แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันเนาะอย่าได้เบื่อหน่ายต่อคำสั่งสอน ขี้เกียจทำตาม เห็นความไม่เจริญ ผู้หวังความเจริญแก่ตนอย่าให้สิ่งเหล่านี้มาครอบงำจิตใจได้ แล้วก็นำไปปฏิบัติทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน พวกเราอยู่วัดวาอารามนี่ อุทิศเฉพาะเรื่องนี้จริงๆ ออกมาอยู่วัดอยู่วา อุทิศต่อพระพุทธเจ้า การอุทิศต่อพระพุทธเจ้าคือปฏิบัติตามคำสอน โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อหน้าต่อตา สัมผัสได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ เพราะมันเป็นชีวิตที่เปิดออกในของที่ปิด มันหงายของที่คว่ำขึ้นมา มีสติภายในกายเป็นประจำนี่หงายขึ้นมาแล้ว เปิดของที่ปิดออกแล้ว ถ้ามีสติดูกาย อาการที่เกิดขึ้นกับกายจะได้เห็น อาการที่เกิดขึ้นกับจิตใจก็จะได้เห็น อาการอะไรที่เกิดขึ้นให้เอาสติเป็นตัวเฉลย อย่าเอาอันอื่นไปเฉลย หาเหตุหาผลจากความคิดแยกแยะ ไม่ต้องไปถึงโน่น มีการกระทำลงไปจริงๆ เรียกว่าโต้ตอบทักท้วงตรวจสอบให้มันตรงกันข้าม มีความหลงอยู่ที่ใดต้องมีความรู้สึกตัวอยู่ที่นั่น มีความทุกข์อยู่ที่ใดต้องมีความรู้สึกตัวอยู่ที่นั่น ขอใช้พื้นที่กายใจเนี่ยเพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว นี่คืออุทิศปฏิบัติตาม มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด มันมีทั้งหมดแล้ว ต่อหน้าเราแล้วได้พบเห็นไม่ใช่คิดเห็นอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ต้องอย่าทิ้งไว้ในกายในใจ
อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นถ้าทิ้งไว้มันก็เป็นนิสัยมันติดได้ เป็นวิญญาณได้ เป็นสังขารได้ เป็นสมุทัยได้ ถ้าเราไม่ทิ้งไปมันจะได้นิสัยอื่นๆ นิสัยพุทธะ ไม่มีใครคิดยิ่งมากเหมือนกับพระสิทธัตถะดอก ขณะที่ออกทรงผนวช นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ จะเอาจริงเอาจังใช้หลักนี้มีสติไปในกายเป็นประจำ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายในคราวนั้นจะเยอะแยะมากที่สุดเลยเพราะต้นไม้เป็นที่อาศัยเหลือบ ยุง ลม แดดสัตว์เลื้อยคลานก็ผ่านมา สัมผัสได้ ใกล้ตัว ฝนตกก็เปียก แดดออกก็ร้อน ชวนให้คิดถึงปราสาทสามฤดู ชวนให้คิดถึงปราสาทสามฤดูเปรียบเทียบกับต้นโพธิ์ ถ้าจะเอาคิดเอาเหตุเอาผลมันก็สู้ปราสาทไม่ได้ต้นโพธิ์ เคยเป็นเจ้าฟ้าชายเป็นสุขุมาลชาติ มีสาวกำนัลขับกล่อมตลอดเวลาไม่ลำบาก แต่มาอยู่คนเดียวเนี่ยอะไรเกิดขึ้นมา ย่อมเปลี่ยวเดียวดาย ว้าเหว่ ยิ่งเคยมีลูก ความเป็นพ่อก็คิดถึงลูก