แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การฟังธรรมก็คือการฟังเรื่องตัวเองนี่แหละ การปฏิบัติธรรมก็คือมาใช้กายใช้จิตใจให้ไม่มีโทษไม่มีภัย ใช้กายใช้ใจไม่ให้เบียดเบียนตนและเบียดเบียนคนอื่น นี่คือการสอนการบอกการปฏิบัติธรรม ทีนี้ก่อนที่จะใช้กายใช้จิตใจไม่ให้เบียดเบียนตนไม่ให้เบียดเบียนคนอื่นก็ต้องฝึกหัด การฝึกหัดก็คือเอาสติมาเป็นสารถี ผู้ฝึกให้มีสติไปในกายในใจ ให้สติท่องเที่ยวอยู่กับกายกับใจ กายใจก็จะรู้หน้าที่ คนเราส่วนมากใช้กายใช้ใจไม่เป็น หาความสุข หาความทุกข์ เอากายเอาใจมาเป็นเครื่องทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์ เมื่อกายใจทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์ เอากายใจไปใช้ให้ผิดประเภท เมื่อกายใจได้รับสุขกับทุกข์ก็สร้างความไม่เป็นธรรมให้กับตนเองและผู้อื่นได้
บางทีจิตใจนี้เอาไว้ให้เป็นความโกรธความโลภความหลง เรื่องที่เกิดขึ้นกับจิตใจนี้ก็มีมาก เรื่องที่เกิดขึ้นกับกายก็มีมาก เพราะเราใช้ไม่เป็น ถ้าเราใช้มันเป็น ปัญหามันก็ไม่มี จิตใจนี่ไม่ต้องเป็นอะไรกับอะไรๆ แม้มันจะมีมากเรื่องหลายอย่าง ก็ไม่ต้องเป็นอะไรกับอะไร ใจนี้มันจึงจะมาตรฐาน ถ้ามันเป็นอะไรกับทุกสิ่งทุกอย่าง ความรัก ความชัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความวิตกกังวล เศร้าหมอง มันก็ไม่ได้มาตรฐาน มันเปลี่ยนแปลง ไม่มั่นคง เป็นอนิจจัง เป็นที่พึ่งพาอาศัยไม่ได้ หลุดๆ ขาดโน้นติดนี่ ต่อโน้นต่อนี่ ไม่มั่นคง ถ้าเราฝึกดีๆ แล้ว จิตใจนี้มันจะมั่นคง ถ้ามันไม่เป็นอะไรกับอะไร นั่นละความมั่นคง การอยู่เหนือโลก ความสุขความทุกข์มันอยู่ในโลก ความรัก ความชัง ความวิตกกังวล ความเศร้าหมอง ความยินดี ความยินร้าย มันอยู่กับโลก เพราะว่าโลกก็มีรสชาติ จิตใจมันก็ติดรสของโลก กายมันก็ติดรสของโลก ส่วนกายมันไม่ค่อยติดอะไรเท่าไรหรอกถ้าใจมันไม่ติด แต่มันก็ร่วมมือกัน แต่นี่เรามาหัดมาฝึกหัด ฝึกหัดกายฝึกหัดจิตใจให้มันใช้การใช้งาน ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์
การละความชั่วทำความดีนั้นยังไม่พอ ใครก็ทำได้ แต่จุดหมายปลายทางสูงสุดคือทำจิตให้บริสุทธิ์ นี่เราก็พูดได้เราก็สอนได้ แต่ว่าการที่จะละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์มันไม่ใช่คำพูด มันเป็นการกระทำ มีการเจริญสติ ไม่ใช่จะทำอย่างอื่น การเจริญสติก็ไม่ต้องบอกก็ได้ว่าให้ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าเรามีสติแล้วมันก็ไปสู่จุดหมายปลายทาง ดังที่พูดหลายครั้งหลายหนแล้วว่าการมีสติมันก็ละความชั่ว มันก็ทำความดี มันก็ทำจิตบริสุทธิ์ อันนี้ไม่ต้องบอกไม่ต้องสอน คนอื่นบอกไม่ได้เรื่องอย่างนี้ แต่บอกได้ก็เป็นภาษาสมมุติ มันก็ทำไม่ได้ มันก็เป็นความรู้ มันก็รู้กันทุกคน คำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นจุดรวม เป็นสิ่งที่รวมลง เอาร่วมเอามาใกล้ ๆ เอามารวมกัน เราก็เรียนเราก็รู้เหมือนกัน เอาไปอวดกัน ศาสนาไหนศาสดาใดเขาสอนให้ละความชั่วทำความดี แต่ว่าศาสนาของพระพุทธเจ้าสูงขึ้นไปกว่าหมู่ คือทำจิตให้บริสุทธิ์
