แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลานี้ พวกเรามาฝึกหัดวิชากรรมฐาน สอนกายสอนใจให้ใช้งานได้ ถ้าเราสอนกายสอนใจได้ ก็เป็นมรรคผลนิพพาน ถ้าเราไม่หัดไม่สั่งสอนกายใจของเรา ก็ไปสู่ภพภูมิต่างๆ ตกต่ำ อบาย ไม่เจริญ ชีวิตถ้าไม่ศึกษาไม่ฝึกฝนตนเองแล้ว ไปสู่อบายภูมิเท่ากับขนของโค ไปสู่สวรรค์นิพพานเท่ากับเขาของโค เราจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราฝึกหัดวิชากรรมฐาน วิชากรรมฐานนี้ทำให้เกิดเป็นพุทธเจ้าขึ้นมา จากสามัญชน จากปุถุชน เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ เราจึงมีค่ามาก ชีวิตของเราที่ได้มามีกาย มีใจ ศึกษา ฝึกหัดจนเห็นรูปธรรมนามธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเราไม่เห็น เราจะเข้าไปโง่ ไม่ฉลาด ความทุกข์ทำให้เราโง่ ความหลงทำให้เราโง่ ความโกรธทำให้เราโง่ได้ ถ้าเราศึกษากรรมฐานมันจะฉลาดตรงนั้น ความทุกข์ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ทำให้เราฉลาด ความทุกข์ ความหลง ความโกรธก็ไม่เที่ยง เป็นมรรคผลนิพพานได้
วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่ศักดิ์สิทธิ์ เราก็มีวิชานี้เป็นคู่ชีวิตของเรา อุ่นใจ ภูมิใจที่เรามีกรรมฐาน ทำอย่างอื่นไม่มีทาง ไม่มีทางที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ เช่น ฟังเทศน์มหาชาติ ๑๒ กัณฑ์ ๑,๐๐๐ พระคาถาจบ ได้เป็นพระอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่ง เราเคยได้ยินปฐมสมโภช เราก็ได้ฟังเทศน์มหาชาติไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หนจนถึงกัณฑ์สุดท้าย ๑๒ กัณฑ์ ๑,๐๐๐ พระคาถา ฉกษัตริย์กัณฑ์ ๖ กษัตริย์เข้าเมือง เป็นพระเวสสันดร มัทรี กัณหา ชาลี เจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี ทั้ง ๖ กษัตริย์พบกัน ฝนโบกขรพรรษตกลงมา ผู้ใดประสงค์จะเปียก ก็เปียก ผู้ใดไม่ประสงค์จะเปียก ก็ไม่เปียก พอเทศน์จบก็มีฝนโบกขรพรรษตกลงมา โดยเอาใบบัวใส่น้ำแขวนไว้ ทายกก็จะเอาไม้ไปตีใบบัว ให้น้ำให้มันแตก น้ำก็กระเด็นไปสู่คนฟัง แล้วฝนโบกขรพรรษ เราก็นึกว่าเราได้บุญ ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
ทำบุญทำทาน รักษาศีลก็ทำ อยากได้บุญ แต่ไม่รู้จักบุญ กลัวบาป แต่ไม่รู้จักบาป จน (ลากเสียงยาว) เราก็ได้เรียนได้อ่านว่า กิริยาให้เกิดบุญมีทานมัย กิริยาที่ให้เกิดบุญมีศีลมัย ทานก็ได้ทำ ศีลมัย เราก็ได้ปฏิบัติ ไม่เคยทำบาปทำกรรม ตามข้อบัญญัติของศีล ภาวนามัยนี้เราก็ได้ทำ เรียกว่า พุทโธ พุทโธ เป็นภาวนา จนทำพุทโธนี่ จน(ลากเสียงยาว) ชีวิตทั้งชีวิตมีแต่พุทโธ เกี่ยวข้าวก็พุทโธ ปักดำนาก็พุทโธ จับจอบขุดดินลงไปก็พุทโธ นวดข้าวก็พุทโธ ทำอะไรก็พุทโธ จนติด ก็ไม่รู้จักบุญจักบาป
