แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อันนี้ เวลานี้ เป็นเวลาที่เรา เราทำความชั่วก็ได้ ทำความดีก็ได้ ถ้าชั่วโมงข้างหน้ามันมีจริง ก็เดี๋ยวนี้ มันต้องเป็นชั่วโมงข้างหน้า เราอยากให้ชั่วโมงข้างหน้าเป็นยังไง เราต้องทำเดี๋ยวนี้อย่างไร ที่เราตั้งใจ ถ้าพรุ่งนี้มี เราก็ต้องทำวันนี้ให้มันดี อันนี้คือของจริง ปัจจุบันเท่านั้นที่เราจะทำอะไรได้ เราจะให้มีบุญ เราก็ต้องทำดี ละความชั่ว มีสติ มีสัมปชัญญะ บุญก็เกิดขึ้นได้หลายอย่าง วิธีที่จะให้เกิดบุญ ตลาดแห่งบุญมีเยอะแยะ ไม่ขาดไม่จน ดังที่ว่า ทานมัย สีลมัย ภาวนามัย อนุโมทนามัย เวยยาวัจจมัย ธัมมัสสวนมัย หนะคือการทำได้ทุกโอกาส มีวัตถุก็ทำได้ ไม่มีวัตถุสิ่งของก็ทำได้ ดังที่อนุโมทนามัยนี่ แม้เราทำอะไรอยู่ก็ตาม เราก็อนุโมทนากับผู้ที่ทำดีได้ทุกโอกาส แม้ไม่เห็นกับหูกับตา เราก็ เราก็เห็นด้วย เรารู้สึกคิดนึก อย่างน้อยเราก็อยู่บ้านเป็นครอบครัว เห็นคนทำดี ลูกหลานทำดี เราก็อนุโมทนาไปกับเขา เขาจะได้เป็นคนดีของเขา บางทีเราไม่ได้ทำดี ก็อนุโมทนากับคนอื่นที่เขาได้ทำดี แม้ไม่มีอะไรเป็นนิมิต มีเครื่องหมาย แต่ว่าธรรมในใจ อยู่กับเหตุการณ์อะไรก็ได้ เช่น อนุโมทนามัย ดังที่หลวงพ่อพูดเมื่อวานนี้ว่าอย่างไร เป็นเรื่องชาดกที่กล่าวไว้ มีเพื่อนกัน สองคนเป็นเพื่อนกัน รักกัน ไปไหนชวนกันไป วันหนึ่งจะมีการเทศน์แสดงธรรม ก็ชวนกันไปฟังเทศน์ สมมุติว่าวันพรุ่งนี้จะมีการเทศน์ที่อริยธรรมสถาน ชวนกันแล้ว เพื่อนสองคน พอถึงเวลาพระท่านเทศน์ คนหนึ่งมีปัญหา ไม่สามารถที่จะมาฟังเทศน์ได้ ลูกเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องไปหาอาหาร ให้มีอาหารได้กิน ก็เลยหาอาหาร ไปจับปลา อยู่ที่ห้วย หนอง คลอง บึง แต่คนหนึ่งไปฟังเทศน์อยู่ที่วัด คนสองคนนี่คิดยังไง อนุโมทนามัยมันเกิดได้ยังไง คนหนึ่งที่จับปลาอยู่ในน้ำ เวลาที่ได้ยินเสียงฆ้อง อยู่ที่วัดดังขึ้น คนจับปลาก็สาธุ เสียใจที่ไม่ได้ไปฟังเทศน์ เพื่อนเราคงได้บุญได้กุศล โอยเรามีปัญหาน้อ ลูกไม่มีอาหารการกิน ใจมันไม่ได้ไปจับปลา ใจมันอยู่ที่การฟังเทศน์ฟังธรรม แต่คนที่ไปฟังเทศน์ ก็จะเห็นเพื่อนที่ไปจับปลา โอยป่านนี้เพื่อนคงจับปลาได้เยอะน้อ เราเสียเปรียบเพื่อนแล้ว ไม่ได้ไปจับปลา ก็คงได้ปลาตัวใหญ่ๆ เวลานั่งฟังเทศน์ไม่รู้เรื่องรู้ราว คิดถึงแต่เพื่อนที่จับปลา เพื่อนที่จับปลาก็เวลาที่ได้ยินเสียงฆ้องก็อนุโมทนาสาธุทุกครั้งไป เท่ากับว่าเพื่อนสองคนนี้แตกต่างกัน