แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ ได้ยินได้ฟังเอาไว้ หลวงตาไม่พูดก็มีครูบาอาจารย์บอกสอนอยู่ทุกวัน แค่ย้ำเตือน ร่ำรี้ร่ำไร ในการในงานที่เราทำอยู่ คือกรรมฐาน กรรมฐานนี่ทันอกทันใจ ทำกับมือเห็นกับตา สิ่งที่จะเป็นมรรคเป็นผล เป็นกระแสพระนิพพาน เห็นกับตา ทำกับมือ เรียกว่ากรรมฐาน ไม่ได้อยู่ที่กาลเวลา เกิดมานาน หลายวันหลายปี อยู่ที่กรรมฐาน กรรมฐานสร้างอินทรีย์ให้แก่กล้า อินทรีย์แก่กล้าไม่ใช่อายุ อยู่ที่กรรมฐาน
พระพุทธเจ้าก็สอนไว้ มีสติไปในกายเป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ความพอใจและความไม่พอใจ มันเป็นรสของโลก ถอนออกมา คือมารู้สึกตัว เป็นรสของธรรม ลักษณะนี้จะทำให้อินทรีย์แก่กล้าขึ้นมา
หลวงปู่เทียนก็สอนว่า อย่าเข้าไปในความคิด มันคิดอะไรก็ไปในความคิดแล้วแต่ความคิดจะหอบหิ้วไปไหน ให้มีสติรู้สึกตัว โดยกรรมฐานแบบสัมปชัญญะปัพพะ คู้เหยียดเคลื่อนไหว ช่วยให้กลับมารู้สึกตัว นี่ก็คือกรรมฐาน เป็นสิ่งแวดล้อม ทำให้อินทรีย์แก่กล้าขึ้นมา อย่าลืมซะ อย่าให้ความคิดพาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่ใช่ความคิด ความเป็นสุขเป็นทุกข์ก็มี อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ เกิดความพอใจไม่พอใจ เช่น ความหลงเป็นความหลง ความทุกข์เป็นความทุกข์ รสของโลก
หลวงพ่อเทียนก็บอกว่า ให้มีสติกลับมา ถ้าหลงเป็นหลง ทุกข์เป็นทุกข์ เรียกว่าอินทรีย์มันอ่อนแอ ไม่แก่กล้า ก็ให้รู้สึกตัวซะ ในความอ่อนแอ สร้างให้มันเข้มแข็งขึ้นมา ตรงไหนมันอ่อนแอ ให้มันเข้มแข็ง เหมือนกับสร้างบ้าน สร้างเรือน ใส่คานใหญ่ ใส่ฐานดี ๆ ก็จะเข้มแข็ง อันนี้เรียกว่าได้ประโยชน์จากสิ่งที่มันอ่อนแอ ได้ความเข้มแข็ง เรียนรู้เรื่องนี้ ทำได้สำเร็จ วางความอ่อนแอที่เกิดกับชีวิตเรา เราเรียนรู้เรื่องนี้ให้มันสำเร็จ หลงที่ไหนรู้ที่นั่น ทุกข์ที่ใดรู้ที่นั่น พอใจที่ไหนรู้ที่นั่น ไม่พอใจตรงไหนรู้ตรงนั้น โดยกรรมฐาน ลัดเข้าไป ลัดเข้าไป สามารถทำให้อินทรีย์แก่กล้า เกิดเชื่อ เกิดความเชื่อ ทำอย่างนี้เป็นอย่างนี้ มันหลงทีใด รู้ทุกที เอ้อ! มันทำอย่างนี้ อินทรีย์ตัวนี้จะแก่กล้าเรียกว่าศรัทธา เชื่อ ความเชื่อเกิดขึ้น เพราะการกระทำบ่งบอก ตอบได้ทุกคน ทำได้ทุกชีวิต
สิ่งที่ทำให้อินทรีย์อ่อนแอ ไม่ใช่อะไรที่ไหน มันเกิดที่การสัมผัสจากกายจากใจนี่เอง ไม่ใช่อยู่ที่อื่น จึงสามารถทำได้ ปฏิบัติได้ เวลามันหลง ไม่หลงก็ได้ เวลามันทุกข์ ไม่ทุกข์ก็ได้ เวลามันพอใจ ไม่พอใจก็ได้ เวลามันดีใจเสียใจ ถอนออกมา ให้รู้สึกตัว ทำได้ทุกคน เรียกว่าปฏิบัติได้ให้ผลได้ นี่เรียกว่ากรรมฐาน เป็นงานสร้างมรรคสร้างผล คืองานอย่างนี้ ถ้ามันแก่กล้า ลักษณะอย่างนี้เรียกอินทรีย์แก่กล้า มีศรัทธา พละ มีความเพียรเพื่อทำเรื่องนี้ พละ มีสติพละ มีสมาธิพละ มีปัญญาพละ เรียกว่าพละ ๕ สิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็เรื่องพละนี้ พละ ๕ นี้ พละอย่างนี้ คือกำลัง ไม่ใช่ความเข้มแข็งของสังขารร่างกาย อยู่ที่ศรัทธา ที่ความเพียร ที่สติ ที่สมาธิ ที่ปัญญา อันนี้ไม่เลือกวรรณะ อายุ เพศ วัย อยู่ที่กรรม กรรมฐาน คือการประกอบขึ้นมา อย่างนี้ ไม่เหมือนต้นไม้ แก่กล้า จึงออกดอก ออกลูก ออกผล มะม่วง ๕ ปี ๖ ปี ๗ ปี จึงออกลูก ออกดอก ออกลูก กาลเวลากำหนด สิ่งแวดล้อมกำหนดเหมือนกัน ดินดี น้ำดี ปุ๋ยดี จึงจะทำให้ต้นไม้เจริญ สามารถออกลูกออกผลได้ ถ้ายอดอ่อนไม่สามารถออกลูกได้ ยอดมะม่วง ถ้าเป็นยอดแก่ ๆ ไม่มียอดอ่อนมันออกลูกได้ ถ้ายอดอ่อนมันออกไม่ได้ ชีวิตเราถ้ามันอ่อน มันเกิดมรรคเกิดผลไม่ได้ ถ้าหลงเป็นหลง ทุกข์เป็นทุกข์ พอใจเป็นพอใจ ไม่พอใจเป็นไม่พอใจ ก็อินทรีย์อ่อน ไม่สามารถเกิดมรรคเกิดผลได้ ไม่ต้องตำหนิใคร
ทำยังไงจึงจะได้ผลไว ๆ อยู่ที่เรานี่เอง เพียรตรงนี้ มีศรัทธา มีพละ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ประกอบขึ้นมา การศรัทธา การความเพียร การมีสติ ไม่ใช่อยู่ในเพศวัย อยู่ในการกระทำ นอนอยู่ก็ทำได้ นั่งอยู่ก็ทำได้ เดินอยู่ก็ทำได้ อายุเท่าไหร่ก็ทำได้ แต่ว่ากรรมฐานนี่ ที่ตั้งของการกระทำนี่ สร้างให้มันเข้มแข็งขึ้นมา โตวันโตคืนขึ้นมา อย่าแบ่งปันไปอย่างอื่น ดูตัวเรา ให้มีสตินั่นแหละ อาศัยกรรมฐาน เป็นนิมิตเกาะเอาไว้ กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว อะไรเกิดขึ้นมา กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว เปลี่ยนร้ายเป็นดี การกลับมารู้สึกตัว มีอะไรเปลี่ยนอย่างนี้ ไม่ใช่ไปจับด้วยมือ จับด้วยพลังชีวิตของร่างกาย เข้มแข็ง อ่อนแอ ไม่ใช่ การกลับมารู้สึกตัว การกลับมารู้สึกตัว ร้อยครั้งพันหน รู้ หลงหนึ่งครั้ง รู้หนึ่งครั้ง รู้ร้อยครั้ง หลงร้อยครั้ง รู้ร้อยครั้ง ให้มันรู้เท่ารู้ทันอย่างนี้ ไม่ใช่อยู่ที่อายุ อยู่ที่การกระทำแบบนี้ อินทรีย์จึงจะแก่กล้า ไม่นาน ถ้าเป็นทางยาวไกล ก็ลัดสั้น ถ้าลัดอย่างนี้ เรียกว่า พละดี เหมือนม้ามีฝีเท้าดี ย่อมเดินทางได้ไวกว่าม้าที่มีฝีเท้าไม่ดี ถ้าหลงเป็นหลงเรียกว่าม้ามีฝีเท้าไม่ดี ตาก็ยาวไป ถ้าหลงเป็นรู้ว่าเรียกว่าฝีเท้าดี การมีฝีเท้าอย่างนี้ ก็คือ ศรัทธาพละ สติพละ ความเพียร นั่นเอง มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนออกมารู้สึกตัว อันนี้เรียกว่าทั้งหมดนั่นล่ะ คือพละ เพียงกลับมารู้สึกตัวคือศรัทธาแล้ว คือความเพียรแล้ว คือสติแล้ว คือสมาธิแล้ว คือปัญญาแล้ว ถ้ามีฐานอย่างนี้ดี ๆ ศีลก็เกิดขึ้น สมาธิก็เกิดขึ้น ช่วยอีกแรงหนึ่ง เกิดขึ้นมาเป็นธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติ เป็นหน้าที่ของธรรมชาติ
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ อย่างนี้ เหมือนแต่ก่อนนี้ ทางทิศเหนือของศาลาหอไตร เป็นป่าหญ้าคาป่าพง ปลูกต้นยางไว้ ยางก็แกร็น หญ้าคาป่าพงก็เกิดเห็ดขึ้นมา นี่ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ธรรมชาติ ฉันใดก็ดี ถ้าเรามีสติ กลับมา กลับมา กลับมามันก็เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนจากสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ เป็นประโยชน์ขึ้นมา กลับมา กลับมารู้สึกตัว เป็นกฎ เป็นธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติ เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา เหมือนดินที่มีใบไม้ใบยางหล่นลงไป ธรรมชาติมีต้นยาง ธรรมชาติก็มีใบยาง ธรรมชาติก็มีแผ่นดิน แผ่นดินอยู่กับใบยาง ก็เป็นจุลินทรีย์ย่อย เกิดเป็นเห็ด เราก็ได้กินเป็นอาหาร ร่างกาย ได้เลือดได้เนื้อ ได้กำลังวังชา กินเห็ด กินข้าว แล้วก็แก่เจ็บตาย อันนี้ธรรมชาติอยู่ในกายในใจนี้ มันเป็นมรรคเป็นผล มันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือศรัทธาอันนี้ ธรรมชาติอันนี้ กฎธรรมชาติอันนี้ หน้าที่ธรรมชาติอันนี้ อยู่ในรูปในนามนี้ ถ้าไม่มีรูปมีนามก็ไม่เกิดขึ้นได้ แต่ก็เกิดอย่างอื่น รูปนามนี้ เกิดกิเลสตัณหา เกิดโกรธเกิดหลง เกิดสุขเกิดทุกข์ มันไปทางโน้น ก็ปล่อยให้มัน ไม่ฝึกไม่หัด ไม่เอาประโยชน์จากมัน ใช้งานไม่ได้ มีเกิดแก่ เจ็บตาย เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป เกิดขึ้นแล้วแก่เจ็บตายไป ไม่ได้ประโยชน์เลย อย่างนี้มันมีคุณค่า รูปนี้นามนี้ มันมีสัญญา มีจิตใจ จะมาเอาเป็นเครื่องมือ ประกอบขึ้นมา เป็นวัตถุ อุปกรณ์ขึ้นมาให้เป็นมรรคเป็นผล อย่างนี้
ก็ได้ยินได้ฟังอย่างนี้ ชี้แจงอย่างนี้ เรียกว่าสอนธรรม บอกธรรม เพื่อให้เอาไปทำ ไม่ให้ไปจำเอาไว้ สิ่งที่ให้ทำมันเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง ถ้าทำเหมือนอย่างบอก พระพุทธเจ้าบอกอย่างนี้ ครูอาจารย์ก็สอนอย่างนี้ สอนกันมา นับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ก็ได้ ๒,๖๐๑ ปีมาแล้ว แต่นับมโนภาพดู วันนี้ เวลานี้ หลังตรัสรู้ เพ็ญเดือน ๖ ถึงวันนี้ก็อาทิตย์กว่า ๆ อาทิตย์นี้ก็พระองค์ก็ประทับอยู่ทางด้านทิศเหนือ เฉียงตะวันออก จากศรีมหาโพธิ์ ออกจากแท่นบัลลังก์ไป ไปยืนทอดพระเนตรศรีมหาโพธิ์อย่างไม่กระพริบตา เรียกว่า อนิมิสเจดีย์ ที่นั่นมีต้นโพธิ์ต้นหนึ่ง เป็นรูปนิมิต ด้านทิศเหนือตะวันออก ศรีมหาโพธิ์ เรียกว่า อนิมิสเจดีย์ มองทอดพระเนตรอย่างไม่กระพริบ งานการอันยิ่งใหญ่สำเร็จลง แล้วก็ รู้สึกว่า ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ มันก็ต้องเกิดอะไรขึ้นมา สมัยนั้น ถึงกับแผ่นดินไหว ผู้มีบุญ ผู้มีบารมี ชีวิตสำเร็จลงเพราะการกระทำอย่างนี้ มันก็ต้องเห็นฝีมือ ฝีมือขนาดนี้มันไม่ลืม เป็นเลนต์ที่ตราเอาไว้ในชีวิต มีส่วนประกอบ มีบัลลังก์ศรีมหาโพธิ์ มีสิ่งแวดล้อมที่นั่นเกิดขึ้นมา เราไปกราบไปไหว้ที่นั่นก็ยังมีนิมิตในใจเราอยู่ แล้วก็มาสอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้
ต่อจากนี้ไปหนึ่งเดือน แสดงธรรม ก็สอนเรื่องนี้ เรียกว่าปฐมเทศนา ขยายความไป เพื่อให้ผู้ฟัง เช่น ปัญจวัคคีย์ ถ้าพูดอย่างธรรมจักรกัปปวัตนสูตร เรียกว่าสอนเรื่อง ทางดำเนินมา คนกำลังเดินทาง ปัญจวัคคีย์กำลังเดินทางหาสิ่งหลุดพ้น มันไปทางตัน ไปทางสุดโต่ง ไปทางกลาง มันก็เห็นทางว่าคนกำลังเดินทางอยู่ เลยบอกเรื่องนี้ พอจะพูดเรื่องทาง ถ้าไม่ศึกษาเรื่องทาง พูดเรื่องต่อไป เรื่องอนัตตลักขณสูตร ในความเป็นมายังไง ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนอย่างไร ตัดเข้าไป ย่ำเข้าไป เหมือนกับขยี้เข้าไป ต่อด้วยอริยสัจ ๔ ตัดเข้าไปอีก ล้างสมองปัญจวัคคีย์ หลุดล่วง บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ โกณฑัญญา คนชำนาญเขาสอนอย่างนี้ มันเป็นคำสอนอันแรก มันมีสิ่งแวดล้อม พูดอย่างนี้ ต้องเทศนาอย่างนี้ ครูทั้งหกก็อยู่ใกล้ ๆ อาจารย์อุทกดาบส อาฬารดาบส ก็อยู่ใกล้ มองเห็นพวกเขาริบหรี่ ที่อาจารย์ทั้งสองอยู่ ปัญจวัคคีย์ก็เคยไปอยู่ด้วยกัน มองไปทางด้านทิศเหนือก็เห็น ภูเทือกเขาถ้ำดงคสิริ เหนือแม่น้ำเนรัญชรา ยังเห็นเขาริบหรี่ เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี เดินมาทางนั้น ประมาณอย่างไร เป็นมาอย่างไร ต่างกับวันนี้อย่างไร ย่อมกระโดด เหมือนกับเกิดอะไรขึ้นแน่นอน มันลักษณะอย่างนั้น เจียนตายมา รอดตายมา เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ๖ ปีเต็ม ๆ เมื่อเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นมา ก็ย่อมเกิดอะไรต่าง ๆ กับละแวกสิ่งแวดล้อมศรีมหาโพธิ์แน่นอน อย่างนี้
เราได้ยินได้ฟังจนคุ้นหู ก็เลยเฉื่อยชาไป ไม่ทำให้เกิดขึ้นกับตัวเรา ก็เลยไม่ค่อยจะมีรสร่วมกับสิ่งเหล่านี้ เมินเฉย ไม่ใส่ใจ ไม่กระตือรือร้น ปล่อยทิ้งไป ประมาทในความหลง ประมาทในความสุข ประมาทในความทุกข์ ประมาทในอาการต่าง ๆ เกิดกับกาย ยอมรับทั้งหมดไปกับมันเลย เมื่อมีความสุขก็ยิ้มหัวเราะ เมื่อมีความทุกข์ก็หน้าบึ้งตึงเครียด ร้องไห้ ก็ไปแบบนั้นซะ ทั้ง ๆ ที่น่าเกลียดที่สุด ถ้ามีนิมิตสักหน่อย ทำไม่ลง อาจจะหัวเราะความโกรธ อาจจะหัวเราะความทุกข์ เยาะเย้ยได้ เป็นงานเป็นการตรงนี้ หลงที่ใดรู้ที่นั่น นี่มัน เกิดเปลี่ยนอย่างนี้ มันขยันตรงนี้ ศรัทธาตรงนี้ เอาประโยชน์จากมันตรงนี้ ที่มันมีให้เห็น ให้ศึกษา เหมือนกับเราศึกษาวิชาชีพอะไรต่าง ๆ ได้ประโยชน์จากสิ่งที่มันผิด จึงเป็นผู้รู้ได้ แต่เป็นพระพุทธเจ้านี่ต้องกระโดดได้สุดยอดอย่างนี้ จากสามัญชน
เราควรจะน้อมนำมากับชีวิตเรา เกิดศรัทธาขึ้นมาในเรื่องนี้ ก็เราก็ทำให้ไม่ยุ่งไม่ยากเรื่องนี้ เพื่อนมิตร สิ่งแวดล้อม สถานที่ ผู้คน เป็นศาสนวัตถุ มีจริง ศาสนพิธีก็มีจริง ไม่ได้ลุ่มหลงงมงาย ไหว้พระ สวดมนต์ ศาสนพิธี ศาสนบุคคลก็มีเพื่อนมีมิตร มีบริษัท ๔ ทั่วโลก เรียกพุทธบริษัท ประเทศไทยมีอยู่ ๙๙% ชาวพุทธ ศาสนาอื่นเพียง ๑% อาจจะมากขึ้นก็ได้ตอนนี้นะ คนไม่ศึกษา จับโน่นจับนี่ หลายจิตหลายใจ เชื่อโน่นเชื่อนี่ ไม่เชื่อการกระทำของตัวเอง ศาสนธรรมมีอยู่กับรูปกับนามนี้ ไม่ไปที่ไหนแล้ว ศาสนธรรม ความหลงไม่เป็นธรรม ความไม่หลงเป็นธรรม นี้คือศาสนธรรม หาที่อื่นไม่พบ แก้ตรงนี้ อันเดียวกันทีนี้ จะเป็นศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคลก็ต้องเพื่อศาสนธรรมนี้ เพื่อศาสนธรรม มันก็วนไปสู่ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล เหมือนข้าวเปลือกที่เราเก็บไว้ ไม่ใช่ไปกินข้าวเปลือก กินข้าวสุก ข้าวสาร แต่จำเป็นต้องเก็บข้าวเปลือกไว้ มีพิธีกรรม มีพิธียกมือเคลื่อนไหว เป็นพิธีกรรม เรียกว่ากรรมฐาน เพื่อเอาประโยชน์จากกรรมฐานนี้เป็นมรรคเป็นผล ทำอย่างนี้มันเกิดอย่างนี้ขึ้นมา จึงทิ้งไปได้ ถ้าสอนกันก็สอนแบบศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล มีเสียงคำพูดโดยภาษาแต่ละท้องถิ่น แต่ละประเทศ ไม่มีใครมาเบียดเบียนเรา
หลวงตาอ่านหนังสือของพุทธศาสนาแห่งโลก เมื่อวานนี้ ประเทศบังคลาเทศ ถูกประเทศมุสลิมทำลาย แหลกลานไปหมดเลยชาวพุทธ เผาวัดวาอาราม ฆ่าตายกัน ทำลายพระพุทธรูป ถ่ายมาเป็นรูปคอหัก ทุบตีพระสงฆ์เจ็บปวด ล้มหายตายไป เผาวัดเผาวา จนออกหนังสือขอความช่วยเหลือทั่วโลก ชาวพุทธทั่วโลกก็ประณามมุสลิม ส่งข้าวส่งของไปช่วยประเทศบังคลาเทศ เคยไปเหมือนกัน ไปกับอาจารย์ทรงศิลป์ อาจารย์สมใจ แต่วันนั้นเครื่องบินไปลงเมืองหลวงเขาเฉย ๆ ไม่ได้เหยียบพื้นดิน เขาไม่ให้เหยียบ แต่ก็ไปมานานแล้ว สมัยมหาวิทยาลัยนาลันทา ถูกพระฆ่าตาย เผาวัด มหาวิทยาลัยนาลันทาวอดวายไป ทำลายพระสงฆ์ ไปดูทุกวัน เห็นแต่ซากศพ มหาวิทยาลัยนาลันทาที่ยิ่งใหญ่ มุสลิมทำลายล้าง จนพระหอบตำรา หนีมา ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตายดาบหน้า ประเทศไทยก็หนีมา ข้ามทะเลมา มาทางเรือบ้าง มาทางบกบ้าง จนมาถึงเมืองไทย พระอะไรจำไม่ได้ ๒ รูป นำมา มาเผยแพร่ในประเทศไทย ไปจีนบ้าง นี่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็มีพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เป็นพุทธมามกะ น่าจะอุ่นใจในช่วงนี้ ได้เอาประโยชน์ได้ทำซะ
พวกเรามาอยู่วัดวาอาราม ก็สะดวกเรื่องนี้ เพื่อนมิตรก็ทำให้เราสะดวกเรื่องนี้ น่าจะเอาให้เต็มที่ ยิ่งเวลานี้กรรมฐาน ๔๐ วัน อินทรีย์แก่กล้าขนาดไหนก็อยู่ที่เรานี่ รู้สึกตัวนี่ อะไรเกิดขึ้นมา รู้สึกตัวนี่ หลวงพ่อเทียนก็บอกว่า อย่าเข้าไปในความคิด ให้รู้สึกตัว มันสุขก็รู้สึกตัว มันทุกข์ก็รู้สึกตัว หลวงพ่อก็บอกว่าเห็นมัน อย่าเข้าไปเป็น อันเดียวกัน เห็นมันหลงอย่าเป็นผู้หลง ก็พ้นจากหลงนี่ เรามั่นใจพูดอย่างนี้ ในแนวเดียวกัน เวลามันสุขเห็นมันสุขไม่เป็นผู้สุข ก็พ้นจากความสุข เป็นธรรมไปในตัวแล้ว หลุดพ้นในคราวเดียวกัน ในคราวเดียวกัน วินาทีเดียวกัน ไม่ปล่อยให้ลอยนวลอยู่ได้ ถ้าทำอย่างนี้ เห็นนี่ ไม่เป็นนี่ ไม่เป็นอะไรกับอะไรนี่ จะว่ายังไง ถ้าทำอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ พูดอย่างนี้ พูดจากการกระทำ ที่ตาสีตาสาไม่ได้เล่าได้เรียนอะไร ก็เอาการกระทำ แม้ว่ามันเป็นรูปตุ๊กตา เราก็สร้างสรรค์ขึ้นมา เอาการกระทำสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์อย่างนี้ ไม่ใช่อยู่ที่เพศ วัย มันสมอง อยู่ที่การกระทำต่างหาก ไม่ใช่เรียนรู้ มันสมอง ไอเดีย ไอคิวต่าง ๆ ไม่ใช่เลย ตาสีตาสานี่แหละ ประกอบขึ้นมาอย่างนี้ เห็นไม่เป็นนี่ มันก็ผ่านตัวนี้ทั้งหมดแหละ ตั้งท่าดู
รู้สึกตัวได้แล้ว ก็เอามาใช้ เพิ่มขึ้นไปอีก รู้เฉย ๆ นี่มันซื่อบื้อก็ได้ เห็นมัน การเห็นมันอาจจะไม่ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวก็ได้ นอนอยู่ก็เห็นได้ อะไรก็เห็นได้ ชำนาญในการเห็น ชำนาญในการไม่เป็น เห็นไม่เป็น อ้าว! มันจะตายก็เห็นมันนะ มันหายใจไม่ได้ก็เห็นมัน ความตายไม่ได้เจ็บ ความเจ็บเห็นมัน เห็นมันเจ็บ ไม่ได้เป็นผู้เจ็บ พ้นจากความเจ็บ เยียวยา เห็นมันจะตาย หายใจไม่ได้ ไม่ได้เอาลมหายใจมาเป็นชีวิต ชีวิตเราชำนาญในการเห็นเนี่ย ประสาอะไรหายใจเนี่ย เราไม่เกี่ยวข้องกับมันก็ได้ เราอยู่เฉย ๆ ก็ได้ ไม่เป็นไปกับมันเนี่ย ชำนาญแบบนี้ ก็เลยพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เกิดจากการจำจากใครมา ตัวเองทำอย่างนี้ ๔๕ ๔๖ ๔๗ ปี มันจึงเป็นวันนี้ มันชำนาญแบบนี้ มันลืมไม่ได้ เพราะการกระทำมันตรึงตราไว้ในชีวิตเราเนี่ย
นั่งอยู่นี้ก็มีทั้งพระสงฆ์ มีทั้งอุบาสกอุบาสิกา เท็จจริงอย่างไร อย่าพึ่งเชื่อ เอากรรมฐานนี่เข้าไป เชื่อพระพุทธเจ้า เราพูดอย่างนี้ ให้ศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ศรัทธาต่อเรา สนับสนุนพระพุทธเจ้า ยกขึ้นสูง ๆ จะให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นในโลกนี้ สุดยอด ท่านทำอย่างนี้ เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหมด อันเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็ไปแบบนี้ เราก็ไปแบบนี้ ทางเส้นนี้ ตื่น ทางเดียวกันนี้ ไปถึงที่เดียวกันนี่ เหมือนกันหมด ไปถึงที่เดียวกันหมด พระพุทธเจ้าไม่ได้หวง เป็นสิทธิ เป็นสิทธิของทุกชีวิตนี้ ปฏิบัติได้ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ว่าอย่างนี่ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริง ในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ เป็นปัจจัตตัง เมื่อรู้แล้วก็เชิญชวนคนอื่นมา ประกาศให้คนมาดู
อันนี้ก็ทำท่าจะไม่ค่อยได้ประโยชน์จากพูดนาน ๆ เท่าไหร่ เสียงก็ไม่มี ไปรักษาตัวอยู่กับหมอ ก็ยังไม่ดี พลังงานยังไม่ดี พลังงานหมด เพื่อนพูด ๑๐ รอบ เรา ๙ รอบแล้ว เรียกว่า ๑๐ รอบก็จะดี แต่นี่ ๙ รอบแล้วก็ยังไม่ค่อยจะดี อาจจะไปเรื่อย ๆ ไป แต่จิตใจนี่ดีมาก สูงมาก วิธีรักษาแบบทางเลือกของแพทย์แผนตะวันออก ปน ๆ กับแพทย์แผนตะวันตก ที่ประเทศอะไร เจ้าคุณประยุทธ์ เจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ ไปรักษาอยู่ทุกวันนี้ แต่ดูแล้วก็คล้าย ๆ กับที่เราไปรักษาอยู่นี่ ไปหาหมอที่ของเอกชนเขา สองแสน สิบรอบนี่สองแสน ฟื้นฟูพลังงาน ตามหมอที่วัดนี่ ที่เป็น ผอ. มาบวชทีนี่ เขาก็รักษาให้ฟรี ๆ เราก็เห็นคุณค่า นี่ก็ให้ปัจจัยบำรุงโรงพยาบาลไปส่วนหนึ่ง กำลังจะสร้างตึกคนชรา ๘ ห้อง ก็ยังไม่ดี อาจจะไปเรื่อย ๆ หมอก็ห้ามไม่ให้ทำงาน ห้ามไม่ให้พูด แต่มันอดไม่ได้เนาะ คิดถึงพวกเรา ก็ต้องพูด ต้องสอน ต้อง..จนกว่าจะหมดเสียงนั่นแหละ ก็หมดเสียงแล้วตอนนี้ ก็ขอจบแค่นี้ กราบพระพร้อมกัน