จนได้ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อเทียนสอนให้รู้จักบุญจักบาป ได้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รู้จักศาสนา พุทธศาสนาได้โดยวิชากรรมฐาน จึงตะเปะตะปะไปหาหลวงพ่อเทียนนี่ ปี ๐๙ ท่านก็สอนให้เรายกมือสร้างจังหวะแบบที่เราทำอยู่นี่ เราก็ฝึกมาแบบพุทโธเนาะ ตัวตรง ท่าทางดี แต่เราจะมายกมือนี่ คล้ายว่ามันไม่สุภาพ ก็ไม่อยากจะทำนะ มันติดพุทโธมาก ติดความสงบ แล้วก็มีความสุข เวลาออกจากความสงบ ออกจากกรรมฐานแล้วก็เหมือนเดิม เหมือนหินศิลาทับหญ้า เอาหินออก หญ้าก็เกิดขึ้นมา จนฝืนตัวเองไม่ให้ทำ หลวงพ่อเทียนจับมือ จะเอาจริงไหม คิดว่าจะแข่งกับหลวงพ่อเทียนด้วย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ถ้าเอาจริงก็ต้องทำแบบนี้ ทำแบบอื่นเราไม่รับผิดชอบ ถ้าเอาจริงๆ ทำแบบนี้ ยกมือเคลื่อนไหวสร้างจังหวะนี่ ก็เลยตัดสินใจทำ
ทำแล้วมันก็หลุดเข้าหาอันเก่า ยกมือไป ยกมือมามันหลุดเข้าไป สงบ ออกมา เคลื่อนไหวออกมา รู้สึกตัวเข้าไป จนว่าชำนาญ ชำนาญในเรื่องรู้เวลามันหลงไป กลับมารู้ มันก็ขยันหลง เราก็ขยันรู้ มันขยันจะสงบ เราก็ขยันรู้ คนละทิศละทางกัน เดินจงกรมอยู่มันคิดไป ไม่สงบ รู้ขึ้นมา ก้าวเราก็มีอยู่นี่ เคลื่อนไหวก็มีอยู่นี่ ทำไมจะไม่รู้ เรามาเดินจงกรมให้มันรู้นี่ เราก็ต้องรู้เรื่องนี้ ไปรู้เรื่องอื่น ไปสงบ มันไม่ใช่งานของเรา กรรมฐานการกระทำแบบนี้จึงมาเห็นรูปเห็นนามนี่ เดินเห็นรูปมันเดิน เห็นความรู้สึกตัวที่มันก้าวไป เห็นรูปทำ เห็นนามทำ จึงมาแตกฉานในรูปในนาม ได้ความเฉลียวฉลาด ได้แหล่งความรู้ รูปมันบอก นามมันบอก มันคืออะไร นี่ กรรมฐานสามารถทำให้ทะลุทะลวง สิ่งที่ไม่รู้ทำให้เกิดรู้แจ้งขึ้นมา สิ่งที่ไม่เข้าใจทำให้เข้าใจขึ้นมา
เราเห็นรูปเห็นนามว่ามันกระจุยกระจาย คล้ายๆ กับว่ามันบอกเรา นี่คือความไม่เที่ยง นี่คือความเป็นทุกข์ นี่คือความไม่ใช่ตัวตน มันบอก นี่คือธรรมชาติ นี่คืออาการ เดินจงกรมมันเมื่อย มันปวดมันเมื่อย นี่คืออาการ ไม่ใช่รูป อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับรูป มันเป็นธรรมชาติ เป็นอาการ ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นอย่างนี้ ไปก็เป็นอย่างนี้ ไม่กินข้าวก็หิว กินแล้วไม่ถ่ายมันก็ไม่ได้ ไม่หายใจก็ไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติ เป็นอาการของรูป แตกฉานไปในนาม นามมันคืออะไร คือจิตใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจสารพัดอย่าง ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง อะไรต่างๆ กิเลส ตัณหา ราคะ เป็นอาการของนาม ไม่ใช่นาม มันเกิดขึ้น เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน แตกฉานไป แตกฉานไป มันบอกต่อ รูปมันบอก นามมันบอก ได้ปัญญาเพราะเห็นรูปเห็นนาม นี่มันรู้ มันไม่ใช่ดูเฉยๆ สิ่งที่ไม่รู้ร่วงลงไป ร่วงลงไป ร่วงลงไป ไม่ต้องทำอะไร มันบอกเลย มันตกแหล่ง ตกแหล่งแห่งความรู้ เหมือนเราทำงานตกแหล่งแห่งความสะดวกสบาย มันก็เกิดความสะดวก ไม่ยาก เหมือนกลิ้งครกลงเขา มันบอกเรา
วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่จะถลุงที่ย่อยเปลี่ยนร้ายเป็นดีแล้ว สิ่งที่เคยทุกข์ก็ไม่ทุกข์ สิ่งที่เคยหลงไม่หลง สิ่งที่เคยโง่ไม่โง่ เห็นสมมุติ เห็นรูปทุกข์ เห็นนามทุกข์เข้าไปแล้ว เห็นรูปทุกข์ เห็นนามทุกข์ ที่มันเคยอยู่กับรูป สงสารรูป ไม่เคยช่วยเหลือรูป ปล่อยให้รูปเป็นทุกข์ ทุกข์ก็เป็นทุกข์ อะไรที่มันเกิดเป็นทุกข์กับรูปมากมาย เอามาเป็นทุกข์ เมื่อยก็เป็นทุกข์ หนาวก็เป็นทุกข์ หิวก็เป็นทุกข์ ปวดก็เป็นทุกข์ นึกว่าตัวว่าตน เพราะไม่เห็นธรรมชาติถึงอาการน่ะ ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นทุกข์ เป็นเรื่องเป็นปัญญา เห็นความหิวเป็นปัญญา ชื่นใจ ไม่ทุกข์ ไม่กังวล เวลามันเกิดอะไรขึ้นกับรูป มีแต่ปัญญา รู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้ว รู้ ตอบคำเดียวคือรู้แล้ว รู้แล้ว ไม่มีอย่างอื่น นี่ความไม่เที่ยง รู้แล้ว นี่ความไม่ทุกข์ รู้แล้ว นี่ความไม่ใช่ตัวตน รู้แล้ว
สิ่งไหนเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน สิ่งไหนไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรไปยึดว่าเป็นเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา ตามที่เราสวดพระสูตร สังขารคือร่างกายจิตใจและรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป สังขารคือร่างกายจิตใจและรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้วแก่เจ็บตายไป สัพเพ ธัมมา สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเราว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา เราก็เห็นไปทำนองนี้ ก็เลยเบาๆ ถ้าเป็นใจก็ใจดีกว่าเก่า ใจดีกว่าเก่า ล่วงพ้นภาวะเก่า ถ้าเป็นทุกข์ ทุกข์ก็หลุดออกไปหลายอย่าง สิ่งที่เคยเป็นทุกข์ ไม่ทุกข์ ความทุกข์หลุดไป นะ ถ้าเห็นแหละ
ไม่ใช่เห็นแล้วมันไม่มีประโยชน์ เห็นแล้วมันมีประโยชน์ สิ่งที่เห็นมันก็พ้น สิ่งที่เห็นไม่เข้าไปเป็น เหมือนกับเราเห็นงูพ้นจากงู เห็นทุกข์พ้นจากทุกข์ เห็นความหลงพ้นความหลง เห็นความไม่เที่ยงพ้นความไม่เที่ยง มันก็มีประโยชน์ ความทุกข์หมดไป ความหลงหมดไป เห็นสมมุติ เห็นบัญญัติ ความพอใจ ความไม่พอใจ มันเป็นสมมุติ มันเป็นบัญญัติว่าชอบว่าไม่ชอบ ไม่ใช่สัจธรรม รื้อถอนสมมุติออกมา เวลาที่มันหมกมุ่นครุ่นคิด เห็นมันคิด ถอนความรู้สึกออกมา ไม่ถลำเข้าไปอยู่ในความคิด มันมีโอกาสฉลาดตรงนี้ด้วย
ถ้าจะเปรียบเหมือนกับดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ถ้าจะเหมือนกับก้อนเมฆ มันก็ยังบังดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ได้ แต่ถ้าจิตของเรานี่ ที่เรามีสตินี่ มันไม่สามารถที่จะบังได้เลย เปลี่ยนได้ทุกโอกาส มีความรู้ได้ทุกโอกาส ไม่มีความหลง มีแต่ความรู้ได้ทุกโอกาส ในเวลามันหลงยิ่งมีโอกาสรู้ได้ดีที่สุด มีรสชาติ ถ้ามันหลงเราก็รู้ มีรสชาติ ถ้ามันทุกข์เรารู้ มีรสชาติ ถ้ามันปวดเรารู้ มีรสชาติ มีรสชาติตรงนั้นด้วย ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเรานั่งเครื่องบิน เวลาเครื่องบินไม่มีคลื่น มันก็ไม่มีรสชาติอะไร เวลาเครื่องบินเจอคลื่นเข้า มันก็กระดุกกระดิก เออ มันก็ดีหน่อย เหมือนกับเราไม่นั่งอยู่เฉยๆ เหมือนในเวลานี้เรานั่งอยู่ในหอไตร มันก็ไม่รู้อะไร ถ้านั่งบนรถมันก็ผ่านโน่นผ่านนี่ เห็นลักษณะความรู้สึก นั่งเครื่องบินเวลา มันมีคลื่นก็รู้สึกว่ามันผ่านอะไรกันหลายอย่าง ไปข้างหน้าบ้าง ถ้ามันไม่มีคลื่น มันก็นั่งเฉยๆ มันไม่ไปไหน
ความทุกข์มันทำให้พ้นมันไป ความหลงทำให้พ้นมันไป มันบ่งบอกว่ามันพ้นไปแล้ว มันหลุดไปแล้ว ปัญหาต่างๆ พ้นไปแล้ว เป็นปัญญา เพราะมันภาวะที่เห็น เห็นสมมุติ เห็นบัญญัติ เห็นวัตถุ เห็นอาการ ตาก็เป็นวัตถุ ปากก็เป็นวัตถุ ใจก็เป็นวัตถุ หูก็เป็นวัตถุ กายก็เป็นวัตถุ มันก็ต้องมีอาการ หู ตา จมูก ลิ้น มันก็ต้องมีอาการ วัตถุอาการ เห็นปรมัตถ์ ปรมัตถ์ไม่มีอะไรบัญญัติได้ มันเป็นจริงอยู่นั้น ความทุกข์เป็นจริงแบบทุกข์ แต่มันไม่จริงแบบไม่ทุกข์ ความไม่เที่ยงก็จริงแบบไม่เที่ยง แต่มันไม่จริงแบบความเที่ยง ความโกรธก็จริงแบบความโกรธ แต่ไม่จริงเหมือนกับความไม่โกรธ มันตรงกันข้าม ไม่จน แต่ก่อนเคยจนเพราะความทุกข์ เคยจนเพราะความโกรธความหลง ความทุกข์ ความโกรธ ความหลง ความโลภ มันเป็นสมมุติบัญญัติ มันไม่เที่ยง ถ้าความไม่ทุกข์ ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง เป็นปรมัตถ์สัจจะ มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง มันก็เข้าไปอยู่ตรงนี้ได้ ชีวิตมีที่อยู่ในที่ตั้ง ไม่หวั่นไหว และจะเหมือนที่พึ่ง ก็พึ่ง รู้จักศาสนา รู้จักพุทธศาสนา ศาสนาคือคน คนไม่มีทุกข์ พุทธศาสนาคือปัญญาออกจากทุกข์ ถ้ายังมีทุกข์ มีโกรธ มีโลภ มีหลงอยู่ ไม่มีศาสนาเลย
จิตใจก็เปลี่ยนเลย เปลี่ยนแปลงจนสามารถยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็เปลี่ยนไปจนถึงนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ ที่พ่อแม่ให้เราเกิดมาเพื่อรู้เรื่องนี้ ที่เราทำบุญทำทาน มีกายมีใจก็เพื่อเรื่องนี้ มันก็มีปีติบ้าง แล้วก็มันเบา ไม่เหมือนก่อน ล่วงพ้นภาวะเดิม ต่างเก่า เอ๊ะ จะบอกว่าเป็นพระได้ไหม พระคือลักษณะแบบนี้ เป็นอินทร์เป็นพรหมก็ได้ มีคุณธรรมก็ปิดอบายได้ ปิดอบายภูมิได้เด็ดขาด เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เดรัจฉาน ปิดได้เด็ดขาด เพราะเราเห็นมัน เหมือนคนที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ก่อนเป็นเด็กเห็นขี้โคลนก็ลงเล่นขี้โคลนได้ พอเป็นผู้ใหญ่มันก็ลงไปไม่ได้ นี่คือกรรมฐาน ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนทางสติปัญญา เปลี่ยนจากนิสัย การจะให้หลงข่มขืนตัวเอง จะให้โกรธก็ข่มขืนตัวเอง จะให้ทุกข์ข่มขืนตัวเอง มันเอาไม่ได้ ความไม่ทุกข์มันมี ความไม่โกรธมันมี ความไม่หลงมันมี มีสิทธิ ถ้ามันจะไปหมกหมุ่นอยู่กับสิ่งสกปรก นิดหน่อยก็ไม่เอา ความชั่วความทุกข์นี่โชว์นิดหน่อยไม่มีละ มันจึงมีประเสริฐ เป็นการเห็นอย่างประเสริฐ ไม่ใช่เห็นที่ไหน เพราะมันพ้นจากทุกข์ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
