แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมทุกวัน เพื่อเลื่อนฐานะของจิตวิญญาณของเรา เรามีกาย เรามีใจ กายเราก็กินอาหารทุกวัน แต่เรื่องอาหารคือธรรมะเนี่ย ชีวิตของเรามี 2 ส่วนน่ะแหละ เราได้ชีวิตมาแบบเดียวกันหมด อวัยวะต่างๆ เหมือนกันหมด เหมือนที่เราสวดพระสูตรในร่างกายนี้มีเหมือนกันหมด เมื่อเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไปเหมือนกันหมด ชีวิตไม่เที่ยง ชีวิตเป็นทุกข์ ชีวิตไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา เราใช้ชีวิตยังไงให้มันคุ้มค่า สิทธิของเรา เรามีกายเรามีใจ เอามาใช้ให้เกิดมรรคเป็นผลขึ้นมา ในการใช้กายนี้ถ้าใช้ผิดก็ผิด เป็นทุกข์เป็นโทษ ถ้าใช้ถูกก็เป็นประโยชน์ ชีวิตต้องเป็นชีวิต การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องของสามัญลักษณะของกาย ไม่ใช่ชีวิต ชีวิตคือไม่ต้องเป็นอะไร คือมรรค คือผล คือนิพพาน
ถ้าเป็นเราเรียกว่าไม่ใช่ชีวิต เป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ใช่ชีวิตอะไร เป็นผู้ร้อน เป็นผู้หนาว เป็นผู้หิว เป็นผู้อิ่ม ไม่ใช่ชีวิต นั่นเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับเหตุปัจจัย คนทุกข์ยากลำบากเพราะเกียจคร้านทำการทำงาน ใช้ชีวิตไม่ถูกต้อง คนพอมีอยู่มีกินเขาก็ใช้ชีวิตถูกต้องตามที่เขาได้มา เมื่อนั้นมันอยู่กับการใช้ของแต่ละคน แต่สิ่งที่ที่เหมือนกัน รู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักหลบภัย รู้จักเสพกาม อันนั้นเป็นวิสัยของสัตว์โลกมีอยู่ทั่วไป แต่บางชีวิตก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปใช้แบบนั้นทั้งหมด จะเอาการกินเป็นใหญ่ จะเอาการนอนเป็นใหญ่ จะเอาการกลัวหลบภัยอะไรเป็นใหญ่ ภัยที่มันต้องหลบต้องลี้ มันเกิดจากเหตุปัจจัย บางอย่างเกิดจากตัวเราเอง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือตัวเรานี้ บางทีเราไปกลัวอันอื่นจนเกินไป ถ้าเรามีชีวิตถึงไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็ไม่น่ากลัว ความทุกข์ ความยากความจนก็ไม่น่ากลัว ถ้าเราได้ชีวิตแล้ว อาจจะจนน้อย เพราะชีวิตจริงๆ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ปัญญาเป็นเครื่องปราบปัญหา ปราบทุกข์ ปราบจน ปราบปัญหาต่างๆ ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าขาดศีล ขาดสมาธิ ขาดปัญญา ผิดศีลผิดธรรม มีทุกข์มีโทษ นี่คือชีวิตตามความเป็นจริง มันเป็นอย่างนี้ ความโกรธไม่ใช่ชีวิต ความทุกข์ไม่ใช่ชีวิต ความวิตกกังวลเศร้าหมองไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่ชีวิต