แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:40] ฟังธรรมกัน หลวงตาเป็นผู้พูด ท่านทั้งหลายเป็นผู้ฟัง เพื่อให้เป็นส่วนประกอบกับการงานที่เราทำอยู่ เวลานี้เรามาปฏิบัติธรรมกรรมฐาน อันเป็นเรื่องของเราทุกคน สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งเดียวกัน สิ่งที่เราเห็นก็เป็นสิ่งเดียวกัน สิ่งที่หลวงตาพูดก็เป็นสิ่งเดียวกัน มันจึงเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้เกิดความสะดวก เหมือนกับเราจะเดินทาง ให้รู้จักแผนที่กับหมายเลขแผนที่ให้ได้ จะไปไหนทางใดก็ต้องมีแผนที่ ไปให้ถูก บางทีเรารู้แผนที่ คนพาไปเค้าพาไปไม่ถูก เราก็แก้ไข หลวงตาเคยไปเที่ยวต่างประเทศ บางทีคนพาไปเอารถพาไป เขาไม่รู้ ก็เอาแผนที่มากางให้เขาดูนี้ไปทางนี้ เค้าก็พาไปถูกต้อง
ในชีวิตเราก็มีแผนที่ เริ่มจากทางเส้นแรกตั้งต้น ก้าวแรกก็มาดูกายนี้ กายนี้เป็นสิ่งที่บอกผิดบอกถูก เวทนาก็เป็นสิ่งที่บอกผิดบอกถูก จิตที่มันเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่เป็นบอกผิดบอกถูก ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งบอกผิดบอกถูก อย่าหลง พระพุทธเจ้าก็ชี้ให้แล้วชี้ทางให้แล้ว ทางอันเอก หมายเลข 1 มันจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ 201 ไม่ใช่บอกเลขนะ จับหมายเลข 201 แล้วถึงกรุงเทพฯ แน่นอน นี่คือแผนที่ พระพุทธเจ้าก็แสดงให้แล้วว่า เอสะมัคโควิสุทธิยา หมายเลข 1 ที่จะเป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ไปสู่มรรคผลนิพพาน ทางเส้นนี้ต้องเดินเอาเอง เดินคนเดียว ไปที่เดียว ไปถึงจุดหมายปลายทางที่เดียวกัน แล้วก็เริ่มต้นเห็นกาย
พระพุทธเจ้าก็บอกไว้ว่ากายสักว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ในกายนี้มันก็มีหลายอย่าง ทั้งที่ทั้งเกิดเกิดหลงเกิดรูปเกิดสุขเกิดทุกข์ก็กาย ข้องแวะอยู่ เสียเวลาไปกับกาย เวลามันบอกเราไม่รู้ รีบเอาซะจับเอาซะ มันสุขก็สุขไปเลย เป็นตัวเป็นตนกับกาย กายไม่มีกาย กายในกาย ถ้าเป็นตนอยู่ในกายเรียกว่ากายในกาย ผิดแล้ว เป็นสุขก็กายเป็นทุกข์ก็กาย เป็นตัวเป็นตน เกิดเป็นขันธ์เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณต่อขึ้นไปอีก เป็นกองทุกข์ทับถมกันลงไป แต่กายล้วนๆ ไม่เป็นอะไร มันบอกความเท็จความจริง เห็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เขาแสดงธรรมให้เราเห็น ไม่ใช่เรารู้ มันแสดงให้เราเห็น เห็นสุขเห็นทุกข์เกิดกับกาย