มันมีประโยชน์มีค่าตรงนี้ ชีวิตของเรานี่ แล้วทุกคนก็ทำได้ ให้เอากรรมฐานนี่ฝึกไปๆ เมื่อมันเป็นแล้ว ทำให้มันเป็นแล้ว มันก็เป็นไปเลย ไม่รู้จักลืม ไม่เหมือนการท่องจำ วิชาการท่องจำนี่มันลืมเป็น วิชาที่ทำให้เป็นมันลืมไม่เป็น รูปมันก็เป็นรูป นามก็เป็นนาม มันจริงแบบนั้น ไม่จริงแบบนั้น ความไม่เที่ยงก็จริงแบบนั้น ความไม่ทุกข์ก็จริงแบบนั้น ความไม่ใช่ตัวตนก็จริงแบบนั้น แต่เราจะไปเอามันทำไม สิ่งเหล่านี้มันสามารถทำได้แล้ว เราก็เลยได้ชีวิต เหมือนกับว่าเรามีชีวิต ภาวะไม่เป็นอะไรคือชีวิตของเรา แต่ก่อนสุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่ใช่ชีวิต พอมาเห็นว่ามันไม่เป็นนี่ มันเป็นชีวิต กรรมฐานเป็นคู่ชีวิตของเรา เราได้ชีวิตเพราะกรรมฐานนี่ ชีวิตอันนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ชีวิตที่ได้รูปได้นามนี่มันเปลี่ยนแปลง ได้มาจากเหตุปัจจัยบิดามารดาให้เรากำเนิดเกิดมา เพื่อให้ได้ชีวิตส่วนนี้ ถ้าไม่มีรูปมีนามก็ไม่ได้ชีวิตส่วนนี้ ไม่มีรูปมีนามก็ไม่มีมรรคผลนิพพาน รูปนามนี่ทำให้เกิดมรรคผลนิพพานได้ มีเท่านี้ ไม่มีอะไร พอคนเราคนเดียวได้ชีวิตมานี่ มือ ๕ นิ้ว ๑๐ นิ้ว กายใจของเราได้มาจากบิดามารดา เอามาทำความดี เอามาให้เกิดมรรคเกิดผล ได้ชีวิตนี่ ชีวิตแบบนี้เป็นชีวิตอมตะ
ถ้าเราไม่ได้ชีวิตแบบนี้เราก็เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ หลายภพหลายชาติ สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลง โกรธเป็นโกรธ รักเป็นรัก เกลียดชังเป็นเกลียดชัง พอใจ ไม่พอใจ ล้มเหลวทั้งนั้นชีวิตแบบนั้น ถ้าเราไม่เป็นอะไร มีชีวิตขึ้นมานี่เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย มันจะขมวดมาให้เห็น อะไรที่มันอยู่ในกองรูปกองนาม มันคืออะไร บอกหมด ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน เพราะเราไม่รู้ ไปยึดเอาว่าตัวว่าตน ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ไปยึดว่าตัวว่าตน เราเป็นทุกข์เพราะเราหลง เพราะเราไปถือว่าเป็นตัวเป็นตน ทุกข์ของเรา สุขของเรา ถ้าเรามาเห็นว่ามันไม่เป็นนี่ มันมีชีวิตจริงๆ ตรงนี้ จึงได้กรรมฐาน จึงได้ชีวิต คู่ชีวิต ได้ชีวิตขึ้นมา
วิชากรรมฐาน ไม่มีวิชาอื่นใดในโลกนี้ที่จะทำให้เรามีชีวิตได้ เป็นอมตะ ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเห็นแล้วทุกอย่าง การที่รูปไม่มี อันเกี่ยวกับรูปกับนามนี่ รูปหมดตัวครบตัวถ้วน ที่สุดก็ไม่มีอะไร เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย เป็นธรรมชาติ ชีวิตจริงๆ แล้วไม่เป็นอะไร มันเป็นสมบัติของส่วนตัว ของใครของเรา เป็นกรรมที่ต้องสร้างขึ้นมา ชีวิตของเราก็พร้อมแล้วในเรื่องนี้ พร้อมที่สุด พร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้เรื่องนี้ ปฏิบัติให้ทำให้เป็นเรื่องนี้กัน มันไม่ยาก
เริ่มต้นกรรมฐาน มีสติ ทุกคนทำได้ มีสติก็มีตรงๆ โง่ๆ อนุบาลไปก่อน เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวสร้างจังหวะให้รู้ ถ้าไม่รู้อย่าไปทำ มันจะเสียนิสัย เดินจงกรมให้รู้ พอรู้กายก็ไปรู้จิต มันมีอะไรเกิดขึ้นขณะที่มันเห็นกายนั้น มันก็มีหลง มันก็มีหลงนั่นแหละคู่กับรู้ งานของเราก็มีอย่างนี้ เวลามันหลงให้รู้ เนี่ย มันก็ไม่ยาก มันถูกต้อง มันชอบ มันตรง เวลามันหลง มันรู้มันตรง อะไรที่ไม่ใช่รู้ เปลี่ยนมาเป็นรู้ มันตรง รู้เรื่องเดียวนี่เฉลยไปได้ทุกอย่าง เรียกว่าปฏิบัติตรง ปฏิบัติออกจากทุกข์ ปฏิบัติสม่ำเสมอ ในความหลงก็รู้ สม่ำเสมอ จนทำให้เป็น