ความมีอัครมเหสีย่อมคิดถึง มีพระราชทรัพย์สินศฤงคารย่อมคิดถึง มามีผ้าย้อมฝาดผืนเดียวต้องนุ่งต้องห่มต้องอะไรก็อยู่ที่นี่ อาหารบิณฑบาตก็ได้มาจากบางทีก็ได้จากเด็กเลี้ยงโค รีดนมโคมาให้ ตามมีตามได้ บางทีก็บิณฑบาตทิ้งหมดเลยนี่ มันก็ต้องเกิดอะไรขึ้นมากมาย กลัวตายบ้าง เรียกว่ามารเยอะแยะเลยก็ย่อมคิดเก่งสังขารอาจจะปรุงแต่งเก่ง
เหตุทำให้เกิดสังขารก็รุมเข้ามา ก็เปลี่ยนมีสติไปไม่ไปกับความคิด มันคิดถึงราหุลก็กลับมา คิดถึงปราสาทก็กลับมารู้สึกตัว คิดถึงพระราชทรัพย์สินศฤงคารก็กลับมารู้สึกตัวเนี่ย นี่เรียกว่าเบื้องต้นที่สุดเลย ปฐมกาลเลยทีเดียว ตรงเนี่ย เราจึงอุทิศทำเหมือนพระพุทธเจ้าเนี่ย เวลาคิดถึงปราสาทก็กลับมารู้สึกตัว คู้แขนเข้า เหยียดแขนออกให้รู้อย่างนี้ความคิดมันก็หายไปกลายเป็นความรู้สึกตัวซะ เรียกว่าขอพื้นที่ที่เคยคิดคืนมาให้สติให้สัมปชัญญะอยู่ให้สิทธิเรื่องนี้กลับมารู้สึกตัวซะ อะไรเกิดขึ้นกับกายก็กลับมารู้สึกตัว จึงเรียกว่ากายสักว่ากายไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แต่ก่อนเอากายเป็นตัวเป็นตน ทำตามกายมันต้องการอะไรก็รับใช้ มันเป็นตัวเป็นตนเต็มไปหมด เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะตัวตนที่เกิดกับกาย หลายภพหลายชาติ บัดนี้ตัดออกไปเลย รู้สึกตัวสักแต่ว่ากาย ชี้ลงไปเด็ดเดี่ยว ใจกล้าๆสักหน่อย จึงเรียกว่าอุทิศ
อย่าย่อหย่อน คล้อยตามอาการที่มันเกิดขึ้น เช่น ความหนาว ก็หนาวไปเลย ถ้ามีสติสักว่ากาย สักแต่ว่า สักว่ากายอาการเกิดขึ้นของกายเป็นธรรมดา ธรรมชาติสักแต่ว่าความหนาวไม่ใช่ตัวใช่ตน ความร้อนก็ไม่ใช่ตัวใช่ตน ความปวดความเมื่อยก็ไม่ใช่ตัวใช่ตน ความหิวก็ไม่ใช่ตัวใช่ตน สักแต่ว่า มันมีกาย และก็มีจิตที่มันคิดเป็น มีวิญญานธาตุรู้ วิญญานธาตุมันรู้ได้ มันก็ต้องคิดธรรมดาก็สักว่าจิตซะ เมื่อมีสุขมีทุกข์เกิดขึ้นก็สักแต่ว่านั่นแหละ สติ สติเป็นอย่างนั้น ทำให้ตนทำให้ตัวตนที่เกิดจากอาการต่างๆ น้อยลงมีสติลงพื้นที่เต็มไปหมดเลย เกิดสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ แต่ก่อนมีอะไรมาลงพื้นที่หิ้วไปหอบไปสุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ได้เป็นได้ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก สงบเป็นสงบ ฟุ้งซ่านเป็นฟุ้งซ่าน อะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นเรียกว่ามาร กิเลสมารปรุงแต่ง หลายลักษณะ ขันธมาร เจ็บ ปวด หนาวสั่น หิว ขันธมาร มัจจุมารกลัวตาย ไหวมั๊ยเนี่ยๆ ทำท่าจะเป็นไข้แล้วเนี่ย เรียกว่ากลัวตาย เทวบุตรมาร คิดถึงความสะดวกสบาย ตั้งแต่เป็นเจ้าฟ้าชายเอามาอ้างแล้วก็อาจจะหลงไม่ได้สู้อ่อนแอไปเลย เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค อ่อนไปเลยไหวไปตามอาการอันที่เกิดขึ้นมาไปเลย