ถ้ามีชีวิตแบบนั้นว่ามีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิด-ตาย เกิดในลักษณะที่เป็นอาการต่างๆ สำคัญยึดมั่นถือมั่นในความโกรธก็ตายในความโกรธ ในความทุกข์ก็ตายในความทุกข์ ในความรักความชังก็ตายในความรักความชัง มีอะไรก็จนด้านนั้น คนมีลูกก็จนแบบมีลูก ทุกข์แบบมีลูก สุขแบบมีลูก อันนั้นเป็นโลก คนมีทรัพย์สินเงินทองก็สุขแบบมีทรัพย์สินเงินทอง ทุกข์แบบมีทรัพย์สินเงินทอง คนมีภรรยาสามีก็สุขแบบภรรยาสามี ทุกข์แบบคนมีภรรยาสามี คนมีช้าง มีม้า มีวัว มีควาย มีอะไรเยอะแยะ ก็ทุกข์แบบคนมี สุขแบบคนมี ผู้ไม่มีอะไรไม่มีทุกข์อะไรเลย หมายถึงชีวิตจิตใจที่มันเหนือ เหนือได้เหนือเสีย เหนือนินทาเหนือสรรเสริญ เหนือสุขเหนือทุกข์ อันนี้เลยไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ลักษณะอันนี้มันไม่ใช่ตายแต่เรื่องร่างกาย รูปธรรม มันตายในเรื่องวิญญาณ เกิดดับ เกิดดับ เกิดสุขก็ตายในความสุข เกิดทุกข์ก็ตายในความทุกข์ สิ้นภพสิ้นชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในภพในชาติแบบนี้
ภพชาติ ภพคือภาวะที่เกิดขึ้น มีขันธ์ห้าสมบูรณ์ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ สมบูรณ์แบบ ถ้าเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตามธรรมชาติ ต่อให้ถึงมรรคถึงผลได้ ในรูป ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราก็รู้อยู่แล้วว่ารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน มันอยู่ในความเป็นทุกข์ อยู่ในความไม่เที่ยง เห็นแล้วจบไปแล้ว เรื่องขันธ์ห้าอันเก่าเท่านั้น แต่ถ้ามีอุปาทานเข้าไปเกี่ยวข้องไม่เป็นไปตามจริงของขันธ์ห้า มันก็เป็นภพเป็นชาติอยู่ตรงนั้นได้ เป็นภพเป็นชาติอยู่ตรงนั้นได้ ถ้ามีภพมีชาติอยู่ในขันธ์ห้า คือมีอุปาทาน อุปาทานมันก็เหนือภพชาติต่างๆ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉานได้ ถ้าไม่มีอุปาทานในขันธ์ห้าก็เป็นขันธ์ล้วนๆ เป็นขันธ์ที่ทำให้เกิดมรรคผลนิพพานได้ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเพราะขันธ์ที่มีอุปาทานเช่นนั้นเหมือนกับพ่วงแพขอบคุณขันธ์ มันมีมาให้บรรลุธรรม ไม่ใช่มาให้เป็นทุกข์เป็นโทษ เราได้ชีวิตมาแบบนี้ มันเป็นความเพียงพอกับการทำความดี ชีวิตแบบนี้ต้องถึงมรรคถึงผล ไม่ใช่ชีวิตแบบที่พาเกิด แก่ เจ็บ ตาย รอวันแก่วันเจ็บวันตาย ที่จริงมันแก่มันเจ็บมันตายทุกวินาที แก่ในความคิด แก่ในความรัก แก่ในความชัง เจ็บในความสุขในความทุกข์ เช่น คนหัวเราะคนร้องไห้มีลักษณะเดียวกัน ถ้ามีสุขมีทุกข์ก็มีลักษณะเดียวกัน