เห็นผิดเห็นถูกเกิดกับกาย ให้เห็น อย่าเข้าไปเป็น อยู่กับกายมาดูกาย ตาในดู ไม่ใช้ตาเนื้อดูส่องกระจก ส่องเงาในกระจก อันนั้นเป็นกายนอก งามแต่งกายนอก แต่กายในอาจจะไม่งามก็ได้ จึงเห็นกายให้ทักท้วงเลยเลยว่ากายสักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ผ่านไปถ้าเอาสิ่งใดต่างๆ ที่เกิดกับกาย เอามาเป็นตัวเป็นตน กูร้อนกูหนาวกูทุกข์กูสุขกูปวดกูเมื่อย อันนั้นก็ กายมันก็กลับให้ไปไม่ได้ เป็นด่านที่มันกักให้ผู้เดินทางไปไม่ได้ เมื่อหลงตั้งแต่ต้นทางแล้วก็ไปไม่ถูก ก็เลยวกวนอยู่นี้ สิ่งที่หลงก็เกิดความหลง สิ่งที่ทุกข์ก็เกิดความทุกข์เรื่อยไป
แต่ถ้าปฏิบัติสิ่งที่หลงมันเป็นสิ่งที่รู้ เห็นความหลง เห็นความหลง นี่ทุกข์ นี่หลง เห็นความหลงเห็นเหตุที่ให้เกิดความหลง เรียกว่าเห็นของจริง เห็นของจริงอันประเสริฐ เห็นมันหลงเห็นมันสุขเห็นมันทุกข์เนี่ย มันมีอยู่ทุกคน ถ้าสุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลง ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก อะไรต่างๆ ก็วนเวียนอยู่นี่ เรื่องเก่าทุกข์แล้วทุกข์อีก งมๆ ซาวๆ อยู่อย่างนี้ก็ไปไม่ได้ ให้มันรู้ รู้เห็น ถ้ารู้เห็นเนี่ยไม่มีคำถาม มีแต่คำตอบ ตัวเองต้องตอบเอาเอง นี่คือหลง เจอกับความหลง นี่คือรู้เจอกับความรู้ ความรู้ความหลงมันคู่กัน เราก็เป็นผู้เห็นทั้ง 2 อย่าง มันหลงมันจึงรู้ มันรู้มันจึงเห็นความหลง ถ้าเห็นความหลงก็ผ่านความหลงได้ เรียกว่ากายก็สักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ เห็นทุกคน
โดยเฉพาะกรรมฐานนี่เป็นวิชาที่กวน กวนให้เกิด อะไรที่มันเป็นเท็จเป็นจริงในเรื่องของกาย เหมือนเรากวนน้ำในบ่อน้ำมีปลาอยู่ในน้ำกี่ตัวมันจะงอมขึ้นมา ถ้าจับปลาก็จับได้ ถ้าจับงูก็เอาได้ จะจับเอาก้อนอิฐก้อนหินก็ได้ ดังนั้น การกวนนี่เป็นการทำให้ฟูขึ้นมา เราอยู่กับกายเห็นกายนั่ง อาจจะเป็นอิริยาบทนั่ง อาจจะเป็นอิริยาบทเดิน นั่งนานมันก็แสดงกายออกมามันเป็นอะไร เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นอะไร ก็ได้เห็นมัน บางทีเดินจงกรม 3-4 ชั่วโมง ขามันแตก ก็ขามันแตก มันก็ต้องแสดงอ่ะ เดินไปนานก็ปวดเมื่อย นั่งไปนานก็ปวดเมื่อยก็ต้องแสดง การแสดงอาการต่างๆ เกิดกับกาย เราเอามาเป็นตัวเป็นตน เอาอาการต่างๆ มาเป็นตัวเป็นตนเรียกว่าไม่เห็น ถ้าเห็นก็เรียกว่าที่นั่งไปเป็นอาการอย่างนี้
