แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันคืนล่วงไปๆ มันเอาชีวิตเราไปด้วย เราจะใช้ชีวิตอย่างไร ให้มันแก่ฟรีๆไปยังงั้นหรือ จะให้มันเจ็บมันตายไปฟรีๆ รอวันนั้นมาถึงเราเท่านั้นหรือ อะไรที่มันจะวิเศษ อะไรที่จะมันดี ที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้นไม่มีอำนาจแก่เรา เราก็ต้องนี้แหละมาปฏิบัติธรรมนี้แหละ จึงมีสติทุกเมื่อ มัจจุราชจะตามไม่ทัน พระพุทธเจ้าสอน (พระโมกขราช) เราก็ได้ยิน เรานำมาปฏิบัติหรือไม่ สิ่งที่พระพุทธองค์ พระศาสดาเราทรงสั่งสอนนั่น มีสักขีพยาน มีหลักมีฐาน มีเหตุมีปัจจัย สิ่งไหนทำได้เป็นสัจธรรม สิ่งไหนทำไม่ได้ไม่เป็นสัจธรรม เป็นสมมติบัญญัติ ปล่อยมันไป มันเลือกได้ ชีวิตของเรานี้ วันหนึ่งนาทีหนึ่ง เราจะยังไง เราจะปล่อยให้เหตุปัจจัยต่างๆ มาครอบงำย่ำยีเรา มันก็ไม่มีประโยชน์ชีวิตเรา พวกเรามีโอกาสมาก เป็นนักบวชอยู่วัดวาอาราม มีหน้าที่อย่างนี้โดยตรง งานโดยตรงของพวกเรา อย่าไปทำอันอื่น มิให้ทำอันอื่น ตื่นเช้าขึ้นมา ตีสาม ตีสี่ พากันลุกมา ทำวัตร สวดมนต์ ฟังเทศน์ ฟังธรรม ไปบิณฑบาต เตรียมสถานที่ ขบที่ฉัน บิณฑบาต บิณฑบาต เวลาขบเวลาฉัน ล้างบาตร กลับกุฏิของตน อะไรที่มันเป็นโดยสติกับการใช้ชีวิตของเราเนี่ย เราทำได้ เราก็ทำได้ เหตุปัจจัยอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเรา เอามันมาใช้ประโยชน์ มันผิดก็เป็นประโยชน์ มันถูกก็เป็นประโยชน์ ผิดกับตัวเอง ผิดกับสิ่งอื่นวัตถุอื่น ตามเหตุตามฤดูกาล ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน เหลือบยุง ลมแดด และสัตว์เลื้อยคลาน อยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ มันจะมีอะไรก็เอามาเป็นตัวปฏิบัติธรรม มาใช้ประโยชน์ ดีก็รู้ ไม่ดีก็รู้ สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ พอใจก็รู้ ไม่พอใจก็รู้ ไม่ต้องเลือก มาเลยอะไรจะมา เรามีหลักของเราแล้ว มีสติแล้ว มีหลักฐานมั่นคง มีรูป มีนาม มีอายตนภายนอกภายใน มีผัสสะการเห็น มีความหลง มีความรู้ ไม่ใช่เราโง่ เราจะต้องรู้ มันมีอะไรเกิดขึ้นมา ตัวรู้เป็นเรดาห์ ตรวจสอบ เหมือนเรดาห์ตาข่ายในประเทศ ป้องกันประเทศ แบบที่ท้องฟ้ามันมีตาข่าย เหมือนร่างแหทุกตารางนิ้ว ระหว่างประเทศเค้าก็ตรวจสอบอะไรที่มันก้าวก่ายเข้ามา สติของเราเนี่ยมันปานนั้นแหละ (ปลอดภัยตั้งแต่ตรวจสอบ) จะไปทุกข์ไปโกรธ ไปโลภ ไปหลง ไปผิด ไปถูกได้ไง มันจะเห็น เพราะเรามี เราฝึกหัดมาแล้ว ถ้าไม่หัดมันก็พัดไปแล้ว ความร้าย ความดี ฟูๆแฟบๆ เหมือนจอกไม่มีรากลอยไปตามน้ำ พัดไปทางไหนก็ไหลไป บางทีพัดไปทุกทิศทุกทาง ชีวิตของเราไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ให้มันมั่นคง ดูสติไปให้มันมั่นคง จนไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เลยต้องฝึกตัวเอง วิธีฝึกเราก็สมบูรณ์แบบ มีรูปมีกาย มีการเคลื่อนไหว ใช้กายได้สารพัดอย่าง ทำดีได้ ทำชั่วได้ ละความชั่วได้ ทำความดีได้ เอาไปใช้อะไรกายของเราวันหนึ่งๆ เอาอะไรไปใช้อะไรใจเราวันหนึ่งๆ เรามีสิ่งที่ใช่แล้ว มีตัวรู้ มีความรู้สึกตัว เอามาใช้ เอากายมาใช้ให้มันเจริญงอกงามในเรื่องนี้ จึงมีวิชากรรมฐาน ซึ่งมาสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของพวกเรา ไปจน (จำนน) ทำไม มันมนุษย์สมบัติ แก้วสารพัดนึก ชีวิตของเรานี้ ไม่มีท่วม ไม่มีแล้ง ไม่มีอำนาจมาทำให้กายใจเราที่มันจะกลายเป็นอย่างอื่นได้ อาชีพของนักปฏิบัติ อาชีพที่สมบูรณ์ ไม่เหมือนอาชีพของอันอื่นต้องพึ่งปัจจัยอันอื่น อาชีพของนักปฏิบัติ มีสติมีกายมีใจเนี่ย มันไม่ต้องพึ่งอะไร พึ่งกรรมพึ่งการกระทำ
การกระทำเราก็ทำเองได้ มีงานทำตลอดเวลา แม้เราไม่มีเจตนาทำมันก็ให้เราทำ เราต้องเอามาเป็นประโยชน์ ต้องหายใจเข้า หายใจออก ไม่หายใจไม่ได้ ต้องยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ยืน ไม่เดิน ไม่นั่ง ไม่นอนไม่ได้ ไม่ขับไม่ถ่ายไม่ได้ ไม่กินไม่ได้ มันมีให้เราทำ เอามาใช้ให้เกิดความรู้สึกตัว สารพัดอย่าง อยู่บ้านก็กายใจของเรา อยู่วัดก็กายใจของเรา อยู่ที่ไหนก็อยู่ที่เรา มันจึงพอตัวมาก ความดีอย่าไปมอบให้คนอื่น ความชั่วอย่าไปโทษคนอื่น ให้กลับมาดูตัวเอง มามีสติ มีสัมปชัญญะ มาฝึกหัด มาดูมาเห็น ให้มันมีศิลปะ มีศิลปะ มีกีฬา เรื่องนี้ เรื่องการใช้ชีวิตของเรา คนอื่นสอนเราก็มี เราสอนตัวเราก็มี ที่สอนตัวเราอยู่ทุกเวลานาทีคือเรานี่แหละ ตัวสตินี่แหละ ไม่มีใครที่จะให้เราได้เรื่องนี้นอกจากเราเอง จึงมั่นใจอย่างมากเลย การละความชั่วการทำความดี การทำให้ทุกข์ แม้ทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่ต้องทุกข์ หลงเกิดขึ้นก็ไม่ต้องหลง โกรธเกิดขึ้นก็ไม่ต้องโกรธ สิทธิความเป็นธรรม หาได้ในกายในใจ หาได้ในตัวเรา ทำไมไปเศร้าหมอง ทำไมไปร้องไห้ ทำไมไปวิตกกังวล ทำไมต้องไปเบียดเบียนตน ทำไมจึงต้องเบียดเบียนคนอื่น มันมีประโยชน์ ถ้าทำตัวเราอย่างเดียว มีประโยชน์แก่ตน ประโยชน์แก่คนอื่น ประโยชน์แก่โลก ประโยชน์แก่พระศาสนา ทั้งภพนี้และภพหน้า จะเป็นภพนี้ ภพหน้าก็คือการกระทำของเรา ผู้ที่ไม่รู้ชัดแจ้งในเรื่องนี้ก็ต้องอาศัยวิธีทำบุญอุทิศอย่างงั้นอย่างงี้ไป เปิดเครื่องขยาย เสียเงิน เสียทอง ฆ่าวัว ฆ่าควาย มันก็หลงไป ชวนคนอื่นให้หลงก็มี ถ้าทำถูกไม่ต้องยากปานนั้น ทำบุญอุทิศให้กันก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยทำให้กันเลย ทำให้กันหรือทำเอาให้มันมีอยู่ทุกคนเรา และไม่ต้องพึ่งพาอาศัยบุญกุศลจากคนอื่น มันมีแล้ว เหมือนหลวงพ่อใจจะขาด สั่งอาจารย์สมหมาย สั่งอาจารย์ตุ้ม สั่งอาจารย์โน้ส สั่งอาจารย์เอนก อย่ามาชักบังสุกุลนะ อายคน เวลาตาย มาชักบังสุกุล อนิจจา วต สังขารา เห็นศพหลวงนั่งอยู่ นอนอยู่ ไม่ต้องนะ แม้แต่เผาก็อย่าไปแต่งหุ่นอะไร บางทีก็แต่งหุ่น ถ้าเป็นหญิงก็เอาผ้าถุงไปให้ เสื้อไปให้ ทำตาเอาเงินบาทไปทำตา ทำจมูก ทำทุกส่วน อวัยวะต่างๆ อันนั้นอย่าไปทำ เรามันสูงกว่านั้นแล้ว คนก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ น่าจะรู้กันทุกคนแล้ว บุญคืออะไร บาปคืออะไร กุศลคืออะไร ศาสนาคืออะไร พุทธศาสนาคืออย่างไร พระพุทธเจ้าคืออย่างไร พระธรรมคืออย่างไร พระสงฆ์คืออย่างไร แล้วก็ว่ากันได้ทุกวัน ตอบได้ทุกวัน ลูบคลำอยู่ทุกวัน แต่มันไม่มีในใจเรา ทำไมจึงไม่มีเพราะเราไม่ทำให้มันมี ไม่ได้น้อมมา ไม่ได้นำมาปฏิบัติ เกิดพุทธะมันเกิดได้ยังไง ไม่มีพุทธะมันมีอะไรเหตุปัจจัยอะไร ต้องรู้ชีวิตของเรา ไม่รู้พุทธะ ไม่รู้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันไม่ได้หรอก ไม่รู้บุญรู้บาปไม่ได้ ไม่รู้ศาสนา พุทธศาสนาไม่ได้ เพราะชีวิตของคนเรามันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน จะตกเป็นทาสเป็นขี้ข้าปานนั้นหรือ เหมือนตอนหลวงพ่อไปอินเดีย ไปเห็น เค้าใช้สัตว์ ใช้ช้าง ใช้ม้า ใช้อูฐ ใช้วัว ใช้ควาย ใช้ลาให้ทำงาน ให้ขน ให้ดันโล่ห์ ดันรถ ขนของ ขนอ้อย ตัวมันเล็กๆ ตีเอา เจ็บเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าเขาเจ็บ คนที่ใช้เขาก็ไม่รู้ ไม่มีความเมตตาสงสารกัน เอาใจเอาความเห็นเอาทิฐิของตนไปทำกับสิ่งอื่นวัตถุอื่นจนเดือดร้อน
คนเรานี้ถ้าไม่รู้ธรรมะแล้วมันเดือดร้อน อะไรก็เดือดร้อน ไม่ว่าแต่สัตว์สาราสิ่ง แม้แต่แผ่นดิน ป่าไม้ แม่น้ำ อากาศ เสียหมดเลย เราจึงมารู้ตัวเองนี้ มันก็จะรู้อะไร การรู้ตัวเองนี้แหละ ต้องมาสร้างสติ มาเห็นไหม มาดูกายไหม มาดูเวทนาไหม มาดูจิตไหม มีธรรมอะไรเกิดขึ้น เป็นกุศลอกุศลจรมาในกายในใจเรา บางทีก็ดีใจ บางทีก็เสียใจ บางทีก็สุข บางทีก็ทุกข์ บางทีก็รู้ บางทีก็หลง มันมาได้ตะพึดตะพือหรือ ไม่เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนที่จะต้องเลือกสรร อะไรต่างๆ ภายนอก สิทธิ ความชอบธรรมให้มันเกิดแก่เรา เกิดแก่สิ่งอื่น อย่าเบียดเบียนตน อย่าเบียดเบียนคนอื่น เท่านั้นไม่พอ ต้องไปสอนให้เขาไม่เบียดเบียนเขา ให้เขาไม่เบียดเบียนคนอื่น จึงมีเรื่องเดียวเท่านี้ ชีวิตเราเรื่องมาดูตัวเอง มาช่วยตัวเอง มารักษาตัวเอง มามีสติ เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน อะไรมันหลอกเรา ไม่มีใครรู้เท่ากับเรา มันหลงเรารู้ มันรู้เรารู้ มันสุขมันทุกข์เรารู้ ต้องรู้อย่างนี้ การรู้อย่างนี้เรียกว่าปัญญา รอบรู้ในกองสังขารอย่างนี้ ไม่ใช่ปัญญาไปเที่ยวอินเดีย ไปเที่ยวรอบโลก ไปศึกษาสถาบันต่างๆ อันนั้นก็ใช่ แต่ปัญญาที่เป็นพุทธะจริงๆ มันต้องรู้เรื่องชีวิตจิตใจของเรา ต้องรู้ตรงนี้ แปดหมื่นสี่พันอย่างที่เกิดขึ้นจากกายจากใจเรานี้ แล้วก็เป็นผลกระทบตัวเราไม่พอ มันไปกระทบภายนอกไปอีก ถ้าเราไม่รู้ มันน่าจะทำกันได้แล้วคนในโลกเนี่ย มันมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา เข่นฆ่าราวีกัน รบราฆ่าฟันกัน แย่งชิงกัน เบียดเบียนกัน จนไม่มีอะไรที่จะปกติได้ จึงชวนกันเถอะพวกเรานะ ช่วยกันเถอะ อย่าปฏิเสธ อย่าทอดทิ้งกัน อาจารย์ก็สอน เราก็สอน สิ่งแวดล้อมก็สอนเรา ธรรมชาติสอนเราตลอดเวลา อาจารย์ก็สอนเรา ตัวเราก็สอนเรา อย่าปฏิเสธ จัดสรร เปลี่ยนแปลงสิ่งร้ายเป็นดี ตะพึดตะพือไป อย่าไปปล่อยปละละเลย อะไรพอช่วยกันได้ ดูอะไร เห็นอะไร ให้มันเป็นปัญญา อย่าให้มันเป็นความโง่ สติมันกำเนิดเกิดปัญญา คุมกำเนิดเกิดปัญหาได้ มีแต่ปัญญา มีสติ ถ้ามีความหลงก็มีแต่ความโง่ มันก็ไม่เหลือวิสัยที่เราจะทำได้ ไม่เหมือนจับมดแดงใส่กระด้ง จับมดแดงไต่ขอบกระด้ง อย่าไปคิดว่ามันยากขนาดนั้น บางคนก็บ่นเมื่ออยู่วัดดี ไปอยู่บ้านไม่ดี คุยกันไม่ใช่เหรอ ยิ่งดีใหญ่ ยิ่งเห็นอะไรยิ่งดีใหญ่ อะไรที่มันเป็นปัญหายิ่งดีใหญ่ มันยิ่งสูง เหมือนน้ำมัน มันต้องลอยเหนือน้ำตลอดเวลา เอาน้ำใส่เท่าไหร่ น้ำลึก ๑ นิ้ว น้ำมันก็เหนือน้ำ ๑ นิ้ว น้ำลึก ๑๐ เมตร น้ำมันก็เหนือน้ำ ๑๐ เมตร มันไม่จม อันสติปัญญาเราเนี่ยมันไม่เสียหาย ไม่เสื่อม ไม่มีความเสื่อมเลย ถ้าเราเห็นแจ้งในเรื่องชีวิตจริงๆ ไม่เสื่อม เป็นอมตะ เรื่องมรรค ผล นิพพาน ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายกับใคร นี้เป็นสมบัติของเราแท้ๆ ใส่ใจสักหน่อย ขวนขวายสักหน่อย แม้เราทำอันอื่นก็เป็นเรื่องของเรื่องนี้ อย่ามาเชื่อ อย่ามาไม่เชื่อ ก็พูดเรื่องของตัวเรา ของตัวทุกคน ถ้าเชื่อก็เชื่อตัวเรา ถ้าไม่เชื่อก็ปฏิเสธตัวเรา เราหลงก็ปฏิเสธความรู้ก็ไม่เป็นไร เราหลงไม่ปฏิเสธความรู้ เอาความรู้มาแก้ก็ไม่เป็นไรเป็นเรื่องของเรา เราทุกข์เรารู้สึกตัว เราเปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้เป็นเรื่องของเรา เมื่อเวลาเราทุกข์ เราไม่มีความรู้สึกตัว เราไม่เกลียดความทุกข์ นอนอยู่กับความทุกข์ว่าความทุกข์ย่อมมี ย่อมไม่เป็นไรเป็นตัวของท่านเอง พระพุทธเจ้าจึงเป็นแต่เพียงผู้บอก ส่วนการกระทำเป็นหน้าที่ของทุกชีวิต ทุกท่าน ทุกคน ฉะนั้นเราเลือกได้อย่างนี้ ฝึกหัดตัวเองเสีย ถ้ามีความรู้ก็จะเห็นความหลงตรงกันข้าม เลือกได้ สัมผัสได้ ไม่มีใครไปเลือกเอาความหลงถ้ามีความรู้ ถ้าความรู้มีมันเกิดความทุกข์ไม่มีใครไปเอาความทุกข์ ก็เปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้ อย่างนี้เรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข สะสมเรื่องนี้ไว้ก็ย่อมอยู่เป็นสุข สุโข ปุญญัสสะ อุจจะ โย ผู้สะสมซึ่งความรู้เป็นความสุขในโลก ผู้สะสมความหลงก็เป็นความทุกข์