แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาฟังธรรมต่อกันอีก ลำดับลำนำ แล้วก็ บทลำนำจากพระสูตร บทลำนำจากเราให้มีสติ ลำดับลำนำอยู่เสมอ เพื่อเป็นการศึกษา ถลุงสิ่งใดไม่เข้าใจ ให้เข้าใจ สิ่งใดไม่แจ้ง ทำให้แจ้งขึ้นมา มันเป็นไปได้ พระธรรมคำสอน ชีวิตของเรานี้ มันทำได้ เลื่อนชั้น เลื่อนฐานะของชีวิตเราให้ดีขึ้น ให้สูงขึ้น จากความเป็นคนมาเป็นมนุษย์ จากความเป็นมนุษย์มาเป็นพระ อันที่จะสมควร สมค่า คุ้มค่า ที่เราได้เกิดมา เพื่อการนี้โดยตรงไม่ใช่เกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เฉยๆ ถ้าเกิดมาแล้ว มาคอยเป็นทุกข์ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายอยู่ มันก็เสียชาติ ก็จึงก้าวไป มีพระพุทธเจ้า มีพระสาวกผู้ตาม จนมาถึงพวกเรานี้ ไม่หมดกาล ไม่หมดเวลา มีได้ทุกโอกาส เราจึงมาศึกษาปฏิบัติกันจริงๆจังๆ ในเรื่องนี้ เข้าให้ถึง อย่าเป็นแต่เพียงนับถือ พระพุทธศาสนา เข้าให้ถึง ศาสนานี้ไม่ใช่มาอ้อนวอน กราบไหว้ เป็นการเข้าถึง ทำให้เป็น ทำให้มี ถึงมรรค ถึงผล ถึงพระนิพพาน เป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตเรา ถ้าพุทธศาสนาไม่มีนิพพาน ไม่รู้ว่าเราจะนับถือไปทำไม จะสร้างวัด สร้างวา สร้างบุญกุศล บวชลูกบวชหลานทำไม ถ้าเราไม่มีมรรคผลนิพพาน เราจึงเอื้อการนี้โดยตรง แม้แต่เพลงกล่อมลูก ที่หลวงตาได้พูดให้ฟัง
ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ก็ยังกล่าวถึงมรรคผลนิพพานเลย คนโบราณ “ เพื่อน้องเจ้ามรรค เจ้าผล พัฒนากายตน ทั้งกายทั้งใจ เจ้ามรรค เจ้าผลนะ บ้านพี่เมืองน้องปรองดองกันไป พัฒนามีชัย มีสุข ทุกประการ พัฒนากายใจเป็นมรรค ผล นิพพานเทอญ” กล่อมลูก อีสานก็มีนครพนม
“เพื่อน้องเจ้ายอดพนม เหนือเกล้าเหนือผมคือพระธรรมา ค่ำเช้าก่อนนอน ขอพรพระรัตนตรัย พัฒนามีชัย มีสุข ทุกประการ พัฒนากายใจถึงมรรค ผล นิพพานเทอญ”
เค้าพูดอย่างนี้ คนโบราณ มีแต่นิพพาน นิพพาน นิพพานะปัจจะโยโหตุ ทำบุญให้ถึงมรรคผลนิพพานโน้นเทอญ ถ้า“โน้น”มันไกลเกินไป ให้ “นี้เทอญ”
มันไกลถ้า “โน้น” มันมองไม่เห็น ถ้า “นี้” มันเห็นได้ ทำได้กับมือ มันหลง เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงนี้ มันทุกข์ เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์เนี่ย มันโกรธ เปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธเนี่ย เพราะหลงมันทำให้เกิดทุกข์ เกิดโกรธ เราเสียเปรียบ ความโกรธ ความทุกข์ มันก็ไม่มีอะไร แต่มันยิ่งใหญ่ ถ้าเราไม่รู้มันอะ มันครอบงำเราได้ เราจึงมาเห็น มันก็ไม่มีอะไร