ในชีวิตของเราทุกคน แล้วก็มีด่านอีกเวทนาที่มันสุขมันทุกข์ สุขทุกข์มันเป็นธรรมชาติ อาการที่มันเกิดกับกายกับใจธรรมชาติ เราก็เห็น เวทนาสักว่าเวทนาไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา สิ่งที่เห็นอย่างนี้ไม่ใช่วาจามันพูด มันเป็นดวงตาภายในคือสติ มันเห็น มันก็เห็นแจ้งจนเกิดสัมมาทิฏฐิว่าเวทนาสักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขานี่สัมมาทิฏฐิ เหมือนกับรุ่งอรุณของการเดินทาง จับเส้นทางได้บ้าง ถ้าเห็นเวทนาสุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ เป็นผู้สุข เป็นผู้ทุกข์ ก็เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ เห็นสุขเป็นสุข เห็นทุกข์เป็นทุกข์ แล้วก็เป็นผู้สุขผู้ทุกข์เรียกว่ามิจฉาทิฐิ ถ้ามันสุขมันทุกข์ ไม่เป็นผู้สุขไม่เป็นผู้ทุกข์ อันนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิได้
จิตมันก็มีอยู่มันคิดโน่นคิดนี้ มันมีอยู่ ว่าจะให้มันรู้สึกตัว มันดันไม่รู้ มันหลงไปคิดเรื่องอื่น เมื่อก่อนก็มีศรัทธา พอมันคิดอุตส่าห์มา พอมันเกิดความเบื่อหน่ายก็ขาดศรัทธา มันก็คิดเบื่อหน่าย การปรุงๆ แต่งๆ แบบนี้เขาเรียกว่าจิตที่มันไปย้อมอารมณ์ อารมณ์มันไปย้อมจิต เป็นอาการเกิดกับจิต ไม่ใช่จิต เราเห็นมัน จะเกิดความสุขความทุกข์ความรักความชังเพราะจิต อย่ารับใช้จิตในประเภทนั้น ถ้ารับใช้จิต มันสุขก็สุข มันทุกข์ก็ทุกข์ มันรักก็รัก มันชังก็ชัง มันโกรธก็โกรธไปตามอารมณ์ที่มาย้อมจิต มันก็เป็นมิจฉาทิฐิ ไปไม่ได้ ก็เดินทางไปไม่ได้ทางไหน โซ่ไม่แช่กุญแจไม่ไข ไปไม่ได้
ธรรมที่มันเกิดกับจิตมันเป็นอารมณ์เป็นความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย ความคิดฟุ้งซ่าน กามราคะปฎิคะ อิจฉาพยาบาทเกิดขึ้นได้ในจิต มันเคยเปรอะเปื้อนมา มันก็ต้องฉายออกมาตามนิสัยปัจจัยของชีวิตเราที่ใช้ผิดๆ ต้องให้รักให้โกรธให้ทุกข์ให้สุขให้พอใจให้ไม่พอใจ มันก็ติดมา ชั่วดีเป็นตา เลนส์มันติดมันถ่ายภาพมา เหมือนการใช้ชีวิตแบบไหนมันก็ติดมา เหมือนเลนส์หน้ากล้อง ถ่ายภาพยังไงก็เป็นอย่างนั้น ถ้าตัดต่อภาพไม่เป็นก็ ถ้าจะแสดงเป็นนักถ่ายภาพต้องดูมุมดี ๆ มุมไหนมันชัดจึงกดแฟลชเข้าไป มันจึงไม่เสียหาย ชีวิตของเราเนี่ย มันถ่ายเอาตะพึดตะพือ สุขก็เอาทุกข์ก็เอา โกรธหลง กิเลสตัณหาราคะไปกวาดเอาหมด มีกันทุกคนเรื่องนี้ จะเรียกว่ากิเลสตัณหา 108 เห็นง่ะ ธรรมมันเกิดกับจิต บางคนไปเอาอารมณ์มาเป็นจิต ไม่ใช่ กูโกรธกูสุขกูทุกข์ กูพอใจกูไม่พอใจ อารมณ์มันไม่ใช่จิต มันเป็นสังขาร มันปรุงมันแต่ง มันกลายเป็นภพ เป็นญาติ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก เดรัจฉานได้พวกนี้ มันต่ำอะไรมาก็เอาหมด มั่วเอาหมดว่าเราสุขทุกข์เราไปต่างๆ เรียกว่าธรรมารมณ์ เวลามันเกิดความง่วงขึ้นมามันก็ทำให้เราอ่อนแอไม่เข้มแข็ง