จึงไม่ใช่วิสัยของพุทธะ เราก็เห็นอย่างนี้แล้ว มีตัวอย่างอย่างนี้ เรียกว่าอุทิศแล้วก็ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เนี่ย สัมผัสได้เนี่ย ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องยากมีอยู่แล้ว เกิดขึ้นแล้วอุบัติขึ้นแล้ว 2600ปี มีหลักมีฐาน มีการสัมผัสทางกายทางใจเราก็เกิดศรัทธาในการอุบัติขึ้นพระพุทธเจ้า ไม่มีตรงไหนตำหนิติเตียน ยากที่สุดเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นเรื่องยาก เราก็มาพบเห็นแล้วเห็นคำสอน ทั้งพระธรรมคำสอน เราก็นำมาปฏิบัติได้ เราก็มีกาย มีใจ มีรูป มีนามเนี่ย เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า สามัญชนเหมือนกัน เป็นสุขเหมือนกัน เป็นสุขความคิด เป็นทุกข์ความคิดเหมือนกัน จึงเรียกว่า เวทนา สักว่าเวทนา นั่นคือ สุขคือทุกข์ นั่นแหละ ก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่ใช่สุขคือเราชอบพอใจ ทุกข์เราไม่ชอบไม่พอใจ ไม่ไปอย่างนั้น กลับมารู้สึกตัว สักแต่ว่าสุข สักแต่ว่าทุกข์ นี่มารมันเกิดขึ้นมาเปลี่ยนในเปลี่ยนมาเป็นรูปไปหมดเลย
พุทธะเกิดขึ้นลักษณะอย่างนี้เรียกว่าสักแต่ว่าเนี่ยเป็นทางแห่งพุทธะ กำเนิดของพุทธะ รู้สึกตัว รู้สึกตัวไม่เป็นไปกับมัน ตัดไปได้เลย การที่ปฏิบัติตามธรรมนี่ก็เป็นเรื่องยาก บัดนี้ไม่ได้ยากเสียแล้ว อยู่ต่อหน้าเรานี้ ขอพื้นที่หลงตรงไหนไม่หลงตรงนั้น มันยากตรงไหนละเนี่ย เหงื่อก็ไม่ไหล ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร ไม่มีใครมาขวางกั้น สิทธิของเรา 100% เวลามันหลงมีสิทธิไม่หลง เวลามันทุกข์มีสิทธิไม่ทุกข์เนี่ย การบรรลุธรรมการฟังธรรมเป็นเรื่องยาก การบรรลุธรรมเรื่องยาก ยากสำหรับผู้ที่ไม่มีศรัทธา ไม่มีการอุทิศ เบื่อไม่อยากทำตาม อันนี้เป็นเรื่องยาก เดี๋ยวก็มีศรัทธา ออกจากบ้าน ออกเรือนมาอยู่วัดวาอาราม เป็นนักบวชบ้าง เป็นอุบาสก อุบาสิกาบ้าง สละออกจากบ้านมาบ้าง เหมือนๆ กัน มาแล้วมาอยู่ที่นี่แล้ว มีธรรมะเป็นรูปเป็นรอด มีหลักฐาน มีเพื่อน มีมิตร มีผู้พูดให้ฟัง มีผู้เอาไปทำมากมายมาแล้ว นับมาสองพันหกร้อยปี นับมาร้อย สองร้อยสามร้อยปีมานี้ มีมาตลอดยังเห็น ยังมีไออุ่นก็ว่าได้
