แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:52] พูดกับทุกผู้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ รู้จักไหมว่าหลวงตาตั้งใจพูดกับพวกเรา พวกเราตั้งใจฟังไหม ถ้าฟังก็มีประโยชน์นะ ผู้ฟังธรรมย่อมได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง สิ่งใดที่เคยฟังแล้วยังไม่เข้าใจ ย่อมเข้าใจสิ่งนั้นได้ บรรเทาความสงสัยในปัญหาต่าง ๆ เป็นการเรียนลัดในการฟังนี้ ไม่ต้องไปนั่งอยู่ในห้องเรียน จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส มีความเห็นถูกต้องเพราะได้ยินได้ฟังเนี่ย
ชีวิตเราที่แท้อันเดียวกัน จะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นพระ เป็นโยมก็อันเดียวกัน หัวอกอันเดียวกัน มีการเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือระดับความหลงความรู้ ถ้าเรามีความรู้สึกตัว เป็นเด็กก็เป็นผู้ใหญ่ได้ ถ้าเราไม่มีความรู้สึกตัว เป็นผู้ใหญ่ก็เป็นเด็กได้ เป็นเด็กก็เป็นเด็กไปเลย เพราะหลงก็ยังหลงอยู่ เพราะโกรธก็ยังโกรธอยู่ เพราะทุกข์ยังทุกข์อยู่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนร้ายไปเป็นดีได้ เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ นี่คือผู้ใหญ่ เปลี่ยนร้ายเป็นดี เราจะเป็นเด็กไปตลอดชีวิตไม่ได้ เราจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่แล้วมาเป็นเด็กไม่ได้ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อสรรพสิ่งทั้งหลายถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ถ้ามีแต่ความอิจฉาเบียดเบียนกันก็เป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หัวงอกเกิดนานก็ตาม ถือว่าเป็นเด็กถ้ายังมีอิจฉาเบียดเบียน เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่นอยู่ ถือว่าเป็นเด็ก เราจึงมาสร้างโลกนี้ให้มีแต่ความเมตตากรุณา อยู่ร่วมกัน เราจึงมาต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อเอาความรู้ความดีไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและคนอื่นด้วย เรามีสติเราก็ได้ใช้สติ ถ้ามีความหลงเราก็เกิดโทษเพราะความหลงพาให้เราพูดผิดทำผิดคิดผิด
ถ้าเรามีสติมันก็พาให้เราทำถูกต้อง ชีวิตของเราก็ปลอดภัยไม่มีโทษมีภัย
เดี๋ยวนี้เรามีภัยเพราะเราทำให้เราเองเรามีภัย นอกจากเราทำให้ตัวเราเองมีภัย แต่คนอื่นเขาไม่รู้ทำให้เรามีภัยด้วย การใช้ชีวิตร่วมกันในโลกนี้มีแต่อันตรายถ้าเราไม่เป็นคนดี ถ้าเราไม่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรโลกทุกวันนี้ จึงต้องเรียนรู้ให้มากเพื่อจะได้มีความรู้อยู่ร่วมกัน ถ้าคนทุกคนไม่มีความรู้อะไร ทำแต่ความผิด แม้แต่อาหารการกินก็เป็นโทษเป็นภัยต่อเรา เดินตามถนนหนทางก็เป็นโทษเป็นภัยต่อเรา อากาศหายใจก็เป็นโทษเป็นภัยต่อเรา แผ่นดินที่เราเดินก็เป็นพิษเป็นภัยต่อเรา น้ำที่เราอาศัยอาบดื่มก็เป็นพิษเป็นภัยต่อเรา เราจึงต้องช่วยกันเป็นคนดีให้ได้ ร่วมมือร่วมแรงกัน ชีวิตเราไม่ใช่เราอยู่วันนี้วันเดียว มีอีกกี่ปี หลายปี มีลูกมีหลานมีเหลนด้วยในโลกนี้ เขาว่าโลกนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันเป็นคนดี โลกจะอายุสั้นเข้าไป
