แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมก็คือฟังเรื่องของเรานี่แหละ อย่าเอากายมาเป็นทุกข์ อย่าเอากายมาทำความชั่ว อย่าเอาใจมาทำความชั่ว ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีๆ โลกจะสดใสเพราะทุกคนใส่ใจดูแลตัวเอง โลกจะย่ำแย่ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเอง มันอยู่ที่เรา เราก็มีการกระทำ การกระทำของเรานี่ทำทางกายทำทางใจ ถ้าทำดีโลกก็สดใสถ้าทำชั่วโลกก็ย่ำแย่อยู่กันลำบาก แม้แต่ครอบครัวก็อยู่กันลำบาก ตัวเองก็ลำบากเพราะตัวเองทำให้ตัวเองลำบากเพราะไม่แก้ไขตัวเอง แก้ไขให้เปลี่ยนความร้ายเป็นความดีเปลี่ยนความผิดไปให้เป็นความถูก ถ้าทุกคนแก้ตัวเอง ปัญหาก็ไม่เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อความสงบร่มเย็นเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานได้ พระพุทธเจ้าถึงสอนว่าปฏิบัติได้ให้ผลได้เป็นอัศจรรย์ ชีวิตเรานี้ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติพึงทำด้วยตนเอง ให้คนอื่นผิด เราก็ทำตัวเรา อย่าให้ผิดไปตามเขาเอาความผิดเป็นครู คนอื่นถูกก็เอาความถูกของเขามาเป็นบทเรียนของเรา เก็บตกเยอะแยะมีบทเรียนมากมายจากการใช้ชีวิตประจำวัน จากสิ่งแวดล้อมบ้าง จากภายในชีวิตของเราตามความเป็นจริงบ้าง ให้มีธรรมชาติ
ชีวิตเรามีอาการ บางทีเราเอาธรรมชาติผิดเพี้ยนไป เอาอาการผิดเพี้ยนไป เอาธรรมชาติมาเป็นสุขเอาธรรมชาติมาเป็นทุกข์ เอาอาการที่เกิดขึ้นกับกายกับใจมาเป็นสุขมาเป็นทุกข์ ทั้งๆ ที่เขาเป็นธรรมชาติเป็นอาการธรรมดาของเขา เช่นรูปกายนี้ก็ต้องไหลไปอยู่เสมอ ไม่เที่ยงทนได้ยาก อย่าเอาความไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ อย่าเอาความทนได้ยากปวดหลังปวดเอวมาเป็นทุกข์ มันเป็นธรรมชาติเป็นอาการของเขา อาการต่างๆธรรมชาติต่างๆที่มีอยู่ในกาย อย่าเอามาเป็นสุขอย่าเอามาเป็นทุกข์ มาเป็นบทเรียนกำหนดรู้โดยการรู้ อาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ก็อย่าเอามาเป็นสุขอย่าเอามาเป็นทุกข์ เช่นความวิตกกังวลเศร้าหมอง ความหมกมุ่นครุ่นคิด ความขัดแค้นเคืองใจอะไรต่างๆ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับใจ เหมือนน้ำมีลมพัดมันก็มีคลื่น ถ้าไม่มีลมน้ำก็ไม่มีคลื่น