จนมาถึงยุคหลวงปู่เทียนเนี่ย ยิ่งชัดเจน ดุ้นๆ ก้อนๆ หยาบๆ ไม่ละเอียดอะไร ไม่ต้องไปแยกแยะ ขบคิดขบเคี้ยวอะไร เป็นดุ้นเป็นก้อน มีสติดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจมันคิด ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม ดูกรรมเห็นพระนิพพาน ดูอาการเห็นปรมัตถ์ หลวงพ่อเทียนพูดอย่างนี้ เราก็เห็นด้วยไม่มีคำขัดแย้ง ดูกายก็เห็นจิตเนี่ย เห็นจิตที่ข้างในเห็นไหมเห็นทุกคน เวลานั่งอยู่นี่คิดไปโน่น หอบหิ้วไปก็ได้ ถือกระเป๋ากลับบ้านก็ได้ถ้ามันคิดขึ้นมา เบื่อหน่ายก็ได้ ไม่เอาๆอะไร มันผิดก็ไม่ชอบ จะได้จะไม่ได้ จะไม่อยากให้มันผิด อยากให้มันถูก อยากให้มันสงบ แบบไม่อยากให้มันฟุ้งซ่าน อย่าไปต่อรองแบบนี้ ลุยไปเลย มันผิดก็เห็น รู้สึกตัวซะ มันถูกก็รู้สึกตัวซะอย่างเนี้ย มันสงบก็รู้สึกตัวซะมันฟุ้งซ่านก็รู้สึกตัวซะ มันยากก็รู้สึกตัวซะ มันง่ายก็รู้สึกตัวซะ เนี่ยไปอย่างเนี้ย
เอานี่เป็นทางเหยียบไปเลย ตั้งเข็มทิศไปให้ดี จะเอาตรงนี้ เอาจริงๆ ตรงนี้ หนึ่งวัน เจ็ดวัน อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา หนึ่งเดือน เจ็ดเดือน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา หนึ่งปี เจ็ดปี อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ถ้าดำเนินอยู่ตรงนี้ ถ้าออกจากนี้ละก็ อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ย่อๆ หย่อนๆ ทิ้งขว้างอาจจะด้านไปเลย เบื่อไปเลย เวลาทำลงไปปฏิบัติลงไป เอาอันอื่นมาต่อรองจะทำได้มั๊ยเนี่ย ว่าจะทำไม่ได้นี่ยากมั๊ย ถ้ายากก็จะไม่เอาถ้าง่ายก็จะเอา
ได้รับโทรบ่อยๆจากญี่ปุ่นโทรมายากมั๊ย จะกำหนดเดือนหนึ่งพอมั๊ย จะรู้มั๊ย นานเท่าไหร่อย่างนี้มาต่อรองนี่ แสดงว่ามีขวางกั้นไว้แล้ว ถ้าได้ก็จะมาทำ ถ้าไม่ได้ก็ไม่อยากมาเสียเวลาๆ ถ้าคิดอย่างนี้มันก็ตั้งจิตไว้ผิด เมื่อตั้งไว้ผิดมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เราจึงมีอุทิศเนี่ย อุทิศคือศรัทธาเนี่ยเชื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจริงๆมีจริงๆ ในโลก พระธรรมคำสอน ก็มีจริงๆเนี่ย ผู้ปฏิบัติตามธรรมก็มีอยู่จริงคือพระสงฆ์เนี่ย ปฏิบัติดีเนี่ย ปฏิบัติตรง ปฏิบัติออกจากทุกข์ ปฏิบัติเป็นสามัญเนี่ย มีอยู่จริงจนเป็นพระอรหันต์มีอยู่จริงอะเนี่ย เราคนหนึ่งนี่จะไม่ได้เลยเนี่ย คิดอย่างนี้ทุ่มเทลงไป ศรัทธาลงไปไม่ท้อถอย