แต่ถ้านักปฏิบัติจะเข้มแข็งในความอ่อนแอ แต่รู้ในสิ่งที่มันหลง จะเห็นมันทุกอย่าง ภาวะที่เห็นไม่เป็นเนี่ยมันเป็นมรรค มรรคคือดู มรรคคือเห็นอย่างนี้ เห็นของใครของมัน ใครหลงเก่งไปรู้เก่งตรงนั้นอาจจะดีกว่าคนที่ไม่เคยหลง มันก็ทำงาน ถ้าทำงานมันผิด มีประสบการณ์มากกว่าคนที่ไม่เคยทำงาน อย่างเนี่ย ประสบกับการทำงานมามาก นักปฏิบัติผู้ปฏิบัติประสบกับปัญหาที่เกิดกับกายกับใจมามากทุกกรณี มันก็เก่งนะ ใครเป็นอะไรก็รู้จักได้เพราะมันเป็นอันเดียวกัน ฟังคำพูดของเขาก็รู้ รู้ได้เพราะมันอันเดียวกัน เช่นความโกรธอันเดียวกันทุกคน ความทุกข์กิเลสตัณหาอันเดียวกัน พยาบาทก็อันเดียวกัน ไม่ใช่คนละอย่าง จึงเป็นอันเดียวกัน เราจะมาสอนอันเดียวกันนี้เรียกว่าสากลแห่งธรรม เช่น เรารู้สึกตัวนั่งอยู่นี้ ทุกคนมีสติ มันก็คนคนเดียวกัน จะเป็นหญิงเป็นชายไม่เกี่ยวข้อง เพศใดวรรณะใดไม่เกี่ยวข้อง มันเป็นอันเดียวกันถ้ามีความรู้สึกตัว ถ้ามีความหลงก็ไม่ใช่อันเดียวกันแล้ว เป็นคนละคนไปแล้ว เราจึงเป็นอันเดียวกัน
นี่พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วอย่างนี้ แต่ถ้าเราไม่รู้เห็นเรื่องนี้ปฏิเสธเรื่องนี้ ไม่ให้คนอื่นบอก เราปฏิเสธ ไม่ชอบไม่ถูกนิสัยกับเรา มันก็เท่ากับปฏิเสธตัวเอง ปิดหูปิดตาตัวเอง บางทีไม่มีหรอกมรรคผลนิพพานทุกวันนี้ อย่างนี้ปฏิเสธตัวเอง เรียกว่ากล่าวตู่พระธรรมวินัย ขวางทาง ทำลายพระอรหันต์ เป็นบาปปาราชิก ไม่มีโอกาสบรรลุธรรมเลย มิจฉาทิฐิแบบนี้ เราจึงต้องศึกษาดู ให้ดู มาดู มาดู พระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ เชิญมาดูเอหิปัสสิโกเนี่ย เชิญมาดู โอปานะยิโกน้อมมาใส่ตัวเรา น้อมเราเข้าไปดูซิ เวลามันหลงน้อมความรู้มาหาเรา อย่างเวลามันหลงมันแข็งกระด้าง มันมีหลงมันมีรู้ มองเป็นสองกรณีอย่างนี้ เรียกว่ามีทิศมีทาง หลงทางรู้ทางอย่างนี้ เวลามันหลงก็ให้มันรู้ ก็จะเป็นการดีที่สุดเรียกว่าปฏิบัติ เวลามันหลงไม่รู้ไม่ใช่นักปฏิบัติ เป็นคนเกียจคร้าน บุคคลผู้ครุ่นคิดในอารมณ์ที่ครุ่นคิด ไม่มีสติ ไม่สลัดความคิดออก แม้เธอเดินจงกรมอยู่ นั่งสมาธิอยู่ถือก็ว่าบุคคลผู้นั้นแหละเกียจคร้านที่สุด จะเอาการเดินการนั่งมาเป็นเครื่องหมาย