เดี๋ยวนี้โลกก็เกิดความร้อนขึ้นแล้ว เกิดวิบัติต่าง ๆ ต่อไปน้ำจืดจะไม่มีดื่ม มีแต่น้ำเค็มท่วมโลก เราจะอยู่ยังไง ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ ก็เนื่องจากเรานั่นแหละ คนไม่ดีหลายคนก็ทำแต่ความไม่ดีเกิดขึ้นบนโลกนี้ ที่โรงเรียนเรามีคนไม่ดีเกิดขึ้นเราก็ลำบาก อย่างบ้านนี้แถวนี้เขากำลังประกาศว่าเดี๋ยวนี้กำลังมีโจรผู้ร้ายเกิดขึ้นแล้ว เมื่อมีโจรผู้ร้ายเกิดขึ้นคนเดียวเราก็เดือดร้อนในหมู่บ้านชุมชนเรา นักเรียนเป็นคนไม่ดีคนหนึ่งเกิดขึ้นในโรงเรียน โรงเรียนเราก็เดือดร้อน ครูอาจารย์ก็เดือดร้อน สอนยากดื้อดึงเอาแต่ใจ ปัญหาเกิดมีมากขึ้นจนถึงกับนักเรียนฆ่ากันตีกัน กำลังมีปัญหามากเยาวชนคนไทย ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันน่ะ พวกเราจะอยู่ยังไง หมู่หลวงตานี่อายุไม่นานก็ตายไปแล้ว แต่พวกเรานี้จะอยู่ไปอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ เราจึงมาช่วยกัน มาช่วยกันฝึกฝนตนเอง มีสติ มีสัมปชัญญะ มีเมตตากรุณา มีการให้อภัย มีศีล สำรวมกายวาจาใจดี ๆ มีสมาธิ มีใจมั่นคงอย่าง่อนแง่นคลอนแคลน
ตื่นขึ้นมาอย่าให้พ่อแม่ต้องปลุก พยายามลุกเอาเอง ลุกขึ้นมาแล้วรีบเก็บที่นอน ล้างหน้าแปรงฟัน เหมือนหลวงตาสมัยเป็นนักเรียนเนี่ย เรียนหนังสือเด็กชายใหม่ แบบเรียนแนวใหม่ชั้น ป.1 ยังจำได้ทุกวันนี้ “เด็กชายใหม่รักหมู่เป็นเด็กดี ตื่นนอนแต่เช้าทุกวัน ลุกขึ้นแล้วเก็บที่นอนให้เรียบร้อย ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวไปโรงเรียน เลิกจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ถอดเสื้อกับกางเกงออกผึ่งแดด รีบทำงานช่วยเหลือพ่อแม่” เด็กชายใหม่ แล้วเขาก็เขียนรูปเป็นนักเรียนคนหนึ่ง เป็นรูปในหนังสือ น่ารัก เราก็อยากเป็นเด็กชายใหม่ เราก็ทำเหมือนเด็กชายใหม่ เราก็ตื่นดึก ตื่นขึ้นแล้วรีบเก็บที่นอนเหมือนเด็กชายใหม่ รีบล้างหน้าแปรงฟัน ทำงานช่วยเหลือพ่อแม่ เช่น เช็ดถูเรือน เป็นต้น แต่งตัวไปโรงเรียน เมื่อเลิกจากโรงเรียนเราก็ถอดเสื้อออกผึ่งแดด รีบวิ่งตรงลงไร่ลงนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายช่วยเหลือพ่อแม่ อยากเป็นเด็กชายใหม่ แล้วก็มีเด็กเกเร “เช้าวันหนึ่งนกกางเขนตัวผู้ตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งมะม่วงในสวน นกน้อยตัวนี้เริ่มส่งเสียงร้องไพเราะจับใจ” เขาก็ทำเป็นรูปนกบิน เกาะกิ่งไม้ ร้องท่าทางร้องเพลง “นกน้อยตัวนี้เริ่มส่งเสียงร้องไพเราะจับใจ บินพลางกระโดดพลางไปตามกิ่งไม้ กิ่งโน้นบ้างกิ่งนี้บ้าง มีเด็กเกเรคนหนึ่งเอาหนังสติ๊กไปยิงเขาตาย” เราก็เกลียดเด็กคนนั้นเอาหนังสติ๊กมายิงนกตาย เราก็เลยไม่จับหนังสติ๊กเพราะเด็กเกเรชอบจับหนังสติ๊กมายิงนก นกก็มีประโยชน์ ถ้าเราอ่านประวัตินกสักสิบตัวดูนี่ เราจะรักนกมาก
ที่วัดหลวงตามีชมรมเด็กรักนก มีกล้อง หลวงตาซื้อกล้องมาจากสหรัฐฯ 20,000 บาท จับนกได้เป็นกิโล ๆ กล้องถ่ายจับภาพนกแล้วเอามาเขียนภาพ ให้มี ไปพาเด็กไปดูนก เอานกให้เด็กดู เอากล้องตั้งให้เด็กดู ให้เด็กมาเขียนภาพ นกนี้เป็นนกชนิดใด ให้เด็กเขียนภาพ แล้วมาดูตำรานก ถ้าใครเขียนภาพนก จับนกได้สักสิบตัว อ่านประวัตินกลองดูเนี่ย เด็กคนนั้นจะเป็นเด็กดี ไม่ถือหนังสติ๊กเลย เมื่อเขารักนก ประวัติของนกมันทำอะไรบ้าง เขาก็ โอ๊ย! นกไม่ใช่เป็นนกเฉย ๆ ปลูกต้นไม้ จับแมลงกินพืชเกษตร อะไรช่วยเหลือเราขยายพันธุ์พืช อย่างที่วัดหลวงตาเนี่ย พริกนกปลูก ต้นสูงเท่าหัวโน่น ไม่มีใครปลูกได้พริกชนิดนี้ มีแต่นกเท่านั้นปลูกได้ ต้นไม้บางประเภทเนี่ยในประเทศไทย ผลผลิตของนกมากกว่าคน คนบางคนยังสู้นกไม่ได้เลย นกยังปลูกพวกป่าให้คนได้อาศัย อย่างไทรบ้าง ต้นไม้อะไรที่เป็นนกปลูก ต้นไม้บางประเภทต้องผ่านกระเพาะนก แม้เอาเมล็ดมาปลูกก็ไม่ขึ้น ต้องให้นกกินก่อนแล้วมันไปถ่าย แล้วก็เกิดพืชต้นไม้ขึ้นมา ต้องผ่านกระเพาะนก เนี่ยมันขนาดนั้นนะนกเนี่ย ถ้าเราอ่านประวัตินกได้สักสิบตัวเนี่ยเด็กจะเป็นคนดีทีเดียวเลย ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลย มีเมตตากรุณา เมื่อเห็นนกศึกษานกเขาก็รักป่า เห็นนกมันอยู่ป่า มันก็กินหมากไม้ เขาก็รักป่า ไม่ทำลายป่า เมื่อเด็กรักนกแล้วก็ไม่ทำลายป่าเลยทีเดียว กลายเป็นเด็กดี ที่บ้านหลวงตาไม่มีเด็กถือหนังสติ๊กเลย ถ้าอยู่ชมรมเด็กรักนกน่ะ อันนี้ก็เราอ่านหนังสือชายใหม่ เด็กเกเรเอาหนังสติ๊กมายิงนกตาย โอ๊ย! ยังเห็นหน้าเด็กเกเรคนนั้น ยังเป็นภาพอยู่ ไม่ชอบ ทำไมมาเบียดเบียนนกเนี่ย นกมันทำประโยชน์ให้แก่คน รักนก รักป่า แล้วก็เป็นหัวใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เรียนอะไรต่าง ๆ
“เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน ได้ประโยชน์หลายสถานเพราะการเรียน จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล ถึงลำบากตรากตรำก็ยอมทน เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย” เด็กชายใหม่รักหมู่ เราเรียนสมัยเป็นเด็ก ป.1 เดี๋ยวนี้ยังจำได้อยู่นะ หลวงตาจำมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ 5 ปี 6 ปี โน่น 6 ปี 7 ปี แน่ะ เดี๋ยวนี้นักเรียนจำอะไรได้ มาอ่านให้หลวงตาฟังสิ ครูสอนเรื่องอะไร อ่านหนังสือเรื่องใดมา ใครบ้าง อ้าว จะให้เป็นเด็กดีเด่นในโรงเรียนบ้านพลูนี่ ไม่พูด จำอะไรบ้าง หา เรียนมาจำอะไรที่เห็นว่าน่าจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง “มีสระแห่งหนึ่งไม่สู้จะกว้างใหญ่นัก เวลาลมพัดน้ำในสระเป็นระลอกขึ้นน้อย ๆ ทยอยเข้ากระทบฝั่ง ต้นหญ้าที่ขอบสระโอนเอนไปมาจนใบเสียดสีกัน ในสระนั้นมีไข่เม็ดเล็ก ๆ สีดำ ๆ ลอยอยู่แพหนึ่งคือไข่กบ มีลูกกบตัวเล็ก ๆ อยู่ในไข่นั้น มันนอนอยู่เหมือนเด็กอ่อนนอนเปล แต่เปลของมันไม่เหมือนเปลเด็ก เป็นวุ้นกลม ๆ ใส ๆ หุ้มตัวลูกกบอยู่ ลูกกบโตวันโตคืน ไม่ต้องกินอะไรไม่ต้องทำอะไร” โอ๊ย! เราก็ไปเห็นไข่กบเราก็ไม่ทำลาย มันไข่ในน้ำ เป็นรูปสระ เป็นรูปไข่กบลอยอยู่ในน้ำ โอ๊ย! ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้หนอเนี่ย เราเรียนมาตั้งแต่ ป.1 แบบเรียนแนวใหม่ ป.1 หลวงตาเรียนแค่ 3 ชั้นนะ ป.เตรียมไม่ใช่อนุบาล สมัยก่อนเรียกว่าชั้นเตรียม ป.เตรียม แล้วก็ ป.1 ป.2 ป.3 ไม่เรียนเลยขึ้น ป.4 ทีเดียวเลย เก่งไหม ข้ามชั้นเลย ได้เรียนแค่ 3 ชั้นเท่านั้นเอง จนทุกวันนี้มาเป็นหลวงตา ใจไม่ชั่วนะ ทำดีนะ ทำดีตามความสามารถเลย ทำดีกับพ่อกับแม่ พ่อแม่ก็ไม่มีแล้วทุกวันนี้ ก็เสียดาย
[14:11] ชีวิตของเราถ้าเป็นเด็กทุกวันนี้ สมัยก่อนไม่ได้เป็นอย่างนี้ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายอยู่ตามท้องทุ่ง ทุกวันนี้พวกเธอเจริญแล้วมีแหล่งศึกษา แต่ก่อนไม่มี มีแต่วัวแต่ควาย มีแต่คราดแต่ไถ ทุกวันนี้มีรถยนต์ มีเครื่องบิน มีถนนหนทาง แต่ก่อนรองเท้าก็ไม่มีใส่ ต้องเดินเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย กลับบ้านมาบ่งหนามออกจากฝ่าเท้า เหยียบหนามนับไม่ถ้วน ทุกวันนี้เราสะดวก อย่าอ่อนแอ อย่าประมาท เรียนหนังสือ มันไม่มีธรรมชาติเหมือนเมื่อก่อน แต่ก่อนนี้ธรรมชาติเลี้ยงเรามา ไปขึ้นป่าขึ้นดงปาน ตลาดสด ตลาดสดอยู่ในป่า เดี๋ยวนี้ตลาดสดอยู่ในเมือง ต้องไปซื้อเอา ตลาดสดมันไม่สด เขาไล่แมลงวันอยู่ เราไปซื้อเอาอาหารที่เขาไล่แมลงวันอยู่ แมลงวันก็ตอมอยู่ มันสดอย่างไร สมัยก่อนตลาดสดมันอยู่ในป่า ตื่นขึ้นมาไปเก็บเห็ด ไปเก็บเห็ดมากินทันไปโรงเรียนเลย เด็ก ๆ เนี่ยสมัยก่อนเนี่ย ไม่เคยถามว่า “แม่กินข้าวกับอะไร” “พ่อกินข้าวกับอะไร” ไม่มีตู้เย็น ต้องไปหากิน เก่ง รู้จักเห็ดกินได้ รู้จักเห็ดที่เมา เก็บเห็ด เก็บผักหวาน เก็บพืชอาหารในป่าเยอะแยะ ผลหมากรากไม้ ขึ้นโคกขึ้นป่า ทุ่งนามีปลา ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในบนบกมีผักกิน ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว ต้องอยู่ในเมือง อาหารการกินคนอื่นทำให้เรา เราก็ปลอดภัยน้อย การกินอาหารต้องระมัดระวังต้องฉลาด
สมัยก่อนไม่ต้องระวังอะไร ไม่มีพิษ ไม่มีภัย ไม่มีกรัมม็อกโซน ไม่มีสารพิษ สมัยก่อนแมลงก็ไม่ดุร้าย ทุกวันนี้มีแต่พิษมีแต่อันตราย ในน้ำก็มีพิษ ในดินก็มีพิษ ในอากาศก็เป็นพิษ อาหารก็เป็นพิษ ถ้าเราไม่เก่งเราจะอยู่ได้หรือโลกนี้เนี่ย เราต้องมาช่วยกัน ไม่รุ่มร่าม ไม่มูมมาม ไม่ซุกซน ไปโรงเรียนตั้งใจเรียนเลิกกลับบ้าน อย่าเกเร เดินตามถนนหนทางก็มีแต่อันตราย ยวดยานพาหนะรถราวิ่ง เราต้องมีความรอบคอบ หูไวตาไว อย่าอืดอาด อย่าโง่เง่าเต่าตุ่น เฉลียวฉลาด อยู่ในโลกกับเขาคนหนึ่ง บางคนก็ไม่ฉลาดเลยตายตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะโทษภัยเกิดจากตัวเราเองมีเยอะแยะ เกิดจากคนอื่นก็มี เราจึงระวังมาก คนที่ซื่อสัตย์ต่อเราที่สุดคือพ่อกับแม่ คือครูอาจารย์ เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อเราที่สุด เงี่ยหูฟังท่านดี ๆ คนอื่นจะไม่ซื่อสัตย์เท่ากับพ่อแม่ของเรา แล้วก็ครูอาจารย์ของเรา ต้องระวังให้ดี เงี่ยหูฟัง
ผู้ใดชี้โทษเรา ดุด่าเรา คนนั้นคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา ผู้ใดยกย่องเรา ระวังให้ดี ระวังให้ดีอย่าประมาท
ส่วนผู้ใดกล่าวโทษ อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี ใครเป็นผู้พูดอย่างนี้ มีพ่อแม่กับครูอาจารย์เท่านั้น เราต้องฟังท่าน เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านโดยเคารพ เราเรียนศิลปะวิทยาที่ท่านสอนให้จบ ไม่ดื้อดึงเอาแต่ใจ
หลวงตาเคยไปอยู่ประเทศสิงคโปร์ เขียนระเบียบนักเรียนสิงคโปร์มาว่าจะเอามาอ่านให้ฟังสักวันหนึ่ง จะฟังไหม นักเรียนสิงค์โปร์น่ะ เขามีระเบียบนะ เขาเป็นคนเก่ง วันเสาร์วันอาทิตย์นี่ เขาไม่ไปเล่นเกเร เขาไปศูนย์วิทยาศาสตร์ มีศูนย์วิทยาศาสตร์เป็นศูนย์ใหญ่ประมาณเกือบ 100 ไร่โน่นน่ะ รัฐบาลสร้างขึ้นให้เด็กไปเล่นวันเสาร์วันอาทิตย์ ไปเล่นที่นั่นมีอะไรเป็นเครื่องเล่น มีทุกอย่าง ขับเครื่องบิน ขับรถแม็คโคร เล่นดนตรี ทำคอมพิวเตอร์ อะไรต่าง ๆ มีหมดเลย เล่นดนตรีนี่เพียงเอามือสอดเข้าไปอย่างเนี้ย หลวงตาเคยไปอยู่กับเขา เขาพาไป เอามือสอดเข้าไปทีละอัน เร โด เรซอล ซอลมี ซอลลา เอามือหย่อนไป เสียงดนตรีเกิดขึ้น แล้วมาเล่นดนตรีสากลมันก็ทำเป็นเนี่ย มือมันไปอย่างเนี่ย มันมีสูตรอันเดียวกัน ถ้ามือเราเล่นอยู่ตรงนั้นเป็น เอียงมือนิ้วมือไป นิ้วนี้มันดังอะไร ตรงนี้มันมีอะไร เสียงอะไรเกิดขึ้น เราเล่นไป เล่นไป เมื่อเอามือไปแกว่งไปแกว่งมาโดดไปโดดมา เสียงมันไปตามมือที่โดดไป เมื่อเรามาเล่นดนตรีสากล มันก็เป็นเลยทีเดียว เด็กมันอายุ 2 ขวบ 3 ขวบ เล่นดนตรี ขับเครื่องบิน ขับแม็คโคร เล่นคอมพิวเตอร์
เดี๋ยวนี้เราไปไหนวันเสาร์วันอาทิตย์ ขี่รถเล่น ซนกันอยู่ตามถนนหนทาง มีประโยชน์อะไร มีแต่เล่นเอาแต่เล่นมากที่สุดเลย ไม่ได้ ต้องมีเวลาศึกษา เลิกจากโรงเรียนแล้วรีบกลับบ้านช่วยพ่อแม่ หา ไปดูเล็บมือพ่อแม่ดูสิ มีไหมเล็บมือน่ะ ทำไมไม่มี เพราะทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า กว่าจะได้เงินมาหนึ่งบาท โอ๊ย! ลำบากจริง ๆ บัดนี้ลูกเราจะมาขอเงินไปโรงเรียนอย่างน้อยต้อง 10 บาท 20 บาท เราจะได้เงินจากที่ไหนหนอมาให้ลูกเรานี้ คิดกันแล้ว ไปหามาให้ลูกไปโรงเรียน สมัยหมู่หลวงตาเรียนหนังสือไม่ใช้เงินสักบาทเลย ไม่มีอะไรกินหรอก มีแต่ข้าว เยอะแยะเลยเลยข้าว อาหารก็มีตามธรรมชาติ ไม่เคยมีเงินไปซื้อขนมกิน ขนมก็ไม่มีสมัยก่อนนะ ไม่มีจริง ๆ ขนมอ่ะ มีแต่ข้าวต้มห่อ ข้าวต้มมัด เป็นบุญจึงได้กินข้าวต้ม มีแค่ลอดช่องเท่านั้นแหละสมัยก่อน ใช่ไหมพ่อใหญ่นะ ลอดช่อง ข้าวหนมข้าวต้ม ไม่มีขนมรุ่นลูกเหมือนทุกวันนี้ มันเป็นขยะ ไม่ใช่อาหาร ขนมนี้อย่าไปกินมากเกินไป ขนมหวาน ๆ นี่เสียสมอง