การบรรลุธรรมมันของยาก อะไรที่มันยากเนี่ย เราต้องลุยลองดูซิ ถ้ามีศรัทธา มีความเพียรมีสติ มันอาจจะไม่ยากเหมือนที่คิด เวลาเราปฏิบัติได้เปลี่ยนหลงเป็นรู้ไปเรื่อยๆ เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ เปลี่ยนโกรธเป็นสมุทัย สังขารเป็นรู้ทั้งหมด มันจะเป็นการเรียบไปๆ เป็นทางไปง่ายล่ะบาดนี่ แล้วก็จะทวนกระแสสักหน่อย ทำไปทำมาจะราบรื่น จะให้หลงเป็นเรื่องยาก จะให้ทุกข์เป็นเรื่องยาก จะให้เกิดอะไรขึ้นมานอกจากสติเป็นเรื่องยาก เพราะสัมผัสแล้ว ความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริงความทุกข์มันไม่จริง ความไม่ทุกข์มันมีจริงเนี่ย มันก็ตอบได้ทุกคน สัมผัสได้ทุกคน มันก็ย่อมล่วงพ้นภาวะเดิม ล่วงพ้นภาวะเก่า เรียกว่าวิปัสสนาเกิดขึ้นมาจากผู้ปฏิบัติการของเก่า
แต่เก่าเคยเป็นอย่างนั้นขนหัวลุก เคยสุข เคยทุกข์เพราะความคิดเอาชีวิตไปห้อยแขวนไว้กับความคิด ให้ความคิดมาเป็นใหญ่ ขนหัวลุก ทั้งๆที่ความคิดมันเป็นสังขารชนิดหนึ่ง จิตสังขาร เราก็อยู่ในโลก รูปนามนี่มันอยู่ในโลก เราไม่ใช่อยู่คนเดียวในโลกนี้ มีนินทา มีสรรเสริญ มีได้ มีเสีย มีร้อน มีหนาว กลางคืน กลางวัน มันเป็นโลกสังขารโลก โอกาสโลก มีท้องฟ้า มีดวงอาทิตย์ มีก้อนเมฆ มีแผ่นดิน มีน้ำ ไม่ใช่เราอยู่คนเดียว ในโลกนี้มีหลายๆ อย่าง แล้วก็มีสัตว์โลกที่อยู่ที่นี่ ก็เกี่ยวข้องกับเราทั้งนั้น อากาศก็เกี่ยวข้องกับเรา โลกก็เกี่ยวข้องกับเรา โลกนี้ก็ตกอยู่ความไม่เที่ยง ในความเป็นทุกข์ ในความไม่ใช่ตัวตนของมันเหมือนกัน เรามาเราก็เห็นอยู่เนี่ย ชีวิตของเราถึงปูนนี่ย่อมผ่านอะไรมาเยอะแยะ
ความจริงตรงไหนไหนความโกรธอยู่ไหน ไหนความทุกข์อยู่ไหน เอามาอ้างดูซิ ไหนความรักอยู่ที่ไหน ไหนความเกลียดชังอยู่ที่ใด การได้อยู่ที่ไหน การเสียอยู่ที่ไหน เรานั่งอยู่เนี่ยเวลาเรามีสติมันอยู่ที่ไหน เราก็ไม่มีอะไร มีแต่สติเท่านั้น เราไปคว้าเอาของที่ไม่มีว่าเป็นตัวเป็นตน สุขก็คือเรา ทุกข์ก็คือเรา ความโกรธก็คือเรามันอยู่ที่ไหน มันเป็นสมมุติบัญญัติขึ้นมา มันเป็นอุปาทานขึ้นมา มันเป็นภพ เป็นชาติขึ้นมา ก็ถูกหลอกลวงเสียเปรียบสิ่งที่ไม่ดีมาใช้กายใช้ใจเรามากพอแล้ว ถ้าเรามาดูดีๆ นะ ถ้าเรามีสติมันจะมองเห็น จะเห็น เห็นแจ้งได้ความไม่หลงจากความหลง ได้ความไม่ทุกข์จากความทุกข์ นี่ปฏิบัติธรรมมันมีหลักฐานอย่างนี้ ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นไม่มีทุกข์
มันไม่ใช่เราคิดคำนวณคิดคะเนเอา มันจดจากของจริง คือกาย คือใจ คือรูปคือนามนี่เป็นสูตรเยอะแยะ 84000 เรื่องเกิดขึ้นที่กายที่ใจนี่ กิเลสก็พันห้าตัณหาก็ร้อยแปด ทำไมเราจะไม่เห็น มีกันทุกคน อย่าไปย่อหย่อน มันเข้มแข็งขึ้นมา ตรงไหนอ่อนแอมีความเข้มแข็งตรงนั้น มันสร้างได้ รูปนี้ นามนี้ เรียกว่าปฏิบัติได้ให้ผลได้ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ จะเอาอะไรมาต่อรองมันอยู่ที่ตัวเราเนี่ย หลงอยู่ที่บ้านก็รู้ที่บ้านนั่นแหละ หลงอยู่บนที่ทำงานก็รู้อยู่บนที่ทำงานนั่นแหละ แม้มันจะตาย มันจะหลงในการตายก็ไม่หลงอยู่ตรงนั่น หรือมันเจ็บ หลงในความเจ็บก็ไม่หลงอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าหัดหนามันก็ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไรเนี่ยก็ยิ่งใหญ่ มีเงินล้านเงินหมื่นเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ ไม่มีค่า
คำว่าไม่เป็นอะไรกับอะไรในโลกเนี่ย สังขารโลก ลูกโลกเนี่ย ไม่เป็นอะไรอีกอย่างน้อยเราก็ต้องตัดสินใจแน่วแน่ลงไป ไม่เอาเรื่องกาย เรื่องใจมาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่เอาเรื่องกาย เรื่องใจมาทำให้คนอื่นเป็นสุขเป็นทุกข์ จะใช้แต่สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ เลือกใช้มัน ให้มันเป็นประโยชน์ เหมือนพ่วงแพเพื่อขี่ข้ามฟาก ขอบคุณที่มันมีรูป มีนามเนี่ย ขอบคุณที่มันร้อน มันหนาว มันหิว มันเจ็บ มันปวด เนี่ย มันแก่ มันเจ็บ มันตายเนี่ย เป็นโจทย์ เป็นโจทย์ที่เราจะต้องเฉลยให้ได้ ไม่ใช่เรายอมรับหรือจำนน คอยหัวเราะ คอยร้องไห้ อยู่เช่นนี้ มันก็มีค่าอะไรชีวิตเราเนี่ย มันล้าสมัยแล้ว ไปหลงอยู่ ไปโกรธอยู่ ไปทุกข์อยู่ เค้าไปกันเกือบครึ่งประเทศแล้ว ครึ่งโลกแล้ว เราไม่หูหนวก เราเคยได้ยิน ประวัติของคนดี ของพระสงฆ์ ของผู้ปฏิบัติเป็นญาติเป็นโยมก็มีเยอะแยะ มาพูดให้เราฟังก็มีแยะ หนังสือหนังหาตำรับตำราเยอะแยะ ไม่ใช่เราจะไปสุ่มหาอะไร สะดวกทุกวันนี้ซีดี วีซีดี วัดวาอารามก็สะดวกกว่าเก่า
สามสิบ สี่สิบปีก่อนนั่น ถ้าจะปฏิบัติธรรมต้องไปแสวงหาเองไปขออยู่บางทีก็ไม่ได้อยู่ เดี๋ยวนี้เปิดทั่วไป สายงานหลวงปู่เทียนนี่ เริ่มมาตั้งแต่เดือนธันวาจนถึงเดือนพฤษภา มิถุนา มาจบลงที่นี่วันที่ 20 พฤษภา ถึงวันที่ 30 มิถุนา 40วันจบที่นี่ ก็เริ่มเข้าพรรษาปฏิบัติธรรม ออกพรรษาแล้วก็มาทำงานอีก มีสำนักใดที่ใด ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนนี่เตรียมต้อนรับ มีน้ำ มีข้าว มีห้องน้ำ มีที่อยู่ มีครูอาจารย์เตรียมพร้อม เพื่อจะเป็นมิตร เป็นเพื่อน เดี๋ยวนี้ก็มีสายงานอยู่ที่นี่บ้านกุดโง้งเนี่ยเขาปฏิบัติธรรมกันอยู่ หลวงพ่อกมก็ไปตามสายงาน แม่ชีที่วัดนี่ก็ไปตามสายงาน ก็สนุกไปแบบหนึ่ง มันมีเพื่อนน่ะ ถ้าอยู่คนเดียวอาจจะไม่ไม่อุ่นใจ ถ้าเป็นเพื่อนมากๆ เค้าก็พาทำ พาจัดปฏิบัติ พูดให้ฟังคนมาพูดให้ฟังมีวิทยากรเยอะแยะ ญาติโยมสนับสนุนมันก็สง่างามเนี่ยเป็นผู้ปฏิบัติธรรมย่อมสง่างาม