อารมณ์ที่เกิดกับใจเพราะมีเหตุมีปัจจัยมีมาหลายทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทางรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอารมณ์ต่างๆ มีเหตุมีปัจจัย เหมือนกับเราโยนก้อนกรวดน้อยๆลงไปในน้ำกระเพื่อมเล็กน้อย ถ้าโยนก้อนใหญ่ๆ ลงไปก็กระเพื่อมมากเป็นธรรมดา การกระเพื่อมของน้ำไม่ทำให้น้ำเป็นอื่นก็เป็นน้ำเหมือนเก่า เราอย่าไปมองการกระเพื่อมไม่ใช่น้ำ มองว่าเป็นคลื่น ที่จริงมันก็เป็นน้ำเหมือนเดิม แต่มีเหตุปัจจัยที่มันเกิดขึ้น ขึ้นมา เดี๋ยวมันก็ปรับให้ดีเป็นปกติเหมือนเดิม ใจที่มันฟูมันแฟบมันปรุงมันแต่งเพราะมีเหตุปัจจัยอย่าไปเอาปรุงเอาแต่งว่าเป็นตัวเป็นตน มันก็ไปเอาอาการเช่นว่าเป็นตัวเป็นตนเข้า ก็ถูกอาการเช่นนั้นหลอกตัวเรา เราก็หลงอยู่ตรงนั้นมากครั้งมากคราว แทนที่จะเห็นว่า เออ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันเป็นเรื่องอาการของเขาตามความเป็นจริง เป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเองก็ได้บทเรียนได้ปัญญา เอากายมาเป็นปัญญาเอาใจมาเป็นปัญญาหลายๆ อย่างหลายช่องทาง มีแต่มันมาโชว์ให้เราดูให้เราเห็น แม้ความโกรธก็โชว์ให้เราดู ความทุกข์ก็โชว์ให้เราดู แต่ความโกรธมันก็ไม่เป็นเรื่องจริงอะไรต่างๆ ไม่จริง มันโชว์ให้เราไปเข้าใจผิดสำคัญมั่นหมาย ก็เลยไปยึดเอาสิ่งเหล่านั้นว่า เป็นตัวเป็นตนเป็นผู้สุขเป็นผู้ทุกข์ซะ ก็เลยเสียเวลาตรงนั้นด้วย แทนที่จะได้บทเรียนก็ได้เป็นการลงโทษตัวเรากระทบกระเทือนไปหมด ต้องดูดีดี
ถ้าไม่แก้ไขตัวเองมันก็ย่ำแย่ ถ้าไม่ดูแลตัวเองโลกก็วิบัติฉิบหายไป ถ้าดูแลตัวเอง โลกก็สดใสเป็นสิ่งแวดล้อมมาเจอกันและกัน
ชีวิตเราต้องช่วยเหลือกันไม่ให้เบียดเบียนกัน มันก็ช่วยเหลือกันได้จริงๆ มีวัตถุอุปกรณ์ช่วยเหลือกันได้ มีวัตถุอุปกรณ์ทำให้การเดือดร้อนก็ได้ เราจึงมาดูแลตัวเองให้ดีดี ถ้าเป็นความสุขเป็นความทุกข์มันก็ไม่ใช่จริงจังอะไร ถ้าสุขเหมือนคนเป็นโรคขี้กลาก เกาขี้กลากนั้นก็ว่าเป็นสุขซะได้เกา ได้เกาขี้กลากก็ว่าเป็นสุข ถ้าไม่ได้เกาก็ไม่ได้ ทำกันขึ้นมา แต่การเกานั้นไม่ใช่ความสุข แต่คนเราเมื่อรักษาขี้กลากได้แล้ว ไม่ต้องเกาอันนั้นก็ไม่เรียกว่าสุข เพราะมันหายไปแล้ว ไม่เรียกว่าสุข หาความสุขบนอาการต่างๆ หาความทุกข์บนอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายใจมันไม่ได้หรอก เวียนว่ายตายเกิดตรงนี้ ทุกข์เรื่องเก่าโกรธเรื่องเก่าอะไรต่างๆ มันเวียนว่ายตายเกิดเรียกว่าวัฏสงสาร เราจึงมาดูแลให้ดีๆ