การทำจิตให้บริสุทธิ์ บางทีเขาก็มาศึกษา พวกศาสนาอื่นเขาไม่มี เขาไม่มีหลักสูตร เขาก็มาศึกษาตามหลักภาวนาตามหลักกรรมฐานการทำจิตให้บริสุทธิ์ แล้วก็มาฝึกหัด คล้ายๆ กับเขามาต่อยอด มันก็ง่ายขึ้น การละความชั่วการทำความดีก็ทำกันได้ทุกคน แต่ถ้าจิตไม่บริสุทธิ์ ความดีที่ทำก็ไม่มั่นคง บางทีก็เป็นทุกข์ด้วย ทำความดีแล้วเป็นทุกข์ก็มี บางทีอาจจะทำความชั่วเป็นสุขด้วย เป็นอาชีพ มันไม่มั่นคงถ้าไม่ถึงจิตบริสุทธิ์ ถ้าจิตบริสุทธิ์นั่นละมั่นคง จิตบริสุทธิ์คือจิตที่ไม่เป็นอะไรกับอะไร ก็เลยใช้ภาษาพูดว่า “เป็นผู้ดู อย่าเป็นผู้เป็น” สติจะเป็นทำนองนั้น มันเห็น เห็นแล้วก็ไม่เป็น นั่นละจิตบริสุทธิ์มันอยู่ตรงนั้น ถ้ามันสุขก็เห็นมันสุขนั่นละบริสุทธิ์ ไม่เป็นผู้สุข ถ้ามันทุกข์ก็เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ นี่เป็นคุณค่าของสติที่มีอยู่กายในจิตใจ ไม่ใช่ความรู้นะ เป็นฝีมือของสติ เป็นคุณภาพของผู้ที่มีสติ มันก็ทำให้บริสุทธิ์ มันก็ทำให้ไม่เปรอะเปื้อน มันก็ไปเป็นคู่ขนานกันไป ทั้งรู้ทั้งเห็นทั้งทำได้ ถ้ารู้มันก็เป็นความรู้ที่ทำได้กับรู้อันใดที่ทำไม่ได้ มันไม่ใช่ความรู้แบบพุทธะ ไม่ใช่ตัวปัญญา
ตัวปัญญาพุทธะรู้แล้วต้องทำได้ รู้เห็น พบเห็น เห็นทุกข์มันก็ละทุกข์ เห็นโกรธมันก็ละโกรธ เห็นอะไรมันก็ละอันนั้น มันไม่เป็นอะไร มันก็เป็นความบริสุทธิ์ เป็นการประพฤติพรหมจรรย์ เรามาเรียนตรงนี้ เรามาทำตรงนี้ ไม่ใช่เรียนรู้ มาประกอบ มาสัมผัสการมีสติ ตั้งแต่เราเริ่มต้นแล้ว เห็นกาย เรื่องของกายนี้ก็มีหลายอย่าง มีแต่เห็น แต่ก่อนกายนี้เอาเป็นตัวเป็นตน พอเห็นกาย สติเข้าไปเห็นนี่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่ตรงนี้ กายมันก็เป็นธรรมชาติอยู่ ตัวตนจริงๆ ก็คือตัวอวิชชา สำคัญมั่นหมายผิดนึกว่าตน ความร้อนก็คือตน ความหนาวก็คือตน อันที่มันเกิดขึ้นกับกาย ความหิวก็คือตน มันเป็นธรรมชาติของเขา ไม่ใช่ตน
สติมันเริ่มต้น มันทำให้เกิดเป็นรูปเป็นร่าง แปรเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเพื่อใช้งานใช้การ เหมือนต้นไม้อยู่ในป่าจะเอามาใช้เป็นบ้านเป็นเรือน ต้องแปรรูปให้มันใช้ได้ตามลักษณะของมัน มาเห็นกายมันแปรรูปเพื่อเอามาใช้ให้สำเร็จประโยชน์ ให้มันเห็น มันไม่ใช่เป็นอะไร เป็นตัวที่มอบให้กาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล แค่นั้นเอง เหมือนต้นเสาที่อยู่ข้างหน้าของเรา มันไม่ใช่ตัวใช่ตนของมัน มันเป็นอยู่แค่เพียงต้นเสา มันไม่ได้เป็นอะไรทั้งหมด ก็แค่นั้น
