แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลานี้ก็ตีสี่ครึ่ง เราก็ทำกิจวัตรร่วมกัน ทำวัตร สวดมนต์ เอาคำเทศน์ คำสอนของพระพุทธเจ้ามาสาธยาย มีส่วนเสริมสร้างชีวิตของเราให้ชอบ ให้ถูกต้อง แล้วก็เราก็มีการกระทำให้มันเกิดขึ้นในเรื่องที่ดี ที่งาม ที่ชอบ ชีวิตเราก็สามารถใช้ได้ มีกาย มีใจเหมือนกันหมด สิทธิเท่าเทียมกัน สามัญลักษณะ กายเหมือนกัน ใจเหมือนกัน ลักษณะของกายก็เหมือนกัน ลักษณะของใจก็เหมือนกัน เมื่อกายสัมผัสกับความหลงก็เหมือนกัน สัมผัสกับความรู้ก็เหมือนกัน ถ้าหลงก็เป็นทุกข์เป็นโทษเหมือนกัน ถ้าไม่หลงก็เป็นคุณเป็นประโยชน์เหมือนกัน มันอยู่ที่การกระทำคือกรรม แต่ละคนที่ทำแบบไหน กรรมเป็นของจำแนกสัตว์ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราก็เลือกทำกรรมดี เรียกว่ากุศล เว้นกรรมชั่วเรียกว่าอกุศล กรรมชั่วก็ตั้งต้นจากความหลง กรรมดีก็ตั้งต้นจากความรู้สึกตัว ก็เหมือนกันหมด เรายังมีในวิชากรรมฐาน ให้เป็นงานเฉพาะ การใช้ชีวิตของเราให้มีโอกาสบ้าง ในชีวิตหนึ่ง ให้ได้มีโอกาสได้เป็นชีวิตส่วนตัวบ้าง ให้กายได้มีอิสระ ให้ใจได้มีอิสระ ปลดปล่อยตัวเองบ้าง มามีความรู้สึกตัวเป็นสมบัติของกาย ความรู้สึกตัวเป็นสมบัติของจิต อย่าตกเป็นทาสของความหลงหมกหมุ่นอยู่ตลอดเวลา เอากายมาทำความดี เอาใจมาทำความดีให้มันเกิดขึ้นช่วงยาวๆ ลองดู มันจะติด เรียกว่า ชั่วดีเป็นตา ตาแห่งความดีจะไม่ลืมไม่เลือนไปไหน สัมผัสกับความรู้สึกตัว 1วัน 7วัน 1เดือน 7เดือน 1ปี 7ปี มันจะติดได้ ไปทำสิ่งที่ไม่ดีก็จะติดได้ เป็นจริตนิสัย เหมือนกัน ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต ถ้าทำความดีมันก็เป็นพุทธจริต มีพุทธจริตผุดขึ้นเรียกว่าโอปปาติกในกายในใจของคนเหล่านี้
กรรมฐานเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ มันต่อจากกายจากใจเป็นนามกาย มีความสุขตามนามกาย นามกายไม่มีรูป มีแต่นามหมายถึงคุณธรรม อันรูปอันนามเป็นสุขเป็นทุกข์ อันกายอันใจเป็นสุขเป็นทุกข์ แต่นามกายไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เข้าสู่นิพพานเพราะละสุขละทุกข์เสียได้ มีสติผุดเป็นเอกอยู่เป็นนิจ จตุตถฌาน ปัญจมฌาน จตุแปลว่าสี่ ปัญจะแปลว่าห้า ระหว่างก้าวต่อกันนี้ มันจะอยู่ตรงนี้ หนึ่งสองสาม เป็นการสร้างให้ลาดเหมือนทางขึ้นเขา อย่างมันเป็นหน้าผา หนึ่งสองสามเป็นลาดขึ้นมา