แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การฟังธรรมก็คือการฟังเรื่องของเรา เรื่องของคน คนเรามีกายมีใจ ถ้าเราไม่ศึกษาเรื่องกายเรื่องใจ ก็จะหลงอยู่ที่กายที่ใจ ถ้าศึกษาปฏิบัติ มีสติเข้าไปดู ก็จะได้ความรู้อันเกิดจากกายจากใจ ความรู้ความเห็นแจ้งในกายในใจนี้ เป็นบุญ เป็นสวรรค์ เป็นนิพพาน ถ้าเราไม่รู้ มันก็เป็นบาป เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกได้ จึงไม่ควรปล่อยปละละเลย ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ มันมีให้เราศึกษา ดังที่พระสูตรที่เราสาธยายเมื่อกี้นี้
พระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้น ศึกษาเรื่องกายเรื่องใจนี้ การศึกษาเรื่องอื่น พระองค์สำเร็จมาแล้ว ๑๗ ศาสตร์ รู้มาก นั่นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ยังเป็นสามัญชนเป็นปุถุชน มีความหลงในกายในใจ และกลัวการเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าหลงก็ถึงเป็นการเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าไม่หลงก็ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย แล้วชีวิตที่เรามีอยู่นี้ เราให้ความเป็นสุขความเป็นทุกข์เพราะกายเพราะใจ มันไม่ถูกต้อง กว่าที่จะเกิดคำพูดหรือตรัสออกมาว่ากายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขานี่ อันอื่นเฉือนออกหมดแล้ว แต่ก่อนเคยเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย พอมาเห็นแจ้งก็เลยเฉือนออกมาพูด มาตรัสไว้ว่ากายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา นั่น
เราก็ลงตัวตรงนี้ อย่าให้หลง อะไรที่เกิดกับกาย จงมีความเห็นแบบนี้ กายสักว่ากาย นั่น มันจะแสดงให้เราเห็น เป็นอื่นไปซะ ถ้าเป็นอื่นก็มีภพชาติตรงกาย เกิดแก่เจ็บตายด้วย มีมากมายสิ่งที่เกิดกับกายนี่ มามีสติเห็นเนี่ย ใครก็ทำได้ ทำได้ทุกคน ความเห็นเนี่ยมันง่ายกว่าการเข้าไปเป็น แล้วผ่านได้ เหมือนเราเดินทาง ถ้าเห็นกายสักว่ากาย มันก็ผ่านไปแล้ว ถ้าเอากายไปเป็นอันอื่น ก็ไม่ผ่าน ไปไม่ได้ถึงไหน
เวทนาหรือสุขหรือทุกข์นี่ก็เช่นกัน อันเป็นสุขเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นทุกข์ สุขเป็นสุข พระพุทธเจ้าเฉือนออกหมดแล้ว เหลือแต่สักว่าสุข สักว่าทุกข์ สุขก็สักว่าสุข ทุกข์สักว่าทุกข์ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่มีผู้สุข ไม่มีผู้ทุกข์ ไม่มีใครที่เป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะความสุขความทุกข์ ถ้ายังมีความสุขความทุกข์อยู่ ก็มีการเกิดแก่เจ็บตาย บนความสุขความทุกข์นั้น จะให้ความสุขความทุกข์เป็นใหญ่ แล้วแต่เขาจะให้สุข แล้วแต่เขาจะให้ทุกข์ ไม่ใช่ ให้เห็นเนี่ย ถ้าภาษาอินเดียเรียกว่าเวทนา สุขเรียกว่าเวทนา ทุกข์ก็เรียกว่าเวทนา เสมอกันหมด มันก็มีการเจ็บปวด เสียดุล สูญเสียความปกติไป ถ้าเป็นสุขก็เสียปกติไปแล้ว ถ้าเป็นทุกข์ก็เสียปกติไปแล้ว ให้เห็นเนี่ย มันจะยากอะไร สร้างความเห็นอย่างนี้มันไม่ยาก ถ้าไปเป็นมันยากกว่า มันจะเกิดหลุดนะ เมื่อสุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่หลุดแน่นอน มีภพชาติตรงนี้ด้วยเช่นกัน ใคร ๆ ก็มี ใคร ๆ ก็เป็น เป็นมาแล้วหลายภพหลายชาติ เกิดดับเกิดดับ เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ถ้ามีสุขถ้ามีทุกข์ก็มีอะไรอยู่ตรงนั้น มีสมมติมีบัญญัติ มีอุปาทาน มีภพมีชาติ พระพุทธเจ้าท่านเฉือนออก เอาเหลือแต่ว่า สักแต่ว่า
จิตก็เหมือนกัน จิตที่มันมี จิตมันก็คือมันมีคู่ คือมันคิด เมื่อมันคิดก็มีอารมณ์เป็นคู่ของจิต เหมือนตาเป็นคู่ของรูป อารมณ์มันก็เป็นคู่ของจิต อย่าเอาอารมณ์มาเป็นจิต บางทีความโกรธ ความโลภ ความหลง กิเลสตัณหาที่เกิดจากความคิด เกิดจากจิตปรุงแต่งขึ้นมา มันเป็นอารมณ์ ไม่ใช่จิต มักจะใช้จิตผิดประเภท เหมือนใช้มีดโกน โกนผม ไปหั่นผัก มันก็เสียคำว่ามีดโกน มีดโกนผม มันก็ใช้ไม่ได้ ถ้าจิตมันไปย้อมอารมณ์ มีกิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฐิ ยึดมั่นถือมั่น มันก็ผิดประเภทไปแล้ว มันใช้ไม่ได้ การที่จะเอามาใช้ให้สำเร็จประโยชน์ ก็เกิดเป็นไม่มีคุณค่าแล้วจิตน่ะ ถ้าใช้ผิดมันก็หมดคุณค่าเรื่อยไป หมดความเป็นจิตเรื่อยไป มันเป็นนิสัยเป็นปัจจัย จริตนิสัยไปเลย เหลือไว้แต่รูปแบบ อะไรเกิดขึ้นกับจิตก็มีภาระ มีปัญหา เราจึงเห็นพระพุทธเจ้าเฉือนออกหมดเลย อะไรที่เกิดกับจิตน่ะ เฉือนออกหมด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง ดีใจ เสียใจ กิเลส ตัณหา เฉือนออก เหลือไว้แต่จิตสักว่าจิต บริสุทธิ์แล้วบัดนั้น ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา ไม่เอาจิตมาให้เป็นสุขเป็นทุกข์ แต่ก่อนเราเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะจิต เราเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย ในจิตก็มีเวทนา ในกายก็มีเวทนา สุขทุกข์