กายก็อยู่แค่นั้น สักว่า สักแต่ว่ากายเรา มันไม่เป็นอะไร ถ้าสติเห็น แต่ถ้าเราไม่รู้ก็เป็นอะไรไปหลายอย่าง เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นอะไรต่ออะไรมากมาย ให้กายมันทำหน้าที่เพี้ยนไป เป็นตัวเป็นตน เป็นชอบเป็นไม่ชอบ เป็นอะไรต่าง ๆ ไป เพราะเราเกี่ยวข้องกับกายไม่ถูก ไปติดเหล้าไปติดบุหรี่ไปติดรสชาติอะไรต่าง ๆ แล้วก็ขวนขวายหามัน พอกพูนให้กายไป เรื่องมันก็มาก เมื่อใช้กายไม่เป็นมันก็เป็นผลกระทบต่อจิตต่อใจ พอเรามามีสติแล้ว มันก็เป็นดุ้นเป็นกาย ก็สักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา พอสติเห็นแล้วมันคุม คุมหน้าที่ให้สำเร็จแค่นี้ สำเร็จอยู่แค่กาย เหมือนพ่วงเหมือนแพเพื่อขับขี่ไม่ใช่เอามาแบก ถ้าเราเอามาแบก มันก็ไม่ใช่เรือไม่ใช่รถ ใช้เพื่อทำงานทำการทำความดีให้สำเร็จ ละความชั่วให้สำเร็จ
หลวงพ่อเทียนบอกตัวท่านว่าพอเห็นกายแล้วเห็นความทุกข์ แต่ก่อนท่านก็ติดบุหรี่ ท่านก็บอกว่า “เอ้า! บุหรี่มาเข้ากับปากกายดูสิ มันเข้าได้ไหม” ท่านเอาซองบุหรี่วางไว้กับไม้ขีด บุหรี่มันก็ไม่เข้ามาปาก ท่านก็บอกว่า “เอ้า! กูจะอนุญาตให้มึงเข้ามาปาก” บุหรี่ก็ยังบอกว่าเข้าไม่ได้ถ้าไม่เอากายมาจับ “เอ้า! กูจะเอากายไปจับเข้าปาก เอาซองบุหรี่เข้าปาก” มันก็บอกว่ามันก็จะสูบไม่ได้ถ้าไม่จุดไฟให้ พอมาถึงตรงนี้ “ไอ้ชาติหมา” ด่าตัวเอง “ไอ้ชาติหมา มึงโง่ มาทำอย่างนี้”
พอเห็น ถ้าเห็นจริงๆ มันก็ช่วยกาย แต่ก่อนมันก็ช่วยกันไม่เป็น มีแต่รุมเข้าไป มีความเห็นผิด มีทิฐิเกิดขึ้นเกี่ยวกับกายหลายอย่าง พอมามีสติแล้ว รู้สึกกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แค่นั้นเอง โอ้ย! เอากายมาทำความดี เอามาสร้างสติ สำเร็จ ยกมือเคลื่อนไหวไปมา ไปทำงานทำการ ไปช่วยคน แต่ช่วยตัวเองเอากายมาช่วยกาย มาดูแลกาย เอามาใช้ให้มันกินข้าว ใช้ให้มันขับมันถ่าย ใช้ให้มันหลับมันนอน ใช้ให้มันแปรงฟันล้างหน้าอาบน้ำ ใช้กายเพื่อทำความดี ช่วยกายแล้วยังไม่พอก็ช่วยคนอื่นได้ สร้างกุฏิ สร้างศาลา สร้างถนนหนทาง เอากำลังจากกายปลูกต้นไม้ เออนี่! เรียกว่าชอบ ใช้กายได้สำเร็จ ถ้าใช้กายไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่ มันไม่ได้ช่วยกายให้เกิดประโยชน์ มันมีแต่มีโทษ เห็นนั่นแหละ เห็นกาย