ไปอยู่ที่ใดชาวบ้านถิ่นฐานแถวนั้นก็ยินดีต้อนรับ เวลาบิณฑบาตก็แม่ชี ญาติโยมนุ่งขาวถือขาวเดินตามหลังพระ ชาวบ้านก็นั่งพนมมือให้อาหารใส่รถมาเหลือเฟือไม่ลำบาก ถ้าจะเปรียบเทียบสมัยพระพุทธเจ้าลำบากกว่านี้ อดอยาก ต้องบิณฑบาตคอกม้า อาหารม้า ทั้งข้าวเปลือก ทั้งข้าวสารปนกัน แล้วก็มาต้มกิน ลำบากกว่าเรานี่ เรานี่ไม่ลำบากถือว่าสะดวกพอสมควรในการปฏิบัติธรรม อย่าให้เป็นเรื่องยาก ประเทศไทย พุทธศาสนาแบบไทยๆ วัดวาอารามแบบไทยๆ พระสงฆ์แบบไทยๆ ประเพณีแบบไทยๆ เพื่อความสะดวกในการนี้ ก็ยินดีอย่าให้วัดนี่ว่างเปล่า ไว้ใช้บ้าง คนก็มีศรัทธาสร้างไว้ ก็มอบกุญแจไว้ พวกเราก็ไม่มีเงินมีทองแต่คนอื่นมาสร้างให้ เขาเห็นประโยชน์ เขาก็มอบกุญแจ ปกติอย่างนี้ถ้าคนมาใช้บุญออกดอก ถ้าไม่มีคนมาใช้บุญก็ไม่ออกดอก พอได้บุญเมื่อมีคนมาใช้วัดวาอารามนี่เขาได้บุญ การถวายวัดเขาก็ถวายจากทุกสารทิศที่มาอาศัยเนี่ย ถวายไว้ที่มาทุกสารทิศ ผู้ยังไม่มาขอให้มา มาแล้วให้อยู่เป็นสุขปฏิบัติธรรมให้อยู่เป็นสุข เขาคิดอย่างนี้ผู้ถวาย ไม่ใช่ของใครของพวกเรามีสิทธิมาใช้ในการปฏิบัติ ไม่ใช่บวช ไม่ใช่ที่อาศัยเฉยๆ วัดเป็นที่อยู่ของปูชนียบุคคล คนเค้าว่าต้องละชั่วทำดี ผู้มีศีลอยู่วัดไม่ได้ แต่ไม่มีศีลมีโจรผู้ร้ายก็อยู่วัดไม่ค่อยได้
วัดไม่ใช่บนบาน ให้เค้าเล่นการพนันสนุกสนานไม่ใช่อยู่แล้ว เพื่อเป็นการปฏิบัติ แล้วก็ใช้สร้างให้เป็นอย่างนี้ เรามาที่นี่เราก็ต้องมาปฏิบัติ มีสิทธิอยู่ได้ มีข้าวให้กิน บางคนก็เอาผ้าห่มเอาเครื่องกันหนาวมาให้ ยารักษาโรคก็มี บางทีก็เอารถยนต์มาให้ใช้ในเวลาจำเป็นกิจพระศาสนา เวลาไปหาหมอก็ไม่ลำบาก หมอก็ต้อนรับ ถ้ามาจากวัดหาหมอเขาก็ต้อนรับดี ไม่ปล่อยกันทิ้ง แล้วก็พึ่งพาอาศัยกันฝากผีฝากไข้ต่อกันนะ เพราะฉะนั้นจึงอย่าคิดว่ามันยาก พระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นมาแล้ว พระธรรมก็มีแล้ว ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติได้แท้ๆ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ศึกษาปฏิบัติพึงทำด้วยตนเอง เอากาย เอาใจมาทำ มีกายแล้ว เราก็มีกายมีใจแล้ว ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล มีสติมากก็รู้มาก มีสติน้อยก็รู้น้อย ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่นับกาลเวลา หลงหนึ่งครั้งรู้หนึ่งครั้ง หลงร้อยครั้งรู้ร้อยครั้ง
