบบนี้มันเกิดที่เราเลย ไม่ใช่เกิดที่คนอื่น เอ้อทางใจ มันก็เหมือนกันนะความทุกข์หนะ คนดีก็ทำเราคนรักก็ทำเราให้เป็นทุกข์ คนไม่ดีก็ทำเราให้เป็นทุกข์ มีไหมพวกเรานี้ทุกข์เพราะคนไม่ดีมีไหม ทุกข์เพราะคนดีมีไหมทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เอาคนอื่นไปห้อยไปแขวน เอาใจของเราไปห้อยแขวนไว้กับคนอื่น ไปฝากไว้หรือ ต้องเป็นตัวของตัว จึงมาผ่านตรงนี้ว่า เห็นมัน ๆ มีกันทุกคน ความพอใจ ไม่พอใจ มีกันทุกคน ความหลง ความรู้ มีกันทุกคน เห็นมันซะ ผ่านตาเราบ่อยๆ จึงมีวิธีอย่างนี้ มีหลักอย่างนี้การปฏิบัติ มีฐานอย่างนี้ เรียกว่ากรรมฐาน คือที่ตั้งแห่งการกระทำ เป็นที่ตั้งตรงนี้จริงๆ เหมือนเค้าเล่นตะกร้อ มีคนตั้งให้ มีคนยิงแต่เล่นเป็นทีม ๓ คนบ้าง เล่นฟุตบอลก็หลายคน ก็จะเข้าประตูให้ได้
ประตูธรรมคืออะไร คือไม่เป็นอะไร อะไรที่มันมาทางไหนตั้งไว้ ตั้งตรงไหนตั้งไว้กับสติ ประตูตรงไหน พ้นแล้วถ้ารู้ทีไรก็พ้นแล้ว ถ้ารู้เห็นก็หลุดพ้นแล้ว เหมือนเราเห็นงู งูก็ไม่ได้กัดเรา เราเห็นหนาม หนามก็ไม่ได้ทิ่มเรา หรือจะเดินให้งูกัดล่ะไม่มีหรอก มันทุกข์ก็เห็นมันซิ จะเป็นผู้ทุกข์ทำไม งูกัดแล้ว เจียนตายไปแล้ว ร้องไห้ไปแล้ว เสียใจไปแล้ว เห็นมันน่ะจะเป็นไงล่ะ ทุกข์นี้เป็นการเห็นเป็นการละ ทุกข์พระพุทธเจ้าเห็นอะไร เห็นทุกข์ ตรัสรู้เนี่ย เห็นทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ สมุทัยต้องละ นิโรธทำให้แจ้ง มรรคเป็นทางออก การมีสติเนี่ยสมบูรณ์แบบที่สุดเลย สังขารคืออะไร สมุทัยคืออะไร คือความหลง เมื่อมันหลงก็ปรุงแต่งไป สังขารคือมันขยันปรุง ขยันคิด ขยันอะไร พอใจกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ไป ไหลเรื่อย สังขารเนี่ยเหมือนน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ อันนี้มันผลิตผลของสังขารนะ ไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่เที่ยงเลยเหมือนนายช่างปั้นหม้อ หม้อลูกใดที่นายช่างปั้นขึ้นมาแม้จะงาม จะขี้เหร่ จะเล็ก จะโตก็แตกทั้งนั้น ผลิตผลของสังขารนี้ ชี้หน้ามันเลยมันไม่เที่ยงหรอก มันไม่ใช่ตัวตนเลยสังขารเนี่ย เห็นแจ้งจริงๆหนะ สมุทัยก็อะไรที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันเห็นไปอย่างนี้หนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า เราได้สวดไหมเมื่อตะกี้เนี่ย ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าเห็นธรรม คืออันนี้ คือความทุกข์ สมุทัยชี้เหตุให้เกิดทุกข์ มรรคคือดู เวลาเราเจริญสติ มรรคคือภาวะที่เห็นที่ดู เห็นแล้วไม่เป็นกะมัน ไม่เป็นกับมัน มันสุขก็เห็นมันสุข มันทุกข์ก็เห็นมันทุกข์ มันหลงเห็นมันหลง มันรู้เห็นมันรู้ มันฟุ้งซ่านเห็นมันฟุ้งซ่าน มีกันทุกคน ว่าไงสอบถามนักปฏิบัติ มันก็สงบลงบ้าง แต่ก่อนมันหอบมา อดีตก็มา อนาคตก็มา วิ่งไปข้างหน้า วิ่งไปข้างหลัง จิตใจของเราเนี่ยพอมารู้ตรงนี้ก็เป็นปัจจุบัน ความคิดก็น้อยลงหลวงพ่อ แต่ก่อนมันคิดรบกวน เดี๋ยวนี้น้อยลง ไม่คิดอะไร มีแต่สติ เมื่อมีสติ จิตมันว่างไม่ปรุงไม่แต่ง จะทำยังไงต่อไป อาตมาก็บอกว่าถ้ามันสงบ ไม่ปรุงก็ดีแล้ว เหมือนน้ำที่มันนิ่ง ก็ส่องดูใบหน้าเราได้ แต่ก่อนน้ำมันกระเพื่อมคิดโน้นคิดนี่ ไปข้างหน้า ไปข้างหลัง คนหนุ่มคิดไปข้างหน้า คนชราคิดไปข้างหลัง วันนี้มันไม่ไป มันอยู่กับปัจจุบัน ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต รู้อยู่ๆ มันก็หลอกไม่ได้ ความคิดหลอกไม่ได้ ใจก็ว่างลงๆๆ น้ำมันนิ่งก็ดูเงา ดูเงาตัวเอง ส่องหน้า โกนผม ทาแป้ง แต่งตัวได้ จิตที่มันนิ่งแล้วก็อย่าไปอยู่กับความนิ่ง ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาภูมิ เห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม อย่าให้มันว่างเฉยๆ มันจะไปว่างอีกละ มันจะไปสงบ เป็นสมถะไป คนปฏิบัติธรรมตายอยู่ตรงนั้นเยอะแยะ บางทีก็รู้อะไร กลายเป็นวิปัสสนูไปเลย รู้ม๊ากๆ ดีใจ รู้อะไรสงบ ปัสสัทธิ สงบ สบายไปเลย ก็อยู่ตรงนั้นแหละ เป็นสมถะกรรมฐาน สมถะกรรมฐานเนี่ยเกิดก่อนวิปัสสนาสี่ห้าพันปีนะ วิปัสสนาเกิดที่พระสิทธัตถะเกิดขึ้นในโลกเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย ก็เลยเคียงบ่าเคียงไหล่ สมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถะกรรมฐานสอนง่าย วิปัสสนากรรมฐานต้องขยันหน่อย ต้องขยันรู้ สมถะนี่เอาให้นั่งนิ่งไปเลย หลับตา นิ่งบริกรรมพุทโธ หรืออะไรว่าไปๆ ให้บีบมันเข้าไปๆจนมันนิ่งแล้วตัวแข็งได้ อันนั้นเคยทำมาแล้ว ตั้งแต่อายุ๑๗ ปี เป็นหมอไสยศาสตร์ฝึกสมถะกรรมฐานมา ถ้าไม่ฝึกอ่ะ ไสยศาสตร์ไม่ดีไม่แคล้วคลาด จะไปดูผีไล่ผีต้องบริกรรมคาถาไล่ผี ถ้าจะไปจับโจรผู้ร้ายต้องบริกรรมคาถาอยู่คงกระพัน มองมีดเหมือนกับใบหญ้าจึงจะนอนได้ถ้าจะไปจับโจร สมัยก่อนโจรผู้ร้ายลักวัวลักควาย ถ้ามองมีดไม่เป็นใบหญ้าน่ะเรียกว่าบริกรรมไม่ได้ ต้องบริกรรมใจสงบ มันก็ยังมีกิเลส ตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ แต่ว่าวิปัสสนานี่รื้อถอนเลย อุบายเรืองปัญญา รื้อถอนได้เลย หมดเลยนะ ไม่มีคำว่าทุกข์เลยมีแต่ปัญญาอย่างที่เราเรียนพระสูตรต่างๆ เรียกว่าภิกษุ การสิกขาของภิกษุ ภิกษุคือผู้เห็นภัย มีไหมความหลงมีอยู่ในเรามีไหม ความโกรธมีไหม ความทุกข์มีไหม ความพอใจ เสียใจมีไหม เรียกว่าเรามีภัยแล้ว การที่เราจะพึ่งใจได้เรียกว่าผู้มีภัย