พอเห็นกายแล้วประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากกายมากมาย เอาเป็นตัวอย่างเป็นแบบแผน ไปยกมือสร้างจังหวะสอนคน ไปเดินจงกรมสอนคน สอนผู้อื่น เราก็มีกาย เราก็มีมือ กายนี่เอาไปสั่งไปสอน ไปเป็นครูบาอาจารย์ อย่าเอาไปทำความชั่วนะ โอ๊ย มากมาย พอเห็นกายสักแต่ว่ากาย เห็นเวทนานี่ก็เหมือนกัน ไม่มีตนมันก็เห็นเข้า หยุดแค่นั้น เวทนาจบลงแค่นั้น ไม่มีตัวมีตน หยุดลงแค่นั้นจริงๆ คุมได้ ควบคุมได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายควบคุมได้ สิ่งที่มันจะเป็นโทษเป็นภัยควบคุมได้ เปรียบเหมือนเราจุดไฟ เราควบคุมไฟได้ เราขับรถ เราควบคุมรถได้ สิ่งไหนที่ควบคุมได้อันนั้นเรียกว่าความชอบ เรามีประตูบ้านเปิดได้ เรามีประตูบ้านปิดได้ เรามีหน้าต่างเปิดได้ เรามีหน้าต่างปิดได้ เรามีอะไรที่มันใช้ได้มันจึงจะชอบ ถ้ามันใช้ไม่ได้มันไม่ชอบ เห็นเวทนาก็เป็นปัญญา มันก็ไปทำนองนี้การปฏิบัติธรรม มันเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก เป็นประโยชน์ทันทีเลยทีเดียว พอรู้สึกตัวก็เป็นประโยชน์แล้ว เป็นทางดำเนินของชีวิตเรา
แต่ก่อนนี้ เรามีปัญหาที่เกิดขึ้นกับกายกับใจมากมายหลายอย่าง พอมาเห็นทิศเห็นทางเข้าไปศึกษาไปดูไปแล มันก็บอกเรา เห็นเป็นรูป เห็นเป็นนาม มันบอกเรา รูปนามมันก็แค่รูปแค่นาม สิ่งที่ตั้งอยู่บนรูปบนนามมันเกี่ยวข้องอย่างไร เราก็เลือกเป็น เลือกเอารูปเอานามไปใช้ ไม่ใช่ให้รูปให้นามมันใช้เรา ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามมันก็ค่อยหมดไป มีแต่ปัญญาที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม กับกายกับจิตใจเรา ให้มันจบซะ ให้มันหมดไปซะ แต่ก่อนนี้ กายก็มีความสุข ใจก็มีความสุข กายก็มีความทุกข์ ใจก็มีความทุกข์ อะไรต่างๆ
พอมาเห็นแล้วมันไม่ใช่กายให้เกิดสุข มันไม่ใช่กายให้เกิดทุกข์ มันไม่ใช่ใจให้เกิดสุข มันไม่ใช่ใจให้เกิดทุกข์ มันเป็นเฉพาะ มันเป็นของเขาที่เขาอยู่ในการบริสุทธิ์ มันเป็นของเดิมๆ ของเขา แต่ก่อนมันเดิมจริงๆ แต่ว่าเราใช้ไม่เป็นมันก็เปรอะเปื้อน มันไม่ใช่ของเดิม เมื่อมันไม่ใช่ของเดิม มันก็มองไม่เห็น มองไม่เห็นของเดิม ถ้าเห็นกายก็เป็นสุขเป็นทุกข์ทันที เมื่อมันเป็นสุขเป็นทุกข์ก็ขวนขวาย รักสุขเกลียดทุกข์ ก็เห็นแก่ตัว มันก็ขวนขวาย มันก็ผิด ต่างคนต่างก็มีสุขมีทุกข์อยู่กับกายกับใจ เมื่อมีสุขมีทุกข์อยู่กับกายกับใจ มันก็รีๆ ขวางๆ กระทบกระเทือนหลายอย่าง พอมาเห็นกายเป็นกาย เห็นรูปเป็นรูป เห็นนามเป็นนาม สิ่งที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามนั่นแหละ สิ่งไหนไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม มันก็ช่วยกัน ช่วยกันระหว่างรูปกับนาม บางที่รูปนามกายกับใจมันเบียดเบียนกัน กายกับใจ ว่าเป็นภาษาดุ้นๆ คือกายกับใจมันเบียดเบียนกัน ไม่มีความเป็นธรรม พอเรามาดูมาแล เป็นกลาง ความมีสติมันเป็นกลางไปเห็นเข้า ก็เกิดความเป็นธรรมต่อกันกลายเป็นพลัง พลังสอง พลังของกายพลังของจิตใจร่วมกัน เอาไปเอามาก็เป็นตัวรู้ตัวเดียว ทั้งกายทั้งใจมารวมกันเป็นตัวรู้สึกตัวตัวเดียว ตัวรู้สึกตัวเป็นตัวกายด้วย ตัวรู้สึกตัวเป็นตัวใจด้วย ตัวรู้สึกตัวเป็นตัวรูปด้วย ตัวรู้สึกตัวเป็นตัวนามด้วย มันก็เป็นพลัง พลังร่วม พลังสมังคี