สี่ห้าก็ง่าย เหมือนทางขึ้นเขาที่มาวัดเราเนี่ย แต่ก่อนมันเป็นหน้าผา มันขึ้นไม่ได้ จึงมีการกระทำ มีวิตก วิจารณ์ มีสุขมีทุกข์ ช่างหัวมัน อย่าไปสนใจสุขทุกข์ เป็นเรื่องของจำยอมเสมอไป วิตก วิจารณ์ต่างๆ คิดหาเหตุ หาผลอยู่ แล่นไปตามเหตุ แล่นไปตามผล เอาเหตุ เอาผลมาเป็นสุขเป็นทุกข์ ตัดสินใจตามเหตุตามผล ไม่ถูกต้องเสมอไป ทิ้งไปซะ มีปีติ มีปัสสัทธิ มีความสงบ ไม่ต้องกินก็มีความสุข ไม่ต้องทำอะไรก็มีความสุขได้ สุขอยู่ในธรรม เรียกว่าปีติ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ เสวยวิมุติสุข คือนามกาย ไม่ได้เกี่ยวกับอาหารการกิน กลืนน้ำลายอาจจะอิ่มได้ ผู้ปฏิบัติธรรมก็มีอาการต่างๆ เกิดขึ้นบ้าง อย่าไปหลง เคยเป็นเหมือนกัน กลืนน้ำลายอิ่มเหมือนกัน ไม่ต้องกินข้าวก็ได้ มันมีปีติ ปัสสัทธิ เป็นเหยื่อ เป็นอาหารใจ ถ้าหากว่าในใจไม่มีอาหารในลักษณะนี้ บกพร่องเป็นนิจ หิว ไม่ใช่อยาก ไม่ใช่หิวข้าว มันหิวจากความรู้สึกภายใน ท่านจึงฝึกตัวเอง อย่าไปหลงอะไรทั้งสิ้น มีสติแล้วแลอยู่ มีสติแล้วเป็นสายด่วน พูดถึงความรู้สึกตัวให้ง่ายๆ ถ้าไม่มีก็อาศัยอิริยาบถช่วย หายใจเข้า หายใจออก เคลื่อนไหว สร้างจังหวะ ตั้งต้นเป็นหลักเกาะ เหมือนราวสะพาน ไปสะพานมีราวจับ เซนิดหน่อยก็จับราวอยู่ ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีราวเซไปเลยก็อาจจะไปเสียเวลา สร้างอิริยาบถเนี่ยช่วยได้เหมือนราวสะพาน ให้คนแก่ถือไม้เท้า การสวมรองเท้ายืนขาเดียวไม่อยู่ เซ ต้องถือไม้เท้าค้ำไว้ขาหนึ่ง เป็นขาที่สาม ขาที่สองไม่ใช้ ขาที่สองคือไม้เท้า เป็นนิมิต เป็นที่เกาะ คนแก่เช่นหลวงตา บางทีก็ต้องถือไม้เท้า การเดินไม่มั่นใจ กลัวจะล้ม ถ้าแก่แบบร่างกายก็แก่แบบนั้น แก่เฒ่าเหมือนวัฏฏะก็เป็นเช่นนั้น
เกิด แก่ เจ็บตาย มันแก่ในความทุกข์ แก่ในความสุขก็ได้ ในความสุขก็แก่เฒ่าตายไปในความสุขกี่ชาติแล้ว แก่ในความทุกข์ ตายไปในความทุกข์กี่ชาติแล้ว เกิดสุขเกิดทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ตรงนั้น เรียกว่าเกิดดับ เกิดดับ อาการเกิดดับของนามรูป ไม่ใช่เราเกิด นับมาได้กี่ปีกี่ปี อันนี้เป็นรูปนาม หลวงตาเนี่ยก็ไปแล้ว 70 ใกล้เข้า 80 แล้ว (หัวเราะ) จะให้ทันหลวงพ่อกรมก็ไม่ทันซะที รูปนามมันเกิดทีเดียวตายทีเดียว แต่นามรูปเกิดบ่อยๆ วัฏฏะเป็นภพเป็นชาติในความสุข ภพชาติในความทุกข์ ภพชาติในความอยาก ภพชาติในความรักความชัง เสียเวลาไปเท่าไหร่ แทนที่จะมีสุขในนามกาย ก็เลยฟรีไปเลย จะเอาแต่ความสุขที่เป็นรูปธรรม นามธรรม มันไม่จริง เอากายเอาใจมาเป็นสุขเป็นทุกข์ เนี่ยมีสติเข้าไป ให้มันด่วนๆ