อย่างพระพุทธเจ้าได้แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเนี่ย ปัจจวัคคีย์ คือ ๕ คนได้ฟัง การที่เราได้สาธยายสูตรนี้ เรียกว่า ธรรมจักร จักรแห่งธรรม มันกลิ้งไป หมุนไป มี ปริวัตร ๓ อาการ ๑๒ คือ ธรรมจักร แหลกไปเลย ทุกข์ เห็นแล้ว ออกจากทุกข์ พ้นแล้ว ไม่มีทุกข์ พ้นจากทุกข์แล้ว ปริวัตร ๓ อะไรก็เป็นอย่างนี้ มันเลยหมุนไป เห็น เรียกว่าชักสะพาน ไม่มีที่ให้ตั้ง ไม่มีที่ให้ทุกข์ตั้ง เพราะเห็นแล้ว ไม่รับ บอกคืน ไม่ถูกต้อง ความไม่ทุกข์ ความไม่หลงถูกต้อง มีที่นั่งอยู่ก่อน เราต้องมีอย่างนี้ มันมาพร้อมกัน ความหลง ความไม่หลง อย่าให้มันสุดโต่ง
ทุกข์เป็นทุกข์ สุดโต่ง ไม่มีทาง ไม่พบทาง ไม่มีธรรมจักร ไม่มีทางไป พระพุทธเจ้าแสดงนี่ ที่อิสิปตนมฤคทายวัน ยังมีอยู่นะ ไม่ใช่เราสวดเฉยๆ อิสิปตนะ ก็มีอยู่ เป็นสถูปใหญ่ เดินรอบสถูปนี้ได้ประมาณ ๒๗๐ ก้าว เท่าเท่ากับหินโค้ง อาจารย์ทรงศีลทำไว้เป็นวงกลม ๒๘๐ ก้าว หรือเท่าไหร่นี่แหละ จำไม่ได้ หลวงตาเคยไปเดินทำประทักษิณ เคยไปสวดธัมมจักรอยู่ที่นั่น ๖ เที่ยวแล้ว อินเดียมีสถูปใหญ่ ทำไมจึงชื่อ อิสิปตนมฤคทายวัน มันมีมาแต่นานแล้ว ก่อนพระพุทธเจ้าจะมาแสดงธรรม เป็นที่ปลดปล่อยของสัตว์ทั้งหลาย นักบวช ฤาษีชีไพรจะไปอยู่ ณ ที่นั่น ไม่ห่างไกลจากพาราณสีนัก
อิสิปตนมฤคทายวัน เป็นที่ปลดปล่อยยังไง สัตว์อะไรไปอยู่ที่นั่น ไม่ถูกฆ่า ไม่ถูกทำลาย ยังมีเก้ง มีกวาง มีสัตว์ มีนกกระเรียน มีอะไรเยอะแยะ อยู่ที่นั่น กวางป่าก็เต็มไปหมดเลย เค้าไม่ทำลาย มันก็มีอยู่อย่างนี้ ที่แสดงธรรม ที่ตรัสรู้ก็มีพุทธคยา ที่บำเพ็ญทุกขกิริยาก็มีถ้ำดงคสิริ เหนือทางแม่น้ำเนรัญชรา ดงคสิริ สมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้าบำเพ็ญพรตอยู่ที่นั่น แล้วก็เดินจากที่นั้น รอนแรมมาตามลุ่มแม่น้ำเนรัญชรา มาฉันข้าวนางสุชาดาที่ ใกล้ๆพุทธคยาน่ะ มีอยู่จริง
นอกจากนั้นก็มี ที่ตรัสรู้ มีที่แสดงธรรม มีที่ประสูตร มีที่ปรินิพพานมีอยู่จริงๆ แต่วัดวาอารามต่างๆมีเยอะ ศาลกี่ วัดอะไรเยอะแยะ เชตวันก็มี บุปผารามก็มี มหาวันก็มี ไม่มีแต่สุคะโต สุคะโตมีเมืองไทยนี้ สถาบันด้วยซ้ำไป ไม่มีวัดไหนในประเทศไทยชื่อว่าสถาบัน แล้วก็ ตั้งขึ้นมาจริงๆ อยากท้าทายต่อคน นานเหลือเกิน ทำไมจึงมาเกิดแก่เจ็บตาย เป็นทุกข์ โกรธ ทะเลาะวิวาทกันอยู่ มันมีที่ศึกษา ที่จบได้สถาบันนี้มันจบในชีวิต ไม่ใช่ไปจบจากนอกกายนอกใจ จบในนี้ ๘๔,๐๐๐ เรื่อง อยู่ในกายในใจเรานี้ จบซะ เป็นครั้งสุดท้าย ความหลงเป็นครั้งสุดท้าย ความทุกข์ ความโกรธ ความโลภ ความอะไรต่างๆ เป็นครั้งสุดท้าย