แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทุกๆ ท่าน ความในใจของพวกเราที่นี่ ตั้งใจอยู่ว่า ผู้ที่ยังไม่มา ขอให้มาสู่อาวาสของเรา ผู้ที่มาแล้ว ขออยู่เป็นสุข เป็นสุข อันนี้ธรรมวินัยของพวกเรา มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นญาติกันมาก่อนแล้ว แต่เพิ่งเห็นหน้ากัน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องแปลกเลย ถ้าพอที่จะทำใจบ้าง ก็ว่าที่นี้คือบ้านเรา เป็นบ้านของเรา พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ อุบาสกอุบาสิกาเป็นน้อง พี่รู้สองน้องรู้หนึ่ง ต้องมาศึกษา ที่จะได้ชีวิตเหมือน ๆ กันหมด ถ้าเราศึกษาในเรื่องของชีวิตนี้ เป็นอันเดียวกัน หัวอกเดียวกัน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เหมือนกันหมด เรามีกายมีใจเหมือนกันหมด ปัญหาก็เกิดขึ้นที่กายที่ใจเหมือนกันหมด การแก้ปัญหาก็แก้ที่กายที่ใจเหมือนกันหมด จึงเป็นคน ๆ เดียวกัน
น่าสงสารมากชีวิตของเราเนี่ย ถ้าเรามาดูแลตัวเองจริง ๆ เนี่ย มันก็มีทางที่หลุดพ้นจากปัญหาได้ เราจึงมีการศึกษาบ้าง เป็นหูเป็นตา ดูแลตัวเอง ในโครงการก็ว่า ควรคิดถึงชีวิตที่ยังเหลืออยู่เนี่ย หรือที่ผ่านมาแล้ว มีอะไรเป็นบทเรียนบ้าง ถ้าทุกคนก็อาจจะตอบได้เองว่า อ้าว! ความรู้สึกตัวกับความหลงนี่อันไหนมากกว่ากัน ชีวิตที่เราผ่านมาถึงวันนี้ สร้างความเป็นธรรมให้แก่ตัวเองบ้างไหม เราพอใจในความหลง เคยเปลี่ยนความหลงบ้างไหม เป็นความรู้สึกตัว เคยเปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้สึกตัว เคยเปลี่ยนความโกรธเป็นความรู้สึกตัว เคยบ้างไหมตรงนี้ หรือว่ามันโกรธฟรี ๆ มันทุกข์ฟรี ๆ อยากใช้ให้เราโกรธก็มาใช้ได้เลย อยากใช้ให้เราทุกข์ก็มาใช้ได้เลย เหมือนกับชีวิตของเรามันเถื่อน อย่างงั้นหรือ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ไหม เรามีสิทธิจะไม่โกรธได้ไหม เคยใช้สิทธิของตนเองไหม ในเรื่องอย่างนี้ หรือยอมมันทั้งหมด เป็นชีวิตที่สำส่อนหรือ สาธารณะเกินไปหรือ ในโลกเนี่ย จะเป็นสุขเป็นทุกข์ จะดีใจเสียใจ ความร้ายความดี ก็ไปเช่นนั้นหรือ ถ้าเรามารู้เรื่องนี้จะเป็นยังไง ถ้าจะเป็นชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เอาบทเรียนจากอดีตที่ผ่านมาก็ได้ เรายังน่าจะเปลี่ยนร้ายเป็นดี สักเรื่องสองเรื่องพอที่จะยกมาไหว้ตัวเองได้