ถ้าเป็นความสุข พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าความสุขอยู่ที่กายที่ใจ เขาเรียกว่าใจดี เขาเรียกว่าใจดี เรียกว่าใจร้าย เรียกว่าใจร้าย มันร้ายจริงๆ แล้วมันก็ดีจริงๆ ถ้าเป็นความสุขของชีวิตของเรานี้ก็ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้าเป็นฆราวาสญาติโยมผู้ครองเรือน สุขเพราะการไม่เป็นหนี้ ไม่ใช่สุขเพราะกายนะ สุขเพราะการไม่เป็นหนี้ สุขเพราะการจ่ายทรัพย์มีทรัพย์ใช้จ่าย ไม่ขาดแคลนเดือดร้อน สุขเพราะการงานชอบทำการงานชอบ ไม่ใช่ขี้เกียจขี้คร้าน ชอบดูงานดูการที่ทำไปมันก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เช่น เราเป็นชาวนาเวลาปลูกข้าวบนผืนนา ต้นข้าวมันฝังในดินมันก็ไม่อยู่แช่ มันฝังมันพัฒนาไป ออกต้นลำต้นขาวสวยงามเกิดดอกออกรวงไปเรื่อย การงานเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเราทำแล้วจะได้อะไรจะขาดทุนจะได้กำไร ไม่ใช่ งานมันไป เราก็ดูก็มีความสุขแบบหนึ่ง สุขเพราะการงานชอบเกิดจากฝีมือของเรา อันนี้เรียกว่าสุขเพราะการงานชอบ ไม่ใช่สุขเพราะความขี้เกียจ ไม่เคยมีในพระไตรปิฎก มีแต่ความสุขของฆราวาส สุขเพราะการทำงานอันชอบด้วยความสัมมาอาชีพ สุขเพราะพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนมีศีลเรียกว่าผัวกอบเมียกำ ผัวถ่อเมียพายโบราณท่านว่า ไม่ใช่แร้งคาบมากาคาบหนี ถ้าเป็นแร้งคาบมากาคาบหนีไม่ใช่ความสุขเป็นความเดือดร้อน มันก็เกิดขึ้นกับเราเอง เราก็ใช้ชีวิตให้มันถูกต้องซะ ชีวิตที่เป็นคู่ชีวิตที่เป็นครอบครัว มันก็ดีจะได้ช่วยกันดีกว่าคนเดียว คนเดียวขวัญหาย สองคนเพื่อนร่วมตาย สามคนกลับบ้านได้
คนเดียวขวัญหายยังไง จะเล่าให้ฟัง ฟังไหม เกิดกับหลวงตานี่เองนะ อยู่คนเดียวเวลานั้นก็กระดานข้างโอ่งน้ำพาหัก ตกลงไปใต้ถุน เออ ซี่โครงไปพาดกับต้นเสา มันก็กระดูกซี่โครงเดาะไป ไปโรงพยาบาล กลับมาก็ยังเจ็บ เพราะตอนนั้นก็มาอยู่สองวัด ตอนที่ตกนั้นก็อยู่ภูเขาทองก็เลยเดินทางไปสุคะโตไปดูแลที่นั่น ฝนตกกลางคืนพรำๆๆๆ มีไก่มันออกลูกอยู่โคนไม้ แต่มันร้องโอ๊กๆคล้ายๆมันขอความช่วยเหลือ ฟังดูก็ โอ๊ย หลวงพ่อมาช่วยหนูด้วยช่วยหนูด้วย มันก็อดไม่ได้คล้ายมันขอความช่วยเหลือเรา เราก็เอาไฟฉายส่องลงไปเห็นงูพันแม่ไก่อยู่ในรังแล้วก็จกลูกไก่กินเป็นอาหาร เราก็ไปไล่มัน มันไม่ยอมออก