แรกๆ ก็หัดมีที่ตั้ง มีกรรมฐาน มีที่ตั้ง เคลื่อนมือเข้า ยกมือออก ให้รู้อย่างนี้ เวลามันหลงก็รู้อยู่อย่างนี้ ตั้งไว้ตรงนี้ กรรมคือการกระทำ ฐานคือที่ตั้ง มีที่ตั้งมีการกระทำ การกระทำคือให้รู้อยู่บ่อยๆ รู้อยู่บ่อยๆ ขยันรู้บ่อยๆ เรียกว่าภาวนามัย เป็นที่เกิดแห่งบุญ ศีลมัย รักษากายวาจา ทานมัย ให้ทานสิ่งของ แบ่งปันวัตถุสิ่งของ เพราะฉะนั้นก็ที่เกิดแห่งบุญ แต่ภาวนามัยนี่เป็นบุญอันสูงสุด ชั้นสูง มันเปลี่ยนหลงเป็นรู้นี่ นี่ชั้นสูงที่สุด เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ ชั้นสูงสุด เป็นการทำบุญสูงสุด เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ เปลี่ยนอะไรเป็นรู้นี่เป็นการที่สุดยอดของความดี ไม่มีอะไรที่จะเหนือไปกว่านี้
ทุกคนก็มีหลง แต่ทุกคนเวลามันหลงไม่เคยเปลี่ยน หลงเป็นหลง แล้วก็เลยไม่ได้ประโยชน์ ถ้าหลงเป็นรู้มีประโยชน์ม้ากมาก ถ้าทุกข์เป็นรู้มีประโยชน์มาก เอาไปเปลี่ยนความทุกข์ ความหลง ความโกรธ ความโลภต่างๆ ไม่ใช่เลือกที่ ไม่ใช่เลือกเวลา ไม่เลือกคนหนุ่ม คนแก่ หญิงชาย นักบวช หรือฆราวาส ลัทธิศาสนาใดชาติใดเลย ใครก็เหมือนกันตรงนี้ ทุกชีวิตก็เหมือนอยู่ตรงนี้ เหมือนกันนี้ มันเป็นสากล อันความรู้ก็เหมือนกันหมด ถ้าเปลี่ยนหลงเป็นรู้ก็ธรรมเหมือนกันหมด เปลี่ยนโกรธเป็นรู้ก็ธรรมเหมือนกันหมด สัจธรรมก็เป็นอย่างเดียวกันนี้ ไม่ใช่เป็นอย่างอื่น มันจึงไม่เหลือวิสัยที่เราจะทำไม่ได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ เวลามันหลงเปลี่ยนหลงได้อยู่ เวลามันโกรธเปลี่ยนโกรธได้อยู่ เวลามันทุกข์เปลี่ยนทุกข์ได้อยู่ ความทุกข์เป็นสังขาร สิ่งใดเป็นสังขาร ไม่ควรคิดว่าเรา ว่าของเรา เปลี่ยนได้ ถ้าบางคนไม่เปลี่ยน เอาไปเป็นอุปาทานยึดไว้ในความทุกข์ ยึดไว้ในความโกรธ ยึดไว้ในความพอใจไม่พอใจ เรียกว่าอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เปลี่ยนได้อยู่ เปลี่ยนได้อยู่ อุปปาทวยธัมมิโน นี่มันยึดไว้เฉยๆ อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ โวหังสา โวหังสา เตสัง วูปสโมสุโข ถ้าวางแล้วจะเป็นไม่ทุกข์ ไม่หลง ไม่โกรธ บังสุกุลตัวเอง อย่าให้หลวงตาไปบังสุกุล ให้บังสุกุลตัวเอง เวลามันหลง ความหลงเกิดขึ้นแล้วแก่เราหนอ ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วแก่เราหนอ เพราะเราไปยึดว่าเราทุกข์ เป็นผู้ทุกข์ ไม่ใช่เห็นมันทุกข์ อุปปัชชิตวานี่ เห็นมันทุกข์ เตสัง วู ไม่เป็นผู้ทุกข์แล้ว เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์แล้ว เตสัง วูปสโม สุโข ในความไม่ทุกข์มันก็ไม่ทุกข์ ก็เรียกว่าความสุข จะเรียกว่าความไม่ทุกข์ก็จบแค่นั้น
เหมือนหลวงตาพูดว่า ความสุขของมนุษย์ ของคนนี่ สุขแบบเกาขี้กลาก มันเป็นโรค มันจึงได้เกา ถ้ามันทุกข์คือมันคัน พอมันเกาคือมันสุข เกาขี้กลากมันก็มีความสุข โรคมันเกิดขึ้นมันคัน สูบบุหรี่มันคันขึ้นมา ถ้าไม่ได้สูบมันก็คันมาก ทนไม่ได้ ต้องสูบ ไม่ได้รักษาขี้กลากให้หาย ต้องอยาก ต้องสูบ ต้องอยาก ต้องสูบ ต้องสูบ ต้องอยาก เพราะอยากจึงสูบ เพราะสูบจึงอยาก เพราะอยากจึงสูบ เพราะสูบจึงติด เพราะติดจึงอยาก มันเป็นวัฏฏะ เพราะไม่สูบก็ไม่ติด เพราะไม่ติดก็ไม่อยาก เพราะไม่อยากก็ไม่สูบ รักษาขี้กลากได้ หายไปเลย กินหมากก็เหมือนกันนะ กินเหล้าก็เหมือนกัน อะไรที่มันเป็นของที่ไม่จำเป็น ข้าวน้ำมีความจำเป็น สิ่งที่ไม่จำเป็นมากมาย เดี๋ยวนี้เรากินของที่ไม่จำเป็นมาก น้ำโค้ก น้ำเป๊ปซี่ น้ำหวาน มีมาก เครื่องดื่มมีมาก สิ้นเปลืองไปเปล่าประโยชน์ นั่นไม่ใช่อาหาร ไม่ได้อะไรเลย อาหารได้จากข้าวปลา กวฬิงการาหารกลืนลงไปในลำคอ ได้เลือดได้เนื้อ ได้กำลัง ผัสสาหาร อาหารที่ผัสสะทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันนั้นไม่ใช่อาหาร กวฬิงการาหารเท่านั้นที่เป็นอาหาร ผัสสาหารคือมีความจำเป็น เช่น หนาวห่มผ้า มันร้อนก็เอาน้ำสัมผัส มันเป็นการบรรเทาตามเหตุตามปัจจัยมัน นี่โลกมันเป็นอย่างนี้ มันก็เหมือนกันหมดไม่ว่าที่ไหน
กรรมฐานเป็นคู่ชีวิตของเรา ในเมืองไทยวิชากรรมฐานเหมือนกันหมด ต้องมีสติ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ถ้ากรรมฐานอันใดไม่เปลี่ยนหลงเป็นรู้ มันก็ไม่ใช่กรรมฐาน ไม่มีผล เป็นอกตัตตากรรม เป็นกรรมที่ไม่มีผล นั่งหลังขดหลังงอจนตายก็ไม่รู้อะไร เห็นพระกรรมฐาน เห็นเกจิอาจารย์ไปนั่งปลุก เขานิมนต์ไปนั่งปลุกด้วยกัน เขาปลุกอะไรเห็นไหม เคยเห็นไหม เขาปลุกเสกพระ เขาหล่อพระเป็นหมื่นๆ แสนๆ เขานิมนต์เกจิอาจารย์ไปนั่งปลุก เขาก็รู้ว่าเราเป็นเกจิอาจารย์ ไปนั่งกับเขา เขาจะเขียนที่ไว้ ให้อาจารย์องค์นั้นนั่งตรงนั้นนั่งตรงนี้ เราไป ก็เขียนป้ายติดที่นั่งไว้ เราก็ไปนั่ง แล้วก็นั่งหายใจเข้ารู้สึก หายใจออกรู้สึก ไม่ได้เสกอะไร(หัวเราะ) มันก็รู้สึก บางทีก็ยกมือเคลื่อนไหว ศักดิ์สิทธิ์ตรงนี่ ถ้าเราใจดีแล้วมันก็ไม่เบียดเบียนอะไร ขยับมือสร้างจังหวะ บางทีเขามีด้าย เขาขึงใส่เครื่องอะไรต่างๆ มาใส่ตักเราแล้วก็จับด้าย แล้วก็แผ่เมตตา สัตว์ทั้งหลายอย่าได้มีเวรพยาบาทเบียดเบียนกันเลย ไม่ใช่ว่า (คาถา....) อันนั้นคาถา ไม่ใช่กรรมฐาน กรรมฐานต้องแผ่เมตตา ต้องทำใจดีๆ หลวงตาก็นั่งอยู่ อาจารย์กรรมฐานมาจากขอนแก่น พระเกจิแก่เฒ่ามีลูกศิษย์จับปีกมาสองคน มาก็มานั่งใกล้ๆ เรานี่ อายุ ๗๐-๘๐ ปีแล้ว โยมไม่มาหา มันนิมนต์กูมาอะไร มาแล้วไม่ได้มีอะไร หลวงตาก็ดู หน้าบูดๆ เอาแล้ว พระเกจิอาจารย์ นรกแล้ว หน้าบูดแล้ว ดุร้าย ดุร้าย ไม่มีใครมาหา มันนิมนต์กูมาทำไม ไม่มีอะไร ทั้งๆ ที่เขาให้นั่งแล้วก็ทำเลย จะมีคาถาอะไรก็ว่าลงไปเลย ว่าเสร็จแล้วก็รีบหนีไป อันนี้มานั่งบ่น หลวงตาก็มีสติอยู่ หลวงตานั่นก็นั่งบ่นอยู่ เลยบอกลูกศิษย์กูไม่อยู่ ไป พากูไปกลับวัดดีกว่า เอ้า หลวงตากรรมฐาน พระกรรมฐานพระเกจิอาจารย์ทำไมมาโกรธเช่นนี้ ไม่ใช่พระแล้ว เป็นผีแล้วนี่ ดีอะไร พระมันต้องใจดีนะ อันนี้เป็นผีแล้วหน้าบูดๆ แบบนี้ (หัวเราะ) ลูกศิษย์ก็จับปีกลุกขึ้นพาไป เจ้าภาพก็วิ่งมา วิ่งมา แล้ว โอ้ ยังไม่ถึงเวลา นิมนต์นั่งก่อน ไม่ กูไม่นั่งมนต์แล้ว ไปๆๆๆ ขึ้นรถ(หัวเราะ) อะไร นั่นโกรธแล้ว โกรธแล้ว แต่ท่าทางศักดิ์สิทธิ์นะ ศักดิ์สิทธิ์อะไร้ ศักดิ์สิทธิ์มันต้องใจดี ธรรมจะได้เป็นคนใจดี นี่คือพระ อยู่ที่ใจดีๆ คือความเป็นพระ ถ้าใจร้ายก็เป็นผีไปแล้ว อะไรศักดิ์สิทธิ์ล่ะ ถ้ารีบทำก็ไป ก็ไป เขาต้องเอาปัจจัยตามถวายขึ้นรถไปเลย สงสารเจ้าภาพเขา เขาก็หน้าเศร้าเจ้าภาพ บรรยากาศไม่ดีเลย หลวงตาองค์เดียว พระผู้เฒ่าด้วย
อะไรคือศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์นี่เปลี่ยนร้ายเป็นดีนี่ มันจะโกรธเปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธนี่ มันจะทุกข์เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์นี่ อย่าเป็นทุกข์ความเป็นทุกข์ อย่าเป็นทุกข์เพราะความโกรธ อย่าเป็นทุกข์เพราะความโลภ อย่าเป็นทุกข์เพราะความหลง อย่าเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง นั่นแหละคือนิพพาน ในความร้อนเป็นความเย็น ในความร้อนมีความเย็นอยู่ ในความทุกข์มันก็มีความไม่ทุกข์อยู่ จนถึงกับว่าในความเกิดมันมีความไม่เกิด ในความแก่มันมีความไม่แก่ ในความเจ็บมันมีความไม่เจ็บ ในความตายมีความไม่ตายอยู่ที่นั่นแล้ว เย็นตรงนั้นแล้ว เตรียมเอาไว้ เตรียมเอาไว้ ชีวิตของเราต้องเหมือนกันหมด
ถ้าเห็นซากศพก็ศพมันบอกเรา แต่ก่อนก็เราก็เหมือนท่าน ต่อไปท่านทั้งหลายจะเหมือนเรานี้ นี่คือของจริง เพราะฉะนั้น เราจึงรู้วันนี้ซะ ในความไม่เที่ยง ในความไม่ทุกข์ รู้เดี๋ยวนี้ ในความเกิดแก่เจ็บตายรู้เดี๋ยวนี้ จึงเหนือการเกิดแก่เจ็บตายเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครแก่ใครเจ็บใครตายเดี๋ยวนี้ นี่กรรมฐาน ไปสุด สุดเลย สุดแผ่นดิน สุดโลก จบแล้ว จบแล้ว ถ้าเราไม่ศึกษาเรื่องนี้ อะไรชีวิตของเราที่จะมีประโยชน์ อย่าประมาท อย่ารอให้อ้างโน่นอ้างนี่ ความหลงมันไม่อ้าง เวลามันหลงทีไร รู้ทันที หัดไว้ หัดไว้ หัดไว้ เวลามันทุกข์ทีไร รู้ทันที เปลี่ยนทุกข์ไม่ทุกข์ เปลี่ยนหลงไม่หลง เปลี่ยนโกรธไม่โกรธ เปลี่ยนให้เป็นความรู้ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือหรอแล้ว มันไม่งอก ไม่มีพันธุ์ใหม่ เหมือนไข้หวัด สองพันห้าร้อย สองพันเท่าไหร่ ไข้หวัดพันธุ์ใหม่ ความโกรธเป็นพันธุ์เก่า ความทุกข์ก็พันธุ์เก่า ความหลงความโลภเป็นพันธุ์เก่า พันธุ์เดียวกันหมดเลยในโลกนี้ ถ้าจะเปลี่ยนหลง ก็มีแต่ความรู้อันเดียวขนานเดียว สักกัตวา พุทธะรัตตะนัง โอสะถัง เป็นยารักษาทุกข์ ยารักษาความโกรธ ความโลภ ความหลง นี่คือศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ เรียกว่ากรรมฐาน
หลวงตาจะไปทางเลย จะไปสอนธรรมะเมืองเลย มันขยันแบบผู้เฒ่านะ อยากจะไปบอก ให้ไปบอกเถอะ จะทำได้ไม่ได้ ถือว่าไม่ใช่ความผิดของเรา เรากินข้าวชาวบ้าน เรานุ่งห่มจีวรชาวบ้าน เราอยู่กุฏิชาวบ้าน เราจะไปทำประโยชน์ เดี๋ยวนี้งานเมืองเลยหลวงพ่อเทียน จะไปบ้านพ่อ ทับมิ่งขวัญ หลวงพ่อเทียนตายที่นั่น หลวงพ่อเทียนสั่งไว้ อย่าลืมทับมิ่งขวัญนะ อย่าลืมวัดโมกนะ อย่าลืมวัดสนามในนะ เราไม่ลืม