แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ การฟังธรรม ก็คือการฟังเรื่องของตัวเรานี่ การปฏิบัติธรรม ก็คือการเปลี่ยนความร้ายเป็นความดี ที่มันเกิดขึ้นกับเราตัวเรานี่ เรามีกายมีใจ ปัญหาเกิดขึ้นที่กายที่ใจนี่ การแก้ความร้ายเป็นความดี เป็นหน้าที่ของตัวเรา เรียกว่าปฏิบัติ ไม่เกี่ยวกับลัทธินิกายใด ๆ เพศวัย ถือว่ามีกายมีใจทั้งนั้น คนในโลกนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ อันเป็นการปฏิบัติ เปลี่ยนได้ เปลี่ยนให้เป็นถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง เปลี่ยนเป็นความถูกต้องได้ ความผิดเกิดขึ้นที่กายที่ใจ เป็นปัญหาต่อกายต่อใจแล้ว ยังเป็นปัญหาต่อคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น ทุกคนต้องแก้ไข อาศัยตัวบทกฎหมายไม่ได้
วิธีปฏิบัติธรรมมันเป็นวิทยาศาสตร์ รู้ได้ เห็นได้ ปฏิบัติได้ มีสติ มีธรรม ประกอบขึ้นมาได้ ทำให้มีขึ้นมาได้ ความรู้สึกตัว ไม่ใช่เรียนรู้ ต้องประกอบขึ้น สติมันจะมีต้องประกอบขึ้นมา ไม่ใช่ไปท่องจำ การท่องจำได้ความรู้ เราเรียนรู้จากความจำ ความรู้ที่เกิดจากความจำ ไม่ใช่ความรู้ที่เกิดจากการพบเห็น ความรู้ที่เป็นเกิดจากการจำมันแก้ไม่ได้ อะไรผิดอะไรถูกเรารู้ ความโกรธไม่ถูกต้องเรารู้ว่ามันไม่ดี เราก็ยังพากันโกรธอยู่ ใครก็รู้ว่าไม่ดี ความทุกข์ก็ไม่ดี ไม่มีใครชอบ แต่เราก็ยังทุกข์อยู่ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ดี เพราะฉะนั้นความรู้มันยังช่วยไม่ได้ ต้องมีการปฏิบัติ มีสติดูแลกายใจให้มันดี สติเป็นเจ้าของกายเป็นเจ้าของจิตใจ ให้กายไปจุ่มเอาสติ ให้ใจไปจุ่มเอาสติ
ให้รู้สึกตัวเป็นประจำ ต้องหัดทำ ถ้าไม่ทำมันไม่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากกรรม คือการกระทำ อย่างที่เราสาธยายพระสูตร กรรมเป็นของ ๆ ตน
“กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา”
คนที่ทำดี ก็ได้ถูกได้มีผลดี คนที่ทำชั่วก็มีผลชั่ว กรรมย่อมจำแนกสัตว์ ใครเคยมีความหลง ก็มีความหลงเรื่อยไป ไม่เคยเปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ ก็ยังมีความโกรธเป็นความโกรธ ก็ยังมีความโกรธเรื่อยไป ก็ไม่เปลี่ยนความโกรธเป็นความรู้ ถ้ามีความทุกข์ก็ยังมีทุกข์เรื่อยไป ไม่เคยเปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้ ไม่เปลี่ยนซักที หลงทีไรก็เป็นหลง โกรธทีไรก็เป็นโกรธ ทุกข์ทีไรก็เป็นทุกข์ แล้วก็ยังติด ยังจะไปติดที่กายที่ใจ เพราะใช้กายใช้ใจไม่เป็น ใช้กายผิด ใช้ใจผิด บางทีไปให้ความสำคัญมั่นหมาย สำคัญว่าเป็นตัวเป็นตน ยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์ที่มาย้อมจิตว่าเป็นจิตไปเลยก็มี เช่น บางคนเกิดความโกรธ ยึดถือความโกรธว่าเป็นตัวเป็นตน ถ้าผู้ใดโกรธตายไม่ลืม ต้องทำตามความโกรธ ก็ทำให้เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น ว่าไม่เคยเปลี่ยนความโกรธ รับใช้ความโกรธ รับใช้ความทุกข์ รับใช้ความหลง ถ้าเมื่อใดได้ทุกข์ก็น้ำตาร่วง หน้าบูด