มันเด่คอมาใส่เราด้วย เอาไฟฉายไป ไปตัดไม้ไผ่ ทั้งที่เจ็บอยู่ ค่อยๆไป เอาไผ่มาปาดฉลาม เราวางแผน มันไม่ออกจะทำยังไง จะไปจับมันก็ไม่ได้ เพราะมันจะกัดเรา เอาไม้ไผ่มาสอดเข้าคองูนะ มันโด่คอมาหาเรา เราก็สอดเข้าไป แล้วก็คีบคองูก็ทิ้งลงไปก็ตกไปโน่น ทั้งแม่ไก่ทั้งงูตกไปด้วยกัน เราสาวไป งูก็เลื้อยหนี แม่ไก่ก็บินไปทางอื่นทิ้งรังไปเลยคืนนั้น แล้วเราก็มาศาลา มานอนศาลาไก่ก็ไม่สูงนักประมาณ 80 เซนต์ก็เดินมาถึงสังกะสีที่น้ำมันเลาะย้อยลงมา ฝนตกพรำๆ ย้อยลงมาก็เปียกมันก็เลยลื่น ลื่นแล้วก็ล้มลงก็ทับตรงกระดูกอันเก่า ก็ลุกไม่ขึ้น นอนอยู่คนเดียวฝนก็ย้อยลงมาใส่ สนุกไหม ลุกก็ลุกไม่ได้ ฝนก็ย้อยลงมา นอนเปียกอยู่กับตรงชายคาย้อยลงมา ถ้าว่ามีเพื่อนมีพระมาช่วยหลวงพ่อด้วย ลุกไม่ได้แล้วก็ไม่มีใครก็เลยนอนอยู่ตรงนั้น มันนอนแบบไม่ทุกข์นะ นอนอยู่ตรงนั้น นอนสนุกไป ค่อยค่อยเกาะเสา ค่อยๆ เกาะขึ้นมา ลุกค่อยๆ ขึ้นมาขึ้นมาได้อันนี้คนเดียว เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ดีเท่ากับมีเพื่อนมีหมู่ ถ้าคนเดียวก็ขวัญหายแบบนั้นต้องช่วยตัวเองไม่ได้
บางโอกาสสองคนกับเพื่อนร่วมตาย เพื่อนร่วมตายคือยังไง เมื่อคนหนึ่งเดินทางไปด้วยกันไปค้าไปขายเป็นไข้อย่างหนักอยู่กลางดงกลางป่า เราจะทำไง ถ้าเรามีแต่เพื่อน มันก็คอยจะตายจะต้องอยู่ด้วยกันเป็นเพื่อนร่วมตายกันเฉยๆ ถ้าสามคนก็กลับบ้านได้ยังไง คนหนึ่งไปตามหาหมอหารถมา สองคนหนึ่งก็เฝ้าดูแลกันพยาบาลกันอยู่ เป่าเลือดขัดเลือดดูแลอะไรต่างๆพอดูแลได้ มันก็กลับบ้านได้ เหมือนเราพาหลวงพ่อกรมไปหาหมอ หลวงพ่อก็ไปหาหมอตอนนี้ที่จุฬา ก็ไปก็หมอก็ตรวจว่า ก็ให้หลวงพ่อกรมนอนอยู่ซักสองคืนสามคืน เขาจะดูกระดูกให้ เราก็ไม่ว่าอะไร แล้วหลวงพ่อกรมก็ไม่รู้จักใคร พวกเราไปช่วยกันอันนี้ก็ดีกว่าไปคนเดียว หลวงพ่อกรมไม่มีอะไร ให้เอาอะไรไป จะทำไง ไปหาซื้อยาสีฟัน คุณหมูหาซื้อยาสีฟันซื้อแปรงสีฟันมาให้ ก็หลวงพ่อกรมก็ไม่เอาผ้าสังฆาฏิไปด้วย ก็กลัวเป็นอาบัติปราศจากไตรจีวร ก็บอกให้เรามาเอาผ้าสังฆาไปให้ แล้วเราก็มาแทนหลวงพ่อกรม ก็นี่สามคนกลับบ้านได้ คนเดียวก็ไม่ดี เราอยู่กันเป็นครอบเป็นครัวเป็นผัวเป็นเมียดีแล้ว ผู้หญิงเป็นแขนซ้ายผู้ชายเป็นแขนขวา ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า สนับสนุนกันไปสองแรงสามแรง ผู้หนึ่งประมาทผู้หนึ่งไม่ประมาทมันก็ดีไม่ใช่เป็นปัญหาอะไร เราก็ดี ได้คู่กันดี พระพุทธเจ้าไม่ใช่เรียกว่าสามีภรรยา เขาเรียกว่ากัลยาณมิตร เพิ่มจากสามีภรรยาไปเป็นถึงกัลยาณมิตร พาไปสวรรค์นิพพานได้อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นปัญหาเป็นเรื่องดี จะได้ช่วยกันเป็นหูตา เป็นขาเป็นแขน เป็นปากเป็นเสียงช่วยกัน เป็นสติปัญญาช่วยกันไป มันก็ดี
ถ้าเราอยู่คนเดียวเนี่ย เช่นนักบวชถ้าไม่มีศีลก็ไม่ดีเหมือนกันก็จะประมาทได้ ถ้าอยู่กับหมู่ก็ไม่ประมาทอายหมู่อายเพื่อนเขา เขาเดินจงกรมเราจะมานอนอยู่ได้อย่างไร เขาทำสมาธิเราจะนอนอยู่ได้ ก็ดูเพื่อนดูมิตรบ้างมันก็ดี แล้วมันก็ช่วยกันทำความดีให้มากๆ เมื่อก่อนอยู่กับหลวงปู่เทียนเนี่ย ไม่มีนาฬิกา สมัยก่อนโน้น 40 ปีโน้นว่านาฬิกาไม่เคยมีสักทีเลย ก็ฟังเสียงรองเท้าของเพื่อนเดินแต๊บแต๊บตอนเช้าเราไม่มีนาฬิกา บางทีก็มองใบไม้ที่มันเรี่ยมระยับๆ บางทีก็ฟังเสียงน้ำค้างมันย้อยลงมาตกใส่ใบตองป๊อกแป๊กป๊อกแป๊ก เออ ตีสามตีสี่แล้ว บางทีสิ่งแวดล้อมก็ทำให้เราได้ฝึกตนก็มีเหมือนกัน เพื่อนบางคน สิ่งแวดล้อมบางอย่าง เอามาฝึกตัวเราไม่ใช่เอามาเป็นเครื่องทำให้เราเดือดร้อนวุ่นวาย เขาเดินจงกรมถือว่าเขามารบกวนเรา เราจะนอนนะ มาเดินอย่างนี้ทำไม มันคิดอย่างนั้น ดี เราจะได้เอาอย่างเขาบ้าง แม้พระพุทธเจ้าบอกให้พระสงฆ์เอาอย่างเก้ง เอาอย่างกวางบ้าง เวลากวางออกหากิน มันก็มีสติดี เดินไปก้าวหนึ่งก็มองไปหยุด เดินไปอีกมองไปอีก หลวงตาเคยเห็นกวาง ลักษณะของกวางเมื่อดูแล้วเปรียบเทียบพระพุทธเจ้าที่เคยแสดงไว้ในพระสูตร มาดูแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
สมัยไปสอนธรรมที่นิวยอร์ก ไปอยู่วัดจวงแหยวนเนี่ย ไปพิชิตความหนาวมันจะหนาวขนาดไหน หิมะลงตอนเช้าตีสี่ตีห้าเนี่ยขาวโพลนไปทั้งป่า ต้นไม้มันมีสีเขียวขาวไปหมดเลยก็ไปพิชิตความหนาวดู ฝรั่งมันเก่งขนาดไหน เราต้องพิสูจน์ลองดูเราจะเก่งเหมือนฝรั่งไหม ก็ไปลองนั่งอยู่โต๊ะข้างสระ ยังไม่สว่าง กวางแม่ลูกอ่อนเดินมา เราก็นั่งอยู่นิ่งๆ มันก็เดินเยื้องมา ก้าวหนึ่งก็มองเรา มันก็มองขึ้นไปหาลูกมัน แล้วก็เยื้องไปก้าวหนึ่ง ก็มองเราอีกมันก็มาหาลูกมัน พอมองหาลูกมัน ลูกมันก็หยุด มันก็เดินมาหา มาดมจมูกเรา เราก็เอาปากเป่าจมูกมันแล้วก็ถอยกลับ พอมันถอยกลับมันก็บอกลูกมัน ไป ไป ออกไปทางอื่น มันก็ถอยกลับเดินไปทางอื่น นี่มันมี ไม่ลุกลี้ลุกลน