อันเดียวกัน สุขทุกข์เป็นสิ่งที่เกิดจากอุปาทาน ไม่เป็นธรรม เสมอกันหมด ถ้ามีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นคู่กันอยู่ ในความสุขในความทุกข์นั้นเอามาเป็นประโยชน์ อย่าเอามาเป็นโทษ อย่าเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ เรียกว่าเป็นสังขารตัวหนึ่งที่คนมองไม่เห็นในสุขในทุกข์นั้น แสวงหาความสุข ความทุกข์ก็ตามไป เวลาหนีทุกข์ความทุกข์ก็ยังหนีไม่พ้น ต้องมีทุกข์อยู่ ถ้าเราเห็น ไม่เป็น เห็นทุกข์ไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์ออกจากโลกได้บ้าง เห็นทุกข์เป็นผู้ทุกข์อันนั้นเราอยู่ในโลก ต้องเจ็บปวด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ถ้ากลัวตาย ถ้าหนังตาหย่อนนี้ก็ต้องตายอยู่อันอื่นหลายอย่าง ถ้าไม่ตายอยู่บนตรงนี้ก็ไม่ตายอะไรเลย สิ้นภพสิ้นชาติไปเลย ในสุขในทุกข์ยังเป็นสังขาร ปุญญาภิสังขาร สังขารคือบุญ อปุญญาภิสังขาร สังขารคือบาป เท่าๆ กัน แต่คนที่ไม่รู้นึกว่าต่างกัน เพราะถูกสังขาร 2 อย่างหลอก ชีวิตถูกหลอกจนไม่มีเวลาปกติในมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานคือมันปกติในสุขในทุกข์ ไม่มีปัญหา ไม่ทำให้กระเพื่อมได้
มรรคผลนิพพานน่ะ ชีวิตเราต้องมีมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร ไม่ใช่เอาอะไรมาเป็นแก่นสาร พระพุทธเจ้าด่าพระอานนท์เอาให้จนมีแก่น คำด่าทำให้เกิดแก่น ทำให้เกิดแก่นในชีวิตได้ ไม่ใช่อ่อนแอ มีแก่นเหมือนไม้โคก ไม้ที่เกิดอยู่บนโคกมักจะมีแก่น มันต่อสู้ มันไม่สะดวกในการอยู่การกินของเขา ปุ๋ยก็ไม่มี ดินก็ไม่ดี เช่น ไม้ป่าไม้ดงกับไม้โคก คุณภาพต่างกัน ถ้าไม้โคกมันคุณภาพดีกว่า แข็งแรงกว่า เนื้อหนากว่า เอามาทำเสาเอามาทำบ้านแข็งแรงกว่า เช่น ไปซื้อไม้โรงไม้ ถ้าไม้ในป่าในดงจะไม่ค่อยจะมีคุณภาพ ผุพังได้ง่าย อย่างไม้กระดานนี่ เลือกไม้กระดานต้องเลือกไม้เนื้อดีๆ อันนี้ไม้เต็งรัง ไม้ตะเคียน อันนี้มันก็มีคุณภาพ ชีวิตเราก็มีเหมือนการต่อสู้ สู้อะไร? สู้ความรัก สู้ความชัง อย่าให้ความรักเป็นความรัก อย่าให้ความชังเป็นความชัง ให้ความรักเป็นประสบการณ์ ใจมันเคลื่อนไหวในความรัก นิ่งในความรัก ถ้ามันเกลียดมันชัง มันเคลื่อนไหวในความชัง นิ่งในความชัง สู้ในความรัก สู้ในความชัง มีสติมีสัมปชัญญะ อันว่าไม้อยู่บนโคกมันก็สร้างภูมิคุ้มกัน เวลาไฟไหม้มันก็ไม่กระทบกระเทือน ไม่เหมือนไม้ในป่าในดงวัดป่าสุคะโต ไฟไหม้นิดหน่อยก็ไปแล้ว นอนไปแล้ว ไม่มีแก่น ไม่เข้มแข็ง ไม้ในป่าเนี่ยถ้าไฟถูกก็ตายเลย ตายแล้วก็สูญพันธุ์ไปเลย ไม่มีหน่อ ไม่เหมือนไม้ในโคกตัดเท่าไหร่ก็ขึ้นเท่านั้น มันแข็งในความอ่อน มีแก่นในความอ่อน รากก็ลึก 2-3 เมตร มันอยู่ตื้นไม่ได้ มันเอาตัวรอด ไม้ในดงเนี่ยรากไม่ลึก รากลอยๆ ไม่มีรากแก้ว เพราะมันประมาท ประมาทมันไม่อดไม่อยาก วิ่งไปทางไหนอาหารเยอะ ดินมันดี แต่ไม้ในโคกเนี่ย มันไม่มีอาหารกิน ต้องช่วยตัวมัน หยั่งรากลึกลงไป แห้งแล้ง เนินบนหิน พยายามช่วยตัวมัน ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเวลาสุขอ่อนแอไปในความสุข สุขเป็นสุขไม่ค่อยเข้มแข็ง ปล่อยเนื้อปล่อยตัว หัวเราะเพลิดเพลิน พอใจ อิ่มใจ สุขใจ หมดไปเลย หลงไปเลย หลงในความสุข อ่อนไปแล้ว เวลามันทุกข์อ่อนไปในความทุกข์ หวั่นไหว ความทุกข์เป็นความทุกข์ มันไม่ยากถ้าเราจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พูดเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าจึงมั่นใจและมั่นใจที่สุด มองลักษณะเป็นผู้เข้มแข็งในความอ่อนแอ หนักแน่นในความหวั่นไหว หวั่นไหวที่นั่นเข้มแข็งที่นั่น เหมือนต้นไม้ที่อาศัยประสบการณ์พัฒนาตัวเอง ชีวิตของเราน่ะมันมีประสบการณ์กับรูปธรรมกับนามธรรมเนี่ย สำเร็จตรงนี้ สำเร็จตรงรูปธรรมนามธรรมเนี่ย รูปธรรมนามธรรมนี้เพ่งให้เกิดมรรคเกิดผล เหมือนพ่วงเหมือนแพขี่ข้ามฟาก
ขอบคุณบิดามารดาที่ให้รูปให้นามมา แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้ถือว่าเป็นทุกข์เป็นโทษ ให้คนอื่นรับผิดชอบเรา เรียกร้องอาศัยพ่ออาศัยแม่ เคยชินเสียจนจะตายก็เรียกร้องหาพ่อหาแม่อยู่ มันอ่อนแอ คุณต้อยที่มาตายที่นี่ เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด เนี่ยเอาฝังไปตรงศาลาหอไตรกันนะโยม แม่นบ่พ่อทายก หลวงตาขุดหลุมศาลา ให้ชาวบ้านมาปลูกให้ ขุดหลุมลงไป พอเจอกระดูกชาวบ้านทิ้งเสียมหนี หลวงตาขุดเอง ขุดลงไปเอากระดูกขึ้นมา ขุดลงไปเอากระดูกขึ้นมาได้แบบได้ที่แล้วฝังลงไป เนี่ย เวลาเขาป่วยอยู่โรงพยาบาล หลวงตาไปดูเขา แม่ แม่ แม่ ร้องอยู่ ร้องหาแต่แม่ แม่ แม่ หลวงตาก็เรียกคุณนายนะ เขามีสามีเป็นนายพัน ไหนคุณนายทำไมร้องหาแม่ นี่คิดถึงแม่หรือ? ถ้าคิดถึงแม่จะพากลับบ้าน กลับไหม? ไม่ๆๆ ไม่กลับ อยู่กับหลวงพ่อ อยู่กับหลวงพ่อ ทำไมร้องหาแม่? มันสบายใจ มันสบายใจ ก็ให้ร้องไปนี่แหละ ก็ร้องหาแม่หาแม่จนตาย มันก็อ่อนแอ แทนที่ว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ มันเข้มแข็งไหม? ข้าพเจ้าอาศัยพระพุทธเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าถึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เข้มแข็งมากกว่าร้องหาพ่อหาแม่ อะไรก็พ่อแม่ ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็ตายไปแล้ว อ่อนแอต้องฝึกตนสอนตนให้เข้มแข็งในสิ่งที่มันอ่อนแอ ผลที่สุดก็หลวงตาก็ช่วยดูแลเขาจนสิ้นใจ หลวงตาก็ยืนอยู่นี้อยู่ข้างเตียงนี้ ไม่หนีไปไหนหรอก หลวงตาจะไม่ทอดไม่ทิ้ง รับผิดชอบทุกอย่างจนเหลือแต่กระดูกก็จะรับผิดชอบ อย่าหวั่นไหวนะ แล้วก็ทำท่าจะยิ้มแต่ยิ้มไม่ออก มันไม่เคยฝึก ฉะนั้นเราตายในความตาย ยังไม่ตายก็หวั่นแล้ว กลัวกันแล้ว
ถ้าพูดถึงการมรรคผลนิพพานมันเป็นกีฬาของเรา เหมือนนักมวยเราขึ้นเวที เขาจะตีกันเราก็ยังฟ้อนรำกันอยู่ รำมวยกันอยู่ ใช่มั้ยพ่อทายก จะตีกันแล้วยังรำมวยกันอยู่ มันสนุกนะ สนุกในความเจ็บ ลองดูสิ สนุกในความตาย จะว่าไง ไม่มีปัญหากับเราเลย การเกิดแก่เจ็บตายเนี่ย นี่ชีวิตเราเกิดมา ปีนี้หลวงตาเกิดมาแล้ว 73 ปี ในวันที่ 12 ที่ผ่านมา บัดนี้เข้า 74 ไปแล้ว เอ้อ 2 วัน 3 วัน แล้วอะไรล่ะ แก่แล้วหรือ? ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เอาความแก่ ไม่เอาความเจ็บ ไม่เอาความตาย ไม่มีแล้ว ต้องเป็นมรรคผลนิพพาน ถ้าชีวิตไม่มีมรรคผลนิพพานเกิดมาทำไม? เกิดมาทุกข์ยากทำไม? มากินๆ นอนๆ หลบภัยอยู่ เสพกามบริโภคกามกันจนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เป็นปัญหาแก่ตัวเอง เป็นปัญหาต่อคนอื่น อาหารในโลกเป็นเพียงพอ แต่ถ้าคนหนึ่งไม่โลภพอกินกันได้ ถ้าคนหนึ่งโลภเอาซะ มันก็หมดคนอื่นไป เพราะฉะนั้นเนี่ย เรื่องอยู่ เรื่องกิน เรื่องอันนี้มันเป็นส่วนเกิน ลองดูซิเรากินข้าววันหนึ่งไม่ใช่ว่า แต่ทำไมจึงมากมาย เมื่อเรามีธรรมเป็นมรรคผลนิพพานเนี่ย มิตรภาพ แผ่นดินเรียบเหมือนหน้ากองทราย เสมอภาค ชีวิตมันต้องไปถึงจุดหมายปลายทางตรงนี้ที่จะคุ้มค่า
นี่ก็สิงหาก็ผ่านมาแล้ว แรม 8 ค่ำ โตวันโตคืนด้วยมรรคผลนิพพาน นิพพานชิมลอง นิพพานแก่กล้าขึ้นมาจนถึงนิพพานถาวร มันอยู่ตรงไหน เราก็ประสบกันอยู่ เห็นอยู่ เห็นกระแสอยู่ ผู้มีสติย่อมเห็นกระแสมรรคผลนิพพาน เวลามันหลงเห็นไหม? เป็นผู้หลงหรือเห็นมันหลง เวลามันหลง มันหลงเนี่ยคือโลก ถ้าเป็นผู้หลงเป็นรสของโลก ยังถูกโลกทับถม เห็นมันหลงไม่เป็นผู้หลง เหนือขึ้นไปแล้ว ต้องก้าวแรกออกจากโลกเพื่อสู่มรรคสู่ผลไปแบบนี้ ไม่ใช่คิดว่านิพพานเป็นวันหนึ่งที่จะต้องไป เดินไป รอคอย ไม่ใช่ ผ่านเราอยู่ทุกโอกาส ผ่านหน้าตาเราอยู่ทุกโอกาส สัมผัสได้ทุกโอกาส แต่ว่าชิมลองไป เหมือนเรากินข้าวเคี้ยวคำข้าวทีละคำจะให้อิ่มเลยมันคงอิ่มได้ยาก ค่อยๆ กินไปกินไป เราก็มาอิ่ม เห็นหลงไม่เป็นผู้หลงค่อยสูงขึ้นไป เห็นทุกข์ไม่เป็นผู้ถูก เห็นอะไรๆ ที่มันเกิดกับกายกับใจเนี่ย