อย่าเสียเวลากับความสุขความทุกข์ ให้มันสิ้นภพสิ้นชาติซะ อันความสุขความทุกข์เนี่ย เหมือนคนภาคใต้ก็ร้องเพลงกล่อมลูก “มะพร้าวนาฬิเกร์กลางทะเลขี้ผึ้ง” ทะเลขี้ผึ้งมันเป็นยังไง ฝนตกมันก็แข็ง แดดออกขี้ผึ้งก็ละลาย หมายถึงสุข ถึงทุกข์นั่นแหละ ทะเลขี้ผึ้งคือสุขคือทุกข์ ฝนตกก็แข็ง แดดออกก็ละลายเป็นน้ำไป ผู้จะไปถึงมะพร้าวนาฬิเกร์ จะกินน้ำมะพร้าวได้ต้องผ่านทะเลขี้ผึ้งนี้ หมายถึงสุขถึงทุกข์ จึงถึงมะพร้าว อยู่สวนโมกข์ อาจารย์พุทธทาสขุดสระแล้วมีเกาะ มีน้ำล้อมรอบ มีเกาะอยู่ตรงกลาง ปลูกมะพร้าวไว้ต้นหนึ่ง ลูกดก อาจารย์พุทธทาสเขียนไว้ เพลงกล่อมลูกคนภาคใต้ “มะพร้าวนาฬิเกร์ กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง ผู้จะไปถึงได้ต้องเป็นผู้หมดบาปบุญเอย” หมดสุขหมดทุกข์ อย่าให้มันเป็นเรื่องยาก สุขนิดหน่อย ทุกข์นิดหน่อย เหนือสุขเหนือทุกข์ใหญ่กว่า สุขเหมือนกบโคกไปถึงน้ำกะลามะพร้าว น้ำรอย(เท้า)วัวรอยควาย ก็นึกว่าตัวเองมีสุข ร้องลั่นไป ที่ไหน น้ำมันมีสุขแบบกบโคก อะไรเอามาเป็นสุข อะไรเอามาเป็นทุกข์ นิดๆหน่อยๆ เลยเป็นนิสัย ไม่เป็นพุทธจริต พุทธจริตต้องก้าวล่วง มีสติเข้าไป มีสติเข้าไป ตามสติเข้าไป ตามมา ตามมา มานี่ มานี่ หลวงพ่อเทียนสอนมาทางนี้ มาทางนี้ เราก็มีครูอาจารย์ได้ยินเสียง ได้เห็น ท่านบอกเรา ในยุคนี้สมัยนี้ ก็พิสูจน์ได้จากการกระทำนี่ ไม่ต้องไปใช้สมอง เอาการกระทำสัมผัสเข้าไป เวลามันหลง-รู้ เวลามันสุข-รู้ เวลามันทุกข์-รู้อย่างนี้ เรียกว่าปฏิบัติ
“ปฏิ” คือ โต้ตอบทักท้วง อย่าไปอยู่ อย่าไปหยุด ออกมาทักท้วง นี่หรือสุข นี่หรือทุกข์ว่าอย่างนี้ นี่คือความโกรธ นี่คือความหลง นี่คือความรักความชัง ทักท้วง ให้เป็นไก่จ่า ทักท้วง ถ้าไก่ชก ไม่รู้จักทักท้วง ติดบ่วงนายพราน อะไรก็เอาหมด ไก่จ่ามันดู มันเห็น มันบอก มันทักท้วง เห็นเหยี่ยวก็ทักท้วงเหยี่ยว ไก่ชกไม่รู้จักทักท้วง รู้จักไก่จ่าไก่ชกไหม ในวัดนี้มีไก่จ่า ไก่จ่าหางแซมสีขาว หางย้อย ไก่ชกหางไม่มีย้อย หางตรงๆ อันนั้นถูกบ่วง ชีวิตของไก่ชกใช้ชีวิตไม่แม่นยำชัดเจน มักจะสุขๆ ทุกข์ๆ ถ้าเป็นสุขก็เป็นสุข