พอสายมาสายมามันก็เดินกลับมาอีก มาให้ลูกกินนมอยู่ข้างหลังเรา ข้างสระลงไปแท๊งค์น้ำยืนให้ลูกกินนม พอลูกกินนมเสร็จ ลูกมันก็นอนลงไป นอนลงที่ตรงนั้นเลย แล้วมันเดินหนีไป แม่มันเดินหนีไป อ้าว มันอะไรน่ะ มันเอาลูกมาฝากเรายังไงนะ เราก็โอ้ ถ้ามันเอาลูกมาฝากเรา เราก็ต้องดูแลให้มันซักหน่อย เพราะฉะนั้น พอถึงเวลาฉันเช้าก็มาฉัน ฉันเสร็จแล้วก็รีบลงไปนั่งเป็นเพื่อนกวางน้อย มันก็นอนอยู่ไม่กระดุกกระดิก บางทีก็ยืนขึ้นยืดเส้นเอ็นยืนแล้วก็นอนลงไม่ก้าวสักก้าวยืนเฉยๆ
เราก็เห็นหมาป่าอยู่ด้วย บางทีก็หมาป่าอาจจะเห็นเข้า อาจจะกัดกวางน้อยตาย เราก็เลยเป็นเพื่อนกวางอยู่ตรงนั้นทั้งวัน เย็นๆ มา เอ๊ะ แม่มันยังไม่มาทำไงเนี่ย พอเย็นเข้าจริงๆ แม่มันก็มาวิ่ง บึมๆๆๆ มา มาดูเรา เราก็นั่งตรงนั้น มายืนให้ลูกมันกินนมแล้วก็ไป อันนี้เรียกว่ามันธรรมชาติของเขา พระพุทธเจ้าจึงตรัสพระสูตรไว้ เอาอย่างกวาง เห็นแล้วก็โอ้ชื่นใจ เขามีสติกว่าคนเรา คนเราบางคนลุกลี้ลุกลน หุนหันพลันแล่น ล้มลุกคลุกคลานไปก็มี เพราะฉะนั้นเราจึงไม่หุนหันพลันแล่นมีสติ ถ้าไปกลัวไปเห็นเสือน่ะไปเจอเสือด้วยกันสองคน คนหนึ่งกลัวเสือสุดชีวิตเลย คนหนึ่งไม่กลัว แต่ว่าวิ่งเหมือนกัน คนที่วิ่งด้วยความกลัวกับคนที่วิ่งด้วยความไม่กลัวใครจะปลอดภัยกว่ากัน คนวิ่งด้วยความไม่กลัวต้องปลอดภัยกว่า คนวิ่งด้วยความกลัวต้องล้มลุกคลุกคลานไป เพราะฉะนั้นเราจึงทำใจให้มันแยบคาย ทำสิ่งใดก็ตามเห็นคนเจ็บคนป่วยเห็นอะไรปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าในตัวเราในหมู่มิตรเพื่อนฝูงญาติพี่น้องคนอื่นต้องมั่นใจ ให้มันมั่นคงดูดีดี ให้ได้บทเรียนได้คำตอบ เอาไปหาพิสูจน์ข้อมูลซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราก็ได้หลักการทำใจให้แยบคาย การทำใจให้ไม่รุกริกรุกริกไม่หุนหันพลันแล่นมันดี เราจึงต้องฝึกมันพอสมควร
ไม่ใช่อยู่คนเดียวโลกนี้ อยู่กับกายเราอยู่กับใจเรา อย่าเอากายมาเป็นปัญหา อย่าเอาใจมาเป็นปัญหา อย่าเอาคนอื่นมาเป็นปัญหา อย่าเอาคนอื่นมาเป็นปัญหา มาเป็นความรักความชัง มาเป็นความพอใจไม่พอใจ อย่าให้มันไปถึงโน้น เป็นสักแต่ว่าธรรมชาติ เราจะอยู่ด้วยความสันติสุขสันติภาพ ด้วยความราบรื่น เหมือนชีวิตของเราเนี่ย ถ้าศึกษาชีวิตจริงๆ แล้ว ไม่มีหรอกความทุกข์ ความวิตกกังวลเศร้าหมองมันราบรื่น เห็นอะไรก็ตาม มันเห็นจริงมันก็จริงแบบนั้น