ภัยทางใจอะไรต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แปลว่าเห็นภัยทำไง มีการศึกษา ศึกษายังไง คือศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา ทำไง แปลว่าปานาติปาตา หรือ บางทีก็หลอกพระ สุราเมระยะ ยังมีกลิ่นเหล้าอยู่ ยังมาหลอกพระว่าสุราเมระยะ สมาทาน บางคนบอกสุรา ภาวะนำหน้าไปข้อนี้ไม่เอาดอก วันนี้เมามาแล้วเมาอยู่ก็มี ตลกไป ไม่ใช่อันนั้นเป็นศีล ศีลมันคือเจตนางดเว้น คืออะไร เรารู้สึกตัวนี้มันเป็นศีลไหม เราไปพูดอะไร เราไปทำอะไร เราไปคิดอะไร เพียงแต่คิดก็อายแล้วไม่กล้าคิด รู้สึกตัวก่อน มันจะทำอะไรมันก็รู้สึกตัวอยู่นี้ วาจาจะพูดอะไร ก็ไม่พูดแล้วอยู่นี้ มันเป็นศีลแล้ว มันเป็นสมาธิแล้ว มันเป็นปัญญาแล้ว รู้ผิดรู้ถูก เมื่อมันหลงก็เปลี่ยนหลงเป็นรู้เป็นปัญญาแล้ว เมื่อมันทุกข์ก็เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้เป็นปัญญาแล้ว ก็บอกอยู่นี้เป็นปัญญาแล้ว เกรดมันดี เปลี่ยนหลงเป็นรู้ เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ เปลี่ยนอะไรๆ ง่วงเหงาหาวนอนเปลี่ยนเป็นตัวรู้ มันคิดฟุ้งซ่านเปลี่ยนเป็นตัวรู้ มันทำได้จริงๆ เรื่องนี้ ปฏิบัติได้ให้ผลได้ ปฏิบัติธรรมเนี่ย ไม่ใช่มาขอ มาเอาอะไรมาซื้อ มาหา มันอยู่กับเราอยู่แล้ว ภาวะตัวรู้ตัวนี้ จึงมารวมกันแต่พวกเรา มารวมกัน มาลำดับ มาลำนำเป็นความอบอุ่นของพวกเราต้องมีทั้งพระสงฆ์ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา สมบูรณ์แบบพุทธบริษัททั้ง ๔ ถ้าเราไม่รู้ตรงนี้หนะ แม้ใครจะมาทำลายเราก็ อะไรก็ได้ ถ้าเรารู้ตรงนี้ไม่มีใครทำลายเราได้ เพราะศาสนาคือเราทุกคนเป็นคนดี ถ้าเราทุกคนไม่เป็นคนดีเราก็เสื่อมไปแล้ว เพราะงั้นเราจึงมาศึกษากันตรงนี้ เรียนตามพ่อก่อตามครู มันก็ไม่อยู่ที่อื่นเลย มันหลงไหมก็ไม่อยู่ที่อื่นเลย ก็บอกแล้วถ้ามันหลงก็รู้ อะไรก็ตามเอาตัวรู้เป็นตัวเฉลย สร้างเกรดให้มันดีๆ ถ้ามันหลงไป สุขก็สุขไป เรียกว่าสอบตกนะ ถ้ามันทุกข์ก็ทุกข์ไปสอบตก ถ้ามันสุขก็เห็นมัน ผ่านได้ ถ้ามันทุกข์ก็เห็นมัน มันหลงก็เห็นมัน ตรงนี้มันยากไหม ต้องไปเกณฑ์ใครมาช่วยเหรอ หลวงพ่อหนูหลงแล้วมาช่วยด้วยๆๆหลวงพ่อ เหรออาจารย์ มีได้ไหม เป็นได้ไหมอย่างนั้นน่ะ ไม่ได้ พอเราหลงไปก็รู้ พอเรารู้แล้วใครเอามาให้ ไม่บอกใครไหม ไม่บอก เป็นของใคร ปัจจัตตัง ปัจจัตตังคืออะไร รู้เอง เห็นเองอย่างนี้ นี่เป็นของจริง อันสมมติไม่เป็นของจริง ไม่ใช่ว่าคนนั้นได้ญาณเท่านั้น คนนี้ได้ญาณเท่านี้ ให้อาจารย์เป็นคนบอก คนนั้นได้ญาณ ๔ คนนั้นได้ญาณ๑๖ ญาณคือภาวะล่วงผ่านไป พ้นหรือยัง ล่วงข้ามไป ข้ามที่สุดคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ข้ามไปได้หรือยัง ถ้าไม่มีญาณ ไม่ใช่ให้ใครมาบอกญาณได้เท่านั้นเท่านี้ ญาณคือข้ามไป พ้นไป หลุดไป ขนส่งไป หลวงตาเคยพูดอบรมพระนักบวชของศาสนาอื่น เรามาขนส่งกันอย่ามาพูดเรื่องศาสนาเลย พวกเราเป็นนักบวชมาขนส่งคนให้พ้นจากปัญหาเรื่องกาย เรื่องใจ อย่ามาทะเลาะกัน ปัญหาของคนมีมาก ความหลง ความทุกข์ ความลำบาก ความอาฆาต เบียดเบียนกัน มีมาก ทำยังไงพวกเราจะมาช่วยขนส่งให้คน พ้นจากตนเอง จากความเป็นคน เป็นมนุษย์ จากความเป็นมนุษย์เป็นอริยบุคคล เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นอินทร์ เป็นพระ เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็นพุทธะ ในหัวใจให้มันพ้นไปจากความเป็นคน คนนี่มันปะปนกันเหลือเกิน ความร้าย ความดี ฟูฟูแฟบแฟบเรียกว่าคน ถ้ามันสูงขึ้นมาเป็นมนุษย์มันก็เหนือขึ้นมาหน่อย ไม่เอาอารมณ์มาเป็นใหญ่ เอาเหตุเอาผลเอาสติปัญญา เค้าพูดนินทา เออช่างหัวมัน เป็นมนุษย์แล้ว เค้าสรรเสริญเออไม่เป็นไรช่างหัวมัน อาจารย์พุทธทาสสอนว่ายาไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายมีอยู่สามราก เอาไหมจะบอกยาเหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีสามราก ช่างหัวมัน มีไหม เคยว่าไหม ไม่เป็นไร เคยว่าไหม เป็นเช่นนั้นเอง พ้นแล้ว ถ้าใครว่าช่างหัวมัน อะไรเกิดขึ้นเป็นบุญ อภัยทาน เค้าว่าอะไรก็ช่างหัวมัน เคยว่าไหม สามีภรรยากันเขาทะเลาะ ไม่เป็นไรหรอก ให้อภัยกันได้ แทนที่จะด่ากัน ช่างเถอะๆ ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นไรหรอก เหมือนอุปมาหลวงตาสอนเณรเนี่ย เณรสองคนเดินมาชนกัน พอชนกันล้มลุกขึ้นมาต่อยกันเลย มีไหมมึงมองหน้ากู กูไม่ใช่พ่อมึงนะ บางทีหลวงตายังเห็นเลย แต่ก่อนนั่งรถโดยสารประจำทางรถสีส้มจอดที่สระบุรี น้ำลำไย น้ำลำไย ถุงหนึ่งสองบาท ยื่นขึ้นตามหน้าต่างรถ ผู้โดยสารบ้านเราหละบอกถุงละบาทได้ไหม ถุงละบาทไปเอาน้ำเยี่ยวบ้านแม่มึงโน้น
โอยคนเรานี่หนอ แล้วคนที่ได้ยินก็โกรธ ถ้าเราทำใจจะได้ไหม ไม่เป็นไร ได้ไหมตรงนั้น เปลี่ยนร้ายเป็นดีสักหน่อยได้ไหม มีไหมคนที่ว่าเราด่าเรา ทำงานร่วมกัน เป็นพยาบาล ทำงานทุกแผนก ไม่เป็นไรผิดแล้ว แล้วไป ช่างหัวเถอะ ความร้าย ความดี คนเราถือสาหาเรื่องกันไม่ได้ อยากหลุดพ้น ให้ว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร สองคนเณรน้อยล้มลง ภาพหนึ่งลุกขึ้นมาต่อยกันเลยอันนั้นไม่มี ช่างหัวมันไม่เป็นไร ภาพที่สองเณรน้อยเดินไปชนกัน ล้มลุกขึ้นมา ขอโทษครับไม่เป็นไร ทำใจได้ไม่เป็นไร เจ็บไหมครับ ไม่เป็นไรเจ็บก็พอทนได้ ผมผิดนะ ไม่ใช่ผมก็ผิดท่าน ขอโทษนะทุกคนไม่เป็นไรก็เลยไม่ได้ตีกันเลย