พลังสมังคีนี้ก็ง่ายแล้วล่ะ แต่ว่าละความชั่วทำความดีก็ง่าย ทำจิตให้บริสุทธิ์ก็ง่ายแล้ว มันก็เป็นอันเดียวกันแล้ว ดูไปดูมามันก็เป็นอันเดียวกัน พลังร่วมเป็นตัวรู้ คือกายคือจิต จะไปสอนอะไรกัน จะไปมีอะไร มันก็มีอันเดียวกัน แล้วภาษาพูดมันก็มีมากมาย หลวงปู่เทียนก็บอกว่าเอาจิตดูจิต เอาสติดูจิต เอาจิตดูสติ มันก็อันเดียวกัน ตรงนี้มันก็ขมวดลงมาเป็นภาชนะเดียวกัน เหมือนกับพระพุทธเจ้าสอนพวกเราเหล่าสาวก เหมือนอ้อย เหมือนช้างกินอ้อย ม้วนลงง่ายๆ ปัญหาต่างๆ ม้วนลงง่ายๆ มันไม่ยาก ถ้าเราทำถูก ไม่มีอะไรง่ายเท่ากับฝึกหัดกายฝึกหัดใจ มีสติทำให้ง่าย การมีสติการฝึกสติไปในกายในจิตเป็นความง่ายกว่าความหลง
ถ้าเราดูดีๆ นะ เป็นความง่ายมาก ความหลงไม่ง่ายนะ ความโกรธ ความทุกข์ ความรัก ความชัง ความวิตกกังวลที่มันเป็นๆๆๆ เป็นไปต่างๆ นั้น มันไม่ง่าย มันเป็นภาระ แต่ความรู้สึกตัวไปในกายในจิตเนี่ยง่ายๆ อย่าไปตั้งความยาก อย่าไปเอา อย่าไปเป็น จะเอาให้ได้ จะทำให้ได้ มันผิดมันถูก มันหลงมันไม่หลง มันรู้ เหล่านี้ ไม่ต้องไปตั้งโจทย์ให้กับตัวเอง ตั้งการบ้านให้กับตัวเอง เห็นว่าจะทำได้จะทำไม่ได้มันเป็นโจทย์ของเรา ทำให้พลังอ่อนแอ อันที่จะเอาให้ได้นั้นมันเป็นโจทย์ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องไปคิดแบบนั้นเลยการปฏิบัติธรรม มีแต่เข้าไปสัมผัสเอา
ถ้าเราตั้งโจทย์ให้เรามากมาย จะต้องแก้โจทย์ เหมือนเราเป็นจำเลยของชีวิตเราเอง เหมือนจำเลยที่ถูกโจทก์ฟ้องต้องไปแก้ต่าง ต้องมีเหตุมีผล ต้องเอาให้ได้ หาเหตุหาผลมาสู้กัน บางทีก็แพ้ชนะอยู่อย่างนั้น การชนะการแพ้ บางทียังไม่ได้ทำอะไรก็แพ้แล้ว ไม่ทำอะไรก็ได้แล้ว ส่วนมากก็หาคำตอบจากความคิด หาคำตอบจากเหตุจากผล กรรมฐานนี้ไม่ได้หาคำตอบจากความคิด ไม่ได้หาคำตอบจากเหตุจากผล หาคำตอบจากการพบเห็น การพบเห็นมันจะตอบไปเองถ้ามีสติเห็น ไม่มีอะไรที่จะเป็นเท็จถ้าสติเห็น ถ้าเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์จริงๆ ถ้าเป็นสุขก็เป็นสุขจริงๆ ถ้าไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นความไม่สุขไม่ทุกข์จริงๆ เลือกได้แล้วบัดนี้ ความสุขเป็นอย่างไร ความทุกข์เป็นยังไง ความไม่สุขไม่ทุกข์เป็นยังไง ความโกรธความโลภเป็นยังไง ความไม่โกรธความไม่โลภเป็นยังไง ความรักความชังเป็นยังไง ความไม่รักความไม่ชังเป็นยังไง จับดู สัมผัสดู ก็เลือกได้ เบาหวิวเลย ถ้าไม่เป็นอะไรกับอะไรเลย เบา ถ้าเป็นอะไรทุกอย่างมันก็หนัก เห็นมันสุข เบาแล้ว เห็นมันทุกข์ เบาแล้ว