บุญกุศล เมื่อเวลาวายชนม์ไป เพื่อนคนที่สาธุอยู่กับการจับปลาได้เป็นเทวดา เพื่อนที่มาฟังเทศน์ไปเป็นหนอนอยู่ในส้วม พอคิดถึงกันได้ ก็แสวงหากัน คนที่เป็นเทวดาก็มีความสุข คิดถึงเพื่อน เพื่อนเราไปอยู่ไหนหนอ ตามหาเพื่อน จะพาเพื่อนไปอยู่ด้วย ไปก็เห็นเป็นหนอนอยู่ในส้วมของพระ มุดคูถอยู่ เพื่อนก็เรียก โอย เพื่อนเอ้ย มาอยู่นี่ได้ไง ไปด้วยกันเถอะ สวรรค์มันมีความสุข ไม่อดไม่อยาก อาหารการกิน คิดอะไรก็ได้กินอย่างที่ได้คิด ก็คุยกันว่าสวรรค์มันดียังไง จะกินอะไรอยากกินอะไรแค่คิดเฉยๆมันก็มาให้กินได้ เพื่อนที่เป็นหนอนอยู่ในห้องน้ำห้องส้วมพระก็เลยร้องว่า โอ้ ต้องคิดกันเหรอถึงจะได้กิน ที่นี่ไม่ต้องคิดเลย มาเอง มาเองมันไม่ใช่อาหารนี่ มันเป็นคูถ มันเหมือนคูถ เป็นของสกปรก เมืองเทวดามีคูถกินไหม เพื่อนก็ว่าไม่มีคูถ มีแต่อาหารทิพย์ ถ้างั้นไม่ไปหรอก จะอยู่ที่นี่แหละดีกว่า
เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณของคนเราเนี่ย บางทีก็พอใจกับความชั่ว หมกมุ่นครุ่นคิดกับความอิจฉาพยาบาทเบียดเบียนกันและกัน บางคนก็คิดแต่คิดจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภูมิจิตภูมิธรรมแต่ละคนมันต่างกัน เราจึงไม่ต้องประมาทเรื่องนี้ พยายามให้เต็มที่ อย่าประมาท ในบาปอกุศลทั้งหลาย มันจะดื้อด้าน มันจะคิดได้คิดเอา โดยที่ไม่รู้จักละอายบาป แม้ไม่ได้ทำก็ยังคิดอิจฉาเบียดเบียนคนอื่น ตัวนี้ก็เป็นบาปได้ ดั่งคนที่ฟังเทศน์คิดถึงเพื่อนที่จับปลา ไม่ได้ทำเอง แต่ว่าคิด ถลำลงไปกับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผลที่สุดก็เป็นกรรมเหมือนกันทั้งๆที่ไม่ได้จับปลามาฆ่า แต่คนที่จับปลาไม่ได้คิดเรื่องฆ่า คิดถึงบุญกุศล มันเป็นความจำเป็น ก็กลายเป็นบุญไปได้ เรามันต้องมีอะไรต่อรอง เป็นเจตนา หาร ที่เกิดขึ้นกับใจของเรา มันอยู่ที่ใจแท้ๆ ถ้าเราฝึกหัดใจเนี่ย เราก็มีจิตมีใจทุกคน มันโกรธกัน มันทุกข์กัน มันสุขกัน มันรักกัน มันชังกัน อะไรที่มันควรที่จะสอนใจเรา ก็สอนซะ อย่าให้ปล่อยปละละเลย ให้มันโกรธฟรีๆ ให้มันหลงฟรีๆ สอนใจเวลามันหลง สอนใจเวลามันโกรธ สอนใจเวลามันทุกข์ ให้มันรู้สึกตอนนั้น ฝึกหัดจิต ดัดแปลงกาย วาจา ใจ ของตน ให้ไปตามกาลเทศะ ถ้ามันไม่มีอะไร อยู่ดี สมานสามัคคีกันก็อยู่กันไป นี่มันเป็นบุญแล้ว มันไปอยู่แล้ว ถ้าเวลาใดที่มันกระทบกับอารมณ์ต่างๆ มันหลงไป ก็ ให้ดูดีๆ พยายามอย่าประมาทตนตอนที่มันหลง ถ้ามันหลง ก็ตั้งต้นใหม่ไว้ก่อน