จนเห็นสิ่งที่ครอบงำ เกิดขึ้นรวม ๆ กัน เรียกว่าธรรม มีอยู่ทั้งจิต มีอยู่ทั้งกาย เรียกว่าธรรม อะไรก็เรียกว่าธรรม ที่เกิดขึ้นรวม ๆ เรียกว่าธรรม ก็ไม่ใช่ตัวใช่ตน อย่างพระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องสามัญลักษณะ ความไม่เที่ยงข้อที่หนึ่ง ความเป็นทุกข์ข้อที่สอง ความไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ข้อที่สอง ไตรลักษณ์ข้อที่สอง ความทุกข์เป็นทุกข์ เพราะไม่เห็นความไม่เที่ยง ไม่เห็นความเป็นทุกข์ ข้อที่สามว่าเป็นไม่ใช่ตัวตน ก็เลยเรียกว่าอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรไปยึดว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไม่ไปยึดเอาว่าเป็นเราว่าของเรา สักว่าธรรม อันที่เป็นเราเป็นของเราในธรรมทั้งหลายนั้น เฉือนออกหมดแล้ว เหลือแต่สักว่า ลองมาปลด มาเห็นแจ้งในสี่ด่านนี้ลองดู มันจะหลุดได้ง่าย ๆ อะไรก็หลุดได้ง่ายไปเลย จงมีสติดูต้นตอมันดี ๆ มันก็อยู่กับเราเนี่ย ไม่ได้อยู่ที่ไหน มันก็อยู่กับเรา ต้นตอมันอยู่ที่นี่ เหตุมันก็อยู่ที่นี่ ลองมาแจ่มแจ้งในเรื่องนี้ดูซิ อะไรก็ง่ายไปเลยนะ เหมือนที่ใครได้เคยขึ้นศรีปาทะ ในประเทศศรีลังกา สูงที่สุด เรื่องอื่นเป็นเรื่องง่าย คนที่เอาชนะที่เห็นแจ้งในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม เรื่องอื่นเป็นเรื่องง่าย มันก็ไม่น่าจะให้เรื่องนี้ข้องอยู่ เป็นบ่วง เป็นเสาหลัก เป็นโซ่ตรวนให้เราได้หลงอยู่ตรงนี้ วนเวียน วนว่ายตายเกิด เป็นภพเป็นชาติ น่าเสียดาย ไม่ทันสมัย ไม่คุ้มค่า ถ้ามัวหลงตรงนี้
ชีวิตที่เราได้มานะ ไม่ใช่ให้มาหลงตรงนี้ ให้ได้ฉลาดตรงนี้ ถ้าดูดี ๆ มันให้ความฉลาด ให้ปัญญาเรา ถ้าเราไม่ดูเสียเลยเนี่ย ก็โง่ไปเลย ในความสุขก็โง่ในความสุข ในความทุกข์โง่ในความทุกข์ โง่ในกาย โง่ในจิต ในกายในจิตนี้มันเป็นแหล่งปัญญา ไม่ใช่แหล่งความโง่หลงงมงาย แต่ถ้าเราไม่ดู ก็เป็นบาปเป็นหลงไปเลย อวิชชา อวิชชาเหมือนป่า ดงมันอยู่ในกาย ดงมันอยู่ในจิตใจ ไม่ใช่ดงอยู่บนสุคะโต อยู่ในจิตในใจเรานี่ อวิชชาแปลว่าดง แปลว่าป่า มืด สุขเป็นสุข มืด ทุกข์เป็นทุกข์ มืด
พระพุทธเจ้าจึงหงายขึ้นมา เปิดออก เปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ เฉือนขี้ริ้วออก เฉือนอันที่เป็นขี้ริ้วออก เหลือแต่เป็นเนื้อ มันมี ในชีวิตของเรานี้ ขี้ริ้วคือความหลง เมื่อมีหลงก็มีเชื้อโรค มีความโกรธ มีความทุกข์ มีความรัก ความชัง ความดีใจเสียใจ นี่ขี้ริ้ว สกปรก ถ้าเรารู้ ก็ฉลาด เฉือนออก เหมือนกับเป็นโรค เฉือนออก เป็นมะเร็ง ตัดออกไปทิ้งไป มันเป็นส่วนขี้ริ้ว เหลือไว้แต่สิ่งที่ดี พระพุทธเจ้าจึงบอกให้เราได้รู้ ไม่น่าจะหลง บอกเสียแล้ว บอกแล้ว ใครก็ได้ยินมา กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา เวทนาสุขทุกข์ ก็สักว่าสุขว่าทุกข์ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน เราเขา จิตที่มันมีอะไรเกิดกับจิตมากมายหลายอย่าง กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด สักว่าจิต ไม่ใช่ สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา เป็นกิริยา เป็นอาการของเขา เป็นกิริยา เป็นอาการของจิต เป็นธรรมชาติของจิต ไม่ใช่จิต
เหมือนร่างกายเรานี่ เมื่อไม่ได้มีอาหารก็เหนื่อย ไม่ได้กินข้าวก็เหนื่อย เป็นธรรมชาติ เมื่อได้กินก็อิ่มเป็นธรรมชาติ หลวงตาอดอาหาร อาจารย์ตุ้มพาไปอดอาหาร ทีแรกก็สี่วันห้าวันนะ น้ำหนักลดลงตั้ง ๔ กิโล (หัวเราะ) ก็มันกินมาก บางครั้งเขาก็บอกว่า หมอบางคนก็บอกว่าอย่าให้น้ำหนักลดนะ กลัวน้ำหนักจะลด กินเอากินเอา (หัวเราะ) อ้วนขึ้นมาถึง ๗๐ กิโล หมอสั่งให้หลวงพ่อไปตรวจสุขภาพ ไปอยู่กับเขา เขาจะดูแลรักษา ไปตรวจเลือด ไขมันในเลือดสูงลิ่ว จนเลือดไม่ไหล ตืดไปเลย นอนเลย ก้ม ๆ เงย ๆ ไม่ได้ มองหน้ามองหลังนี่ไม่ได้ หมอเลยให้ลดไขมัน โดยใช้ธรรมชาติบำบัด อดข้าว ฉันผลไม้ ร้อนท้อง แล้วก็ให้ฉันให้กิน (...) น้ำหนักลดลง อะไรก็ดีขึ้น ๑๕ วันนะ อยู่ในคอร์สเขา ตอนเช้าขึ้นมาอาจารย์ตุ้มพาไปออกโยคะ ออกโยคะแล้วก็ฉันผลไม้ ฉันผลไม้แล้วอบสมุนไพร ทั้งร้อนทั้งเย็น เมื่ออบร้อน ลองไปมุดน้ำแล้วเย็น น้ำก็เหมือนกับน้ำแข็ง เต็มอ่างไว้ในร่มมันก็ต้องเย็นแน่นอน อาบก็ไม่ให้ลงธรรมดา ให้ลงไปแช่ตั้งสองนาที พอร้อนแล้วไปถูกเย็น มันไม่ใช่เย็นซะแล้วมันปวด กลายเป็นความปวด มันก็มีบันไดลงไป พอลงไปถึงบันไดตื้นมันก็ปวด หย่อนตรง ๆ ก็ปวด ลงบันไดขั้นที่สองที่สามก็ไม่ไหว อาจารย์ตุ้มบอกให้ลงไปลงไป ๆ มันก็ลงไม่ได้ มันจะปวด มันปวด มันปวด เลยขึ้นมา ขึ้นมาแล้วอบอีก ร้อนอีก อบอีกร้อนอีก สิบนาทีในความร้อนนะ ออกไปลงน้ำอีกสองนาที แล้วก็อาบน้ำ ทำอยู่อย่างนั้น สิบห้าวัน นอกนั้นก็ ฟอกเลือด ให้ยา นอกนั้นก็ถ่ายล้างท้อง ๑๕ วันเข้าคอร์ส ผลสำเร็จออกมา ผลที่ออกมาน่าพอใจ หมอก็บอกว่าดีแล้ว แล้วก็เราก็รู้ว่าดี คล่องแคล่วกว่าเก่า แต่หิวนะ เดี๋ยวนี้ตัดน้ำปานะตอนเย็นเด็ดขาด อะไรก็ไม่ให้กินแล้ววันนี้ กินแต่ข้าว