แล้วไม่อยากเข้าไปเป็นกับมัน ให้เป็นอิสระตรงนี้เป็นธรรมให้แก่ตัวเองตรงนี้ มรรคผลนิพพานเป็นทางแบบนี้ ผ่านความหลง ผ่านความทุกข์ ผ่านความสุข ผ่านความพอใจ ผ่านความไม่พอใจ นี่คือชีวิตแท้ๆ ล่ะเนี่ย ชีวิตอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่หายใจเข้าหายใจออก อันนั้นมันเป็นพ่วงแพที่ใช้ได้ ถ้าไม่หายใจเข้า ไม่หายใจออกก็ไม่มีแพแล้ว แต่เราใช้แล้วเราใช้ขึ้นฝั่งได้แล้ว พ่วงแพอันนี้เราจึงใช้แล้วคุ้มค่าแล้ว ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้เราเกิดมา ขอบคุณคนรอบๆ คน ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเราทั้งหมดในโลกนี้มีส่วนร่วมช่วยเราอยู่ ดวงอาทิตย์ก็ช่วยเรา แสงแดดช่วยเรา ละอองฝน ก้อนเมฆ มีฝน มีดิน มีพืชต่างๆ มาช่วยเรา หลายอย่างที่สนับสนุนให้เราถึงมรรคถึงผล
มองแบบนี้แล้วว่าสิ่งแวดล้อม เหมือนนกสาริกา ลมพัดตกไปอยู่คนละทิศละทาง 2 ตัว ตัวหนึ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ดี ตัวหนึ่งตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี ก็ต่างกัน ตัวหนึ่งไปตกอยู่ในฤาษี พระฤาษีในป่ามีแต่ศีลแต่ทาน มีแต่ภาวนา ยึดดี เมตตากรุณาอะไรต่างๆ ได้ยินแต่คำนี้ ช่วยกัน เมตตากัน อย่าทุกข์อย่าโทษ อย่าทำโทษ ทำให้เกิดพิษภัยแก่ตนเองแก่คนอื่น ฤาษีสอนกันมา ตัวหนึ่งไปตกอยู่ในกลุ่มโจรก็มีแต่ฆ่ามัน ตีมัน ยิงมัน เอามันเลย ฆ่ามันเลย ถ้าไม่ฆ่ามันก่อน ยิงมันก่อน มันจะมีภัยต่อเรา ปล้นเอาของมัน เลี้ยงเอาสอนกันแบบนั้น นกสาริกา 2 ตัวก็พูดภาษาต่างกัน ศรีธนตามมโนราห์ผ่านดงอันนี้ไป ไปเจอนกสาริกาอยู่กับฤาษี ไปเรียนกับฤาษีมีความรู้ขึ้นมา ใจที่เร่าร้อนก็ใจเย็นขึ้นมา สงสารกัน สัพเพสัพตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย อย่าเบียดเบียนกัน ศรีธนถือดาบ เห็นเลยว่าจะฆ่า พอไปถึงด่านฤาษี นกสาริกามันพูดหยอยๆ ให้ฟัง ใจเย็นลง พอผ่านไปไปถึงนกสาริกาอยู่กับฝูงโจร แต่โจรไม่อยู่ สาริกาพ่อ พ่อบ้านก็พูด ฆ่ามันเลย เอามันเลย ตีมันเลย แทงมันเลย ศรีธนต้องวิ่งหนีไป เนี่ยมันต่างกันนะ ที่นี่ไม่ใช่ ชีวิตของเรามีไหม? แข็งแรง สาริกามีไหม? บางทีใจดีใจงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส มองอะไรในแง่ดีหมด บางทีก็ใจร้อนใจร้าย อันนั้นน่ะมันสิ่งแวดล้อมต่างหากที่มันเกิดเหตุปัจจัยอย่างนั้น เหล่านี้มีสิ่งแวดล้อมขนาดไหนให้กับชีวิตจิตใจเรา มองชีวิตอย่างไร? ใช้ชีวิตอย่างไร? ฟูๆ แฟบๆ เอาจริงเอาจัง อ่อนแอ เคร่งเครียดเกินไป มันก็สิ่งแวดล้อมไม่ดีนะ จัดสิ่งแวดล้อมให้ดี มันอ่อนแอ เข้มแข็ง มันหลง มันสุข มันทุกข์ เข้มแข็ง มันสะดวกสบาย มันจะอ่อนแอ เข้มแข็ง สร้างสรรชีวิตของเรานั้น ที่จะชื่อว่ามนุษย์น่ะเป็นสัตว์ประเสริฐ สิ่งใดที่ไม่ดีเปลี่ยนให้เป็นดี สิ่งใดเป็นทุกข์เปลี่ยนให้ไม่เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นสุขเปลี่ยนไม่ให้เป็นสุข สิ่งใดพอใจเปลี่ยนไม่ให้พอใจ ไม่พอใจเปลี่ยนไม่ให้ไม่พอใจ สวนทวนกระแส สูงขึ้น ใจสูงขึ้น สูงขึ้นๆๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไป มันก็ย่อมมองอะไรเห็น เหมือนชัยภูมิที่มีฐานดี นักรบที่มีฐานชัยภูมิดีย่อมสู้ศัตรูได้ เหมือนบ้านร่มเกล้าทหารไทยไปรบกับทหารลาว ทหารไทยถูกยิงตายมากที่สุด ทหารลาวแม้แต่เด็กน้อยมันอยู่ในที่ชัยภูมิดี ร่มเกล้ามันสูงกว่าเมืองไทย แล้วก็มองเห็นได้ ศัตรูขนาดไหนก็ได้เปรียบ ชัยภูมิของชีวิตเราคือชัยชนะ มันสุขไม่สุขชนะแล้ว มันทุกข์ไม่ทุกข์ชนะแล้ว มันอะไรเกิดขึ้นอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ถ้าไม่ปกติชนะทุกอย่าง กลับมาหาปกติ กลับมาหาปกติ หัดอยู่อย่างนี้ ฝึกฝนอย่างนี้ หัดทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำมันไม่เป็นนะ ไม่ใช่รู้นะ มาศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ใช่มาเอาความรู้นะ หัดให้มันเป็น มันหลงรู้สึกตัวนะ เป็นผู้เห็นไม่เข้าไปเป็นกับสิ่งต่างๆ สูงขึ้นๆ จิตใจสูงขึ้นๆ เมื่อสูงอะไรย่อมทับถมไม่ได้ สุขทุกข์ย่อมทับถมไม่ได้ มรรคผลนิพพานเดินไปทำนองนี้ ไม่ใช่เดินจงกรม ไม่ใช่นั่งยกมือสร้างจังหวะ เดินจงกรมก็มีความรู้สึกตัวเพื่อเตรียมพร้อมมีสติ สร้างจังหวะก็มีสติเตรียมพร้อมให้ง่ายๆ เหมือนเรามีตา ลืมขึ้นก็เห็น เห็นตาในของเรานี่ไม่หลับ ไม่บอด รู้สึกตัวอยู่ รู้สึกตัวอยู่เสมอ อิริยาบถที่สะดวกสบายที่สุดคือนอน สำหรับคนแก่นะ นอนรู้สึกตัวเป็นอิริยาบถสบาย จะยกมือก็ไม่ไหว จะสร้าง เดินจงกรมก็ไม่ไหว นั่งนานก็ไม่ค่อยไหว ถ้านอน นอนมากก็ไม่ไหวอีกแหละ ต้องพอดีๆ
เดี๋ยวนี้ย่างเข้า เมื่อมันอายุมากก็ต่างกันนะ ต่างเก่านะ การเดินก็ไม่เหมือนเก่า อืดอาดกว่าเก่า แต่พยายามพัฒนาอยู่ จงกรมน่ะพยายามจงกรมทุกวัน วันละชั่วโมงตอนเช้า ทำวัตรเสร็จก็รีบไปจงกรมอยู่ที่ทางเดินจงกรม ชุมทางจงกรม ลานหินโค้ง พยายามเดินไวๆ วิ่งเอา แกว่งแขนเอา หลวงตาจงกรมเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เหมือนเมื่อหนุ่ม ต้องแกว่งแขนไปด้วย เดินไวๆ การแกว่งแขนเนี่ยเดินช้าไม่ได้ ต้องได้จังหวะกัน ถ้าไม่ได้จังหวะกัน ถ้าเดินช้าแกว่งแขนมันไม่ ช้าเกิน จะทำให้มันช้าไป ก็ต้องให้มันมีพลังงาน