อย่าหมกมุ่น อย่าผินผันพลันแล่นในความหลง ให้ยับยั้งชั่งจิต แล้วก็ไม่มีนิสัยที่จะสอนตัวเองเป็น ความหลงก็พาให้หลง ความทุกข์พาให้ทุกข์ เรื่อยไปการฝึกหัดตนนี่มันเป็นของที่ไม่ยาก เพราะมันอยู่กับเรา อยู่กับเรา อยู่ในมือของเราแท้ๆ ใจก็อยู่นี่ กายก็อยู่นี่ วาจาก็อยู่นี่ เราจึงมีวิธีที่มันสมบูรณ์แบบ วิชากรรมฐานนี่ แม้แต่น้อยก็ยังดี ช้างสะบัดหู งูแลบลิ้น นิดหน่อยยังดี มันจะเป็นนิสัยได้ ความชั่ว ความฉิบหาย หายนะต่างๆ แม้นิดหน่อยก็เป็นนิสัยได้ เราก็พยายาม พยายามฝึกฝนตนเองเอาไว้ มีสติเอาไว้ ตั้งสติเอาไว้ หัดให้มีสติ ถ้ามันเป็นแล้วเขาไม่ต้องหัด เวลามันเป็นแล้ว ไม่ต้องหัด มันใช้ได้เลย เหมือนเราหัดขับรถ เมื่อมันเป็นแล้ว ก็ไม่ต้องหัด มันเป็นไปเอง ไม่ต้องไปลำดับ ไม่ต้องไปท่องวิชาการ มันเป็นไปแล้ว อย่างไหนที่มันทำเป็น สิ่งไหนที่ทำไม่เป็น มันทำเป็นในรูปลักษณะอย่างไร ชีวิตเรา ง่ายที่จะหลงหรือง่ายที่จะรู้ ง่ายที่จะไม่ทุกข์หรือง่ายที่ทุกข์ ง่ายที่โกรธหรือง่ายที่ไม่โกรธ ต้องหัดอย่างไร อะไรก็เอาความทุกข์ออกหน้าออกตา เอาความโกรธออกหน้าออกตา เอาความหลงออกหน้าออกตา มันง่ายไปทางนั้น มันจำเป็นต้องมาหัดตรงนี้ จำเป็นต้องฝึกหัดตัวเรา อย่าเอาเพศ เอาวัย เอาลัทธิ เอาอะไรมาขวางมากั้น เอาตรงนี้แหละเป็นสิ่งที่จะต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ ไม่ใช่อย่างอื่น ไม่ใช่สมมติ ไม่ใช่เปรียบเทียบกับอะไรทั้งสิ้น ชีวิตเราไม่ใช่ไปเปรียบเทียบกับวัตถุสิ่งของ กับผู้คนทั้งหลาย เราต้องดูแลตัวเราให้ดี มิฉะนั้นแล้ว จะเสียโอกาส จะพลาดได้ เวลานี้มันหลงเวลาข้างหน้าก็หลง เวลานี้มันทุกข์เวลาข้างหน้าก็ต้องทุกข์ เวลานี้มันโกรธเวลาข้างหน้าต้องโกรธ เวลานี้มันใจร้อนเวลาข้างหน้าก็ใจร้อน ความใจร้อนไม่ใช่มันร้อนอยู่เสมอ มันร้อนไปเรื่อยๆ รุนแรงขึ้น ความใจเย็น ไม่ใช่เย็นน้อยๆ มันเย็นมาก เย็นมากไป จนถึงที่สุดแห่งความเย็นแล้ว คนร้องว่า เหมือนคนติดยาเสพติด หลวงพ่อเคยก็เอาคนติดยาเสพติดมาอบรม ฉีดเฮโรอีน ฉีดเฮโรอีนเข็มเดียวอยู่ได้เป็นวันสองวัน ต่อไปอีกสองเข็มก็อยู่ไม่ได้ สามเข็มอยู่ไม่ได้ เป็นสิบๆเข็มก็อยู่ไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับเข็มฉีดเฮโรอีน มัน มันก็แก่กล้าไปทางนั้นได้ ความชั่ว ถ้ามันได้ เสี้ยนยา หรือหิวยา ไม่มีใครต่อสู้มันได้ คนพวกนี้ เอานะคุยให้เราฟัง ถ้าตีกันนี่ผมคนเดียว ไม่สนุก ต้องหาคนสองคนสามคน ให้ผมคนเดียวสนุกดี ไม่มีใครสู้ผมได้ ถ้าผมได้หิว หิวเฮโรอีนแล้ว เขาก็เก่งแบบนั้น แล้วก็อบรมเขาแล้ว คงมาอยู่วัด พอออกจากวัดไป ไปอยู่บ้าน ไปติดอีก วันต่อมาเห็นเขาขี่จักรยานมาหา ในจักรยานนั่น มีของ ของกิน มีผักมีอะไรหลายอย่าง อยู่ตะแกรงรถจักรยาน ตอนเช้ามืด ทำวัตรเสร็จใหม่ๆ เห็นมันขี่จักรยานมาที่วัด เอ้า เอาจักรยานมาจากไหน บอกว่าไปเอามาจากตลาดสด ตลาดเช้าที่วังเลย มึงเอามายังไงล่ะ เห็นจอดอยู่ก็เลย เอาเลย มันใส่กุญแจคอรถ ผมบิดทีเดียว กุญแจรถมันขาดไปเลย แล้วมึงไม่สงสารเขาเหรอ เขาไปซื้อผักมาจนเต็มตะแกรง หนะ คิดยังไง มันไม่รู้จักคิด มันหิวยา ไม่มีอะไร ไม่รู้จะคิดอะไร มีแต่คิดจะเอาอะไร จะเอาอะไร พอเห็นอะไรที่เอามาได้ ก็เอามา ก็บังคับให้มันเอาไปทิ้งไว้กลางทาง ตอนเช้ามืด เอามันไปจอดไว้ ก็มีคนไปจับไปแจ้งตำรวจมาเอาไป นี่มันขนาดนั้น มันหลง มันจะหลงทวีคูณเข้าไป จิตใจของเรานี้ อย่าประมาทนะความหลง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหมือนน้ำหยดลงใส่ตุ่มทีละหยด ละหยด ก็สามารถเต็มตุ่มได้ ความดีเหมือนกัน ความชั่วเหมือนกัน สตินี้ที่เรามาสร้างอยู่นี่ มันเป็นการตรวจสอบอยู่ในตัวมันเอง ไม่มีใครเห็นหรอก มีแต่สติเข้าไปเห็น แต่นี่สร้างความคิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา มีสติเท่านั้นที่เห็นความคิด ตัวคิดตัวนี้ ตัวลักคิด ตัวสังขาร ที่เป็นจิตสังขารที่มันปรุงมันแต่ง คิดอะไรต่างๆนี่ เป็นต้นตอของเหตุปัจจัยต่างๆที่มันเกิดขึ้นจากความคิด ถ้าเป็นจำเลยก็เป็นจำเลยหมายเลข๑ อันการกระทำเป็นจำเลยหมายเลข๒ ที่เป็นกายแสดงออก วาจาแสดงออก อันจำเลยหมายเลข๑ คือความคิด เราไม่เรียกว่ามันจะผิดศีลผิดธรรม แม้แต่ศีลสังคมเขาก็ไม่ปรับ การผิดศีลเรื่องของความคิด เพียงแต่บอกว่า การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ชื่อว่าศีลเท่านั้นเอง การสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย ชื่อว่าศีล การรักษาใจมั่น ชื่อว่าสมาธิ ความรอบรู้ในกองสังขาร ชื่อว่าปัญญา การรักษากายวาจาให้เรียบร้อยชื่อว่าศีล กายวาจาเป็นจำเลยหมายเลข๒เลข๓ จำเลยหมายเลข๑มันมาจากจิต ที่มันคิดขึ้นมาก่อน แล้วจึงแสดงออกทางวาจาทางกายได้ เราไม่รู้เรื่องนี้ เขาสำรวมแต่กาย ปล่อยให้ใจคิดไปตะพึดตะพือ ไปตามเหตุตามปัจจัย นั่นคือรักษาศีล รักษาเท่าไหร่ก็ไม่เป็นศีลก็ได้ เพราะมันเกิดจากใจ คนจะรักษาศีลนี่ บางทีได้เสียงได้ยินเสียงอึ่งมันร้อง ฝนตกใหม่ ยังคิดถึงอึ่ง