ลุกที่ฉันข้าวแล้วห้ามกินอีก มันก็หิวอยู่นั่นแหล่ะ กว่าจะได้กินอีก (หัวเราะ) ตอนเช้า ตอนเช้าก็ห้ามอะไรอีก ให้ฉันสองมื้อ เอาแบบพุทธเจ้าเลย ลุกจากที่นั่งนั้นแล้ว ห้ามฉันอะไรอีก จะฉันได้เฉพาะที่นั่งอาสนะศาลา นอกจากนั้นห้ามเอาอะไรมาให้ฉันนะ (หัวเราะ) ตามวินัยเปี๊ยบเลยบัดหนิ (หัวเราะ) ก็ลดความอ้วนลงหน่อย ๆ น้ำแป๊บซี่ก็ไม่ได้กินแล้วหนาหนูนิด (หัวเราะ) อะไรก็ไม่ให้ฉันแล้ว น้ำดื่มก็ไม่ให้ฉัน อะไรเครื่องดื่มเครื่องอะไรไม่ให้ฉัน ฉันแต่ข้าว ข้าวก็ห้ามหลายอย่าง อาหารก็ห้ามหลายอย่าง นี่คือที่ไปนาน ๆ เดือนมกราไม่ได้อยู่วัดเลย ปลายเดือนธันวาโน่น กลับจากเมืองจีนมา ก็มาอยู่วัดนี่ ๒ วันก็ไป อยู่เข้าคอร์ส ๑๕ วัน ๑๖ วัน ออกจากคอร์สเสร็จแล้วก็ไปเชียงใหม่ ไปเชียงใหม่ก็ไปสอนธรรมที่นั่น มีคนฟัง ๖,๐๐๐ คนนะ เป็นประวัติศาสตร์เลย จังหวัดเชียงใหม่ มากที่สุด มหาวิทยาลัยกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีที่จอดรถเลย เต็มไปหมดเลย ทั้งพระทั้งโยม ธรรมะเรื่องธรรมะเปลี่ยนชีวิต ที่ไหนเขาปฏิบัติธรรมกันแล้ว
ชีวิตเราต้องปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมถือว่าคนล้าสมัย วัดใด บ้านใด เมืองใด ไม่ปฏิบัติธรรมนะ มันใช้ไม่ได้แล้ว ไม่สมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เราจึงต้องปฏิบัติธรรม อย่าเอาอะไรมาอ้าง นี่คือประเทศไทย มีวัด มีพระสงฆ์ อย่างน้อยเราก็มีสุคะโต มาใช้ชีวิตที่นี่ พออยู่กันได้ ออกจากมหาวิทยาลัยมาอยู่ที่บ้าน บ้านอัยการ เขาให้พักที่บ้านอัยการ คนละหลัง พระสามรูป บ้านเขาใหญ่โต ลองนึกถึงบ้านว่าง ๆ มีคนตามมาอีก มีพระวัดอุโมงค์ตามมา สนทนาธรรมสิบกว่ารูป ก็เราก็ไม่ได้ไปหลอกลวงใคร ต้องปฏิบัติเนี่ย ก็มาถึงเมื่อเย็นวานนี้ ออกจากเชียงใหม่ ตอนเช้าเสร็จ ขึ้นเครื่องลงกรุงเทพ จากกรุงเทพลงขอนแก่น ก็มาถึงวัดเราไม่ค่ำ มาแล้วก็อาบน้ำนอนเลย เย็นสบาย เห็นวัดสุคะโตก็ชื่นใจ เห็นพวกเรา เห็นธรรมชาติ เพราะเราคุ้นเคยที่นี่ อยากจะเดินไปไหนมาไหนก็ไป ไม่ได้สัมผัสที่นี่มาเดือนหนึ่งก็ว่าได้ เดือนกว่าแล้ว เห็นพวกเรา ยังมีใส่ใจการปฏิบัติ น่าอนุโมทนา ไม่ค่อยมีที่ไหนหรอก มีนี่แหละสากล เอาเลย เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรา มีสติเข้าไป ดู หัวเราะกาย หัวเราะใจ วันนี้ก็จะไปอีกแล้วนี่ มีบ้านหนองแดง บ้านคอนสวรรค์ อำเภอคอนสวรรค์ เขามาให้ไปเปิดอบรมให้เขา วันที่ ๕ แต่เขาอยากให้ไปก่อน