เหลือแต่ชีวิตล้วนๆ เป็นชีวิตที่มีอิสระ ไม่เป็นอะไรกับอะไร แจกของส่องตะเกียงเลี้ยงคนทั้งประเทศ ช่วยกันอย่างนี้ ที่นี่ไม่มีใครแปลกหน้า มีแต่ญาติทิพย์ถึงได้พบเห็นกัน ปานนั้นหนะ ไม่แปลก อย่างมองว่าคนนั้นคนนี้ไม่ใช่กลุ่มพวกเรา ไม่ใช่คนพวกเรา ไม่ใช่ แต่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันให้มันจบซะ เป็นแผ่นดินราบเหมือนหน้ากลองชัย ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ ก็ต่อจากสมณะโคดมนี้ไป เอาพระธรรมคำสอนมาปฏิบัติ อย่าให้เป็นฟ้าสางนกแก้ว เอามาทำให้มันเกิดขึ้นมา เป็นศีลเป็นทานออกมาจากกายจากใจ
ศีล ก็รักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย ทาน สละ อารมณ์เน่าออก อารมณ์เน่าที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจ จาคะ สละออก อย่ายึดไว้ ทาน อภัยทาน ให้อภัยอะไรง่ายๆ อย่าถือโทษโกรธเคืองกันนานเกินไป แต่วัตถุทานก็มีบ้าง สร้างวัดสร้างวา ทำบุญ ให้ข้าวให้น้ำ แด่พระสงฆ์ แจกทานกันไป มันก็มี ดี สละอารมณ์เน่าสำคัญ อภัยทานเป็นบุญ ได้นิพพานเหมือนกัน จากมันร้อนให้มันเย็น ในความร้อนมีความเย็น ในความหนักมีความเบา ในความทุกข์มีความไม่ทุกข์ สละออกดู มีอยู่จริงๆ มรรค ผลนิพพานในชีวิตเรานี้ ที่คนไม่ตายเนี่ย มีกายอันกว้างศอก ยาววา หนาคืบ มีสัญญา มีชีวิตจิตใจ มีรู้อะไรได้เนี่ย อย่าจน เราจึงมาฝึกหัด มันก็เป็นกอบเป็นกำขึ้นมา เห็นต่อหน้าต่อตา ทำสิ่งที่มันผิดให้เป็นถูก ทำสิ่งที่เป็นทุกข์ให้เป็นไม่ทุกข์ กับมือของเรานี้เนี่ย เห็นมันหลง อย่าไปจนความหลง เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ทำได้ ทำได้ เปลี่ยนโกรธ เป็นไม่โกรธก็ทำได้ มันมี ๒ อย่าง มีกาย มีใจ บางทีนอนไม่หลับ ก็เป็นทุกข์ใจ กินไม่ได้ก็เป็นทุกข์ใจ อันนอนไม่หลับไม่เป็นไร แต่ว่าอันที่คิดว่านอนไม่หลับหนะ มันเป็นปัญหา อันกินไม่ได้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก มันต้องกินได้สักวันหนึ่ง แต่ว่าอันใจที่มันคิดว่า
ฉันกินไม่ได้ ฉันกินไม่ได้ และก็วิตกกังวลไป อันนั้นอันตราย เราจึงไม่เห็น ไม่เห็น อย่าให้จำเลยที่หนึ่งที่สอง เป็นรถมือสอง ถูกรอย รอยเจ็บ รอยช้ำ มันใช้ไม่ถูก อะไรก็เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นทุกข์ออกหน้าออกตา ความพอใจ ความไม่พอใจ ออกหน้าออกตา ถ้าไม่มีสติมันจะใช้ผิดๆ ไม่มีเจ้าของ เถื่อนเกินไป มีสติเป็นเจ้าของซะ ให้ปลอดภัย ดูแลให้มันดี กายใจของเราเนี่ย อย่าปล่อยทิ้ง ไม่เป็นทุกข์ เป็นโทษ รู้จักช่วยตัวเอง เราไม่เคยช่วยตัวเองเท่าไหร่
เป็นทุกข์แท้ๆ ก็ยังไม่รู้จักช่วย ให้ความทุกข์มันอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน มันไม่ใช่ หลวงตานี่ไม่รู้จักช่วยตัวเองมา ๓๐ ปี ชีวิตสาธารณะแล้วแต่อะไรจะมาใช้ ความรัก ความชัง ความเกลียด ความสุข ความทุกข์ กิเลส ตัณหาทำ ทำมันหมด ก็ไม่เสียใจ เป็นทุกข์ก็มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เป็นทุกข์ ปารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ความไม่สบายใจก็เป็นทุกข์ เอามาเป็นทุกข์ทั้งหมดเลย ก็จะเสียเปรียบความทุกข์มาก ต่อมาพบกรรมฐานที่หลวงพ่อเทียน ท่านสอนเนี่ยะ
โอ้ย พอใจมาก ได้ช่วยตัวเอง เห็นความคิด ไม่เคยเห็นความคิดตัวเองเลย คิดอะไรก็นึกว่าเราทั้งหมด เป็นตัวเป็นตนไปทั้งหมดถ้าเกิดจากความคิด ทำตามมันทั้งหมด เสียเปรียบมันเสมอ นอนไม่หลับเพราะความคิด น้ำตาไหลเพราะความคิด เป็นทุกข์กินไม่ได้เพราะความคิด ทะเลาะวิวาทกันเพราะความคิด อันตรายมากขนหัวลุก พอมีสติดูเนี่ย โอย ไม่รู้จักช่วยตัวเองเลย สงสารตัวเองมากจนน้ำตาซึมเลยนะ ไม่รู้จักช่วยตัวเองนะ พ่อแม่ก็ไม่เคยสอนเรื่องนี้ หลวงพ่อเทียนมาสอนเนี่ย ปัดโธ่ มันรู้สึกว่า ปล่อยตัวเองทิ้งไป กระตือรือร้น มากทีเดียวเลย เห็นมันคิดนี่ก็ มันคิดที่มันไม่ได้ตั้งใจนะ มีความคิดมีอยู่ ๒ ลักษณะ ตั้งใจคิด ไม่เป็นไร เฉพาะเรื่องเฉพาะราว อันไม่ได้ตั้งใจนี่มันมาก ไม่อยากคิดมันก็คิด อันนี้แหละตัวสังขาร ตัวสมุทัย ตัวสติจะเป็นยาคุมสังขาร เหล่านี้ มันคุมกำเนิด อันตัวคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ เรียกว่า สังขาร เห็นมันเนี่ย ก็เห็นกระตือรือร้น คล้ายๆ กับมันเปรอะเปื้อน รักษาไว้ สะอาดบริสุทธิ์ มันจะผิดศีลผิดธรรมได้ไง จะทำลาย จะแสดงออกทางกาย ทางวาจาได้ไง ตั้งแต่คิดมันก็ไม่คิด ที่มันเป็นความไม่ถูกต้อง มันรู้อยู่เนี่ย มันก็เสียว่าคุ้มครองโลก ถ้าเรารักษาเราดี ก็เป็นการรักษาคนอื่นด้วย พึ่งกันได้ ถ้าเรารักษาไม่ดี คุ้มร้ายคุ้มดี ก็พึ่งกันไม่ค่อยได้ เรามีใจก็พึ่งใจไม่ได้ เอาไว้ทำอะไรใจเนี่ย บางทีก็ไม่มั่นใจตัวเอง ไม่รู้จะเป็นอย่างไร คุ้มร้ายคุ้มดี มันก็อันตราย ก็ยังไม่ยอมรักษาแก้ไข แล้วแต่เค้าจะทำอะไร รับใช้หมดเลย เสียเปรียบ มาเห็นอย่างนี้ แล้วโอย กระตือรือร้นมาก เห็นหลงนี่ไม่ใช่เป็นอะไรนะ ประเสริฐ ถ้าเห็นทุกข์นี่เป็นของประเสริฐนะ จะได้พ้นมัน เห็นความโกรธ ความอะไรที่เป็นทุกข์ เป็นทุกข์นั้น มันใส่ใจที่สุดเลย หาอยู่ที่ไหน พยายามถอนรากถอนโคนมัน อันชื่อว่าความทุกข์เนี่ย
จนมันเย็น จนมันไม่มี เมื่อทุกข์ไม่มีมันเย็นแล้ว มันเย็นเป็นนิพพาน ไม่มีพิษมีภัย เหมือนถ่านไฟที่มันร้อน นั่นหล่ะ ระบายออกมาไม่มีเชื้อก็เย็นแล้ว มันเย็นแล้วก็ใช้ได้ เอาอันนี้นะ ช้างนิพพาน มันหมดพยศแล้ว เข้านิพพานมันหมดพยศแล้ว คนโบราณยังพูดถึงนิพพาน เรื่องนิพพานมากทีเดียว หุงข้าวใหม่ สวยข้าวใหม่ ข้าวยังไม่เย็น ลูกมาขอกินข้าว ให้ข้าวนิพพานก่อน ให้ข้าวนิพพานก่อน ให้มันเย็นก่อนจึงกินได้ เค้าไม่ได้พูดกันเฉพาะเรื่องนิพพานอะไร เอาวัตถุเป็นนิพพาน เอาช้างเป็นนิพพาน เอาม้าเป็นนิพพาน เอาคนเป็นนิพพาน มันเย็น มันไม่มีพิษมีภัย ต่อตัวเองและคนอี่น
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต มีพราหมณ์คนหนึ่ง กวาดหน้าบ้านอยู่ เห็นพระพุทธเจ้าอุ้มบาตรไป ยืนมอง ไม่กวาดเลย ยืนมองพระพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่ว่าเห็นแล้วชวนดู ก็เลยยืนมอง ยืนมองแล้วอุทานในใจ โถ แล้วใครมีลูกอย่างนี้ พ่อแม่ได้นิพพาน ถ้าใครมีสามีอย่างนี้ ภรรยาได้นิพพาน ถ้าใครมีพี่ชายอย่างนี้ น้องได้นิพพาน ถ้าใครมีเพื่อนอย่างนี้ เพื่อนได้นิพพาน หมายถึงมันเย็นด้วย ทำให้เย็น ถ้าเราไม่มีพิษมีภัยแล้ว ผัวเมียเห็นหน้ากันก็ได้นิพพานแล้ว ไม่ใช่ไปหาที่ไหน นิพพานไม่ใช่ตายแล้วไป มันเย็น มันสงบ ถ้าเป็นสุขก็เป็นสุข ถ้าจะเป็น ไม่สุขก็ไม่สุข เหมือนคนเป็นโรคขี้กลาก รักษาขี้กลากหายแล้วไม่ต้องเกา อันแต่ก่อนมันเกา ไม่ใช่มีความสุข เวลามันคันมันก็เกา มันจะมีความสุข บัดนี้ขี้กลากไม่มีแล้วไม่ต้องเกา
จะเรียกว่าอะไร ตรงนี้ จะเรียกว่าสุข ไม่สุขเหรอ ก็ช่างเถอะ เรียกเอาเอง มันเป็นอย่างนี้ ไม่มีพิษมีภัย ม้านิพพาน ช้างนิพพาน มันก็ใช้งานได้ สัตว์อะไรนิพพาน คนนิพพานยิ่งดี มันเป็นสังคม เป็นผัวเป็นเมีย เป็นครอบเป็นครัว พ่อแม่ พี่น้อง แล้วมันเย็นอย่างนี้ มันก็อยู่สุขสบาย ก็เป็นราบ เป็นอะไร ใครก็เย็น ใครก็เย็น เรียกว่าแผ่นดินราบเป็นหน้ากลองชัย เป็นคนคนเดียวกัน ไม่ใช่คนละคนแล้ว ถ้าเรามีสติเรานั่งอยู่นี่ ร้อยกว่าคนละนะ ก็เหมือนกันหมด
ถ้าใครก็มีสติ สติ ก็เป็นคนคนเดียวกัน ถ้าหากว่าเราหลง ก็เป็นคนละคนกันไป ต่างคนต่างหลง ไม่รู้อะไร ฟูฟู แฟบแฟบ คุ้มร้ายคุ้มดี อะไรก็ผิดหูผิดตา คอยจับ คอยจ้อง มันก็หลง มันจึงปรุงไป ถ้าไม่หลง มันก็ไม่ไป มันอยู่ มันหนักแน่น การหนักแน่นมันเรียกว่าศีล ศีลคือปกติ ไม่ใช่ศีลคือ อะไร มันปกติ หนักแน่น ศิลา ศิลาคือหิน หินมาจากคำว่าศิลา มันคือก้อนหิน โบราณท่านจึงว่า พกหินดีกว่าพกนุ่น พกหินดีกว่าพกนุ่น พกคือถือ หินคือมันหนักแน่น นุ่นมันเบาปลิวง่าย ยินดียินร้าย ตาเห็นรูปยินดียินร้าย
หูได้ยินเสียงยินดียินร้าย จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสอะไร จิตใจมันคิด ไหลไปตามอารมณ์ เค้าจูงไป เค้าดึงไป มันก็เป็นอย่างนั้น นุ่นปลิวไป หินไม่ปลิว เรามาฝึกตนสอนตน เราไม่ใช่อยู่คนเดียวในโลกนี้ มีภรรยาสามี มีลูกมีหลาน ให้มันเย็นด้วย ให้มันติดกันด้วย เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย ลูกคนมีศีล พ่อแม่เป็นคนมีศีล ลูกก็มีศีลได้ สอนมันตั้งแต่อยู่ในครรภ์โน้น คนโบราณเค้าสอนลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์โน้น พ่อแม่ก็เหมือนกัน เวลามีลูกสาวมีครรภ์ขึ้นมา ไม่ให้ลูกสาวเข้าครัวฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ให้ไปดูหนังดูละคร ไม่ให้ไปฆ่า ไม่ให้ไปลักสิ่งลักของ หาขันข้าวให้ไปวัดไปวา ล้างถ้วยล้างชาม คนโบราณเนี่ย
ทุกวันนี้เวลามีท้องมีครรภ์ เที่ยวเก่ง พาไปกินโน่นพาไปเที่ยวนี้ ดูหนัง ฟังเพลงนั่งอยู่ดูทีวีทั้งวันก็มี แล้วก็ลุกขึ้นมาก็ไปกันแล้ว มันสอนลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ไม่เคยสอนลูก อย่างพระนางสิริมหามายาเป็นคนเหมือนเรา ทำไมมีลูกเป็นพระพุทธเจ้า เพราะสิริมหามายาสอนลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตั้งแต่ยังไม่มีลูกเลย นางผุสดี ทำไมได้ลูกเป็นพระเวสสันดร เพราะมันเตรียมตัว ตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาวโน้น
อันนี้ความเป็นหนุ่ม มันเป็นพรหมจารีบริสุทธิ์ไหม ฟุ้งซ่าน ไม่รักนวลสงวนตัว สาธารณะ ชีวิตของเรามีอยู่ ๔ อาศรม อาศรมพรหมจารีตั้งแต่วัย ๑ปี –๒๐ปี ๒๐ปีเนี่ย พรหมจารีตั้งต้น ชีวิตต้องตั้งต้น พรหมจารีบริสุทธิ์ เหมือนต้นไม้ที่เราปลูก ตั้งต้นดีๆ ก็มีพุ่มเจริญงอกงาม ถ้าเอนเอียงก็ไม่ค่อยเจริญ อาศรมคฤหัสถ์ ๓๐ปี – ๔๐ปี คฤหัสถ์ คฤหัสถ์ คืออะไร ตอนนี้เป็นพ่อคนแม่คน เป็นพ่อคนแม่คน ถ้าคนดีตั้งแต่อาศรมพรหมจารี มันก็ได้ดีไป เรียกว่าบุญวาสนา มันขีดเส้นให้แล้ว
อาศรมวานปรัศน์ ๕๐ปี-๖๐ ปี วานปรัศน์ มีลูกมีหลานแล้ว ลูกหลานก็เป็นคนดี จนถึงอาศรมสันยาสี ๗๐ปี -๘๐ปี สันยาสีบุคคล อานิสงส์ลูกหลานดีช่วยดูแลรักษา ให้บรรพบุรุษ แต่ทุกวันนี้ มันไม่ค่อยมีอาศรมแบบนี้ในชีวิตนัก มันปล่อยปละละเลย ทิ้งๆขว้างๆ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น พระนางผุสดี ลูกเป็นพระเวสสันดร พระนางสิริมหามายาได้ลูกเป็นพระพุทธเจ้า มันก็ตั้งต้นนะเนี่ย ชีวิตของเราไม่ประมาท อย่าปล่อยให้หลง ให้โกรธ ให้ทุกข์ ให้ผิดศีล ผิดธรรม ด้วยการ สร้างชาติสร้างบ้านเมืองของเรา มันอยู่เย็นเป็นสุข มันก็ไม่มีวิธีใด ไม่ต้องมี ศาตราอาวุธอะไร ถ้าเรามีสติ ละความชั่ว ทำความดีอยู่นี้ ก็ไม่ต้องมีคุก ไม่มีตาราง ไม่มีจริงๆคุกตาราง ไม่รู้สร้างให้ใคร เราก็ระวังอยู่แล้ว ไม่มีทุกข์ มีโทษต่อตัวเองและคนอื่นเด็ดขาด หนึ่งเราจะต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนคนอื่นเด็ดขาดเลยทีเดียว เดี๋ยวนี้ แม้แต่คิดก็ไม่กล้าคิดเดี๋ยวนี้ ทำได้เดี๋ยวนี้ ไม่มีการรอ รอไม่ได้ ไม่เบียนเบียดตัวเองเนี่ย สิ่งใดที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์เนี่ย ไม่ทำเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม รูปธรรม นามธรรม ไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ แล้วก็ไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ด้วย เด็ดขาดเลยทีเดียว ไม่เบียดเบียนใครในโลกนี้
ไม่ใช่จากคนอย่างเดียว อะไรทุกอย่าง ดินฟ้า อากาศ แม่น้ำ ภูเขา ป่าไม้ แผ่นดิน ทำอะไรก็ไม่ให้เดือดร้อน หลวงตาเคยพูดอยู่เสมอว่า แม้แต่จับสายยางรดน้ำต้นไม้ ไม่ค่อยวางทิ้งให้มันพับๆ มันเบียดเบียดแร่ธาตุ มันจะไม่ทนทาน เข็นไปยาวๆ ถ้าเราไปม้วนไว้ เวลาไปดึงออกหน้าหนาว มันจะหัก แตก ง่าย ถ้าใช้ดีๆ ทนทาน ผ้าจีวรแบบนี้ ซักแล้วอย่าไปบิดมัน ซักแล้วเอาไปพาดบนราวให้น้ำมันไหลออก มันจะทนทาน ชุดหนึ่ง เรามีผ้าสามผืน ใช้ได้อย่างน้อยต้อง สี่ปี ไม่ต้องมีหลายชุดเหมือนญาติ เหมือนโยม ใช้ได้ นี่คือ ก็พยายามใช้ชีวิตให้ถูกต้อง อย่าฟุ่มเฟือยเกินไป ความรักเอา ความเกลียดเอา ความสุข ความทุกข์เอาหมด ความพอใจ ไม่พอใจ มันผิด
ให้มันเฉพาะ ใช้ให้ถูกต้อง ปฏิบัติตรง มันหลง ตรงต่อความรู้ เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง ตรง เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ ตรง มีปัญญาในขณะมีปัญหา ตรง นั่นนะ สอนตัวเองเนี่ยมันสอนได้ ชีวิตเราเนี่ย คนอื่นสอน ก็มันทำไม่เป็นหรอก เราสอนเรานะมันทำได้สอนให้รู้มันสอนกันได้ สอนให้เป็นเนี่ยเราต้องสอนตัวเอง ให้คนอื่นสอนให้ได้ ไม่ได้ ให้เรามีสติ เอาให้กันไม่ได้ ปฏิบัติด้วยตนเอง ใครก็ช่วยกันไม่ได้ ให้ทำเอาเอง จึงมีสถานที่แบบนี้ เพื่อท้าทายในการที่พระศาสนาให้มันจบ มันจบได้ ความหลงครั้งสุดท้าย ความโกรธครั้งสุดท้าย ความทุกข์ครั้งสุดท้าย ทำไมต้องมีมันต่อไป มันดีอะไร หรือถ้ากูได้โกรธตายไม่ลืม ไม่ลืมจริงๆบางคน ตายก็ไม่ลืมเลย มีแต่พ่อแม่ ถ้าลูกเต้าโกรธพ่อโกรธแม่ ตายไปก็ไม่ไปดูเลยปานนั้นก็มีนะ มันดีหรือความโกรธ ความทุกข์หนะ มีแต่โทษแต่ภัย การมีเมตตากรุณาต่อกันเนี่ย นี่หลวงตาจะไปท่ามะไฟสักหน่อย
มีรถไหม ไปสักหน่อย เอาเท่านี้นะ กราบพระพร้อมกัน