สมัยก่อนเนี่ย เวลาไปงานบุญวัดมีข้าวต้มห่อ มีถั่วลิสงอบเท่านั้น เดินไปไหน เดินกินถั่วลิสงอบ ซื้อเท่านั้นสมัยก่อนถ้ามีงานนะ ทุกวันนี้ค่าขนมไม่รู้กี่บาทแล้ว ขนม ก็ขนมขยะไม่ใช่อาหาร เป็นแป้งที่ไม่มีประโยชน์มาใส่น้ำตาล เด็ก ๆ ก็ชอบน้ำตาล สมองไม่ดีนะ แล้วยังอ้วน โรคอ้วนมาอยู่ในเด็ก เพราะฉะนั้นเราไม่ค่อยปลอดภัย อาหารที่ปลอดภัยที่สุดคือแม่ทำให้เรา พ่อทำให้เรา ปลอดภัยที่สุด ให้เลือกให้เป็น มันมีอันตราย หา หลวงตาก็เห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย โอ๊ย เพราะอะไร มันเกิดจากคนอื่นทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดจากเราเองทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย บางที วันหนึ่งหลวงตานั่งรถเข้ามาในนี้ เห็นรถชนเด็กนักเรียนตาย โอ๊ย! สงสาร อยากไปอุ้มเด็ก เลือดเต็มอยู่ นอนอยู่บนถนน มันไม่ค่อยปลอดภัยนะ ดูให้ดีไปไหนมาไหน มีความฉลาดให้ได้ อย่าโง่ อย่าเซ่อซ่าๆ ตั้งใจเรียนหนังสือ มีสติก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด เนี่ย มีสติ ไปไหนเหมือนกับคิดก่อน รู้ก่อนจึงค่อยพูด รู้สึกตัวก่อนจึงทำ แม้เรามีสติเนี่ยเรียนหนังสือก็เก่ง อ่านหนังสือเนี่ย คนมีสตินี่จำได้แล้ว คนไม่มีสติอ่านหนังสือไปข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองอ่านอะไร จำไม่ได้ต้องกลับมาอ่านอีกสองรอบสามรอบ ใจมันลอย ไม่ฝึกตัวเอง เรียนหนังสือไม่ทันเขา บางคนอ่านปั๊บจำได้ทันที เพราะเขาฝึกสติฝึกสมาธิ ทำงานทำการมีสติ ไปไหนมาไหนรู้ตัวทั่วพร้อม เหมาะแก่การเรียนหนังสือ เหมาะแก่การใช้ชีวิต เหมาะแก่การทำงานทำการ
คนขาดสติมีแต่ภัย เพราะฉะนั้นสติเนี่ย เป็นเรื่องที่เป็นอริยทรัพย์ของเรา
[24:30] สมัยครั้งพระพุทธเจ้า เด็กจะถามกันว่ามีสติหรือเปล่า ในกรุงนิวเดลี ตอนเหนือของอินเดีย “เฮ้ยมีสติไหม” “มีสิ” กอดคอกันเลย ถ้าถามกัน “เออ เราหลงไป” ต้องจับแขนให้รู้ตัวดี ๆ นะ เด็กคอยถามกัน “เฮ้ยเธอมีพระรัตนตรัยหรือยัง” “มีแล้ว” ในพระสูตรนะ “เธอมีพระรัตนตรัยเมื่ออายุเท่าไร” “เรามีเมื่ออายุ 6 เดือน” “แล้วเธอล่ะ มีพระรัตนตรัยเมื่ออายุเท่าไร” “อายุ 7 ปี” “6 เดือน จะมีได้ยังไง มีพระรัตนตรัย ทำไมจึงรู้เรื่อง 6 เดือนเท่านั้นเอง 6 เดือนต้องอยู่ในครรภ์น่ะ เธอมีพระรัตนตรัยอย่างไร” เด็กคนนั้นก็บอกว่า “สมัยก่อนนี้ แม่เราพาเราไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ขณะนั้นเราเกิดอยู่ในครรภ์แม่เราเพียง 6 เดือน แม่อุ้มท้องพาเราไปฟังเทศน์ แล้วแม่ของเราก็ศรัทธาพระพุทธเจ้า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ แม้แต่ลูกในครรภ์ของข้าพเจ้าเพียงเกิดได้ 6 เดือน ขอให้ถึงพระรัตนตรัยด้วย” พอเด็กคนนั้นเกิดมาอายุ 5 – 6 ปี แม่ก็บอกว่า “ลูกเอย ลูกนี้มีพระรัตนตรัยแล้วตั้งแต่อายุ 6 เดือนอยู่ในครรภ์ของแม่แล้วนะ อย่าทำชั่วนะลูกนะ อย่าเบียดเบียนตนเอง อย่าเบียดเบียนคนอื่นนะ” เด็กคนนั้นก็จำมาว่า โอ๊ย! ช่างดีเหลือเกิน เรามีพระรัตนตรัยตั้งแต่อายุ 6 เดือน ไปคุยให้เพื่อนฟัง ใครก็สรรเสริญ แน่ บางคนก็มีพระรัตนตรัยเมื่ออายุ 7 – 8 ปี เดี๋ยวนี้มีพระรัตนตรัยหรือยังพวกเราน่ะ พึ่งพระพุทธพระธรรมไหม พุทธังคือคุณพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้ามีคุณอะไร