เห็นอะไรทุกอย่างเกี่ยวกับกายกับใจ ความเบามันมีอยู่เรียกว่ากายลหุตา ลหุตาแปลว่าเบา ครุแปลว่าหนัก ครุภัณฑ์ ลหุภัณฑ์ ครุแปลว่าหนัก ลหุแปลว่าเบา เราเลือกได้ เลือกเอาเบาๆ เลือกเอาไม่เป็นอะไร ภาวะที่ไม่เป็นอะไรมันเบาๆ ลองใช้ชีวิตให้มันเห็นชัดเจนแบบนี้ พบเห็นสัมผัสได้ด้วยตนเอง ภาวะที่รู้สึกตัว ท่องไปเที่ยวไปในกายในชีวิตของเรา จนเป็นทาง ทางของสติที่เดินไปในกายในใจ เรียบไม่ขรุขระ ไม่เหมือนอารมณ์ ไม่เหมือนอาการต่างๆ แต่ว่าความรู้สึกตัวนี้ปราบลงเป็นรอยไป เช่น เวลานี้มันหนาว ความหนาวนี้เป็นผู้หนาวหรือเห็นมันหนาว เห็นมันหนาว เป็นทุกข์ไหม เห็นมันหนาวกลัวตายไหม โอ้ย ไม่ไหว ไม่ไหว ไม่มีคำพูด เห็นมันหนาว เห็นของจริง แต่มันจริงแบบนั้น แต่ภาวะที่เห็นมันหนาวนี้จริงกว่า ภาวะที่เห็นความหนาว ภาวะที่เห็นความร้อน ภาวะที่เห็นความหิว ภาวะที่เห็นความเจ็บปวด เมื่อยล้า อันนี้จริงกว่า ตรงนี้เรียกว่าศึกษา เข้าถึงจุดหมายปลายทางถ้าเห็นตามความเป็นจริง
ถ้าเห็นมันหนาวแล้วเป็นผู้หนาว ยังไม่จริง ประเภทนี้ช่วยอะไรเราไม่ได้ ถ้าเห็นมันหนาว ถ้าเห็นมันหนาวมันก็มีปัญญาแล้ว ปัญญาอะไร ปัญญาไม่ทุกข์ ปัญญาที่เป็นปัญญาพุทธะต้องไม่ทุกข์ ต้องไม่หลง ต้องไม่สุข เห็น มันร้อนก็เหมือนกัน มันหิวก็เหมือนกัน มันโกรธ มันโลภ มันหลง มันเกิดกิเลสตัณหาราคะ เหมือนกันหมด ภาวะที่เห็นเนี่ย จุดหมายปลายทางของการศึกษาจบแล้ว ถ้าเป็นล่ะ ยังไม่จบ การศึกษาต้องจบ สิ้นสุด เหมือนคดีที่มันสิ้นสุด ประกาศสิ้นสุดคดี ไม่ ปิดแล้ว อย่าเอามารื้อถอน ประกาศปิดแล้วเอามาว่าอีกไม่ได้ สิ้นสุด ความหลงถ้าเห็นล่ะก็สิ้นสุดแล้ว ความโกรธถ้าเห็นความโกรธก็สิ้นสุดแล้ว มันจบแล้ว ถ้ามันยังโกรธมันไม่จบ ความโกรธอย่างเดียวต่อไปอีกมากมายหลายอย่าง ความสุขก็ต่อไปอีก ความทุกข์ต่อไปอีก ความหลงก็ต่อไปอีก ต่อกันไปไม่จบไม่สิ้น ตลอดภพตลอดชาติ
เราจะเลือกอย่างไร ชีวิตเรา จะต้องเป็นจำเลยของชีวิตอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่มันก็ไม่มีตัวมีตน ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสตัณหาราคะ ความรักความชัง มันเป็นโจทก์ชีวิตเรา เราก็ตกเป็นจำเลย จำเลยชีวิตนี้เป็นเรื่องที่น่าอาย แล้วเราก็ทำได้ จำเลยที่เป็นโทษอันอื่นๆ เขา มันก็เป็นจำเลยอันนั้นปฏิเสธไม่ได้ มันมีสมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติขึ้นมา เขาก็มีอำนาจตามสมมุติบัญญัติ อำนาจสมมุติ ในโลกมันเต็มไปด้วยสมมุติ ออกมาให้มันเหนือซะพวกเรา ลุยอยู่บนโลกนะ ว่าแต่ศึกษาชีวิตของเรา อันอื่นมันก็จบไปด้วยนะ ไม่ใช่ว่ามันไม่จบ ความหนาวก็อันเก่านี่แหละ ความร้อนก็อันเก่า ความเจ็บความปวด ความสุขความทุกข์ก็อันเก่า สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้งอกขึ้นมาเหมือนอย่างอื่น เหมือนพืช
เดี๋ยวนี้วัดป่าสุคะโตก็มีวัชพืชแบบใหม่เกิดขึ้นมา ปราบยากเหมือนกัน วัชพืชอะไร ต้นอะไรที่มันเป็นหนาม หา ลืม (หัวเราะ) เออ ต้นไมยราบ วัชพืชแบบใหม่ เวลามันปักเราเหมือนเหล็กในของผึ้ง มันปักเรา มันดูดเข้าไป ดูดเข้าไป ดึงไม่ออก เอามือไปหยิบไม่ได้เลย เหมือนเหล็กในของผึ้ง ถ้าเราไปติดไปหนามมันขาดมาเลย มันไม่ขูดนะติดปั๊บมันก็ดูดเข้ามา มันเกิดขึ้นมางอกขึ้นมา แต่ก่อนก็มีหญ้าคอมมิวนิสต์ถือว่าร้ายที่สุด เดี๋ยวนี้หญ้าคอมมิวนิสต์ก็เพลาๆ ลง มันดินเก่า คอมมิวนิสต์เขาชอบดินใหม่ๆ อันเก่าเขาก็ไม่ชอบ ไมยราบมันมีหลายอย่าง ไมยราบเล็กๆ อยู่ตามผิวดิน อันนี้ก็ไม่เป็นไร ไมยราบยักษ์อย่างที่เชียงใหม่อันนี้ก็ไม่เท่าไร แต่ว่าก็ยากเหมือนกันนะ แต่ไมยราบแบบนี้นะ ไปเมืองลาว ไปเห็นอยู่เมืองลาว โอ๊ย มันไปจากเมืองลาวไปถึงวัดสุคะโต หรือว่าวัดสุคะโตไปอยู่เมืองลาวก็ไม่รู้ มันเกิดขึ้นมา
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากับกายกับใจนี้มันไม่มีงอกขึ้นมาแบบใหม่ อันเก่าความร้อน ความหนาว ความโกรธ ความโลภ ความหลง กิเลส ตัณหาราคะ ความรัก ความชัง มันลอยนวลอยู่ในชีวิตจิตใจของเรา เราก็ปล่อยปละละเลยกันมา บางคนก็จนตายไปกับมัน ลองดูสิพวกเรา พวกเราเป็นนักบวชอยู่วัดวาอารามต้องศึกษาเรื่องนี้นะ รีบๆ สักหน่อย อย่าประมาท อย่าเฉื่อยชา อย่าเซ่อซ่า (หัวเราะ) โกรธไหม อย่าเซ่อซ่า ปล่อยปละละเลย ให้เป็นเรื่องเป็นราวยุ่งกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดเคืองกัน มันน่าเสียดาย เสียดายเพื่อน บางคนทะเลาะกันกับเพื่อน หนีอยู่ด้วยกันไม่ได้ เสียดาย สามีภรรยานี้ก็เสียดายเนาะ บางคนก็เบื่อผู้ชายมา บางคนก็เบื่อผู้หญิงมา (หัวเราะ) อะไร จะเบื่อกันทำไม เป็นเพื่อนกันพากันช่วยกันให้ออกจากทุกข์ ขนส่งเป็นแรงร่วมกัน
พวกเราสุคะโตก็มีแรงร่วม เดี๋ยวนี้หลวงพ่อไปไหนก็ได้แล้ว มีอาจารย์วรเทพ อาจารย์ทรงศิลป์ อาจารย์ตุ้ม อาจารย์หวน พวกเราทุกคนเป็นเพื่อนกันอยู่ ไปไหนผมก็คุยนะ สบายแล้วเดี๋ยวนี้ คุยอวดเพื่อน ผมมีเพื่อนดี กัลยาณมิตรดี สอนพระเข้าเก็บอารมณ์ ปฏิบัติธรรมกัน ชีวิตของผมก็ขอให้เป็นงานอดิเรกส่วนหนึ่ง รดน้ำต้นไม้ดูแลอะไรกันไป บางทีทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นก็พูดบ้าง หรือว่าช่วยเสริม หลักเก่งๆ ก็มีอยู่แล้วหลายหลัก ก็ช่วยเสริม สมังคีอีกเหมือนกัน สมังคีกัน หลายๆ พหุปัญญา พวกเราอยู่นี่เป็นพหุปัญญา หลวงพ่อท่านก็ได้ อะไรนะ แต่ก่อนส้วมเราเหม็น ศาลาหน้าเหม็น หลวงพ่อเอาอะไรมาใส่นะ หายเหม็นเลย พหุปัญญา จำไม่ได้ อะไรนะ EM โอ้ ไม่เคยได้ยิน EM มีสองอย่าง แบบหนึ่งเกิดเชื้อโรค อีกแบบหนึ่งไม่เกิดเชื้อโรค เกิดประโยชน์ เหมือนจุลินทรีย์หรือวัคซีน โรคมันแก้โรค