หน้าบึ้ง แสดงออก ไม่รู้จักอาย อ้าง กูได้โกรธเนี่ยกู อ้างกู เป็นตัวกูไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ตัวใช่ตน ความโกรธเกิดขึ้นที่ใจ เป็นอาการที่มันจรมา เพราะเราไม่มีสติ ใช้จิตใช้ใจไม่เป็น ไม่รักษา ไม่มีสติเป็นเจ้าของ เมื่อไม่มีสติเป็นเจ้าของ กายก็เถื่อน ใจก็เถื่อน ใครจะหิ้วหอบหิ้วไปไหนก็ได้ จะเป็นจิตก็เป็นโสเภณีจิต สำส่อน ใช้ได้ทุกอย่าง คิดได้ทุกอย่าง ไม่รู้จักสำรวม ไม่มีสติคอยเปลี่ยนแปลงแก้ไข ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยดูแล แล้วก็ติดอะไรไปเยอะแยะไปเลย แต่ก่อนนี้จิตบริสุทธิ์ หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง เหมือนผ้าขาวสะอาด แต่เมื่อใช้ไม่เป็น มันก็เปรอะเปื้อนได้ แต่ความสกปรกไม่ใช่ผ้า ผ้ามันไม่สกปรก ความสกปรกมันเป็นสิ่งที่ปนมาต่างหาก ซักออกได้ ฉันใดก็ดี จิตใจเราก็ดี
ปฏิบัติธรรมก็คือ ขูดเกลา ขัดออก เช่น เวลามันหลง เห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง นั่นแหละว่า รักษากายรักษาใจ เปลี่ยนความหลงเป็นความไม่หลง ให้รู้สึกตัว เรียกว่าถูกซักฟอกแล้ว หัดจิตหัดกายแล้ว มาร้ายเป็นดี มาทีไรหลงทีไรเป็นรู้ ได้ความรู้จากความหลงแท้ ๆ ได้ปัญญาจากปัญหา ที่มันเกิดกับกายกับใจนี้ มีปัญญา เพราะมีปัญหาจึงมีปัญญา ปัญญาเกิดแบบนี้เรียกว่าปัญญาพุทธะ เป็นวิทยาศาสตร์อันหนึ่ง ความหลงไม่จริง ความไม่หลงจริง ตัดสินใจได้ถูกต้อง ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริงกว่า ความโกรธไม่จริง ความไม่โกรธมันจริงกว่า นี่เป็นคำตอบเอาเอง ถ้าเราได้เห็นพบเห็น ไม่ใช่เรียนรู้ ไปเจอเอา มีสติอยู่เป็นเกณฑ์ชี้วัด เหมือนเครื่องมือวิทยาศาสตร์ตรวจโรค
แต่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ตรวจเห็นเชื้อโรค ก็ต้องมีกรรมวิธีรักษาอาศัยวัตถุที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม บุคคลที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม เช่นพวกท่าน เป็นปัญญาชนเรียนรู้ ในวิชานี้ เรียกว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุข สามารถรักษาโรคได้เพราะมีความรู้ ต้องประกอบไปด้วยหลายอย่าง เช่น หลวงตาก็เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก้อนเนื้อโตเร็ว ในลำคอ ในตับ เจียนตายไป หมอตัดก้อนเนื้อในคอ ไปพิสูจน์วิทยาศาสตร์ บอกว่าก้อนเนื้อแบบนี้เป็นก้อนเนื้อมะเร็ง ต่อมน้ำเหลืองโตเร็ว ดันคอหายใจไม่ได้ แต่ก็มีความรู้เรื่องหยูกเรื่องยา มีหมอที่มีความรู้โทรมา แฟ็กซ์มาจากสหรัฐ ฯ เคยไปอยู่ที่นั่น ไปสอนธรรมที่นั่น บอกว่าได้ทราบว่าหลวงพ่อเป็นป่วยเป็นโรคมะเร็งก้อนเนื้อโตเร็วในลำคอ รักษาได้ ให้คีโมตัวใหม่เข้าไปเลย รักษาได้ ข้าพเจ้าปฏิเสธวิธีการรักษาอื่นใดทั้งสิ้น ให้คีโมหลวงพ่อโดยด่วน จะได้หายใจได้ ได้ยินเขาอ่านให้ฟัง ได้ยินนายแพทย์อ่านให้ฟัง ทางหมอโรงพยาบาลจุฬา ฯ ก็พร้อมอยู่แล้ว ให้คีโมลงไปเลย รักษาได้ ยังไม่ตายเท่าทุกวันนี้ อันนั้นคืออาศัยวัตถุที่หนึ่ง ที่สอง มีความรู้ ถ้าใครไม่มีความรู้ก็รักษาไม่ได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเรานี้ ที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เรามีสตินี้ การเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อนิพพาน นี้มันเป็นความรู้ที่เป็นพุทธะ ความโกรธเปลี่ยนไม่โกรธ เปลี่ยนตัวเอง ไม่มีอาศัยใครที่มาเปลี่ยนให้ หลงเองต้องรู้เอง ทุกข์เองต้องไม่ทุกข์เอง รู้สึกตัวเอง โกรธเองต้องรู้สึกตัวเอง จึงจะแก้ไขได้ ตรงกันข้าม เมื่อมีความหลง ก็มีความไม่หลงอยู่ในคราวเดียวกันนั้น เมื่อมีความโกรธ ก็มีความไม่โกรธอยู่ในคราวเดียวกันนั้น เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น ก็มีความไม่ทุกข์อยู่ในคราวเดียวกันอันนั้น ไม่ต้องไปด่ากัน ไปต้องฆ่ากัน เปลี่ยนไว้เอา เปลี่ยนเอา แก้เอา ใครก็รักษาอย่างนี้ ก็ยังจะไม่มีปัญหา เช่น ในโลก คนไทย ๖๕ ล้านคน ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีก็จะสงบ เป็นปรกติ เป็นสันติสุขเกิดขึ้นได้ เพราะปฏิบัติ
วิธีปฏิบัติก็มีอยู่ เช่น พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เพราะเป็นพระพุทธเจ้าเพราะการปฏิบัติ แต่ก่อนนั้นเป็นเจ้าฟ้าชาย เรียนรู้มา ๑๗ ศาสตร์ ไม่มีใครเจ๋งกว่าสิทธัตถะได้สมัย ๒,๖๐๐ ปีโน้น จบ ๑๗ ศาสตร์ ขี่ม้า ยิงธนู ฟันดาบ นอกจากนั้นก็เป็นศาสตร์สากลทั่วไป แต่ไม่มีทางที่จะรู้เรื่องนี้ เห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย หาทางออกไม่ได้ ใครเจ็บก็เห็นแต่ร้องไห้ ใครตายก็เห็นแต่ร้องไห้ ผู้ยังไม่ตายก็ร้องไห้อาลัยอาวรณ์ ถามพระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า พระเจ้าตา พระเจ้ายาย ตอบไม่ได้จะทำยังไง เมื่อมีความแก่ก็ต้องยอมรับความแก่ ถ้ามีความเจ็บก็ต้องยอมรับความเจ็บ มีความตายต้องยอมรับความตาย ต้องคอยทุกข์ คอยร้องไห้ ไม่มีทางอื่นหรือที่ต้องแก้เรื่องนี้ ตอบไม่ได้เลย สิทธัตถะก็มีน้ำใจที่จะช่วยคนในโลก หาทางยังไง หาคำตอบยังไง ทั้ง ๆ ที่เรียนมาก็ไม่รู้
ก็เลยมองตรงกันข้ามว่า ถ้ามีความแก่ต้องมีความไม่แก่ ถ้ามีความเจ็บก็ต้องมีความไม่เจ็บ ถ้ามีความตายก็ต้องมีความไม่ตาย แน่นอน มีกลางวันก็มีกลางคืน มีหนักก็มีเบา ในโลกนี้มีของมีคู่ มีแต่ทฤษฎีแบบนี้เป็นเบื้องต้น อะไรก็มีคู่ น่าจะมีทางที่จะแก้ได้ ก็รับผิดชอบคนในโลก จะช่วยคนในโลก จึงออกศึกษาเรื่องนี้ ถ้าเราจะศึกษาเรื่องนี้ ก็ไม่เหมาะแก่เพศอื่น จึงแสดงตนเป็นอนาคาริกบุคคลเป็นนักบวช สละออก การจะเป็นนักบวชต้องออกจากบ้านจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยบ้านด้วยเรือนแล้ว ดังที่เราสาธยายพระสูตร
“สัทธา อะคารัสมา อะนะคาริยัง ปัพพะชิตา” เป็นผู้มีศรัทธาออกบวชจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยบ้านด้วยเรือนแล้ว
“ตัสมิง ภะคะวะติ พรัหมะจะริยัง จะรามะ” ประพฤติอยู่ซึ่งพรหมจรรย์ สิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต
มาศึกษาพิสูจน์เรียนกับอาจารย์ ซึ่งสมัยนั้นมีครูทั้ง ๖ โด่งดังมาก อะไรจำไม่ได้ ๖ ครู (บูรณะ กัสสปะ, อชิตะ เกสกัมพล, ปกุทธะ, มักขลิ โคศาล, สัญชัย, นิครนถ์ นาฏบุตร) สมัยนั้นดังอยู่ มีลูกศิษย์ทั่วโลกทั่วประเทศ เจอใครก็บอกว่า เรามีลูกศิษย์เป็นครู คนนั้นเป็นครูของเรา อชิตะ เกสกัมพลเป็นครูของเรา ปกุทธะเป็นครูของเรา สัญชัยเป็นครูของเรา อะไรก็แสดงเอา อ้างลัทธิอ้างนิกาย อ้างวรรณะ เราเป็นพราหมณ์ ยังมีทุกวันนี้ในประเทศอินเดีย เคยไปมหาวิทยาลัยพาราณสี ถ้าพวกพราหมณ์จะเข้าห้องน้ำ ถ้าพวกศูทรเห็น ก็ต้องนั่งดูก่อน เวลาพราหมณ์ออกมา พวกศูทรต้องเข้าไปล้างห้องน้ำให้ เขายอมรับอย่างนั้น ถ้าพราหมณ์ใช้ห้องน้ำแล้ว ออกมาเห็นศูทร ต้องชี้ให้ศูทรไปล้างให้ด้วย ศูทรเขาก็ไปล้างห้องน้ำให้ ยังมีอยู่ทุกวันนี้ เห็นกับตา มันก็ขนาดนั้น สิทธัตถะแหวกออกมา ทำลายหมด ไม่มีชาติชั้นวรรณะเลย เป็นคนเหมือนกัน มีเกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน มาเอาเรื่องนี้ก่อน จะทำไงจึงจะศึกษาเรื่องนี้นะ เข้าไปศึกษากับอุทกดาบส อาฬารดาบส สอนจนจบ รู้อะไรก็สอนจบ ยังตอบเรื่องนี้ไม่ได้ ได้มาศึกษาด้วยตนเอง ๖ ปี เกือบตาย วิธีที่ศึกษาเรื่องนี้ก็มาเห็นจิต ขนาดผอมโซ ทรมานตัวเอง ไม่กินข้าวไม่กินน้ำ จนจะช่วยตัวเองไม่ได้ ปัญจวัคคีย์ต้องเอาลงอาบน้ำ ต้องเอาขึ้นน้ำ ขนาดนั้นก็ยังโกรธปัญจวัคคีย์บ้าง มีกิเลสตัณหา คิดถึงพิมพาราหุล คิดถึงอะไร คนมีลูกก็อาจจะคิดถึงลูก คนมีเมียก็อาจจะคิดถึงเมีย คนเคยอยู่ปราสาทสามฤดู ก็อาจจะมีความสุข มีสาวสนมกำนัลในไม่มีบุตรเจือปน มาอยู่อย่างนี้ก็ คิดไปไหลไป ทวนกระแส เห็นว่ามันเกิดจากจิตนี้แหละ ก็เอามาลงจิตเสียก่อน ก็เลยมาตั้งรูปแบบใหม่ ศึกษาเรื่องจิต การศึกษาเรื่องจิตจะทำไง ก็นั่งคู้แขนเข้ารู้สึกตัว เหยียดแขนออกรู้สึกตัว เอาสติเป็นไปในกายเป็นประจำ เหมือนเราได้ว่าได้สวดได้สอนกันอยู่ทุกวันนี้ คู้แขนเข้ารู้สึกตัว เหยียดแขนออกรู้สึกตัว เวลาใดมันคิดถึงพิมพา ไปกบิลพัสดุ์กลับมารู้สึกตัว เวลาใดคิดถึงราหุลกลับมารู้สึกตัว เวลาใดคิดถึงปราสาทสามฤดูกลับมารู้สึกตัว เวลาใดมันคิดถึงสาวสนมกลับมารู้สึกตัว ไม่ได้ใช้ความคิดเป็นความคิด เปลี่ยนมารู้สึกตัว กลับมาหาที่ตั้ง การทำอย่างนี้ว่าวิชากรรมฐาน ก็เราก็เอาอันนี้มาสอนกันอยู่ ต้น ๆ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นเพราะทำเรื่องนี้ รู้สึกตัว คู้แขนออกรู้สึกตัวนี้ กลับมานี้
ปฏิบัติคือกลับมาตั้งไว้ กลับมาตั้งไว้ จะต้องเจอกับความคิดบ้าง อะไรที่มันเกิดขึ้นมา ความรู้สึกตัวเป็นเกณฑ์ชี้วัด อะไรก็รู้สึกตัว กับการเคลื่อนไหว กับนิมิตที่อาศัยนี้ เอากายเป็นนิมิต บางทีก็เอาลมหายใจเป็นนิมิต บางทีก็เอาอาการต่าง ๆ เป็นนิมิต ดังพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ตั้งอยู่ที่ลานธรรม เป็นพระสูตรแท้ ๆ เขียนว่าอย่างนั้น คู้แขนเข้ามีสติไปในกายเป็นประจำ สัมปชัญญะปัพพะ อาการใดเกิดขึ้นรู้จัก รู้ เพราะมันมีกายมีใจ ทุกคนมีกายมีใจ ถ้ามีสติก็เป็นอันเดียวกันเลย ไม่ใช่เพศ ไม่ใช่ลัทธิ ไม่ใช่นิกาย ไม่ใช่ชาติศาสนา เพศใดวัยใด จะเป็นคนนักบวชจะเป็นฆราวาส คนหนุ่มคนแก่ เหมือนกันหมด มีความหลงเหมือนกัน มีความทุกข์เหมือนกัน มีความโกรธเหมือนกัน สอนตัวเองอย่างนี้ คู้แขนเข้าเหยียดแขนออก มีสติไปในกายเป็นประจำ พวกเราก็ทำอย่างนี้ พัฒนามาเรื่อย ๆ วิธีนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเกือบจะร้อยปีแล้ว พัฒนาไปเรื่อยจนมาเป็นรูปแบบ
สร้างสัมปชัญญะปัพพะทุก ๆ วินาที ๑๔ การเคลื่อนไหว หนึ่งรู้ สองรู้ สามรู้ สี่รู้ ห้ารู้ หกรู้ เจ็ดรู้ แปดรู้ เก้ารู้ สิบรู้ สิบเอ็ดรู้ สิบสองรู้ สิบสามรู้ สิบสี่รู้ เอาลงไป ทุกวินาที รู้ทุกวินาที รู้ทุกวินาที ที่มีการเคลื่อนไหว หัดอย่างนี้ ความรู้สึกตัวต้องหัดเอาเอง ไม่มีใครบอกกันได้ ต้องสัมผัส เอากายไปสัมผัส เอาใจไปสัมผัส รู้ทุกวินาที นาทีหนึ่ง ๖๐ วินาที ชั่วโมงหนึ่ง ๓,๖๐๐ วินาที ชั่วโมงหนึ่งอาจจะได้ ๓,๖๐๐ รู้ ถ้ารู้ทุก ๆ อิริยาบถ เรียกว่า สัมปชัญญะปัพพะ ตามพระไตรปิฎกนั้น รู้สึกตัวอยู่ ๑๔ วินาทีนี่ ให้รู้อยู่นี้ รู้อยู่นี้ ให้มันเคยชิน ได้เปลี่ยนอะไรเป็นรู้ เปลี่ยนอะไรเป็นรู้เยอะแยะไปหมดเลย เพราะมันมีงานให้ทำแล้วบัดนี้ ความรู้สึกตัวจะเป็นวิทยาศาสตร์ ชี้วัดอะไรไม่ใช่ความรู้จะเห็นมันได้ถูกต้องหมด ปฏิบัติได้ให้ผลได้ มันหลงเปลี่ยนไม่หลงได้ มันทุกข์เปลี่ยนไม่ทุกข์ได้ เปลี่ยนเป็นความรู้ได้ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ปฏิบัติธรรมเปลี่ยนได้
“สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม” ธรรมอันเราตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว
“สันทิฏฐิโก” ผู้ศึกษาจะต้องปฏิบัติด้วยตนเอง มาสัมผัสดู เคลื่อนไหวเอาเอง รู้เอง ไม่ใช่ให้กันได้ ไม่ใช่ท่องจำ
นี่จะได้เกิดการเปลี่ยนร้ายเป็นดีทันที เมื่อมันถูกเปลี่ยนมาหลายครั้งหลายหน สติมากขึ้นเป็นมหาสติ มากขึ้น มากขึ้น เมื่อมีสติอะไรที่มันตรงกันข้าม เช่น ความหลงตรงกันข้ามก็น้อยลง ความหลงน้อยลง ความรู้เพิ่มขึ้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติ มันก็เป็นผลของธรรมชาติ เรียกว่าธรรมะ มันก็เปลี่ยนร้ายเป็นดี เกิดขึ้นที่กายที่ใจได้อยู่บ่อย ๆ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ เปลี่ยนโกรธเป็นรู้ เปลี่ยนร้ายเป็นรู้หมด ไม่ให้หลงเป็นหลง ไม่ให้ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่ให้โกรธเป็นโกรธ เหมือนเมื่อก่อน ไปเปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนร้ายเป็นดี จิตใจมันก็บริสุทธิ์ขึ้น หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองขึ้น เคยหลงก็ไม่หลง ก็เปลี่ยนอย่างนี้ รู้แจ้ง ความหลงไม่ถูกต้อง ความไม่หลงถูกต้องจริง ๆ ตัดสินใจได้จริง ตามความถูกต้องเมื่อตัดสินใจตามความถูกต้องแล้ว หลวงตาอาภัพเสียงแล้ว มะเร็งกินหลอดไทรอยด์ตายหมดแล้ว ไม่มีไม่มีไทรอยด์ ไม่มีเสียง เมื่อมันถูกต้องอย่างนี้ เห็นแจ้ง เรียกวิปัสสนา ชี้ผิดชี้ถูก ชี้ตัวเองได้ จิตใจก็บริสุทธิ์ขึ้นมา เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา เป็นญาณ เป็นฌาน รู้ขึ้นมา หลุดพ้นจากอะไรต่าง ๆ ไป แล้วก็ไปโน่นไปนะ เมื่อเห็นความแก่ก็มีความไม่แก่ เอาลงไปเลยบัดนั้น มันเข้มแข็ง เหมือนเราเรียนรู้ทะลุทะลวงไปเลย ชำนาญเหมือนกับประถม มัธยม ชั้นอุดม เหมือนกัน ความชำนาญแต่ละการศึกษาก็เหมือนกัน