เป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ เป็นความโกรธก็ความโกรธ ความรักเป็นความรัก ความชังเป็นความชัง ไก่ชกถูกบ่วงของมาร กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่ใช้ชีวิตไม่ถูกต้อง อาจจะมีสติเนี่ย ชก ชก ออกมา ขนส่งออกมา ธรรมะเป็นการขนส่ง รู้สึกตัวเนี่ยขนส่งให้มันพ้นไปจากความหลง มันหลง พ้นจากความหลง ขนส่ง ตัวขนส่งให้คนพ้นจากความหลง แต่ไม่ใช่คนช่วย ธรรมะ เช่น พระพุทธเจ้ายืนอยู่บนฝั่ง ปุถุชนอยู่ในห้วงน้ำ มุดน้ำลงไป โผล่ขึ้นมา มุดลงไป โผล่ขึ้นมา ผู้ที่เคยมุดน้ำ ผู้ที่ขึ้นไปยืนบนฝั่ง เห็นคนมุดน้ำ เป็นเรื่องที่น่าสงสาร ขึ้นมาขึ้นมา บางคนเห็นแต่ไม่สนใจที่จะขึ้น บางคนเห็น เอ๊ะ สนใจที่จะขึ้น ก็แหวกว่ายไป อาศัยตัวเอง ว่ายไป ทวนไป น้ำเต็มปาก โผล่ขึ้นมา ว่ายไปในน้ำถึงคอ ว่ายไปอีกน้ำถึงหน้าอก ว่ายไปอีกน้ำถึงเอว ไม่ต้องว่ายแล้ว เดินแล้ว เดินไปอีก น้ำถึงเข่า เดินไปอีกน้ำถึงน่อง ต่างกันนะครับ ลอยคอ
“เห็น” หมายถึงเทียบท่า “เป็น” หมายถึงลอยคอ เป็นสุข ลอยคอ เหมือนคนอยู่ในน้ำ ขึ้นฝั่งได้ยาก เห็น เทียบท่าพระนิพพาน ถ้าพระนิพพานเป็นฝั่ง ถ้าเห็นหมายถึงฝั่ง หมายถึงเทียบท่าพร้อมจะก้าวขึ้นได้ง่ายๆ ถ้าเป็นก็ลอยคอขึ้นยาก เหมือนคนลอยคออยู่บนฝั่ง ปีนยังไงก็ไม่ขึ้น ถ้ายืนอยู่ เห็นเหมือนฝั่งกับที่ยืนเสมอกันหมด ง่ายๆ จึงสอนวิธี ไม่มีคำอะไรที่จะมาพูดว่า ให้เห็นอย่าเป็น ถ้าเห็นมันง่าย ถ้าเป็นมันจะมุดอยู่ มันก็มาให้เราเป็น มาให้เราเห็น เราจะแก้ตรงนี้ เปลี่ยนตรงนี้ มีความเห็นตรงนี้ อย่างที่เราสวด อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฎฐิ เบื้องต้นเห็น ไม่ใช่เป็นอะไร จนถึงสัมมาสมาธิ เห็นสุขเห็นทุกข์ ละสุขละทุกข์เสียได้ มีสติเป็นเอก เข้าสู่ปัญจมฌาน นิพพาน นอกจากการเห็น ใครจะช่วยไม่ได้ เป็นแต่คนบอก การกระทำเป็นหน้าที่ของเรา พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้บอก ส่วนการกระทำเป็นหน้าที่ของเรา “ไป ไปทางนี้” เราก็เดินไปเอง บางทีพระพุทธเจ้าอยู่ข้างหลัง ไป ไป บางทีพระพุทธเจ้าอยู่ข้างหน้า มา มา เหมือนอย่างนั้น ถ้าเราอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับมีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็พูดอย่างนี้จริงๆ ภิกษุเมื่อบวชใหม่พระพุทธเจ้าก็บอกว่า โน่นโคนไม้ โน่น เรือนว่าง โน่น ถ้ำ โน่น ป่า บอกพระสงฆ์ที่บวชใหม่ เข้าไปในป่าในดง ภิกษุบางรูปก็กลัว ถ้ากลัวทีไร คิดถึงพระพุทธเจ้า ให้คิดถึงเรา ตถาคต พระสงฆ์ก็เวลากลัวคิดถึงพระพุทธเจ้า ความกลัวก็หายไปได้ ถือว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