ชีวิตของเรานั้นก็เหมือนกัน เราเลือกได้ อันที่มันทุกข์นั่นแหละ มันเป็นปัญญา เหมือน EM หลวงพ่อ ตัวทุกข์นั่นแหละเป็นปัญญา ตัวหลงแหละเป็นปัญญา ตัวโกรธนั่นแหละเป็นปัญญา หาได้ตรงนี้แหละปัญญา ไม่ใช่ไปหาเอาอันอื่น เห็นอย่างนี้ เห็นไหมความหลง เห็นไหมความหลง เห็นไหมความทุกข์ เห็นไหมความโกรธ เห็นไหมความรักความชัง เห็นไหมความเครียด เห็นไหมอะไรต่างๆ นี่ปัญญามันเกิดตรงนี้ ปัญญาพุทธะนะ ชีวิตของเรานี้พูดแล้วพูดอีกว่ากายใจนี่เป็นตักศิลา เป็นแหล่งของการศึกษา เป็นแหล่งปัญญา
แหล่งปัญญาต้องเกิดขึ้นกับเรา บางทีนอนตื่นขึ้นมาก็ได้ปัญญาก็มีนะ บางทีสมัยก่อนนี้เห็นใบไม้ร่วงก็ได้ปัญญา เห็นท่อนซุงไหลมาตามน้ำก็ได้ปัญญา ได้ยินเสียงโสเภณีร้องเจ็บปวดเพราะโรคร้องห่มร้องไห้ก็ได้ปัญญา ได้ความเมตตา ได้ความเมตตามากที่สุด ไปอยู่สุรินทร์ ไปประชุมอยู่สุรินทร์ไปอยู่วัดในเมือง นอนเที่ยงคืน มันอยู่ใกล้ๆ โรงฆ่าสัตว์ อยู่ใกล้โรงฆ่าหมู เดี๋ยวก็ได้ยินเสียงหมูร้อง อี๊ดดดด แล้วก็เงียบไป อีกไม่นานก็ร้องอีก นับดูเป็นหลายสิบตัว โอ๊ย! สุดหัวใจ เกิดความเมตตาที่สัตว์ถูกฆ่า ชีวิตนี้ยังไง้ยังไงก็ทำไม่ได้หรอกพวกเรา จะไปฆ่าใครยังไงก็ทำไม่ได้ สุดหัวใจ ความเมตตาเกิดขึ้นล้นเหลือ ไม่ใช่ได้ยินเสียงเขาฆ่าสัตว์ โอ้ กูจะได้กินแล้ว ได้กินลาบกินก้อยแล้ว เสร็จหรือยังเอามาให้ด้วย มีเหมือนกัน
บางทีพระเราก็มีเหมือนกัน จากความอยากจากความโลภ เกิดความเมตตา เกิดความเมตตาอย่างรุนแรง คนอื่นเขาเกิดความโกรธ เขาเกิดความโลภ เขาเกิดความหลง เรากลายเป็นความเมตตา ปัญญาก็เหมือนกัน ปัญญามาในรูปของเมตตา ปัญญามาในรูปของเสียสละ เห็นอกเห็นใจ ก็อยากกระโจนเข้าไปช่วย บางทีมันก็ช่วยไม่ได้ ถ้าสิ่งไหนช่วยได้มันช่วยจริง ๆ ความเมตตานี้ เมื่อวานได้เห็นต้นมะไฟที่ปลูกไว้มันเหี่ยว กระตือรือร้นนะ ใครห้ามไม่ได้แล้ว จะไปห้ามไม่ให้ช่วยต้นไม้ ใครห้ามไม่ได้ จะมาห้ามไม่ให้ช่วยผู้ช่วยคน เช่นเราอยู่ตรงนี้เห็นคนมีทุกข์ โอ้ย! กระตือรือร้นอยากช่วย แต่บางคนเขาก็ไม่ให้เราช่วยนะ เราก็หาเอาเอง หาสุข เวลามันทุกข์ก็กินเหล้าเมายา เวลามันทุกข์ก็เข้าโรงหนังโรงละคร เวลามันทุกข์ก็ไปฆ่าไปตีกัน เอายังไงก็ไม่อยู่ บางอย่างก็เหลือวิสัยของพวกเราที่ทำไม่ได้ ที่ทำได้แน่นอนคือทำกับตัวเรา แน่นอนที่สุดแล้ว ขอให้ใช้สิทธิของเรา มันหลงมีสิทธิที่จะไม่หลง มันโกรธมีสิทธิที่จะไม่โกรธ มันทุกข์มีสิทธิที่จะไม่ทุกข์ นี่แน่นอนที่สุดแล้ว