มันก็เลยเดินจงกรมไวเสียหน่อย อย่าเอาอย่างหลวงตานะ หลวงตาเนี่ยมันสภาพแบบนี้ ได้ประโยชน์นะแกว่งแขนเนี่ย เข้มแข็งมาเพราะแกว่งแขน หัดแกว่งแขนตั้งแต่อยู่ห้องไอซียู ห้องโรงพยาบาล อาจารย์ตุ้ม อาจารย์โน้ส ห้องพยาบาลก็ไม่ไกล หัดจงกรมอยู่นิดๆ หน่อยๆ อาจารย์โน้สบอกว่าแกว่งก็แกว่ง 100 - 200 ครั้ง 300 ครั้งก็พอแล้ว บางทีหลวงตาก็พัฒนาขึ้นไปให้ได้เป็นพันครั้ง บางทีก็ให้อาจารย์โน้สหิ้วปีกขึ้นไปดาดฟ้าชั้น 4 แกว่งแขนอยู่ มองหน้าไปทางสวนลุมพินีเห็นคนเขาวิ่ง โอ้ สวนลุมพินี บางคนเขาก็ทำไท้เก็ก นอนอยู่ที่สูงมองไป เราเมื่อไหร่เราก็จะเดินได้เหมือนเขาหนอ? มีโอกาสวิ่งได้เหมือนเขาหรือเปล่า? บางทีเราก็เข้มแข็งแกว่งแขน อีกอันหนึ่งคือยิ่งดี คือ แสงแดด ทำไมมันต้องการแสงแดดบ้าง ชอบที่สุดคือแสงแดด อาบแดดตอนเช้าแสงแดดมา ยืนตากแดด นอนราบลงไปบนพื้นบนปูน มีไอ ไอฝุ่นมันตากแดดมันร้อนขึ้นมา โอ้ ทำให้เข้มแข็งนะ เข้มแข็งเพราะแสงแดด ยิ่งต้นไม้ต้องมีแสงแดด อะไรต้องมีบรรยากาศ ไม่ใช่อยู่ในร่มในเงาตลอดเวลา ทุกข์บ้างก็ดี หิวบ้างก็ดี หนาวบ้างก็ดี ร้อนบ้างก็ดี อย่าหวั่นไหว ชื่อว่าฝึกตนสอนคน นี่ก็เสกกันปลุกเสกกันทุกวันให้เข้มแข็ง เสกคนให้เป็นพระ ใจดีกว่าเก่า แข็งแรงกว่าเก่า ไม่ใช่เสกอิฐเสกปูน ปลุกเสกกันแบบนี้ สอนกันแบบนี้ให้เต็มที่ หรือขูดเกลากัน ขูดเกลากันก็ให้มีสง่าราศีขึ้นมา ให้เลื่อมให้ใสขึ้นมา เราก็ขูดเกลาตัวเองบ้าง เวลามันหลงรู้ขูดเกลา เวลามันทุกข์รู้ เวลาอะไรๆ ทั้งหมดรู้ทั้งหมดละ ไม่มีสิ่งใดที่เราไม่รู้ หลุดพ้นทุกอย่าง หลุดพ้นทุกอย่าง หลุดพ้นทุกอย่าง มันหลงหลุดพ้นความหลง มันทุกข์หลุดพ้นความทุกข์ อย่างนี้หนาเรียกว่าฝึกตนสอนตนไป เหมือนกับเรามาอยู่ร่วมกันเนี่ย มันก็มีอย่างนี้ร่วมกันทำอันเดียวกันไม่เสียเปรียบกัน ทุกคนก็มีกาย ทุกคนก็มีใจคล้ายๆ กัน ก็บรรจุก็คล้ายๆ กัน มีอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันฉันตามอัตภาพของพวกเรา ทุกข์บ้างจนบ้าง นี่เราจนนะ แม่ครัวเอาขยะไปขายได้เงินหลายบาทแล้ว ที่นี่ต้องขายขยะกินแล้วนะ เก็บขยะแล้ว ต่อไปจะหาอาสาสมัคร อาสาสมัครเก็บขยะ อาสาสมัครคัดเลือกขยะ ไปเห็นมาแล้ว ไต้หวันมันขายขยะทีปีหนึ่งเป็นหลายล้านบาท อย่ามองข้ามนะ มันมีค่า อย่าไปทิ้งขว้าง ถ้าไม่มีที่ทิ้งมาทิ้งวัดป่าสุคะโตก็ได้ อาจารย์โน้สกำลังทำ อาจารย์ตุ้มทำถังรองรับกันอยู่ เอามาทิ้ง ท่านตุ้ยก็เทศบาลสุคะโตเก็บขยะ อาสาสมัครมีไหม? มาสมัครคัดเลือกขยะ กระดาษเอาไว้อันหนึ่ง โลหะไว้อันหนึ่ง จะเลือกไปขาย ที่นี่ขายขยะแล้ว เอ้า! ก็เสร็จจบ สมควรแก่เวลา