เห็นไม่จริงก็ไม่จริงแบบนั้น มันจริงแบบมันจริง มันไม่จริงก็มันแบบไม่จริง แม้แต่กายของเราก็เหมือนกัน เวลามันร้อนมันก็จริงแบบมันร้อน มันปวดมันเมื่อยก็จริงแบบนั้น อย่าเอาอาการเช่นนั้นมาเป็นทุกข์ เอามาเป็นความรู้ไปเลย แม้มันเจ็บมันปวดเป็นเจ็บเป็นไข้ก็อย่าเอามาเป็นทุกข์ เหตุของจริงที่มันเกิดกับกาย มันเป็นเช่นนั้นเอง แม้มันมีอะไรเกิดขึ้นกับกายที่มันสะดวกสบาย อ้าวมันก็เป็นเช่นนั้นเอง ไม่ได้มีอะไรที่มันฟูมันแฟบ
บทเรียนได้จากกายจากใจเป็นบทเรียนที่ไปสู่มรรคผลนิพพาน
โดยเฉพาะจิตใจเนี่ย มีใจอันเดียวพอเพียงแล้วไม่ต้องมีของวัตถุสิ่งของอันอื่น ที่จะให้เราถึงมรรคถึงผลอยู่ที่ใจดวงนี้อยู่ที่จิตดวงนี้ ก็ฝึกลงไปอย่าปล่อยปละละเลย จิตใจของเรา มันก็มีให้เราฝึกอยู่ทุกเวลา ใจของเราเนี่ย มันสอนให้เรารู้มัน มันฉายให้เรารู้มัน รู้ใจทุกวิถีทาง อาการอะไรเกิดขึ้นกับจิตกับใจ รู้หมดรู้ครบรู้ถ้วน ปิดบังอำพรางไม่ได้เลย เราจึงรู้รอบรอบรู้ รู้จนหมด เหมือนเราเห็นเขาเล่นกลเนี่ย ทีแรกเราไม่รู้เขาเขาแสดงกลให้เราดูเราก็ โอ้ อัศจรรย์ พอเรารู้จักเคล็ดลับของเขาแล้ว มันก็ไม่มีค่าอะไร แม้แต่ดูหนังดูละคร มันแสดงให้เราดู ไม่ใช่ของจริง แต่ก่อนไม่รู้ก็สมมุติบัญญัติร่วมไปกับเขา มีความสุขไปกับเขา เขาแสดงบทหัวเราะก็หัวเราะไปกับเขา เขาแสดงบทเศร้าโศกร้องไห้ก็ร้องไห้ไปกับเขา บททำให้โกรธเราก็โกรธ บททำให้รักเราก็รักไปกับเขา ไม่ใช่ไปดู เป็นการไปแสดงกับเขา ไม่ใช่ดู
ชีวิตของเราก็เหมือนกัน เราเป็นนักแสดงไปทุกฉากเกินไปมันก็ไม่ได้ มันสุขก็แสดงเป็นความสุข มันทุกข์ก็แสดงไปกับความทุกข์ มันรักมันชังก็แสดงไปกับความรักความชัง มันเศร้าโศกเสียใจก็แสดงไปกับความเศร้าโศกเสียใจร้องห่มร้องไห้ ไม่ใช่ดูนะ เราก็เป็นละครอันหนึ่งในชีวิต เราจึงไม่หนีจากวงจรนี้ ถ้าเราดูเราก็ได้ความฉลาด มันจบเท่านั้นแหละ ไม่มีค่าอะไร ความโกรธไม่มีค่าอะไร ความทุกข์ความร้ายไม่มีค่าอะไร มีแต่เป็นปัญญาเนี่ย ฉะนั้นเราจึงมาศึกษากันเถอะ มันอยู่ตรงนี้จริงๆ ไม่ใช่อยู่ที่ไหน แล้วก็มีสถานที่แบบนี้เพื่อการนี้ แล้วก็มีพระนั่งอยู่นี่ ญาติโยมก็นั่งอยู่โน่น ก็เพื่อการอย่างนี้แหละ มาพูดมาจาปราศรัยให้กันฟังกันและกันว่าได้ยินเอาไว้ ได้ฟังเอาไว้ บางทีก็ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง ไม่เป็นไร แต่ได้ยินเอาไว้ก็ยังดี