หลวงตาเคยกลัวเหมือนกัน กลัวความคิด สมัยบวชใหม่ กลัวมันเกิดนิมิตขึ้นมา สู้กับผี ไปนอนกับหลุมผี แล้วก็เอาหีบศพผีที่มันฆ่ากันตาย มันเน่าเหม็นมาทำเป็นกระดานปูนอน มันก็มีกลิ่นเหม็นๆ นอนอยู่ก็เหม็นกระดาน เหม็นทีไรคิดถึงศพ เราไปเทศพออกจากหีบศพ ลงหลุม ก็เหม็น คิดถึง เห็นศพ แล้วก็หลับกับความคิดนั่น ใหม่ๆกรรมฐานไม่เก่ง แต่มันมีคาถาปราบผี มันเก่งอยู่อันนี้ นอนหลับไป ก็ศพนั่นน่ะกลิ้งมา กลิ้งมาก็ว่าคาถา ศพกลิ้งออกไป พอหยุดว่าคาถา ศพกลิ้งเข้ามา ถ้าว่าคาถา ศพก็กลิ้งออกไป คาถาไล่ผีก็ไม่ใช่อะไร อิติปิโส108 แต่ว่าเป็นภาษา เป็นคาถา ไม่ใช่เป็นอรรถคาถา เช่น อิทโถสำริดตัญญานัง วิสัญโต โสกัง วิหังธัมมานุโต .. ธัมมามิหัง โอ้ ไม่ลืมนะ 50 ปีแล้วยังไม่ลืมเลย (หัวเราะ) อิตัวเดียวเป็นคาถาไป อิติติณโน .... นะโอหัง ธัมมาวิหัง อิติปิโสแต่ละตัวเนี่ยมีคาถา ว่านี่ ผีก็กลิ้งออกไป เคยไปไล่ผี สมัยเป็นโยม หมอไล่ผี ผีไร่ ผีนา ผีผ้า ผีภูที่ไหน หลวงตาปราบหมด ไปไล่ผีแถวนาวัง แถวภูพระ เป็นหมอธรรมน้อย คนบ้านนาแถวนาวัง บ้านนาสีนวล ไม่มองหน้าหรอก เวลาเดินเข้าบ้านเขา พวกถือผีทั้งหลายเขาเกลียดเรา ไม่อยากเห็นหน้าเรา เดินเข้าบ้านไปก็ปิดประตูเลย ไปไล่ผีเขา ก็เลยไม่กลัวผี แต่ว่ามันฝัน ก็ไล่สู้กับผี ว่าคาถาไป ผีก็กลิ้งหนี พอมันกลิ้งหนีไปก็ไม่เหม็น กลิ้งเข้ามาก็เหม็นก็ว่าคาถา มันก็เหนื่อย ก็ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาก็ เอ๊ะ ก็ลุกขึ้นมา พอลุกขึ้นมาก็ยังเหม็นอยู่ มันเหม็นอยู่ ผีไอ้นี่มันมาหาเราเลยล่ะ คิดเห็นศพ มันไม่กลัวหรอก อยากจะบอกเพื่อน เนี่ย มันบ้าไปแล้วเนี่ย มันตื่นเต้นจะไปปลุกเพื่อนว่าผีหลอก มันน่าอายเขานะ ให้ผีมันฆ่าเรา ดูซิ มันจะฆ่าได้ไหม วันไหนมันเกิดขึ้น ก็ยกมือสร้างจังหวะ รู้สึกตัว นั่งอยู่ พอยกมือสองสามรอบ หายเหม็นเลยตอนนี้ โอ้ มันก็เป็นนิมิตรหลอกได้ ระวัง