มีพระรูปใดไปได้ก็ดี ไม่มีพระที่นั่น แต่ญาติโยมนี่ ขวนขวายมากกว่าพระนะทุกวันนี้ พระน้อยมาก สุขุมาลชาติไปไหนไม่ค่อยได้ เพราะนั้นโยมจึงนำเสียแล้ว ประกาศธรรมแล้วยิ่งใหญ่แล้ว วัดต่าง ๆ ใหญ่ ๆ โต ๆ แทนที่จะประกาศ มีโปรแกรมออกมาให้คนได้ฟังธรรม เสียสละ นี่ญาติโยมเขาเสียสละ เราไปพักบ้านอัยการ อัยการเสียสละ ทั้งบ้านทั้งช่องมีคนมากินข้าวกินน้ำมากมาย เพราะนั้นนี่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย วัดป่าสุคะโตเนี่ย ขอให้พวกเราเสียสละกัน ให้เปิดวัด เปิดตัวเอง การเปิดตัวเอง คือเปิดให้เขามาเห็นเราว่าเราทำอะไร เราพูดยังไง เราคิดยังไง เปิดกายเปิดใจ อย่าปิดบังอำพราง เปิดวัดเราก็เป็นอย่างนี้ อยู่กันแบบนี้ ขึ้นป้ายไว้หน้าบ้าน สามแยกบ้านกุดม่วง
ธรรมะเปลี่ยนชีวิตได้ เอาเลย ถ้าใครยังอยู่ที่เก่าเปลี่ยนเป็นที่ใหม่ได้ เปลี่ยนจากปุถุชน เปลี่ยนมาเป็นกัลยาณชน เปลี่ยนกัลยาณชนเป็นพระขึ้นมา เป็นบุญขึ้นมา บาปเปลี่ยนเป็นบุญ เปลี่ยนเป็นกุศล เปลี่ยนชีวิตที่มันหมกมุ่นอะไรต่าง ๆ เปรอะเปื้อนมา เป็นมรรคเป็นนิพพาน จบ มันเปลี่ยนได้ เราอยู่ที่เก่า โกรธแล้วโกรธอีก หลงแล้วหลงอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก ความรักความเกลียดชังอยู่เช่นนั้นหรือ มันพ้นได้นะ เป็นอิสระ โดยเฉพาะการปฏิบัตินี่ ไม่ข้องแวะอะไรมากมาย อะไรที่เราหลงอยู่มันจริงหรือเปล่า มันต้องไม่มีอะไร ชีวิตของเรา ชีวิตต้องไม่เป็นอะไร ได้ชีวิตคือไม่เป็นอะไร ถ้ายังเป็นอะไรอยู่ไม่ใช่ได้ชีวิตเลย ไม่ได้มีชีวิต เกิดดับเกิดดับ เป็นภพเป็นชาติอยู่ ชีวิตจริง ๆ ไม่เป็นอะไร ถ้ายังสุข ยังทุกข์ ยังโกรธ ยังโลภ ยังหลง ยังรัก ยังเกลียดชัง ยังเศร้าหมองขุ่นมัว มันไม่ใช่ชีวิตของเรา ชีวิตเราไม่ใช่อยู่อย่างนั้น แล้วนี่เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้แล้วแต่เขาจะให้เป็นยังไง มันไม่ใช่แล้ว ชีวิตต้องเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นอะไรกับอะไร มันเห็นหมดแล้วกายสักว่ากาย เวทนาสุขทุกข์สักว่าเวทนา จิตสักว่าจิต ธรรมสักว่าธรรม มันก็ขี้ริ้วทั้งหลาย จนได้พูดออกมาว่า กายสักว่ากาย เวทนาสักว่าเวทนา จิตสักว่าจิต ธรรมสักว่าธรรม พอเรามาทำมันก็เป็นคำพูดของเรา เป็นความเห็นของเรา มันอยู่กับเราเสียแล้ว ไม่ใช่อยู่กับพระพุทธเจ้า ธรรมที่เป็นส่วนนี้อยู่กับเราเสียแล้ว ปฏิบัติได้ให้ผลได้จริง ๆ ควรเรียกมาดู ควรน้อมมาใส่ตัว เป็นของส่วนตัวแบ่งปันกันไม่ได้ จะลักจะอะไรก็ไม่ได้เลย อย่าเสียเวลาเถอะพวกเรา ด่วน ๆ เสียหน่อย เข้าเส้นเข้าทาง เข้าทางด่วนสักหน่อย ทางด่วนอยู่ตรงไหน เห็นแล้วไม่เป็น เห็นหลงกลายเป็นความรู้ด่วนที่สุด ถ้าหลงเป็นหลงเนิ่นช้า หวานเย็นไปเชียวเรา ถ้าหลงเป็นรู้นี่ เรียกว่าด่วนแล้ว เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ เปลี่ยนโกรธเป็นรู้ เปลี่ยนอะไรต่าง ๆ เป็นรู้ ด่วนแล้วนะ นี่คือทางด่วน ทางหลุดพ้น คำสอนทั้งหมดอยู่กับการหลุดพ้นนะ วิมุตินะ มันหลงพ้นจากความหลง มันทุกข์พ้นจากความทุกข์ นี่ทาง มันโกรธพ้นจากความโกรธ มันรักมันเกลียดชังพ้นจากความรักความเกลียดชัง เรียกว่าด่วน เป็นทางไป เอาไว้หลังแล้ว จึงว่าธรรมะเปลี่ยนชีวิตได้ มันเปลี่ยนได้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเก่า ความหลงเป็นเรื่องเก่ากึกกักล้าสมัย ความโกรธเป็นเรื่องเก่า ความทุกข์เป็นเรื่องเก่า ความอะไรต่าง ๆ วิตกกังวลเศร้าหมองเป็นเรื่องเก่า ๆ คร่ำครึมาก เขามีสมัยแล้ว สมัยคือมันไม่ล้าสมัย ถ้าหลงอยู่ล้าสมัย ถ้าโกรธอยู่ทุกข์อยู่ล้าสมัย น่าอาย บางคนด้านนะ คนหลงคนหน้าด้าน คนทุกข์คนหน้าด้าน คนโกรธก็หน้าด้าน ไม่อายตัวเอง ก็ไม่อายคนอื่น ทำได้ทุกอย่าง มันด้าน ถ้ามีสติมันจะอายตัวเอง ถ้ามันอายตัวเองมันก็อายคนอื่นได้ ถ้ามีสติก็ซื่อตรงต่อตัวเอง หลงไม่ได้ หลงไม่ได้ ซื่อตรงต่อตัวเอง ตรงจริง ๆ พอมันหลง ปฏิบัติตรงเข้าไป ความหลงเป็นความรู้ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติออกจากทุกข์แล้ว หลงไปก็พาให้เกิดทุกข์เกิดโทษ ปฏิบัติสม่ำเสมอแล้ว สบายแล้ว หัดไปหัดไป ไม่ต้องหัด มันเป็นไปแล้ว หลงที่ไหนรู้ที่นั่น โกรธที่ไหนรู้ที่นั่น ทุกข์ที่ใดรู้ที่นั่น เพราะมันเป็นแล้ว ไม่ต้องหัด ไม่มีลืม มันรู้จำมันลืม รู้แจ้งไม่ลืม มันก็มีอันเดียวในโลกเนี่ย มีสุขมีทุกข์ มีหลงมีรู้ ไม่ใช่มาก ไม่น่าจะสับสนเรื่องอะไรเรื่องเหล่านี้ มันคิดว่าหลงคือความหลงนั่นแหละ คิดว่าทุกข์คือความทุกข์นั่นแหละ ใคร ๆ ก็เหมือนกันหมด สามัญลักษณะ เสมอกัน ความเป็นมนุษย์ของเรานะ ไม่ใช่เรื่องอย่างนี้