คนเราก็เหมือนกัน ก็มาชำนาญในการเจริญสติ มันคล่องตัว มันก็เปิดเป็นความชำนาญ เป็นปริญญาได้ ญาตปริญญา - รอบรู้ได้ ตีรณปริญญา - แจกแจงได้ ความหลงไม่ถูกต้อง ความไม่หลงถูกต้อง ตามหลักอริยสัจสี่ เห็นทิศเห็นทางไปเลย ปหานปริญญาทำให้สิ่งที่มันมีอีกหมดไป ง่าย ๆ เหมือนพระสูตรที่กล่าวว่า เหมือนช้างกินอ้อย พราหมณ์ที่มีสติ มีเพียรเพ่งอยู่ กิเลสตัณหาเกิดขึ้น รู้สึกตัวง่าย เหมือนช้าง เหมือนช้างกินอ้อย เหมือนอะไรต่าง ๆ ที่เปรียบเทียบเช่นนั้น ผู้มีความชำนาญเกิดขึ้น มันก็ต้องมีศาสตร์มีศิลป์ เป็นธรรมะ เป็นมรรคผลเกิดขึ้น เพราะการกระทำ เมื่อมีความแก่ก็มีความไม่แก่ เมื่อมีความเจ็บก็มีความไม่เจ็บ เมื่อมีความตายก็มีความไม่ตายเกิดขึ้น ไม่มีใครไม่ได้เจ็บเพราะความเจ็บ ไม่ได้ตายเพราะความตาย มันไปโน่น
ปฏิบัติธรรม เริ่มต้นจากความรู้สึกตัว ท่ามกลางคือความรู้สึกตัว ที่สุดก็คือความรู้สึกตัว มีสติเป็นหน้ารอบ เหมือนพระขีณาสพผู้มีสติเป็นวินัย พระขีณาสพคือพระอรหันต์ มีสติเป็นวินัยหน้ารอบ อะไรเกิดขึ้นที่กายที่ใจ รู้ รู้ ๆ เมื่อถูกสร้างเป็นความรู้นี้ จิตก็บริสุทธิ์ปลอดภัย เป็นธรรม แต่ก่อนนี้กายไม่เป็นธรรม จิตใจก็ไม่เป็นธรรมต่อกัน กายเบียดเบียนใจ ใจเบียดเบียนกาย แต่ก่อนนี้เป็นอย่างนั้น บัดนี้ไม่มีแล้ว ถ้าเราศึกษาจริง ๆ นะ ทุกข์เอาเรื่องใจเป็นทุกข์กายก็เดือดร้อน เวลานอนหาเรื่องมาคิด คิดแล้วก็นอนไม่หลับ กายเป็นทุกข์เพราะใจบังคับ ให้กายไม่ได้หลับไม่ได้นอนไม่ได้พักผ่อน กายหิวข้าวใจเป็นทุกข์ ไม่เป็นธรรมต่อกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นกายเป็นใจ มีใจก็พึ่งไม่ได้ ถ้าไม่หัดมัน มันดุร้าย บางคนก็ไม่มั่นใจตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทำตามอารมณ์ที่มันจรมา คุ้มร้ายคุ้มดี ถ้าเราฝึกแล้วมันก็มั่นคง มั่นคงพึ่งได้ พึ่งความดี ดีพึ่งความดี พึ่งตนได้ คือชีวิตของเราที่จริง ๆ เป็นอย่างนี้ ควรที่จะตื่นแต่ดึกสึกแต่หนุ่ม
เมื่อมีความรู้เรื่องนี้แล้ว จะใช้ชีวิตไปนาน ๆ มีความสะดวก ได้ขนส่ง ได้ช่วยมนุษย์โลกนี้ เหมือนพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นเพียงพระชีวิตเดียว ได้สั่งสอน ได้บอกคน เป็นแบบอย่าง จนเกิดพุทธบริษัท มีภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มีธรรมคำสอน จนพวกเราได้มาปฏิบัติตาม มีสติ แต่ก่อนนี้ไม่มีเลย หมู่นี้ อาศัยอะไรต่าง ๆ ท้องฟ้ากลัวไปหมด นี่เราก็มีธรรมะ มีศาสนาเป็นศาสนา ศาสนาคือคำสอน สอนคน คนเราก็มีกายมีใจ เหมือนกันหมด เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด มีกิเลสตัณหา ความโกรธโลภหลงเหมือนกันหมด