พระพุทธเจ้าก็บอกพระสงฆ์คิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระพุทธเจ้าคืออะไร ภาวะที่รู้คือพุทธะ รู้สึกตัว อยู่บนเขา บนป่า บนภูเขา มีผีอะไร รู้สึกตัวเนี่ย ไม่มีหรอก มีพุทธะเกิดขึ้นแล้ว หาย ความเหม็นก็หายได้ เนี่ยตั้งแต่วันนั้นมา อันความคิดเป็นเรื่องหลอกเราไม่มี รู้ชัด จนพูดออกมาว่าต่อไปนี้ความสุข ความทุกข์ เกิดความกลัว ความกล้า ไม่ให้ความคิด ไม่ให้กายมันหลอกได้ เราจะเป็นใหญ่ของเราเอง อย่างเนี่ย เรียกว่าธรรมเป็นเอก เป็นเอกผุดขึ้นหนึ่งแล้วนั่น ทุกคนมีตรงนี้เป็นอันเดียวอัน เริ่มต้นมีความรู้ตัวอันเดียวกันแล้ว ให้รู้สึกตัวเนี่ยอันเดียวกัน เป็นเรื่องไม่เหลือวิสัย ง่ายๆ รูปแบบเราก็ง่ายๆ ไม่ต้องไปอ่านตำรา ถ้าเรามีความรู้สึกตัวที่กายก็เรียกว่าธรรมวิภาคปริเฉทที่1 ไม่ต้องไปอ่านหนังสือ สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ไม่ต้องไปอ่าน มันมีความระลึกได้ รู้ตัวอยู่นั่น นั่งคิดไปก็รู้ตัว กลับมารู้ตัว ขณะที่ทำอยู่รู้ตัว ก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด ระลึกได้ รู้ตัว มันจะไปไหน เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ต้องอยู่นี่แน่นอน
ตั้งต้นจากภาวะที่รู้เนี่ย บุญก็อยู่ที่นี่ ละบาปก็อยู่ที่นี่ กุศล ความฉลาดก็อยู่ที่นี่ มาเป็นพวง ความถูกต้องเกิดขึ้น ความผิดพลาดออกไป ทำเรื่องเดียวเป็นการละชั่ว ทำเรื่องเดียวเป็นการทำความดี มันไม่ยาก พระพุทธเจ้าจึงตื่นเต้นเรื่องนี้ จะไปบอกใครหนอ คล้ายๆ ปิดบังอะไรนิดหน่อย เส้นผมบังภูเขา กระตือรือร้นที่จะไปบอกคน นี่ นี่ มามาดูนี่ ไปพบปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์หนี ตามไปอีก ดูๆ ดูก่อนๆๆ ชวนมาดู มาดู ไปทางไหนพระพุทธเจ้า สูทั้งหลายมาดูโลกนี้อันวิจิตระการ ดุจราชรถที่คนหลง พากันหมกอยู่ ผู้มีสติปัญญาเขามาอยู่ตรงนี้แล้ว ไปหลงทำไม ไปโกรธทำไม ไปทุกข์ทำไม ไปดีใจเสียใจอะไรกัน ไม่ใช่ที่อยู่ของเรา ที่นั่นไม่ใช่ที่อยู่ เป็นทางผ่าน วับวับแวมแวม เกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว ไม่จริง ไม่จีรังยั่งยืน มาเห็นนี่มันผ่านไป มา มา เหมือนกับอย่างนั่นหนอ กระตือรือร้น
เวลาใดที่ได้เดินอยู่ลานเดินจงกรม สุดหัวใจ เวลาใดที่ได้นั่งอยู่กุฏิ นั่งสร้างจังหวะ สุดหัวใจ เท่านี้ชีวิตเรา ขยัน ฉันอาหารเสร็จ อุ้มบาตรกลับกุฏิ ไม่ข้องแวะที่ไหน ล้างบาตร เช็ดบาตร วางบาตรลง นั่งสร้างจังหวะ ถ้ามันหนาวเอาผ้าห่มมาห่ม สร้างจังหวะในผ้าห่ม ปิดหูปิดตา สร้างจังหวะในผ้าห่ม ไม่ต้องไปเดิน ไม่ต้องไปยืนตากแดด เราก็นั่งอยู่ในกุฏิห่มผ้าห่มคลุม หนาว 0 ถึง -4 องศา นั่งในผ้าห่มสร้างจังหวะ นั่งอยู่กลางแดด หลังกุฏิตากแดด เหงื่อไหล ไม่เอาความง่วงมาเป็นอุปสรรค ไหลลงผ้าอังสะเป็นเห็ด นุ่งเปียก นอนก็เปียก แห้งก็เปียก จนที่นั่งเป็นรอยนั่ง มันมันออก ถูเท่าไหร่ก็ไม่ออก เป็นรอยนั่ง อาศัยไม้หน้าสามพิงหลัง นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบอยู่ตรงนั้น มันเป็นภาพอดีตรำลึก ครั้งหนึ่งในชีวิตของเรา เคยทำชีวิตแบบนี้มา ไม่ได้ทำอย่างอื่น จากเป็นชีวิตที่ขี้ทุกข์ขี้ยากในโลกก็ว่าได้ อย่ามาคุยเรื่องทุกข์เรื่องยาก เรื่องอะไรต่างๆ แข่ง หาคนแข่งได้ยาก ก็นั่นเรา นี่แหละ อย่าต่อรองเรื่องอื่นเลย
มาศึกษาเรื่องนี้กัน ทำยังไง้เราจะเข้าถึงความรู้สึกตัว ในกายก็มี ให้รู้สึกตัวซักครั้งหนึ่งในชีวิตเรา ลองดู มันจะไม่ลืม มันจะไม่หลงตรงนี้ มันเป็นตา เหมือนเลนส์ถ่ายภาพชีวิตเอาไว้ อะไรเดือดร้อนก็เป็นมิตรกัน สัญญากันระยะยาว เป็นกัลยาณมิตร ไม่มีวันที่จะทะเลาะวิวาทเบียดเบียนกัน เป็นการสัญญาระยะยาว เรียกว่ากัลยาณมิตร พาไปถึงมรรคถึงผลได้ นี่คือเมืองไทย คนไทย นักบวช วัดวาอาราม อยู่ด้วยกันไป ไม่ได้อยู่ก็ไม่เป็นไร ท่านต้องอยู่กับตัวเอง ท่านออกจากนี่ไป ไปอยู่ที่ไหนก็อันเดียวกันนั่นแหละ สติอันเดียวกัน คนเดียวกันแล้ว อุ่นอกอุ่นใจ ถ้ามีโอกาสก็มา ถ้าไม่มีโอกาสก็ไป ท่านจะไปทางไหน ป้องกันได้ ถ้าจะไปศึกษาธรรมะ ฝากฝัง มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ที่นี่ก็เป็นวัดที่มีชื่อในประเทศไทยวัดหนึ่ง ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มีเจ้าอาวาส สามารถออกใบอนุโมทนาบัตรยกเว้นภาษีได้ ถ้าเวลานี้เขาก็ประชุมงานใหญ่ร้อยปีหลวงพ่อเทียนที่จะจัดขึ้น ไม่ใช่พวกเรา เป็นกลุ่มหนึ่งต่างหากที่เขาเอาหลวงพ่อเทียนเป็นหลักในการสอนธรรมะยุคนี้สมัยนี้ ประชุมร้อยปีหลวงพ่อเทียน ถ้าไม่ใช่ที่นี่ก็วัดโมกข์ ขอนแก่น สามแห่งที่เขาคัดเลือกจะประชุมร้อยปีชีวิตหลวงปู่เทียน ในยุคนี้สมัยนี้ แล้วก็ทำให้พวกเราได้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าสั่งสอน เราปฏิบัติแบบนี้ทำให้เกิดรักพระธรรม รักพระพุทธเจ้าขึ้นมา เวลานี้ก็มีคนมาซื้อบ้านแถวเขื่อน พี่น้องรวมกันซื้อห้าหลังติดเขื่อน ตั้งชื่อว่าบ้านธรรมทาส เคยไปไหม (หัวเราะ) เอาเถอะ พวกเรา อย่าทอดอย่าทิ้งกัน