ปัญญาธิคุณ มีอยู่ที่ไหนคุณนี้ เอาพระมาแขวนคอหรือ ไม่ใช่ เอาคุณธรรมมาไว้ในเรา มีเมตตาอยู่ในเราหัวใจนี้ ไม่กล้าคิดชั่ว ไม่กล้าพูดชั่ว ไม่กล้าทำชั่ว อยู่ในหัวใจเรา เรียกว่าเมตตาธิคุณ กรุณาธิคุณ ช่วยเหลือกันตามฐานะ เห็นใครเดือดร้อน เห็นใครเป็นทุกข์อะไร จับแขน “เป็นอะไรเพื่อน” “เป็นอะไรไหมครับ” “ผมพอช่วยได้ไหม” ช่วยกันเรียกว่ากรุณาเข้าไปช่วยเหลือ บริสุทธิคุณ ช่วยฟรีไม่คิดค่าตอบแทน ปัญญาธิคุณ ออกจากความโง่หลงงมงาย นี่พระพุทธเจ้า เอาคุณของพระพุทธเจ้ามาไว้ที่เราเรียกว่าพระรัตนตรัยคือ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ไม่ใช่ว่าแต่ปาก หัวใจเรามีพระพุทธเจ้า
ข้อที่สอง พระธรรมเจ้าคือใคร มีศีล สำรวมกายวาจาใจ มีสมาธิ มีใจมั่นคง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนไม่หวั่นไหว ไม่วู่วามผลุนผลันโกรธง่าย มีปัญญา เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญาเป็นองค์พระธรรม อยู่ที่ใดเล่า ไหว้พระพุทธอย่าให้ถูกทองคำ ไหว้พระธรรมอย่าให้ถูกตำราคัมภีร์ใบลาน ไหว้พระสงฆ์อย่าให้ถูกพระชาวบ้าน ลูกชาวบ้าน คือคุณธรรมอยู่ในหัวใจเรา พระสงฆ์คือใคร พระสงฆ์ปฏิบัติดี ปฏิบัติดีตรงไหน ปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ปฏิบัติดีต่อเพื่อนมิตรสหาย ปฏิบัติดีต่อศีลต่อธรรม ไม่ผิดศีลผิดธรรม นี่ปฏิบัติดีของพระสงฆ์ ปฏิบัติตรง ตรงต่อเวลา ตรงต่อการงาน ตรงต่อหน้าที่ ตรงต่อศีลต่อธรรม ปฏิบัติออกจากทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ไม่เกี่ยวข้อง ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เกเร ไม่คบคนชั่วเป็นมิตร ไม่เกียจคร้านทำการงาน ปฏิบัติตรงอ่ะ ไม่เกียจคร้านทำงาน ไม่มัวเมาในยาเสพติด ปฏิบัติสมควรสม่ำเสมอ เด็กคนนี้สม่ำเสมอ เป็นคนดีในสายตาของผู้ใหญ่ สม่ำเสมอ นี่คือพระสงฆ์ คือคุณธรรม เรียกว่ามีพระรัตนตรัยแล้ว รัตนตรัยคือคุณธรรม ไม่ใช่ไปไหว้พระพุทธเจ้าคือทองคำคือพระพุทธรูปอันนั้นก็มี แต่ว่าคุณธรรมเนี่ยมาไว้ในเรา มาไว้ในเรา
พระพุทธรูปนี่เรียกว่า พระเมตตาอยู่ในปางตรัสรู้ ทำรูปพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ใหม่ ๆ ว่าจะไม่สอนธรรมะ มันเป็นอย่างนี้ ใครหนอจะมารู้อย่างนี้ได้ มันเป็นลึกลับหน่อย ๆ เปลี่ยนไปสอนไม่ให้คนโกรธเนี่ย มันทำได้หรือ ไปสอนไม่ให้คนทุกข์เนี่ย มีใครจะฟังเราไหมหนอ ไปสอนไม่ให้คนหลงเนี่ย มีใครเชื่อฟังเราหรือเปล่า ในโลกนี้มีแต่คนขี้โกรธ ขี้โลภ ขี้หลงเต็มบ้านเต็มเมือง เราจะไปสอนเรื่องนี้ มันทวนกระแสของโลก จะมีคนเชื่อฟังเราหรือเนี่ย เมื่อคิดใคร่ครวญอยู่หลังการตรัสรู้แล้ว คิดว่าจะไม่สอนใคร มันยาก หลวงตาสอนอยู่ ใครเชื่อฟังหลวงตาบ้าง อย่าโกรธนะ มีใครเชื่อไหม เชื่อแล้วเหรอ ก็ดีถ้าไม่โกรธนะ อย่าทุกข์นะ ให้ใจดี เอาไหม บุญคือใจดี เอาไหม บาปคือใจร้าย เชื่อไหม บุญพาไปสวรรค์ได้ บาปใจร้ายคือไปนรก กลัวนรกเมื่อไหร่ กลัวเมื่อตายไปแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร นรกคือใจร้าย ถ้าโกรธเราก็เดือดร้อน เคยโกรธไหม หา นักเรียนทั้งหลาย เคยโกรธไหม สบายไหมเมื่อโกรธน่ะ เคยโกรธไหม โกรธแล้วเป็นไง สบายไหม นรกคือทุกข์ ถ้าเราโกรธอยู่ยังทุกข์อยู่ รับรองตกนรกเลยทีเดียว ถ้ายังโกรธอยู่ก็ตกนรก ถ้าใจดีสบายไหม สบายไหมใจดีน่ะ ใจดียิ้มได้ไหม ถ้าใจโกรธยิ้มได้ไหม เคยเห็นความโกรธไหม เป็นอย่างไรความโกรธน่ะ ถ้าเราโกรธไปยืนส่องกระจกดูสิ เคยส่องกระจกตัวเองเวลาโกรธไหม ไปส่องกระจกดู ถ้ามันโกรธลองไปส่องกระจกดู น่าดูไหมคนโกรธนะ โอ๊ย! ไม่มีใครเข้าใกล้เลย
ความเมตตา พระองค์ก็เลยเกิดมีเมตตาขึ้นมา มามองคนว่าคนเรานี้มีอยู่ 4 ระดับ เหมือนดอกบัวที่อยู่ในน้ำ ดอกบัวบางประเภทพ้นน้ำแล้ว ดูสิในสระเนี่ย พอพ้นน้ำ ยังไม่บานนะ แสงอาทิตย์ขึ้นส่องมา ดอกบัวก็บานออก บัวประเภทที่ 1 บัวประเภทที่ 2 พ้นน้อย ๆ อีกสองวันสามวันถึงจะบานได้ บัวประเภทที่ 3 ยังอยู่กลางน้ำโน่น ยังไม่พ้นน้ำ ต้อง 5-6 วันถึงจะพ้นน้ำ เมื่อเจอแสงอาทิตย์ก็จะบานได้ บัวประเภทที่ 4 อยู่ในดิน ยังไม่เกิดขึ้นมาเลย อันนั้นมีทางพ้นน้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะเป็นอาหารเต่า อาหารปลา หรือตายไปก็ได้ เมื่อพระพุทธเจ้ามองถึงสัตว์ 4 ประเภทนี้ โอ๊ย มีเหมือนกัน บางคนก็พอสอนปั๊บจำได้ทันที นำไปปฏิบัติ เหมือนนักเรียนบางคน พออาจารย์สอนปั๊บจำได้ทันที เหมือนบัวพ้นน้ำแล้ว มันอยู่กับใครเนี่ย อยู่กับพวกเรามีบ้างไหม พ่อแม่สอนจำได้ ครูอาจารย์สอนจำได้ บานขึ้นมา ละความชั่วได้แล้ว ขยันเรียนหนังสือ บานขึ้นมาเหมือนบัวอันดับที่ 1
นั่งอยู่นี้ อภิชาตบุตรดีเลิศ อันที่ 2 เสมอพ่อแม่ อันที่ 3 เลวทราม พระพุทธเจ้าก็มองเห็นคน 3 – 4 ประเภทนี้ เลยตัดสินใจสอนธรรมะ เรียกว่าพระเมตตา มีเมตตาเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก เรียกว่าเผยแพร่ศาสนา พระพุทธรูปเนี่ย ทำเป็นรูปอยู่ในต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา รูปพระพุทธเจ้าในปางตรัสรู้ใหม่ ๆ อันนี้เราก็ต้องกราบไหว้ เอาอย่างๆ บางรูปก็อยู่ในปางตรัสรู้ บางรูปก็อยู่ในปางมารวิชัย ปางต่าง ๆ ต้องเคารพ ยกมือไหว้ ไหว้เป็นไหม ไหว้พระพุทธรูปไหว้ยังไง ไหว้ไม่ใช่กราบนะ เอามือหัวแม่มือจรดปลายจมูก เอาปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้วสองข้าง ก้มลงสักหน่อย เห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธรูป เอาหัวแม่มือจรดปลายจมูก เอาปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้วทั้งสอง ก้มลง ให้ไหว้พระพุทธเจ้า ไหว้เจดียสถานต่าง ๆ ไหว้ครูอาจารย์ทำยังไง เอาหัวนิ้วชี้จรดปลายคาง ก้มลงสักหน่อย ไหว้พ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่างนี้ ทำดูสิ ไหว้ดูสิ ก้มลงสักหน่อย จรดปลายคาง ไหว้เพื่อน เสมอกัน เพื่อน ยกมือไหว้ ไม่ใช่อย่างนี้นะ หวัดดีเพื่อน ไม่ใช่อย่างนี้นะ ไหว้อย่างนี้ นี่ หน้าอก ๆ นี่จำไว้นะ