ส่วนผู้ใดเวลาครุ่นคิดในอารมณ์ที่ครุ่นคิดมีสติ รู้สึกตัว บุคคลนั้นเป็นคนขยัน โย จะ วัสสะสะตัง ชีเว กุสีโต หีนะวีริโย เอกาหัง ชีวิตัง เสยโย วิริยัง อาระภะโต ทัฬหัง หลวงพ่อเทียนเคยพูดเรื่องนี้ บุคคลผู้เกียจคร้านมีชีวิตอยู่ร้อยปีไม่ประเสริฐเท่าผู้มีความเพียรในวันเดียว หมายถึงอันนี้ ไม่ใช่เกิดมานานเพราะการเกิด ไม่ใช่ จะเป็นคนแก่ แก่เพราะความรู้ ไม่ใช่แก่เพราะอยู่นาน เป็นคนงามงามที่น้ำใจไม่ใช่ใบหน้า คนที่จะสวย สวยที่จะจรรยาไม่ใช่ตาหวาน คนจะแก่แก่เพราะความรู้ไม่ใช่อยู่นาน คนจะรวยรวยเพราะศีลเพราะธรรมไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โต นี่เป็นภาษาภายใน งามน้ำใจแม้ร่างกายจะมอมแมมจับจอบจับเสียม มันก็ยังงามในใจ เช่น เว่ยหลาง
เคยได้ยินไหม เว่ยหลาง ตำข้าวผ่าฟืนอยู่ในสำนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้ไปฟังเทศน์ฟังธรรมกับเพื่อนเลย มัวแต่ผ่าฟืนตำข้าว ทำอาหารให้ผู้คนกิน แต่ทำไมได้บรรลุธรรมก่อนหมู่ เพราะมันอยู่ในใจ มันงามอยู่ ตากแดดตำข้าวเหงื่อไหลไคลย้อย อาจจะร้องเพลงมันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เหนื่อยก็ไม่เป็นไร ร้อนก็ไม่เป็นไร ทำงานก็ไม่เป็นไร วางใจ ส่วนคนที่นั่งอยู่ใกล้กับอาจารย์ เอาจริงเอาจัง ดีกว่าเขา เลิศกว่าเขา ไม่มีใครเก่งกว่าเราในที่นี้สำคัญมั่นหมาย เลยไม่รู้ธรรมเลย อาจารย์สังฆปรินายกองค์ที่ 5 ประกาศให้ผู้มารับสังฆปรินายกแทนในองค์ที่ 6 ต่อไป ลูกศิษย์ทั้งหลายแข่งขันกัน อยากเป็นสังฆปรินายก เหมือนกับเขาเลือกตั้ง สส. สว. อบต. ลูกศิษย์ก็แข่งขันกัน อาจารย์บอกว่าให้เขียนโศลกมาให้ดู เอากระดานไว้หน้ากุฏิ ใครจะมีโศลกอะไรมาเขียนภายใน 7 วัน 7 วันแล้วอาจารย์จะออกมาดู ลูกศิษย์คนใกล้ชิดกับอาจารย์ มาเขียนโชว์สติปัญญาของตน “ชีวิตเหมือนกระจกเงา หมั่นเช็ดถูอยู่สม่ำเสมอ” แล้วมีใครคนอื่นมาอ่าน ปัดโธ่ ไม่มีอีกแล้ว เท่านี้พอแล้ว ไม่มีใครกล้าเขียนพิชิตในโศลกนี้เลย
มีอาจารย์เว่ยหลางคนตำข้าวผ่าฟืน ชวนเพื่อน เขาเขียนยังไง เขียนหนังสือก็ไม่ออก เขาเขียนว่าไง มาดูวันสุดท้าย มาดูวันสุดท้าย อ่านไม่ออก อ่านให้ฟังหน่อยเขาเขียนยังไง เพื่อนก็อ่านว่าชีวิตจิตใจเหมือนกระจกเงาหมั่นเช็ดถูอยู่เสมอ เว่ยหลางก็บอกเพื่อนเขียนให้ซักหน่อยได้มั้ย เพื่อนก็บอกว่าเขียนได้ เขียนยังไงอ่ะ เขียนต่ำๆ ลงมา “เมื่อไม่มีกระจกเงา ฝุ่นจะมาเกาะที่ใด” ใช่ไหม วันที่ 7 อาจารย์มาตรวจดูสองโศลก โศลกที่หนึ่งของใครไม่รู้ โศลกที่สองของใครไม่รู้ อาจารย์เลยปรึกษาลูกศิษย์ผู้อยู่ห่างๆ มาดูซิอันนี้ โศลกของใครน่ะ โศลกของเว่ยหลาง เว่ยหลางอยู่ที่ไหนล่ะ เว่ยหลางตำข้าวผ่าฟืนอยู่ตรงโน้น ตำข้าวผ่าฟืนอยู่โน้น ไปเรียกเว่ยหลางมานี่ตั้งแต่ตีหนึ่ง อย่าให้ใครรู้จัก เรียกมาหาอาจารย์ที่กุฏิ เว่ยหลางเล็บตีนเล็บมือผุพังไปหมด ตำข้าวผ่าฟืนด้านไปหมดเลย หน้าตาไม่ดีเลย อาจารย์ก็ยกบาตรยกจีวรให้ ไป ออกจากวัดไปตั้งแต่เช้าเลย ไป อย่ามาอยู่นี่ ก็ออกจากวัดไป อาจารย์ก็ลบทั้งหมด
ในที่สุดไม่เห็นอาจารย์มอบบาตรมอบสังฆาฏิให้ใคร ถามหาคนที่อยู่ในวัด ไม่มี มันก็อยู่กันหมด แต่เว่ยหลางหายไป ไม่เห็นเว่ยหลาง ไม่มีคนคาดคิดเลยว่าคนอย่างนั้นจะบรรลุธรรมเลย เพราะใจมันงาม ตำข้าวก็ไม่เป็นไร ร้อนก็ไม่เป็นไร เหนื่อยก็ไม่เป็นไร วางปล่อย ไม่มีตัวไม่มีตน ผู้นั่งใกล้ชิดอาจารย์ ปวดขาโอ้ยปวดไม่ไหว ไม่ไหว ตายๆๆ หลวงพ่อมันปวดขา อันนี้ก็บินไปกับมันแล้ว ถ้าเป็นอาจารย์เว่ยหลางตำข้าวปวดขาก็ไม่เป็นไร การปวดก็ไม่เป็นไร ทุกข์ก็ไม่เป็นไร หนาวไม่เป็นไร เดือดร้อนไม่เป็นไร ฝนตกเปียกไม่เป็นไร วางไป ไม่เป็นไร คือเห็น ไม่เป็น ไม่เป็นไปกับอาการต่างๆ ที่เกิดกับกาย กับเวทนา จิต ธรรม เนี่ย นี้คือมีสติ เรียกว่าเห็น ไม่ใช่เป็น
พอเห็นนี่ก็ไปกันได้ ไปตะพึดตะพือ ทีแรกก็เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วเรื่องก็ใหญ่ขึ้นโตขึ้นโตขึ้น จึงมีภาวะนี้ เปลี่ยนสังขารเป็นวิสังขาร เห็นรูปธรรมนามธรรม ย่อลงมา เป็นการเห็น เห็นรูปกายใจนี้ เวทนา จิต ธรรมเนี่ย มันเป็นรูปเป็นนาม ไม่ใช่ตัวตน เหมือนเราสวดมนต์เมื่อกี้นี่ สัพเพสังขารานิจา สังขารคือร่างกายจิตใจและรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไปน่ะ ถ้ามันมีจริงลองให้หลวงตาดูซิ ความโกรธเป็นยังไง เอามาให้ดูสักหน่อย ความโกรธ ความทุกข์เป็นไง ความรักเป็นไง ความชังป็นไง มันเกิดขึ้น มันเป็นสังขารมันเป็นการปรุงแต่ง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไปเท่านั้นเอง แต่เราไปยึดเอาว่าเราโกรธว่าเราสุขว่าเราทุกข์ ถ้าความสุขก็พอใจในความสุข ถ้าความทุกข์ก็ไม่พอใจในความทุกข์ อันความสุขความทุกข์ก็มีค่ามีรสชาติสำหรับเรา มันให้รสให้ชาติในรสของรูป มันไปอย่างนี้นะในทางปฏิบัติไปอย่างนี้นะ
ไม่ใช่ไปเห็นพระพุทธเจ้า เห็นเทวดาตัวแดงๆ เห็นพระพรหมสีเขียวๆ รุกขเทวดา เทวดาอยู่ตามต้นไม้ ภุมมะเทวดา เทวดาตามแผ่นดิน อากาศเทวดา เทวดาตามอากาศ ท้องฟ้าก้อนเมฆ แล้วไปอยู่บนก้อนเมฆ ทานสิบทานห้า เป็นเทวาอยู่ชั้นฟ้าย้อน ขึ้นสวรรค์ค่องย่อง อย่ามาข้องอยู่ขี่ดิน นะโยมเน้อ โยมก็สาธุ ทิ้งเงินใส่ขันสมภารแถมสมภารชอบ หลวงตาบอกว่าใจร้ายเป็นผีใจดีเป็นพระ ไม่ชอบ บอกให้ใจดีๆ เป็นพระ ก็ไม่เอา อยากเป็นผู้วิเศษ จะไปอยู่ได้ไหมนั่นน่ะขี่ฟ้า ขี่ฟ้าหย่อนๆ มันจะไปอยู่ได้ไหม จะไปนั่งอยู่ก้อนเมฆได้มั้ย ถ้าเป็นเทวดาต้องอยู่โน่นนะ มันจะอยู่ได้ไง หลวงตาขึ้นเครื่องบินรอบโลกมาแล้ว ไม่ชน ชนก้อนขี้ฟ้า กี่ก้อนกี่ก้อนก็ไม่เห็นบ้านเทวดาเลย
เทวดาเนี่ยนั่งอยู่เนี่ย นี่เทวดาหลวงตา ที่โปรดหลวงตา โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นหมอพยาบาลเทพธิดาเทพบุตรคนพวกนี้ช่วยกันนะ มีเมตตากรุณาต่อกัน มันช่วยกันได้ หลวงตาได้ชีวิตมาเดี๋ยวนี้ก็มีพวกนี้มาช่วย เทวดาพยาบาลเทพบุตรคุณหมอรักษาโรคมะเร็งตายไปแล้วขึ้นมาได้ เทวดาเทพบุตรมีคนพวกนี้มาช่วยกันเนี่ย เราจึงมาปลุกเสกคนให้เป็นเทวดา ใจดีๆ ได้เป็นสวรรค์ ถ้าใจร้ายได้ไปนรก ถ้าใจเย็นได้เป็นนิพพาน อย่ารอเมื่อตายไปแล้ว เอาเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้เดี๋ยวนี้ เดินไปเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้เดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้ พ้นไปเดี๋ยวนี้ โกรธอยู่ที่บ้าน โอ้ยไปปฏิบัติธรรมที่สุคะโตก่อน ตอนนี้โกรธไปก่อน ไม่ได้ เปลี่ยนทันที เปลี่ยนความร้ายเป็นความดีเหมือนหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้ เปลี่ยนทันที ปฏิบัติคือเปลี่ยนร้ายเป็นดี อย่างนี้
มาเปลี่ยน มาหัด มาเป็นเพื่อนกัน มารู้มาเห็นอันเดียวกัน อาจารย์ท่านก็พานั่งปฏิบัติอันเดียวกัน ไม่เปลี่ยวเดียวดาย ไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า พระองค์อยู่คนเดียว ไม่มีกุฏิไม่มีหอไตรนั่งเหมือนเรา อยู่ที่ต้นศรีมหาโพธิ์ หลวงตาก็เข้าไปดู แขกมันทำลูกกรงไว้ไม่ให้คนเข้าไป คนจะไปจ่อติดต้นโพธ์ แขกก็อยู่ เฝ้าอยู่ไม่ให้คนเข้าไปใกล้ต้นศรีมหาโพธิ์ได้ หลวงตาเห็นตอนเช้าๆ ไปตั้งแต่ตีสองตีสาม ไปไหว้ต้นศรีมหาโพธิ์ แขกก็เฝ้าอยู่ เอารูปีให้มัน สองรูปีให้ด้วย ให้แขกเปิดประตูให้ แขกมันได้รูปีก็เปิดให้ มองหน้ามองหลังไม่เห็นคน เราก็เข้าไปนั่งอยู่ นั่งอยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ กราบแท่นศิลาอาสน์ นั่งเหมือนกับพระพุทธเจ้านั่งต่อหน้าเรา เราต่อหน้าพระพักต์ของพระพุทธองค์ นั่ง แล้วก็ใบโพธิ์หล่นลงมา ลงมากับจับเอา ก็เลยเอามาถึงสุคะโตนี่ ให้พ่อจงไปติดที่รถตั้งแต่ปีห้าร้อยยี่สิบเจ็ด อันนี้ก็โพธิ อันนี่คือตัวสติปัญญาไม่ใช่ใบโพธิ์ แต่นิมิตเป็นนิมิตได้ ก็นั่นน่ะ
นี่แหละศึกษาของจริง มีไหมกายมีไหมกาย นั่งอยู่นี่มีกายไหมเนี่ย มีเวทนาไหม มีสุขมีทุกข์ไหม มีร้อนมีหนาวมีปวดมีเมื่อยไหม มีหิวไหม นั่นแหละเวทนา เป็นผู้หิวหรือเห็นมันหิว เป็นผู้ปวดหรือเห็นมันปวด เป็นผู้ง่วงหรือเห็นมันง่วง ถ้าเป็นผู้ง่วงเป็นผู้หิวเป็นผู้ปวด ไม่เห็นตามความเป็นจริง มันหลงตรงนั้นแล้ว จิตมีไหมจิตน่ะ มันคิดไปถึงลำปลายมาศมีไหม คิดถึงกรุงเทพฯ มีมั้ย อะไรที่มันอดีตที่ผ่านมาเอามาคิดมีมั้ย หลวงตาเนี้ยเป็นคนคิดเก่งเหมือนกันเรื่องนี้นะ อู้ย หลอกเราอย่างแม่นยำเลยความคิดนะ โธ่ๆๆ มันจะหลอกให้เราหิ้วกระเป๋ากลับบ้านเลย ขนาดนั้นนะ มองอะไร อั้ย เรามีฝีมือ เรามีการทำงาน เรามีครอบมีครัว มาอยู่นี่สร้างจังหวะไม่ได้อะไรเลย อยากกลับบ้านแล้ว มาแบบนี้ทำงานได้เยอะแล้ว หลอกมีเหตุมีผลเยอะแยะ ทุกคนมีเหตุมีผลเหมือนกัน เอาความคิดว่าเป็นตัวเป็นตนให้มันหอบหิ้วเราไปเป็นสุขเป็นทุกข์ความคิด มีเหมือนกัน บัดนี้เรามาเห็นมัน แล้วตั้งใจจะรู้อยู่เนี่ย เอามาคิดขึ้นมา อ้าว ตื่นๆ เหล่านี้เวลานี้เราไม่ใช่มานั่งคิด เรามามีสร้างสติเนี่ย รู้เนี่ย รู้เนี่ย เรามาสร้างตัวนี้ มัวแต่คิดอยู่มันเสียเวลา
เดินจงกรมมันจะเดินคิด อ้าวเราคิดไป กลับมานี่กลับมานี่ กลับมาได้ มันคิดไปกลับมา มันคิดไปกลับมา เอาอิริยาบทมีนิมิตนี้ตั้ง เกาะไว้ เกาะไว้ เอาไปวางไว้ หน้าที่ไม่คิด ให้ดูเข้าไป ตัวรู้มีมากขึ้นมากขึ้น มันก็เป็นธรรมดา ตัวหลงก็ค่อยๆ หมดไปหมดไป ถ้ามีตัวรู้มากกว่าตัวหลงจะเกิดอะไรขึ้น เนี่ย พิสูจน์ตรงนี้กัน พระพุทธเจ้าท้าทายตรงนี้ ผู้ใดมีสติต่อเนื่อง 1 วันถึง 7 วันอย่างไว 1 เดือน ถึง 7 เดือน 1 ปี ถึง 7 ปี จะเป็นพระอรหันต์ได้ มีใครพิสูจน์เรื่องนี้ดู วัดป่าสุคะโตขอเป็นเพื่อน มีข้าวให้กินมีที่ให้อยู่ ที่ไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำกันเล่นๆ นานเหลือเกินในหมู่ชาวพุทธบริษัทเราที่จะมาศึกษาเรื่องนี้จริงๆ มีแต่ทำเรื่องอื่นกันมากมาย งั้นเราจะขอท้าทายในคำสอนของพระพุทธเจ้า เราขอเข้าข้างพระพุทธเจ้าว่าอยากให้ทุกคนมาทำเรื่องนี้ลองดู อ้า ต้องไปแล้วล่ะ วันนี้หลวงตาก็พูดทุกวันทุกวันอย่าเบื่อหน่ายนะ