ดังมีนิทานเล่าไว้ ชาดกเล่าไว้ ไปจับอึ่ง นอนอยู่จำศีลที่วัด อยากไปจับอึ่ง มันก็คิดไป แต่มันไม่ไปไม่ได้ โอ้ยเรามาถือศีลในวัด อันกายมานั่งนอนอยู่ในวัด แต่ใจมันคิดไปจับอึ่งอยู่ในทุ่งนาโน้น ผลที่สุดก็เป็นกรรม กลายเป็นอึ่งไป เป็นพี่น้อง ๒ คน กลายไปเป็นอึ่งเฝ้านา เวลาฝนตก ก็วาหนึ่ง วากว่า อันนี้ตามชาดกเขาว่า พี่น้อง๒คน พ่อแบ่งปันนาให้ ชาดกนะ เวลาฝนตก ก็ไปปั้นคันนาเขตแดน คนหนึ่งก็ร้องว่า จากต้นไม้ต้นนี้ให้วาหนึ่ง คนหนึ่งไปปั้นก็เอาวากว่า เถียงกัน ผู้เป็นพี่บอกว่าวาหนึ่งนะ ผู้เป็นน้องบอกว่าวากว่า วาหนึ่ง วากว่า เถียงกันไปเถียงกันมา ก็ตีกัน ฆ่ากันตาย ตายไปก็ไปเป็นอึ่ง ๒ ตัว พี่น้อง ได้ยินไหม เวลาฝนตกฟังดีๆนะ วาหนึ่ง วากว่า พี่น้อง ๒ คน ฆ่ากันตาย เพราะไม่รักษาศีลกัน มันมีนิสัยแบบนั้น มันเลยกลายเป็นอึ่งเฝ้าทุ่งนาอยู่ นี่อะไร ไม่ได้กายไม่ได้อะไร แต่จิตมันไป จิตมันคิดไป เราจึงระวังสำรวมให้ดีๆ มีสติเท่านั้น อย่าไประวังจนสะดุ้งผวา เวลาใดมันคิด อย่าไปคุมมัน ให้รู้ แบบสดชื่นไปเลย เหมือนไปแอบดูอ่ะ ถ้าไปจ้องดูไม่ค่อยเห็นหรอก ถ้าแอบดูเห็นชัด จับได้คาหนังคาเขา เหมือนคาถาของคนสมัยโบราณ ถ้าประสิทธิ์สอนกันโดยปากต่อปากไม่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องลอดป่อง อาจารย์อยู่ข้างบน ลูกศิษย์อยู่ข้างล่าง เรียกว่า คาถาลอดป่อง คนที่อยู่ข้างล่างมันตั้งใจฟัง อันคนที่บอกต่อปาก มันไม่ค่อยตั้งใจหรอก คนที่อยู่ข้างล่างมันตั้งใจฟัง ไปแอบเอา เขาสอนมาคาถาว่าอะไร (คาถา) คนที่อยู่ใต้ถุนบ้านแอบฟังเขา แอบฟัง จำได้ คนที่นั่งสอนต่อปาก หลวงพ่อเคยเรียนนะ ผึ้งพันน้ำมันหมื่น อาจารย์ก็นั่ง ผึ้งกับหนึ่ง เอาสิ ก็นั่ง ผึ้งกับหนึ่ง สอนกันในโบสถ์ ปากต่อปาก แต่ว่าคนที่เรียนลอดป่อง ไปแอบฟังเขา มันตั้งใจ มันศักดิ์สิทธิ์กว่า อันตัวแอบดู มันศักดิ์สิทธิ์ มันจับได้ เหมือนคาถาของคน สมุนไพร ที่เขาเรียกเขาเรียนเล่าเรียนมา ต้องบอกเป็นอุบาย อยากฟังไหม เขาเรียนสอนยา เขาสอนยังไง เขาไม่บอกตรงๆ มันจึงมีคุณภาพ อย่างว่า ดำดิน บินบน พาดกิ่งไม้ ดำดิน บินบน พาดกิ่งไม้ ไหง้แผ่นดิน สุกในดิน ไหม้แผ่นดิน กินนอนนอนลา ดำดินคืออะไร บินบนคืออะไร พาดกิ่งไม้คืออะไร ไหง้แผ่นดินคืออะไร สุกในดินคืออะไร กินนอนนอนลาคืออะไร คิดเอา