ความเป็นมนุษย์มันต้องอิสรภาพขึ้นมา ไม่เบียดเบียนตนเองความเป็นมนุษย์ ไม่เบียดเบียนคนอื่น นี่คือเป็นมนุษย์ ไม่เบียดเบียนสิ่งอื่นวัตถุอื่น นี่ความเป็นมนุษย์ ถ้าเบียดเบียนตนอยู่ไม่ใช่มนุษย์ เป็น “มนุสสเปโต” ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ความรู้สึกเป็นเปรตไป “มนุสสติรัจฉาโน” ร่างกายเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉานโง่เง่า เขาให้สุขก็สุข เขาให้ทุกข์ก็ทุกข์ “มนุสสเปโต” เป็นเปรตเป็นอสุรกาย โง่ อสุรกายก็กลัว กลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวจะพลัดพรากจากของรักของชอบใจ กลัว อะไรก็กลัวไปหมด เอาความกลัวออกหน้าอสุรกาย ไม่กล้า พอบอกให้เลิกสูบบุหรี่ กลัวอด หมอบอกให้ไม่ให้กินอะไร กลัวเสียแล้ว โอ๊ย! ไม่ไหว ไม่ไหว เมื่อวานนี้ขึ้นรถมา เขาเคยซื้อดัชมิลล์ให้กิน พอเขาซื้อมา เราก็ หมอบอกว่ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องกินนะ ถ้าเราไม่กล้า ก็อดไม่ได้แล้ว มันก็อยาก ให้ความอยากพาลุอำนาจของความอยาก ให้ความอยากเป็นปัญญา ให้ความอยากเป็นความอยาก อสุรกาย “มนุสสนิรเย” นรกมีแต่ความเร่าร้อน ไม่เย็นสักหน่อย ความสุขก็เร่าร้อนในความสุข ความทุกข์ก็เร่าร้อนในความทุกข์ ความโกรธเกลียดชังก็เร่าร้อนในความเกลียดชัง ไม่เย็น ความเย็นมันก็ไม่มี ไม่มีความเร่าร้อน ความหลงก็ไม่ร้อนอีกแล้ว ความโกรธ ความทุกข์ กิเลสตัณหา ไม่ร้อนอีกแล้ว เย็นเสียแล้ว มอดเสียแล้ว มันมอดแล้ว เหมือนไฟวัดป่าสุคะโตมอดไปแล้ว แต่ก่อนฤดูนี้นี่ กังวลมาก ๆ เรื่องไฟไหม้ป่า เดี๋ยวก็ควันขึ้นที่นู่น เดี๋ยวควันขึ้นที่นี่ เดี๋ยวนี้ก็มอดลงแล้ว อยู่สงบสบายพวกเรา
ถ้าใจเรามันเย็นลง มอดลง มันจะเป็นยังไง ไม่เป็นอะไร คำว่าไม่เป็นอะไรนี่ มันก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ถ้ามันเป็นอะไรอยู่ ก็ต้องทำเป็นงานของเรา ถ้าหลงเป็นหลง ก็ต้องทำหลงให้เป็นไม่หลงเป็นรู้เข้าไป งานปฏิบัติธรรมไม่ใช่งานมายกมือสร้างจังหวะ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ นั่งเฉย ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปกติไม่เป็นอะไรกับอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไรคือปฏิบัติธรรม มันสุขก็ไม่สุข มันทุกข์ก็ไม่ทุกข์ นั่งอยู่นอนอยู่ก็ถือว่าปฏิบัติธรรมได้ ขอบใจพวกเราที่พากันอยู่ปฏิบัติธรรม ยังมี อุ่นใจ พอมีหวัง หากว่าไปหมกมุ่นกับอะไรต่าง ๆ ก็หมดหวังเสียแล้ว ไปเห็นคนเชียงใหม่นี่ก็มีหวังบ้าง เห็นคนจีนก็มีหวังบ้าง ไงคนไทยเป็นยังไงพอมีหวังได้ไหม ก็เห็นน่ะนี่ก็ดีแล้ว มีพระสงฆ์องค์เจ้า มีแม่ชี ไปไหนหมดล่ะแม่ชี แม่ชีน้อยก็ยังอยู่ … แม่เพียรก็ยังอยู่ แม่ทองคำก็ยังอยู่ หนูนิดก็ยังอยู่ ใคร ๆ ก็ยังอยู่ อุ่นใจนะ อุ่นใจ ปฏิบัติธรรมกันไปพวกเรา