ไม่ทะเลาะกันเลย มีไหมอภัยทานเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ได้บุญ ถ้าไม่มีอภัยทานจะได้บาป ทะเลาะกัน ด่ากัน ตีกัน ฆ่ากัน เป็นบาป ขณะนั้นเป็นบุญซะ เปลี่ยนบาปเป็นบุญได้ ไม่เป็นไร พอทนได้ นี่ถ้าเราว่าอย่างนี้ มีทาน อย่าเอาเงิน เอาทอง เอาข้าวเอาของมาให้อย่างเดียว ทานให้กัน เพื่อนกันให้ทานกัน ตั้งโรงทานในบ้านในเรือนเรา อภัยให้ทานตลอดเวลา ให้สร้างโรงทานตรงนี้ แล้วก็ธรรมทานก็บอกกันด้วย อะไรที่พอบอกกันด้วยเช่นสามีภรรยาเนี่ยนะ เราสองคนนะจะทุกข์ดีมีจนก็เราสองคนนี่แหละ มีอะไรผิดก็บอกเราด้วย มีอะไรถูกก็บอกเราด้วย เวลาบอกกล่าวกันก็อย่าโกรธกันนะ เวลาหลวงตาบวชพระบวชเณรนี่ให้นิสสัย ขอนิสสัย ต่อไปนี้เราเป็นภาระต่อกันนะ ภาระของเราทั้งสองฝ่ายถ้ามีต่อกันแล้ว เกิดขึ้นแล้ว ภาระของเราต้องบอกต้องสอนนะ ให้เป็นคนดี ภาระของคุณก็ต้องเชื่อฟังเรานะ อย่าดื้อดึงเอาแต่ใจ มีนิสัยอย่างไรมา เราสอนอย่าโกรธนะ ให้ตั้งใจฟังดีๆ เราจะสอนให้เป็นคนดี ให้เป็นพระ จะหล่อหลอมให้เป็นพระนะ ต้องอาศัยการบอกการสอน ถ้าเราไม่สอนจะมอบให้อาจารย์ เรียกว่าอันเตวาสิก ของอาจารย์ ถ้าอยู่กับเราเป็นสัทธิวิหาริกของเรา ถ้าไปอยู่กับอาจารย์ก็ต้องอันเตวาสิกของอาจารย์ ต้องเคารพอาจารย์นะ จากนี้ถ้าพระมาบวช ยกให้อาจารย์วรเทพ เป็นอันเตวาสิกของอาจารย์วรเทพ อาจารย์วรเทพก็เป็นอันเตวาสิกของเขา หลวงตาเป็นอุปัชฌาย์ เป็นสัทธิวิหาริกของเรา รับผิดชอบ อย่าโกรธกันนะเวลาถูกบอกถูกสอน อย่าเบื่อหน่ายต่อคำสั่งสอนนะ ขี้เกียจทำตามไม่เจริญนะ สัญญากันอย่างนี้อยู่ด้วยกันนะ เหมือนเส้นด้ายร้อยพวงมาลัย เรามาต่างตระกูลต่างบ้าน ต่างถิ่น มาอยู่ด้วยกันนี่ ธรรมวินัยของเราเหมือนเส้นด้ายร้อยดอกไม้ ดอกไม้เป็นต่างสีเมื่อร้อยเข้าด้วยกันเป็นพวงมาลัยกลายเป็นมีราคาขึ้นมา สามีภรรยา เพื่อนกันนะ มีอะไรเตือนกันนะ ทุกข์ดีมีจนอยู่กับเรา อย่าโกรธกันนะ ว่ากัน เรียกว่าปวารณาต่อกันแล้ว อย่าโกรธกัน บางทีคนเข้าใจผิดไป คนหนึ่งไม่รู้ก็ไปด่ากันเข้าใจผิดไป มีเหมือนกัน อย่าไปโกรธร่วมคนผู้โกรธก่อน ถ้าคนโกรธก่อนเค้ามาว่าเรา คนโกรธโกรธทีหลังนี่เป็นบาปสองเท่า คนโกรธก่อนเป็นบาปเท่าหนึ่ง คนโกรธทีหลังเป็นบาปสองเท่า เค้าผิดแล้วเรายังไปผิดร่วมกับเขาอีก มันก็เป็นบาปสองต่อ มากกว่าคนที่โกรธก่อน พระพุทธเจ้าบอกอย่างนี้ เพราะฉะนั้นมาช่วยกันตรงนี้ สามีภรรยากันต้องช่วยกันตรงนี้ ถ้าไม่ช่วยตรงนี้ไม่ถือว่ารักกัน ไม่ถือว่ารักกันเลย สนับสนุนให้การโกรธๆ แตกร้าวสามัคคี ความโกรธเท่านี้เปลี่ยนกันได้ เปลี่ยนได้ เปลี่ยนได้เพราะฉะนั้นธรรมะเนี่ยไม่ใช่อยู่วัด อยู่กับชีวิตจิตใจของเรานะ