อันนี้มันศักดิ์สิทธิ์เพราะไปตีเอา ถ้าไม่ได้แสดงว่ายาไม่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องให้ได้ คนที่ตั้งใจอยากจะเอา ก็คิดหา ดำดินคืออะไรหนอ ใช่ไหม อะไรหนอ ดำดินนี่ มันเป็นพืช ดำดินอะไร มันดำไปในดิน หมายถึงมุดไปในดินนี่มันคืออะไร นอนคิด อ๋อออ อะไรหนอ ดำดิน คิดเอา มันใส่ใจ๊ใส่ใจ โอ้ว คิดไปคิดยาก็โอ้ว ยาหมอใหญ่ข้าวยันเหนือ โอ้ บินบน บินบน มันบินไปข้างบน มันคืออะไรล่ะ อะไรหนอบินบนนี่ คิดหา๒วัน๓วัน ใช่ไหม คิดไปคิดมา เอ้ย บินบนคืออะไร คือ ผึ้ง โอ้ น้ำผึ้ง บินบน ดำดิน บินบน พาดกิ่งไม้ พาดกิ่งไม้ พาดกิ่งไม้ อะไรหนอ พาดกิ่งไม้ หนอออ คิดไป คิดไปคิดมา โอ้ว บอระเพ็ด พาดกิ่งไม้ ใช่ไหม ไหง้แผ่นดิน ไหง้แผ่นดิน ไหง้แผ่นดิน มันคืออะไร อะไรไหง้แผ่นดิน ถ้าคิดถึงไถหรือ ไม่ใช่ ไหง้แผ่นดินมันไม่ใช่ ไถ มันไหง้แผ่นดินไป ไหง้แผ่นดิน คืออะไรหนอออ คิดไปคิดไปคิดไปคิดมา โอ้ เป็นยาแห้วหมู มันหง่อยออกมา มันทึบเป็นแผ่นเลยยาแห้วหมู หญ้าแห้วหมู ไหง้แผ่นดิน เอ่อ สุกในดินคือไรหนอออ สุกในดินนี่ หา ขมิ้นชัน โอ๋ หลวงพ่อกรม มันสุกในดิน มันเหลือง ไหม้แผ่นดิน ไหม้แผ่นดินคืออะไร ไหม้แผ่นดิน เอ้า ข้อนี้ไม่บอก คิดเอา เป็นยาวัฒนะ ไหม้แผ่นดิน ไหม้แผ่นดินคืออะไรหนอ คิดเอา หา ไหม้แผ่นดิน ไหม้ คำว่าไหม้คืออะไร ไหม้คือไฟ ว่านไฟ โอ้วว ไหม้แผ่นดินคือว่านไฟ กินนอนนอนลา กินแล้วนอน ลา เมาไปเลย นี่ คืออะไร ๗ อย่างเอามาผสมกัน เท่าๆกัน บดเป็นผง ผสมบินบนคือผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอน กินเช้าเม็ดเย็นเม็ด เป็นยาวัฒนะ เขาบอกนะ อย่างนั้น ที่ว่าเคล็ดลับนะ อันตัวฝึกตน มันมีเคล็ดลับในตัว ไม่ต้องประเจิดประเจ้อ มีเคล็ดลับ ค่อยๆแอบดู ชื่นใจ เมื่อเห็นความผิด เมื่อเห็นความถูก เมื่อเห็นความผิดไม่กระโตกกระตาก การกระโตกกระตาก ไม่ขลังนะ ต้องสถิตย์ยิ้มในใจ เห็นความหลงไม่ใช่หน้าบูดหน้าบึ้งนะ เห็นความหลงนี่ยิ้มนะ ถ้าเห็นจริงๆนะ เหมือนเราเห็น อ้อ ปัดโถ เป็นเช่นนี้หนอออ อ้อ อ้อ เหมือนคุณบุญทวี อ้อ อ้อ มันไม่ใช่เศร้าใจนะ มันสดชื่น นี่คือ แอบดูมันเป็นยังไง เฮา อื้อ คืออะไร อื้อ วิปัสสนาถึงที่ไหน ถึงบางอ้อ อันนี้บางเลนน่ะ เขาว่าวิปัสสนาถึงไหน ถึงบางอ้อ อ้อออ สดชื่นนนที่สุด ความโกรธเป็นอย่างนี่หนอออ ความหลงเป็นอย่างนี่หนอออ ความทุกข์เป็นอย่างนี่หนอออ โหยย เห็นแล้วสมน้ำหน้าหนอออ ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วมันสดชื่นนนมันเป็นวิปัสสนา ถ้าเห็นแล้วกระโตกกระตากไม่ใช่นะ แอบดูอย่างนี้ นี่กรรมฐาน นี่คือสอนตัวเอง พวกเราจึงฝึกฝนตนเอง อย่าประมาทนะ