พวกเราที่เป็นพระสงฆ์คิดว่าพบทาง จะไม่พาพวกเราหลงทิศหลงทางแน่นอน ดีใจมาก ๆ ที่มีผู้มาสนใจเรื่องนี้ ศึกษาเรื่องนี้ดู เพื่อจะได้เป็นคน ๆ เดียวกัน สิ่งที่ทำให้เราไม่เป็นคน ๆ เดียวกันก็มี สิ่งที่ทำให้เราเป็นคน ๆ เดียวกันก็มี ไม่ยาก เช่น ถ้าเรารู้สึกตัว ทุกคนมีความรู้สึกตัว ก็เป็นคน ๆ เดียวกัน ถ้าต่างคนต่างหลงไปทุกทิศทุกทาง ก็เป็นคนละคนไป แม้เราก็พึ่งพาอาศัยชีวิตเราไม่ได้ บางทีใจของเรา จิตใจของเรานี้ บางทีมันอาจจะพึ่งไม่ได้ บางคนถึงกับพูดว่า ไม่มั่นใจตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ไม่ควรที่จะมีคำพูดอย่างนี้เลย เพราะเรามีสิทธิ กายเราอยู่นี้ ใจเราอยู่นี้ ไม่ใช่อยู่ที่อื่นเลย สามารถเอากายมาทำความดี สามารถเอากายมารับความชั่วได้ สามารถเอาจิตใจมาทำความดี สามารถเอาจิตใจมารับความชั่วได้ มันอยู่กับเรา ทำไมจึงว่าไม่มั่นใจตัวเอง เพราะเหตุใด เคยทำมันเรื่องนี้สุดฝีมือไหม เคยใช้ชีวิตให้สุดฝีมือเรื่องนี้ไหม อาจจะไม่เคยใช้ก็มีบางคน มันต้องมีเวลาอย่างนี้บ้าง ให้เรามาดูตัวเองให้ดี ๆ
การปฏิบัติธรรมก็คือ การมาดูแลตัวเอง ให้มันคุ้ม แม้แต่วินาทีหนึ่งก็ดูแลตัวเองให้มันอยู่ ให้มันคุ้มอยู่ อย่าผ่านสายตาของเราไป เหมือนแม่เลี้ยงลูกอ่อน ก็ดูแลอยู่ จนชำนิชำนาญในการเลี้ยงลูก เรานี้ก็ชำนิชำนาญในการดูแลตัวเองให้มาก ๆ ให้ปลอดภัย จนไม่มีภัย โดยมีสติ มีสัมปชัญญะ รู้รอบ รอบรู้ มันก็ไม่พ้นไปจากความรู้สึกตัวหรอก แม้ ๘๔,๐๐๐ อย่างเกิดกับกายกับใจนี้ มันก็เกิดโต้น ๆ ที่กายที่ใจนี้ เท่านั้นเอง จะเป็นความสุข ความทุกข์ ความรัก ความชัง ความวิตกกังวล เศร้าหมอง อะไรเกิดขึ้นที่กายที่ใจนี้ มันเข้าคิวให้เราดูเลย ไม่ต้องหา ไม่ต้องเสาะหาค้นหา มันฉายให้เราดูทันที เช่น เรามีสติ อย่างน้อยเราก็ต้องเห็นความหลง เกิดขึ้นกับตัวเรา เพราะสภาวะที่รู้กับสภาวะที่หลงมันตรงกันพอดี หลงอยู่ตรงไหน รู้อยู่ตรงนั้น พอดี ไม่ใช่ไปหา มันโชว์ ถ้าจะเป็นแหล่งศึกษาก็เป็นตักศิลา ที่เกิดขึ้นให้เราเห็น ก็จะเกิดการพบเห็น อะไรที่เกิดกับกายกับใจนี้ จึงมาศึกษาชีวิตเราที่ยังเหลืออยู่เนี่ย ชีวิตจริง ๆ อยู่เนี่ย หายใจเข้า-หายใจออก แล้วมันไม่จริงตรงไหนละ งั้นเรามีปกติเนี่ย มีความรู้สึกตัวอยู่นี้ อันสิ่งใดที่ทำให้เกิดความหลงไป ทำให้ผิดปกติ เราก็รู้ เราก็รู้ ดูแล ถ้ามันหลงไปกลับมารู้ มันหลงไปทางไหนกลับมารู้ได้ แม้แต่มีตา หลงไปทางตาก็รู้ได้ หลงไปทางหูก็รู้ได้ หลงไปทางจมูก ลิ้น กาย ใจ ก็รู้ได้ หลงไปทางรูป รส กลิ่น เสียง ก็รู้ได้ เพราะมันเกิดที่นี่ ไม่มีที่ลับ ความลับในตัวเราไม่มี หลอกตัวเองไม่ได้ การหลอกคนอื่นจะหลอกได้ แต่หลอกตัวเองหลอกไม่ได้ เป็นสุขเป็นทุกข์ยังไง เราต้องดูดี ๆ จะเห็นทาง พบทาง พบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น
การศึกษาชีวิตของเรานี่เป็นการพบเห็น พบเห็นอะไร พบเห็นทั้งคู่ พบเห็นความหลง พบเห็นความรู้ ไปพร้อม ๆ กัน พบเห็นความทุกข์ พบเห็นความไม่ทุกข์พร้อม ๆ กันไป มันมีทางอยู่ เหมือนหน้ามือหลังมือ ความทุกข์เหมือนหน้ามือ ความไม่ทุกข์ก็เหมือนหลังมือ อยู่ที่เดียวกัน ความโกรธเหมือนหน้ามือ ความไม่โกรธก็เหมือนหลังมือ อยู่ที่เดียวกัน ถ้าเราศึกษาเรื่องนี้ มันง่าย ๆ ไม่ยากเลย ไม่ต้องไปอดไปทน ไปดุไปด่า ไปทำอะไรต่าง ๆ ไม่ต้อง โต้ตอบ ทักท้วง ตรวจสอบ ตรวจสอบเพื่อให้โปร่งใส ทะลุทะลวงได้ จนหลอกตัวเองไม่ได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เราทำอะไรที่มันดีกว่าเก่าได้บ้าง เราก็ตรวจสอบ จนได้ทิศได้ทาง ได้สติได้ปัญญา ความหลงทำให้เราเกิดปัญญา ความทุกข์ทำให้เราเกิดปัญญาได้ แม้แต่การเกิดแก่เจ็บตายทำให้เราเกิดปัญญาได้ แต่บางทีเราเอามาเป็นทุกข์ ความไม่เที่ยงเอามาเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์เอามาเป็นทุกข์ ถ้าเราศึกษาดี ๆ ความไม่เที่ยงให้เกิดปัญญา ความเป็นทุกข์ทำให้เกิดปัญญา ความไม่ใช่ตัวตนทำให้เกิดปัญญา มันตรงกันข้าม มันเป็นไปทำนองนั้น ความถูกต้องมันมีอยู่ ความผิดมันก็มีอยู่ ในความผิดมันก็มีความถูกต้องอยู่ที่เดียวกัน นี่คือศึกษาชีวิตเรา ไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์ ต้องเอาวัตถุภายนอกมากำหนด มาเป็น factor ตัวตั้ง หาคำตอบ เอาเหตุเอาผล
สัจธรรมไม่ใช่เหตุผล เช่น ความหลงเนี่ย มันไม่ใช่เหตุผล มันหลงที่ไหนก็เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ทันที ความทุกข์ มันไม่ใช่เหตุผลเพราะเปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ทันที แก้ไปก่อน เปลี่ยนไปก่อน เช่น ไฟตกใส่ขาเราต้องเอาไฟออกก่อน อย่าไปถามหาเหตุปัจจัยที่มันตกมาใส่เราทำให้เราเป็นทุกข์ อันนั้นไม่ใช่ เป็นการพบเห็น ไม่ต้องมีคำถามใคร เช่น เราหลงเนี่ย ต้องถามใครไหม ไม่ต้องถามใคร มันหลงอยู่ที่เรา เรารู้สึกตัว ไปขอให้ใครมาช่วยไหม ไม่ได้ขอ บอกใครมาช่วยที่มันหลงขึ้นมาให้มันรู้ขึ้นมา ไม่มีใครช่วยเราได้ ก็จะเป็นการปัจจัตตังเห็นเอง ระหว่างความรู้ความหลงต่างกันไหม สัมผัสดู ไม่มีคำถามมีแต่คำตอบ คนอื่นตอบให้ก็ไม่ได้ เราต้องตอบเอง เราหลง เราไม่หลงอย่างนี่ เราทุกข์อย่างนี่ ถามคนอื่นไหมว่าเราทุกข์ ไม่ต้องถาม เมื่อเรารู้สึกตัวความทุกข์หมดไป ถามคนอื่นไหมว่าความทุกข์เราหมดไปหรือยัง ไม่ต้องถาม เป็นปัจจัตตังของผู้ปฏิบัติเอง นี้คือของจริง เรามาศึกษาของจริง ไม่ต้องไปเชื่อใคร ถ้าศึกษาของจริงว่า ความรู้สึกตัว ความหลงตัวนี่ อะไรมันถูกต้อง สัมผัสดู ถ้าไปเชื่อความหลง มันก็ข่มขืนตัวเอง ทำไม่ได้ อันความโกรธถ้าไปเชื่อความโกรธ ความไม่โกรธมีอยู่ เหมือนกับไปบังคับไอ้ตัวโกรธมันทำไม่ได้ มันข่มขืนตัวเอง ถ้าเรารู้ ถ้าเราไม่รู้ก็โกรธอยู่ข้ามวันข้ามคืนได้ ถ้าเรารู้มันไม่ไปอย่างนั้น มันไปไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เพราะเราเห็นอย่างนี้ ความทุกข์เป็นอันหนึ่ง ความโกรธเป็นอันหนึ่ง ความไม่โกรธเป็นอันหนึ่ง ความไม่ทุกข์เป็นเรื่องหนึ่ง เราก็รู้จักเลือก เพราะมันบอก ความผิดมันบอก ความถูกมันบอก อันนี้เรียกว่าดูแลศึกษาชีวิตของเราดู จัดสรรชีวิตเราดู ให้มันมีที่มีทาง ได้หลักได้แหล่ง
ถ้าจะพูดแล้ว ชีวิตของเราเนี่ย มันมีบ้านเหมือนกัน ใจก็มีบ้าน กายก็มีบ้าน บ้านของใจคือปกติ ถ้าผิดปกติ เสียว่าจิตใจพลัดบ้านพลัดถิ่นแล้ว มารได้โอกาส เอาหอบหิ้วไปไหนใจ มันก็ไปได้ ใจของเรานี่เป็นสาธารณะ ถ้าเราไม่ดูแลมัน เหมือนศาลาหลังนี้ จิตใจถ้าเปรียบมันก็เหมือนศาลาหลังนี้ ใครมาพักก็ได้ ศาลาหลังนี้ไม่ว่าอะไร แต่ว่าถ้าคนดีมาพัก เหมือนพวกเรามานั่งนี่ ศาลาหลังนี้ก็สะอาดเรียบร้อย ถ้าคนเลวมาอยู่ โจรผู้ร้ายมาอยู่ สัตว์สาราสิ่งมาอยู่ ก็รกรุงรัง หรือเสียหายไปได้ ศาลาหลังนี้ไม่ว่าอะไร ใจของเราก็เหมือนกัน สาธารณะ สำส่อน ถ้าเราไม่ดูแล เราจะปล่อยให้ใจเราสำส่อน เราก็เป็นโทษเป็นภัยตัวเรา ต้องดูแลตัวเอง ชีวิตที่เรามีอยู่เนี่ย ดูแลให้ดี ๆ ดูแลให้คุ้ม เห็นช่องทางอะไรที่เกิดขึ้น อันตรายที่เกิดขึ้น อะไรที่มันทำให้เสื่อมเสีย อะไรที่มันทำให้เจริญ ก็ดู เห็น จนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องแม่นยำ ชัดเจน ไม่มีปัญหาเรื่องกายเรื่องใจเลย อะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยก่อน มันก็หมดไป หมดไป เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพานได้ จากปัญหาก็ไม่มีปัญหาไป เคยหลงไม่หลงได้ ความหลงก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายได้ ความทุกข์อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายได้ ความโกรธก็เป็นครั้งสุดท้ายได้
แต่ถ้าเราไม่ฝึก มันก็เป็นภพเป็นชาติไป เป็นภพเป็นภูมิไป เกิดดับ เกิดดับเรื่อยไป อันนี้ก็เป็นภาระ ถ้าศึกษามันหมดภาระ หมดภาระ หมดภัย ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเรา มีแต่อาศัยได้ ใช้ชีวิตอย่างปกติ เมื่อเราฝึกฝนดีแล้ว คนอื่นก็พึ่งได้ เราก็พึ่งได้ คือ คุณงามความดีที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเรา อาจจะมีความผิดพลาด อาจจะมีความไม่ดีไม่งามก็เปลี่ยนได้ เพราะมันรู้จัก มันไม่ยาก ถ้าชีวิตของเรามันสัตว์ประเสริฐฝึกได้ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน จากความหลงเป็นความรู้ได้ จากความทุกข์กลายเป็นความไม่ทุกข์ได้ ถ้าเราฝึก ถ้าไม่ฝึกก็เป็นอยู่เช่นนั้น โกรธจนตาย ทุกข์จนตาย หมกมุ่นครุ่นคิด ฟุ้งซ่าน กลางคืนว่าฝันกลางวันว่าคิด แล้วจะอยู่ยังไง มีใจก็พึ่งใจไม่ได้ แล้วใครจะพึ่งเราได้
ชีวิตนี้ในโลกนี้ ไม่ใช่เราอยู่คนเดียว เมื่อเราเป็นคนดีสิ่งอื่นก็พึ่งได้ ถ้าเราเป็นคนชั่วอันอื่นก็เป็นโทษเป็นภัย จึงสมควรที่จะละความชั่วได้แล้ว ทำความดีได้แล้ว ทำจิตให้บริสุทธิ์แล้ว ไปช่วยคนอื่นให้เขาละความชั่ว ไปช่วยคนอื่นให้เขาทำความดี ไปช่วยคนอื่นให้เขาทำจิตบริสุทธิ์ จาก ๑ ๒ ๓ ไป หลายคน หลายคน จึงจะอยู่ร่วมกันได้ ถ้าเราดีคนเดียว ไม่ได้ ต้องชวนกันดีต่อไป มันจึงจะพึ่งพาอาศัยได้เป็นสังคมมนุษย์ เพราะสังคมมนุษย์นี่เป็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกัน เป็นครอบครัว ผัวเมีย บุตรภรรยาสามี ก็ยิ่งดี จะได้อาศัยกัน ช่วยร่วมกันทำความดี เป็นหูเป็นตา เป็นขาเป็นแขน เป็นปากเป็นเสียงแทนกันได้ คนหนึ่งประมาท คนหนึ่งไม่ประมาทได้ คนหนึ่งเป็นบาป คนหนึ่งเป็นบุญ คนหนึ่งร้อน คนหนึ่งเย็น อยู่ด้วยกันได้ เพราะเป็นหูเป็นตาให้กัน ดูแลกันได้ เตือนกันได้ คนอื่นก็ตักเตือนเราได้ เราก็ตักเตือนเราได้
อาการกายวาจาอย่างอื่นที่เราจะต้องทำให้ดีกว่านี้ มันมีอยู่อีก ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เลื่อนไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดนิ่ง พัฒนาชีวิตเรา จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว เพราะศึกษาเรื่องนี้ เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรา เอาสติเป็นนักศึกษา ดูแลตัวเองไป จะเห็นหมดทุกช่องทุกทาง ชีวิตของเราเนี่ย มันไม่มาก ถ้าจะว่าแล้ว กำมือเดียว แต่สิ่งต่าง ๆ มีมาก เช่น ใจนี่ ถ้าจะพูดถึงอภิธรรมก็ต้อง ๒๒๐ ดวง ถ้าพูดเรื่องปฏิบัติก็คืออันเดียว มันเป็นคลื่น เหมือนเงาดวงจันทร์ในน้ำ ถ้ามีคลื่นก็ไม่เป็นดวงเดียว ก็เป็นหลาย ๆ ดวงไป การใจร้ายใจดี โลภ โกรธ หลง มันเกิดที่ใจ ถ้ามีสติแล้วมันก็อันเดียวกัน อย่าไปมองว่าใจร้ายเป็นใจอันหนึ่ง ไม่ใช่เรา อันใจร้ายที่มันหลง มันวู่วาม หุนหันพลันแล่น มันเป็นอาการอันหนึ่งที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่ใจ แต่มันเป็นอาการ ความร้อน ความหนาว เป็นอาการของกาย ความโกรธ ความทุกข์ ความเกลียดแค้นชิงชัง เป็นอาการของใจ แต่มันไม่ใช่ใจ แต่บางคนไม่รู้ ไปยึดเอา เอาอาการนั้นว่าเป็นตัวเป็นตน เช่น ความโกรธ ไปยึดว่าเราโกรธ ถ้าโกรธได้โกรธ ตายก็ไม่ลืม ไม่ใช่ ความโกรธเป็นอาการของจิตที่มันเกิดขึ้นในคลื่นต่าง ๆ มันไม่มี มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป มันไม่มีตัวมีตน แต่เราไม่รู้ ไปคว้าเอาความโกรธว่าเป็นตัวเป็นตน ทำตามความโกรธเสียเปรียบความโกรธมามากต่อมากแล้ว ปล่อยให้ความโกรธพาทำชั่ว ทะเลาะวิวาทกัน เข่นฆ่ากัน แยกย้ายกันไป สามีภรรยาแตกร้าวสามัคคีกัน พี่น้องแตกร้าวสามัคคีกัน เพราะความโกรธบงการ ทั้ง ๆ ที่มันไม่มี อันตัวโกรธไม่ใช่ใจ เป็นคลื่นที่เกิดขึ้นกับใจ เหมือนศาลาหลังนี้ สกปรก มันไม่ใช่ศาลาหลังนี้ เอาออกได้ ถูออกได้ ใจที่มันสกปรก มันโกรธ มันโลภ มันหลง มันวิตกกังวล เอาออกได้ เปลี่ยนได้ ทำใหม่ ทำใหม่ ตั้งต้นใหม่ เวลาโกรธอย่าพูด เวลาโกรธอย่าคิดอย่าไปพูดตามความโกรธ นิ่งไว้ก่อน ลองฝึกหัดอย่างนี้ดู มันไม่มีอันความโกรธความทุกข์ก็เหมือนกัน เราอย่านึกว่าเราไม่ดูแลตัวเอง
ชีวิตที่ยังเหลืออยู่เนี่ย จัดสรรให้มันดี ๆ วิธีที่ดูแลนี่แหละ กรรมฐานเนี่ย กรรมนี่มันเป็นของจำแนก มันจะเป็นไปเอง เราไม่ต้องไปหาเหตุหาผล ว่าจะมีการกระทำเกิดขึ้น ให้มันได้ มีการกระทำคือยังไง มีสติดูกาย ตามหลักพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ถ้าจะดูแลตัวเอง ถ้าจะตรวจสอบตัวเอง ชีวิตที่เหลืออยู่เนี่ย มีสติเห็นกาย เห็นกายคือเห็นยังไง ตามรูปแบบพระพุทธเจ้าสอน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติเห็นกาย ให้มัน เจตนาให้มันเห็น รู้อยู่ อะไรที่เป็นกายเอามาเป็นวัตถุอุปกรณ์ เป็นที่ตั้ง เป็นนิมิต เหมือนตาที่เราดูอะไร เมื่อเห็นเรื่องเก่าบ่อย ๆ ก็ไม่ใช่เห็นอยู่เฉพาะหน้า มันเกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดเห็นแจ้งขึ้นมา เฉลียวฉลาด เห็นกายนี่ไม่ใช่เห็นกายธรรมดาต่อไปเห็นเป็นรูป เห็นเป็นนาม ถ้าเราเห็นเนี่ย เห็นกาย กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคล ตัวตนเราเขา อะไรที่มันแสดงมาทางกาย เยอะแยะ เดี๋ยวก็มีความปวด ความเมื่อย ความร้อน ความหนาวความหิว อะไรต่าง ๆ มันเกิดขึ้นมา เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับกาย ก็เห็นแล้ว สักว่าเป็นอาการของกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา เห็นจิตก็เหมือนกันน่ะ จิตที่มันคิดโน่นคิดนี่ อยู่นิ่งไม่เป็นหรอก ก็เห็นตัวคิดไป เอ้า! ตัวคิดที่ไม่ได้ตั้งใจมันอันหนึ่ง ตัวคิดที่ตั้งใจอันหนึ่ง เราก็เห็น เราก็กลับมารู้ อย่าไปตามความคิด กลับมา เมื่อมันคิดหลงคิดไปทีไร สอนมันทีนั้น ความหลงเราสอนมัน ได้บทเรียนจากความหลง กลายเป็นความรู้ ได้บทเรียนจากความทุกข์กลายเป็นความรู้ ได้บทเรียนจากความสุขกลายเป็นความรู้ เพราะเราเห็น ไม่ได้ไปกับเขา ไอ้ทางกายมันแสดงออกก็เห็น ใจที่มันแสดงออกก็เห็น เห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริง จนเห็นเป็นรูปธรรม เห็นเป็นนามธรรม แต่ก่อนเห็นกายเห็นใจธรรมดา มันคับแคบ มันมัดมือชกเรา เหมือนปิดประตูย่ำยีเรา ต่อไปเห็นไปเห็นมา เห็นรูปเห็นนาม เป็นรูปเป็นนาม กายเป็นรูป ที่มันรู้สึกเจ็บปวด คิดนู่นคิดนี่เป็นนามธรรม ไม่อยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นเป็นรูปเป็นนาม ก็ไม่ต้องเรียกว่าสุขว่าทุกข์ เป็นอาการเป็นอะไรไป รูปธรรมนามธรรม เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม มันต้องมี เช่น ความหิวเกิดขึ้น แต่ก่อนเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้ไม่ทุกข์แล้ว เป็นอาการ ขอบคุณความหิว ขอบคุณความร้อน ขอบคุณความหนาว ขอบคุณความปวดความเมื่อย เพราะมันเป็นสัญญาณภัยของรูป ถ้ารูปมันปวดมันร้อนมันหนาวมันหิวไม่เป็นไม่ใช่รูปเลย แต่ก่อนเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่ใช่ เพราะฉลาดไป ใจก็เหมือนกัน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความทุกข์ ไม่ใช่ใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้น จากเหตุปัจจัยต่าง ๆ เราก็ดูแลคุ้มละตอนนี้ เอ้า! ได้บทเรียนจากกายจากใจ ความรอบรู้ในกายในใจนี้ เป็นปัญญา ปัญญาเกิดทางนี้ ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากรั้วมหาวิทยาลัย
ปัญญาที่เป็นปัญญาพุทธะ เกิดจากกายจากใจนี้ ความรอบรู้ในกองสังขาร คือกายสังขาร จิตสังขารเนี่ย มันมีอะไรที่มันแสดงออก เห็นหมด เห็นครบ เห็นถ้วนนี่ ถือว่าจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยที่สุด ปลอดภัยที่สุดยิ่งกว่าการปลอดภัยใด ๆ เพราะเราอยู่กับเราแท้ ๆ เพราะฉะนั้นวิธีนี่เป็นวิธีที่ศึกษาชีวิตของเรา จนจบไปเลยนะ จบไปเลย ตื่นแต่ดึกศึกษาตั้งแต่หนุ่มแต่น้อย อย่ารอให้เฒ่าให้แก่ ประมาทไม่ได้ ความผิดกายประมาทนิดเดียวมันก็ขยายเจริญมากขึ้น ความถูกนิดหน่อยก็ให้ใส่ใจ เพียรทำไว้ เช่น เรารู้สึกตัว เรารู้สึกตัวนะ ๑๔ จังหวะ รู้ วินาทีใดวินาทีหนึ่ง เช่น รู้สึก ๆ รู้สึก ๆ รู้สึกตัว ๆ ๑๔ วินาที รู้ทีละที ๑๔ วินาทีรู้ครั้งหนึ่ง นับ ๑ จากรู้นี้ไป ๑๔ วินาทีรู้ ๑๔ วินาทีรู้ ถ้าชั่วโมงหนึ่งมันตั้ง ๓,๐๐๐ กว่ารู้ นับหนึ่งแค่เนี้ย มันต้องมากขึ้น ๆ ไป อย่าประมาท เพราะวินาทีใดที่มันรู้สึกตัวเอามาทำ ไม่ใช่เรามานั่งคิดนอนคิด ให้กำหนด ให้สร้างความรู้สึกตัว ประกอบ สติมันจะเกิดขึ้นเพราะประกอบ เอาไปต่อเอา เอากายไปต่อเอาความรู้สึกตัว เอาใจไปต่อเอา ให้มันติดกันดู เดี๋ยวนี้กายเรามันติดความหลง ใจมันติดความหลง ถ้าถามว่า ที่เรามาถึงวันนี้ ความหลงกับความรู้อันไหนมากกว่ากัน ทุกคนตอบได้เอง ทำไงจึงจะมีความรู้ต่อเนื่อง เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ผู้ใดมีสติต่อเนื่อง ๑ วันถึง ๗ วัน ๑ เดือนถึง ๗ เดือน ๑ ปีถึง ๗ ปีอย่างช้าที่สุด เกิดอานิสงส์มากมาย ใครจะพิสูจน์เรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เรา เสนอตัวเราก่อน ต้องนับหนึ่งจากตัวเราก่อน เรานับคนหนึ่ง ชีวิตในชาตินี้ จะต้องทำเรื่องนี้ดูสักครั้งหนึ่งนะ อันนี้มีคอร์ส มีการสมัครมาเนี่ย น่าอนุโมทนามาก เป็นเพื่อนที่นี่ รับผิดชอบ ถ้าใครหลงทิศอะไรมา ปัญหาอะไรก็มาถาม ให้ถาม ถามที่อาการเกิดขึ้น อย่าคิดมาถาม ปฏิบัติแล้วมันเป็นยังไงเอามาถามได้ จะไม่พาหลงทิศหลงทางแน่นอน จึงพูดสู่กันฟัง ได้ยินไหม พูดภาษาบ้านเรา นั่งอยู่นี้ นี่คือพระสงฆ์ ญาติโยมอุบาสกไปนั่งอยู่นู้น พูดกันอย่างนี้ รู้เรื่องกัน บอกให้รู้สติ สติคือความรู้สึก ความระลึกได้ มันก็อยู่ในเรา พูดในสิ่งที่เราทำ เราทำในสิ่งที่เราได้ยินมา มันก็สมดุลพอดี เหมือนกับเรามีเครื่องรับมีคลื่น ที่เขาส่งอะไรต่าง ๆ มา เรารับได้ เรามีความรู้สึกตัวที่กาย เมื่อพูดถึงความรู้สึก อันเดียวกันเลย เมื่อหลงก็อันเดียวกัน ใครหลงก็คือหลง ใครทุกข์คือทุกข์ ใครโกรธคือโกรธ น่าเห็นใจกัน เนี่ยเราเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ จึงไม่เหลือวิสัยที่เราทำได้ เพราะนั้นก็พูดมากก็ไม่ดี ต่อไปเรามีการกระทำนะ ไม่ใช่พูดให้จำ