นี่สมควรแก่การปฏิบัติรู้ได้ไว ไปได้ไว เหมือนม้ามีฝีเท้าดี ส่วนผู้ที่หลงเป็นหลง ทุกข์เป็นทุกข์ โกรธเป็นโกรธม้ามีฝีเท้าไม่ดีเดินช้า วิ่งช้า อยู่ที่การปฏิบัติของแต่ละคน ต้องอุทิศตนให้ได้สำหรับพวกเราเนี่ย เราก็คนคนหนึ่งละ ลูกพ่อนี่แม่นี่เราคนหนึ่งละ เสนอตัวขึ้นมา รับผิดชอบเรื่องงานพระศาสนา อุทิศเรื่องนี้ พวกเราก็เป็นนักบวชบางที บางท่านก็อุทิศในใจเสมอ ก็คิดอุทิศจริงๆ สมัยเริ่มต้นจากการศึกษาปฏิบัตินี่ เห็นพระสงฆ์ไม่มีศีลเหมือนกับเรานี่ เราฆราวาสยังมีศีลกว่า เห็นพระสงฆ์ไม่ค่อยมีศีลไม่ค่อยมีระเบียบก็คิดอยากจะมารับผิดชอบเรื่องนี้ เมื่อคิดอยากจะบวชก็ไม่คิดอยากจะสึก จะรับผิดชอบเรื่องนี้ จนป่านนี้ก็ไม่เคยคิดเรื่องสึก ขออุทิศชีวิตนี้เพื่อการนี้ อยู่อย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เทศน์อย่างนี้ บอกคนอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ความหลงไม่จริง ความหลงมันจริง จะพูดอยู่อย่างนี้ ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริงจะพูดอยู่อย่างนี้ มันจึงไม่เป็นอะไรกับอะไร เราจึงให้ผลได้ปฏิบัติเนี่ยทำดีก็ต้องดี ทำชั่วก็ต้องชั่ว ทำดีแทนกันไม่ได้ ทำชั่วแทนกันไม่ได้ ทำบาปเองย่อมสนองเอง ไม่ทำบาปเองก็ย่อมหมดจดเอง
ความเศร้าหมองหมดจดเป็นของเฉพาะตัวของใครของมัน เอาเลยเราเห็นอยู่เนี่ยมันหลงรู้ขึ้นมา อะไรเกิดขึ้นก็รู้ สักแต่ว่า ๆ ไป หลุดไปๆๆ มันก็ง่ายขึ้นมา บรรลุธรรมก็ง่ายขึ้นมา อย่าเอามาเป็นเรื่องยากมาต่อรองอย่าไปกลัว กลัวขู่ เพียงแต่ขู่ก็กลัวแล้ว ว่าทหารรบตายนอกสนาม ต้องตายในสนาม ถึงจะชนะ พระพุทธเจ้าก็เปรียบเทียบนักรบตายนอกสนาม นักรบตายในสนาม ตายนอกสนามเพียงแต่ได้ยินข่าวก็กลัวแล้ว หรือนักรบพอเห็นได้ยินเสียงธนู ได้ยินเสียงปืน เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นสนามรบก็กลัวแล้ว ไม่สู้แล้ว ตายในสนามพอถูกลูกศร ถูกอะไรต่างๆนิดหน่อยก็กลัวแล้วหนีแล้ว ไม่เอาแล้ว ตายในสนามไม่หนี เจ็บขนาดไหนก็ไม่หนี สู้อยู่เนี่ย มีลูกศรเหมือนกันนะ ความรัก ความชัง กิเลส ตัณหาเกิดขึ้นมา ทิ่มเอาไปเจ็บปวด ไม่กลัวอีกสู้อีก สู้อีกต่อไป นี่เรียกว่าทหารตายในสนาม มันก็มีความฉลาดถ้าคิดอย่างนี้นะ ถ้าอะไรเกิดขึ้นแพ้ล่ะก็แพ้ไปเลย แต่ว่ากามสุขัลลิกานุโยค คล้อยตาม ตึง เครียด เกินไป ตั้งเป้าไว้ผิด ตั้งจิตไว้ผิด คอยจับผิดจับถูกคนนั้นคนนี้ ตัวเองก็ได้ไม่ได้ เอาความได้เอาความไม่ได้มาถอดออก พูดให้ฟัง วันนี้หลวงตาก็จะเข้ากรุงเทพฯไม่รู้จะไปได้มั๊ย เขาทะเลาะกันทั้งบ้านทั้งเมือง สมควรแก่เวลากราบพระพร้อมกัน