ปฏิบัติธรรมก็คือมาการแก้ปัญหาที่มันเกิดกับกายกับใจนี้ ให้มันจบซะ ความหลงเป็นครั้งสุดท้าย ความทุกข์เป็นครั้งสุดท้าย ความโกรธเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเราศึกษา มันเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่ศึกษา ก็ยังโกรธยังทุกข์ยังหลงอยู่ ทุกข์เพราะความทุกข์ หลงเพราะความหลง โกรธเพราะความโกรธ มันล้าสมัยแล้ว เขาพัฒนากันแล้ว คนทุกวันนี้ ธรรมะเจริญ มีการศึกษากันมากแล้ว กุลบุตร มานพ อุบาสิกา มาศึกษาเรื่องนี้กันมากแล้ว ในประเทศ ต่างประเทศ หลวงตาเคยไปสอนมาแล้ว ๑๗ ประเทศแล้ว ไปสอนกรรมฐานนี้ เป็นเรื่องชีวิตต่อทุกชีวิต ไม่ใช่ลัทธินิกาย ชาติภาษา เป็นชีวิตอันเดียวกันแท้ ๆ มีสติก็เป็นคน ๆ เดียวกัน ถ้าไม่มีสติก็หลงเป็นคนละคนไป ฉะนั้นคนในโลกนี้ถ้ามีสติจะเป็นคน ๆ เดียวกันทันที ทุกคนก็ละความชั่วทำความดี ทำให้จิตบริสุทธิ์ เหมือนกันหมด ก็พึ่งพาอาศัยกันได้ ก็ไม่เดือดร้อน ถ้าเราไม่เป็นคนดี ยังขาดแคลนอยู่ในโลกนี้ เราก็เดือดร้อน เช่นทุกวันนี้ อากาศร้อน บางคนผูกคอตายเพราะความร้อน อ่านหนังสือพิมพ์ดู เพราะอะไร เพราะคนทำลายโลก คนเห็นแก่ตัวมาก คนเสียสละมีน้อย ทำตามความคิดความอยาก โลภ โกรธ หลง ไม่ค่อยจะปลอดภัย ชีวิตมีแต่ภัย เราเป็นคนดีก็ลำบาก เช่น เราไม่ได้ตัดต้นไม้ซักต้น เราก็เดือดร้อน แต่คนอื่นเขาตัดต้นไม้ แต่เราไม่ได้ตัดไม่ได้ทำลาย เราก็เดือดร้อนเหมือนกัน
เราจึงมาช่วยกันเป็นคนดี นับหนึ่งจากตัวเรานี้ ยิ่งเราก็เป็นสัตว์สังคม มีครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง เราก็เป็นเพื่อนมนุษย์ เกิดแก่เจ็บตาย เป็นทุกข์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนี้ เป็นงานบุญ ดูแลคนเจ็บคนป่วย หลวงตาถือว่าคนพวกนี้ เป็นคนที่ทำงานเป็นบุญ ถ้าไม่มีคนพวกนี้ เราตายไปแล้ว พ่อแม่ส่งลูกหญิงลูกชายไปเรียนหนังสือ เรียนเก่ง เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรียนการแพทย์ เอาความรู้มาช่วยเรา ถ้าไม่มีคนพวกนี้ เราตายไปแล้ว เป็นงานดีงานชอบ มาช่วยกันนี่ เป็นหน้าที่จริง ๆ เป็นงานมนุษย์แท้ ๆ นี่งานช่วยกันอย่างนี้ ไม่ใช่งานทำลาย ขาดแคลนหมอ ขาดแคลนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ก็เดือดร้อน ฉะนั้นเป็นงานบุญแล้ว เอาความรู้นี้เข้าไปอีก ไปดูคนป่วยคนเจ็บ เห็นช่องเห็นทาง เพราะเป็นเกณฑ์ชี้วัดในตัวเอง เช่น ดูคนใกล้จะตาย ไปบอกเขา ให้เขาได้ยิน คนป่วยอาศัยนายแพทย์ อาศัยพยาบาล เห็นพยาบาล เห็นนายแพทย์ ได้ยินเสียงนายแพทย์พูด ได้ยินเสียงพยาบาลพูด มันมีกำลังใจ เราเคยป่วยอยู่ห้องไอซียู เห็นพยาบาลพูด เห็นพยาบาลแสดงออก เราช่วยตัวเองไม่ได้ ที่ว่ามีอาจารย์พยาบาลไหน ตอนที่ป่วยอาจารย์พยาบาลเขาบอกว่า หลวงพ่อหนูให้ลูกศิษย์หลวงพ่อ เป็นลูกศิษย์พยาบาลที่ดี ๆ มาช่วยดูแลหลวงพ่อ ลูกศิษย์คนนี้เคยดูแลสมเด็จสังฆราช เป็นผู้ชายมาดูแลหลวงพ่อ พยาบาลที่อยู่นี้เกษียณ เขาลาออกแล้วมาปฏิบัติธรรมที่นี่ อาจจะนั่งอยู่นี่ (หัวเราะ) จากนั้นหลวงตาก็เบา พยาบาลเรียก หลวงตา ๆ หลวงตาไม่หนักไม่เบามาหลายวันแล้ว อย่ากลั้นไว้นะ มันทรมานไต นี่เราตายไปแล้วไม่รู้เรื่องแล้ว หายใจไม่ได้ แต่ได้ยินเสียงพยาบาลผู้หญิงพูดแจ๋ว ๆ หลวงตา ๆ หลวงตาอย่าไปกลั้นหนักกลั้นเบา มันทรมานไต เราไม่รู้ ก็พยายามอยู่เขาว่ามันทรมานไต มันมีไตหรือนี่ ไม่มีตัวมีตน หลวงตาที่ไหน หลวงตาไม่มีแล้ว เอาทิ้งไปแล้ว มันมีไตหรือ ก็มาช่วยคิดขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา เขาว่ามันทรมานไต มันมีไตหรือนี่ ไตมันเป็นอะไร มันเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มีแต่ธาตุนะนี่ ไม่ใช่ตัวเราแล้วน่ะ ไตมันเป็นธาตุดิน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็นกระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ไต ปอดไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า อย่างที่เราสาธยายพระสูตร มันเป็นธาตุดิน ดินต้องเป็นดิน น้ำต้องเป็นน้ำ ไฟต้องเป็นไฟ ลมต้องเป็นลม พวกเธอช่วยกัน อย่าให้มันเกิน คิดเล่น ๆ ไป สนุกไป พอคิดได้อย่างนี้ก็สลบไปอีก ไม่มีแรงคิด ตายไปอีก ค่อย ๆ พยาบาลก็เรียกอยู่เช่นนั้น หลวงตา หลวงตา ฮื้อ! พยาบาลนี่ ถ้าไม่มีพยาบาลเรียกอย่างนี้ ไปเสร็จหมดแล้ว ไม่มีอีกแล้ว มันเรียกว่าเบาออก พอคิดอย่างนี้ก็เบาออก เบาก็ร้อนถังเปียกที่นอนหมด พยาบาลเขาก็ขึ้น หลวงตาไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหลวงตา ไม่เป็นไร ๆ ปล่อยออก ๆ ให้หมดเลย แล้วก็มาเปลี่ยนเสื้อผ้าพยาบาลผู้ชาย โอ! พ่อแม่ส่งลูกชายลูกสาวไปเรียนแพทย์เรียนหมอ เขามาช่วยเรา พวกท่านทั้งหลายนี่เป็นงานบุญที่สุดเลย เห็นพวกท่านเหมือนเทพธิดาเทพบุตรเลย เพราะเคยอยู่กับพวกท่านเกือบสองปี ตายไปแล้ว มาเอาวิชานี้เข้าไปจะได้ช่วยกัน เพราะว่าเคยไปช่วยคนที่นี้ หลวงตาเคยช่วยคนที่นี้ เคยเห็นคนป่วยโรควัณโรค ปอดหมดแล้ว มันก็ไม่มีทางที่รอดได้ ชวนมาอยู่นี่ มาตายกับหลวงพ่อนี่ จะพยายามดูแล ตอนเขาจะตาย เขาก็หายใจไม่ได้ หลวงตาทรมาน ๆ ทรมาน ๆ หายใจไม่ได้ (...) เราก็ตะโกนบอก อย่าไปเอาลมหายใจมาต่อรองกับชีวิต อยู่เฉย ๆ วาง ลมหายใจไม่ใช่เรา ตลอดชีวิตเราไม่เป็นอะไร อยู่เฉย ๆ วางซะ วาง ก็เรียกอยู่ข้างเตียง พอหลวงตาตะโกนบอก มันก็สงบลง ไม่สะเงิบสะงาบ รู้สึกว่านิ่ง หน้าตาก็ไม่ทรมาน ขอกระดาษกับน้องสาว เขียนหนังสือ พออ่านได้ ว่ารู้สึกสบาย พอหลวงตาบอกรู้สึกสบาย เอออย่างนั้นแหละ อย่างนั้นแหละ อยู่ตรงนั้น อย่าไปเอาลมหายใจมาต่อรองกับชีวิต ชีวิตเราไม่ใช่ลมหายใจ เราไม่ได้ตายเพราะความตาย เราไม่ได้เจ็บเพราะความเจ็บ อยู่เฉย ๆ วางลง วางลง หลับซะ หลับซะ แล้วก็นอนหลับ ตายไปเลยนี่ รู้สึกมันก็ ก็จะได้มีความสงบ ไม่ได้เป็นทุกข์ความตาย หมู่นี้ต้องอาศัยพวกเรา ถ้าเราเคยเป็นอย่างนี้ ก็เป็นเกณฑ์ชี้วัดจะได้ช่วยคนป่วยคนเจ็บ นะ หมดเสียง แค่นี้นะ สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน