แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ ถ้าเป็นมิตรเป็นเพื่อนนายเขียนที่พูดออกไปจากชีวิตหนึ่ง เยอะแยะเลยเรามีเพื่อนมีมิตร ทุกชีวิตก็มีเพื่อนอยู่กับตัวเรา มีมิตรอยู่กับตัวเรา มันบอกผิดบอกถูก อยู่ในตัวเรานี้ และก็มีภายนอก มีคำสอน มีสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเพื่อนเราทั้งนั้น มันบ่งบอกถึงความเท็จ ความจริง ความพอใจ ก็เป็นเพื่อนอันหนึ่ง มันแสดงให้เห็นว่าถูกหรือผิด ความไม่พอใจ มันบอกเราว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ถูก
ถ้าเราสังเกตดูดี ๆ จะได้คำตอบ จะได้หลุดพ้น ตอบทีไรหลุดพ้นทุกที เคารพความผิด เคารพความพอใจ เคารพความไม่พอใจ ที่มันเกิดขึ้นกับตัวเรา เราก็ได้บทเรียนที่เป็นความเท็จความจริงจากตัวเรานี้มากมาย หลายอย่างทางกาย ทางจิตใจ ทางวาจา นอกจากนี้ก็มีสิ่งแวดล้อม ที่เราอยู่กับกาย ถ้าเราใช้กายใช้ใจเกี่ยวข้อง เรามีสื่อสาร มีตา มีหู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงได้แต่บทเรียนดี ๆ แม้ความทุกข์ ก็เป็นบทเรียนที่ดี เป็นสิ่งที่เคารพที่สุด ชีวิตเราที่ผ่านมา ประสบกับความสุข ความทุกข์ ส่วนความสุขนั้น มันจะทิ้งง่ายที่สุดกว่าความทุกข์ ความทุกข์มันประดับชีวิตเราประทับใจ ประทับใจกับความทุกข์ที่ผ่านมาได้อย่างงดงาม ล่วงพ้นมาได้ จากความทุกข์ที่มันเกิดกับตัวเรานี่ จากความทุกข์ที่เกิดจากคนอื่นที่ทำให้เรานี่ สิ่งอื่นที่ทำให้เกิดขึ้นกับเราได้ ตัวเรานี้ก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันบ่งบอกถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ มันน่าเคารพที่สุดไม่ใช่เอามาลงโทษตัวเอง ได้ประโยชน์เยอะแยะ ความทุกข์ที่เกิดจากตัวเราเนี่ย ดูดี ๆ มันเป็นมรรคเป็นผลเหนือการเกิดแก่เจ็บตายจริง ๆ ส่วนความสุขทิ้งได้เลย ไว ๆ สักหน่อย ส่วนความทุกข์นี่ เป็นอุทาหรณ์สอนตัวเราไปตลอดภพตลอดชาติ ประทับใจ ตราบใดที่เราเคยมีทุกข์อย่างเจียนตาย เราก็ลืมไม่เป็น เป็นสิ่งประดับ มีคุณค่า เหมือนพระพุทธเจ้าว่า เป็นการเห็นอันประเสริฐ คือ เห็นทุกข์นี่เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ถ้าเห็นจริง ๆ มันจะยิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าไม่เห็นจริง เข้าไปเป็นกับมันซะใจเศร้าหมอง นิดเดียว เป็นสิ่งที่นิดเดียว พลิกล็อคนิดเดียว เป็นสิ่งที่หลุดพ้นอย่างง่ายที่สุดเลย
ดูดี ๆ ยิ่งเราเป็นนักปฏิบัติ เตรียมพร้อมอยู่เสมอ แล้วก็การปฏิบัติ การภาวนา ขยันให้มีความรู้เนี่ย มันเป็นสิ่งที่เตรียมพร้อม อยู่เสมอ ไม่ค่อยจะเสียเปรียบอะไร ไม่ค่อยจะได้เปรียบอะไร มีแต่ประโยชน์ มองดี ๆ มีแต่ประโยชน์ ถ้าเป็นนักปฏิบัติจริง ๆ มีสติจริง ๆ พระพุทธเจ้าจริง ๆ นั้นมีสติอยู่ทุกกรณี สติเป็นสิ่งที่เป็นคุณของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ มีสติอยู่ทุก ๆ กรณี อะไรก็ตามที่มันจะเกิดขึ้นมา มีสติเป็นหน้ารอบพร้อมอยู่เสมอ จึงมีความพร้อม กับทุกกรณี ไม่ใช่ว่าจะทำให้เสียหาย บางคนก็อารมณ์เสีย ไม่ใช่อย่างนั้น ส่วนความทุกข์เกิดขึ้นเอามาลงโทษ อันนั้นไม่ประทับใจอะไร แต่ว่าเป็นสิ่งประทับใจก็ตรงนั้นแหละ ตอนที่เขาอยากจะผลักไสความทุกข์ออก มันก็ออกไม่เป็น มันไปเล่นกับมันซะ อันหนึ่งผลักออก อันหนึ่งเอาเข้ามา อยากได้เข้ามา อันหนึ่งผลักไสออก ก็เสียทั้งนั้น เสียทั้ง ๒ อย่าง ผลักออกไปก็เสีย อยากได้เข้ามาก็เสีย เป็นผลกระทบต่อตัวเราเอง จึงมาได้ประโยชน์ตรงนี้เยอะแยะ อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติเบื้องต้น เจอเรื่องนี้เข้า พระพุทธเจ้าจึงบุกเบิกไปเลย ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นี่ เป็นสิ่งที่บุกเบิกไปได้ เรียบลงไปเรื่อย ๆ มันก็มีแน่นอนความพอใจ ความไม่พอใจนี่ เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ อยู่ทุกเมื่อ ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ ถ้าเราไม่เป็นนักปฏิบัติ ไม่เตรียมพร้อม ก็เล่นกับสิ่งเหล่านี้ ตลอดภพตลอดชาติ ดีใจ เสียใจ เป็นสุขเป็นทุกข์ ฟู ๆ แฟบ ๆ เหมือนคลื่นน้ำ ไปเล่นกับคลื่น ไปนึกว่าคลื่นเป็นน้ำ ความฟูความแฟบนึกว่าตัวเราซะ ที่จริงมันไม่ใช่ มันซัดขึ้นซัดลง ซัดขึ้นซัดลง แต่เราอยู่ฝั่ง บนฝั่ง มันไม่ใช่อยู่ในน้ำ จงมาถึงที่ไม่มีน้ำจากที่มีน้ำ มันละได้ มันทำได้ ให้ดู ภาษาที่สอนกันก็คือ ให้เป็นผู้ดู อย่าเข้าไปเป็น ให้มันเห็น อย่าเข้าไปเป็น กับสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับตัวเราเนี่ย มันเป็นโลกที่น่าชมที่สุด มีเยอะแยะ ไม่มีทางจนเลย
ชีวิตที่เราอยู่ร่วมกันนี่ มีแต่ประโยชน์ เป็นครอบครัว มีลูกน้อย มีอะไรเยอะแยะ ลูกคนโต ลูกคนกลาง ลูกคนเล็ก ทุกคนก็ทำหน้าที่ เป็นเด็กเขาก็เรียนหนังสือ เขาก็ทำหน้าที่ของเขาเป็นเรื่องน่าเคารพ ลูกโตหน่อยก็ออกทำงาน เป็นเรื่องที่น่าเคารพ ถ้าดูดี ๆ มีแต่ประโยชน์ เป็นสิ่งประดับทั้งนั้น ไม่ใช่เอาความรักความชัง รักคนนั้นเกลียดคนนี้ ไม่ใช่เลย ชีวิตของเราไม่ใช่เป็นเช่นนั้น อันนั้นมันไม่ใช่ชีวิต ความรักความชัง ความพอใจความไม่พอใจ ไม่ใช่ชีวิต ชีวิตมันถูกต้องกว่านั้นอีกก็ยังมีอยู่ ให้เห็นอย่าเข้าไปเป็นกับมัน เมื่อมันทำถูกต้อง อะไรก็เรียบไปหมดเลย ในโลกนี้เรียบหมดเลย ไม่มีคลื่นเลย เรียกว่ามิตรภาพ ทางจิตวิญญาณ มันเรียบ เรียกว่าแผ่นดินเรียบเหมือนหน้ากองทราย แผ่นดินเรียบเหมือนหน้ากองทราย ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยเป็นอย่างนั้น หมายถึงจิตวิญญาณที่มันเรียบ ไม่มีคลื่น ไม่มีฟูไม่มีแฟบ ไม่มีขรุขระ ไปเรียบ ๆ พาให้เรียบ เป็นเช่นนั้นเอง ไม่เป็นไร ช่างหัวมัน ก็เป็นอย่างนี้ มันเรียบไปเลย คืนให้มัน ไม่เอา ไม่รับ บอกคืนไม่ต้อนรับ ไม่มีที่อาศัย ไม่ให้ค่า สุขก็ไม่ให้ค่า ทุกข์ก็ไม่ให้ค่า พอใจไม่ให้ค่า ไม่พอใจไม่มีค่าสำหรับเรา เราอยู่เหนือนี้ อยู่เหนือโลกอันนี้ ไม่ใช่อยู่บนท้องฟ้า สูง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เรามาอยู่กับโลกอย่างนี้ ความพอใจ ความไม่พอใจ ความรัก ความชัง ความสุข ความทุกข์ เรามาอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มันจึงมีโอกาสเหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ดูดี ๆ ถ้าเป็นนักปฏิบัติง่าย ๆ ง่ายกว่าอย่างอื่น สะดวกกว่าอย่างอื่น ความพอใจไม่สะดวกเลย ความไม่พอใจไม่สะดวกเลย เป็นภาระ เป็นผู้มีภาระ ถ้าถอนออกมาซะ ไม่มีภาระอันใด มันก็เป็นความสะดวก ชีวิตนี้สะดวกที่สุดถ้าใช้ถูกต้องตามหลักความเท็จความจริง มันก็บอกเราอยู่ พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่ ตื่นขึ้นมาเราก็สาธยายคำสอน ที่มันไม่มีเป็นอื่นได้ พร้อมกัน ร้องออกมาจากปาก จากเสียง จากหัวใจ
“สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ สังขารา(ธัมมา) อะนัตตา”
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง เรียกว่าชีวิต คือ รูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง นั่น มันเป็นทุกข์ทนยาก เกิดขึ้นแล้วแก่เจ็บตายไป ไม่มีเป็นอื่นไปได้ แน่นอน สิ่งที่เป็นสังขารและมิใช่สังขาร มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอะไร อันสิ่งที่เป็นสังขารและวิสังขาร สังขารคือมีชีวิตจิต วิญญาณครอง เคลื่อนไหวเป็น ร้อนเป็น หนาวเป็น สิ่งนี้มีสังขาร เรียกว่าวิสังขาร ไม่เคลื่อนไหว ไม่เป็น ความไม่เที่ยงทั้งนั้น ก้อนหิน แผ่นดิน อากาศ เคลื่อนไหวไม่เป็น ก็ไม่เที่ยงกันทั้งนั้น โลก ท้องฟ้า อากาศ แผ่นดิน แม่น้ำ ก้อนเมฆ ดวงอาทิตย์ ไม่เที่ยงทั้งนั้น สังขารโลก คืออยู่ในชีวิตเรานี้ก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น โลกมี ๒ อย่าง โอกาสโลก สังขารโลก ถ้าอยู่ในโลกก็เป็นอย่างนี้ แต่เราอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ ผู้ปฎิบัติธรรม จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ ให้พากันอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้ มันทำให้เราสูงได้ อยู่เหนือได้ ความพอใจเราก็อยู่เหนือแล้ว ขึ้นมาแล้ว ความไม่พอใจก็ขึ้นออกมาแล้ว เหนือขึ้นมาแล้ว สูงขึ้นมาแล้ว ทุก ๆ ครั้ง ได้ความสูงจากสิ่งที่ผิดนั้นแหละ ถ้าพูดแล้วนะ ได้ความไม่ทุกข์จากสิ่งที่เป็นทุกข์นั่นแหละ อย่าไปอยู่ต่ำมัน โบราณท่านยังว่า อยู่เบื้องบนเห็นคนขี่ช้าง อยู่เบื้องล่างเห็นช้างขี่คน คือมันใจต่ำ คอยจะให้อะไรทับถมง่าย สุขก็ทับถมง่าย ทุกข์ก็ทับถมได้ง่าย ความรักความชังทับถมอยู่ตลอดเวลา ใช้ชีวิตไม่เป็น มาใช้ชีวิตใหม่ นวชีวัน
นวชีวัน คือชีวิตใหม่ ๆ ขึ้นมาซะ ใหม่เอี่ยมจริง ๆ ไม่เปรอะไม่เปื้อนกับอะไร สุขก็ไม่เปรอะเปื้อน ทุกข์ก็ไม่เปรอะเปื้อน ความพอใจความไม่พอใจไม่ได้เปรอะเปื้อนเลย เรียกว่าพรหมจรรย์ บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง นี่คือชีวิตของเรา จึงจะมีค่า และก็ไม่มีชีวิตไหนที่จะมีค่าอย่างนี้ได้นอกจากคนเรานี้ ที่มีรูปมีนาม ถ้าใช้ไม่ถูกก็เป็นโทษ น่าสงสารกว่าสัตว์อันอื่น ต้องพึ่งพาอาศัยอย่างอื่น อย่าง (...) ฤดูนี้ก็หนาวนี่ ต้องพึ่งอาศัยสิ่งอื่น ต้องมีผ้าห่ม ไม่เหมือนไก่ ไม่เหมือนวัวเหมือนควาย ไม่เหมือนนกเหมือนสัตว์อันอื่นเลย ร้อนก็ต้องมีที่พึ่ง หนาวก็มีที่พึ่ง อาหารก็มีที่พึ่ง ต้องหา ต้องทำอะไรเยอะแยะไปเลย จนหมดจากโลกไปก็มี ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องมากกว่านั้น มันกินอาหารมากกว่านั้นอีก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันอาจจะสิ้นเปลืองกว่าอาหารที่เป็นกวฬิงการาหาร ที่คำข้าว ที่กลืนเข้าไปทางปาก อันสิ่งที่อุปโภคนั้นหลายกว่านี้ จนจะหมดจากโลกไปแล้ว เราใช้สิ่งที่บริโภคจริง ๆ ไม่มาก ไม่ถึงกับภูเขาแผ่นดินที่หมดไป ป่าไม้ อะไรต่าง ๆ บางคนมันก็พออยู่พอกินกับโลกไปซะ จนคนอื่นขาดแคลน และก็ไม่ได้อะไรเลย จึงเป็นชีวิตที่เป็นความพอดีนี่เป็นการแบ่งปัน ถ้าเป็นบุญจริง ๆ ก็แบ่งปัน ถ้าเป็นกุศลก็แบ่งปัน ถ้าเป็นมรรคเป็นผลก็แบ่งปันกัน นี่คือชีวิตจริงมีแต่แบ่งปัน ต้นกัลปพฤกษ์เกิดทุกมุมเมือง หมายถึงแบ่งปันในหัวใจเรานี่ โบราณท่านจึงพูดไว้ พระสุตตันตปิฎก ว่าฝนโบกขรณี ตกลงมา ผู้อยากจะเปียกก็เปียก ผู้ไม่ต้องการจะไม่เปียกก็ไม่เปียก ทั้ง ๆ ที่มันฝนตกลงมา ผู้อยากจะเปียกก็เปียก ผู้ไม่ต้องการเปียกก็ไม่เปียกได้ ถึงคราวมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ โบราณท่านจึงว่า ฝนตกฮง จอมโพนจั๋งมาเปียก บัดหนองทงกว้าง ๆ จังมาแห้งในผง ฝนตกหนัก ๆ จอมปลวกที่สูง ๆ เปียกเลย จังหนองบึงแห้ง ๆ อยู่ หมายถึงจิตใจของคน สุขมันบอก ทุกข์มันบอก ผู้ที่เกี่ยวข้องกับมันไม่เป็น ก็เปรอะเปื้อนเอา ผู้เกี่ยวข้องถูกต้องก็ไม่ต้องเปรอะเปื้อน
ผู้ที่มีใจสูง มาอยู่เหนือ ไม่อยู่กับต่ำให้มันทับถมได้ หมายถึงผู้ใจสูง จิตวิญญาณสูง ฝึกหัดมา สูง เวลาก้าวแรกเลยทีเดียว พอใจถอนออกมา ไม่พอใจถอนออกมา มันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไป ใช้ลักษณะเดียวไปตลอด ไม่มีอะไรอื่นอีก ให้ใช้อย่างนี้ ปฏิบัติธรรม ยิ่งแคบเท่าไรยิ่งมาก พระพุทธเจ้าจึงมีสติในลักษณะนี้ทุกกรณี ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ผิด ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ถูก ไม่ได้ผลักไสออก ไม่ได้เรียกเข้ามา ต้องการเอาเข้ามา มีแต่เสีย ของที่มันล่อเยอะแยะในโลกนี้ ถึงเขาจะจับสัตว์ เขาก็มีเหยื่อล่อ อันหนึ่งล่อให้เอาเข้ามา อันหนึ่งผลักไสออก เพราะอยาก เหมือนอาจารย์ไพศาลพูดว่า คิดจะจับสัตว์ต้องเอาเหยื่อล่อ มันเข้ามากินก็จับได้ นี่ประเภทหนึ่ง ให้มันได้หลอกล่อสัตว์ เช่นไก่ป่า ถ้าอยากจับไก่ป่า เอาไก่บ้านไปล่อ เอาไก่บ้านไปล่อให้มันขัน ไก่ป่ามักจะมีเขตแดนของเขา เขาเป็นการปกครองกันแบบหนึ่ง เอาไก่บ้านไปขันในเขตที่มีไก่ป่าขันอยู่ เมื่อไก่ป่าตัวมันอยู่ในแดนของมัน มองอยู่นั่น ไก่ตัวอื่นไปขันขึ้นมันก็โกรธ มันจะมาขับไล่ออกไป เป็นอะไรอยู่เนี่ยมันมาใหญ่ตรงนี้ทำไม วิ่งมา จะมาขับไล่ มาตีซะ เราก็ดักบ่วงไว้รอบ ๆ ไก่บ้าน แล้วมาติดบ่วงเอาก็ติดทั้งนั้น อันหนึ่งดึงเข้ามา อันหนึ่งผลักไสออกไป ติดทั้งนั้น ล่อก็เสียทั้งนั้น ดึงหนีออกไป ขับไล่ออกไป ตัวเองเกลียดไม่อยากได้ก็เสียทั้งนั้น ความพอใจก็เสียทั้งนั้น ความไม่พอใจก็เสียหายทั้งนั้น นี่คือชีวิตของอยู่ในโลก เราอยู่ในโลกแห่งนี้มานานเท่าไหร่ ขึ้นมาดูซิ มีสติดูซิ มีสติเตรียมพร้อมดูซิ ให้มีโอกาสทำงานเรื่องนี้จริง ๆ แม้เราทำอันอื่นก็เพื่อการนี้โดยตรง หลาย ๆ อย่าง ชีวิตเรามีหลายอย่าง ที่จะต้องทำให้เกิดประโยชน์ตน ประโยชน์ต่อคนอื่น พระพุทธเจ้าจึงสอนพระสงฆ์
ญาตัตถประโยชน์ ประโยชน์ต่อญาติ
โลกัตถประโยชน์ ประโยชน์ต่อโลก
พุทธัตถประโยชน์ ประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา
พวกเราก็ไปเดินธรรมยาตรา พึ่งกลับมาเมื่อวานนี้ ประโยชน์ต่อโลก ตีฆ้องร้องป่าว บอกกล่าวเป่าร้องไปยัง รัศมีของภูเขาลูกนี้ ข้างล่างข้างบน เดินทางอยู่ ๗ วัน ๗ คืน ได้ประมาณสัก ๑๐ หมู่บ้าน บอกไป มีที่นอนบ้าง ไม่นอนก็ไปพักวัดต่าง ๆ ตอนกินอาหารกลางวัน พระอาจารย์ ไพศาลก็เทศน์เรื่องนี้ เรื่องสิ่งแวดล้อม ประโยชน์ต่อโลก ประโยชน์ต่อพระศาสนา เราก็ได้ฝึกตนเสียสละ พวกเราอยู่ในวัดก็ทำหน้าที่นี้ ช่วยกันทำหน้าที่ คนละฝักคนละฝ่าย เป็นอันเดียวกัน บอกกันสอนกัน มีประโยชน์ทั้งนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สอนตัวเรา อยู่คนเดียวก็ยิ่งได้สอนตัวเองดี อยู่คนอื่นก็ได้สอนตัวเอง อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังการกระทำ การพูดการจา ได้สอนทั้งขึ้นทั้งล่อง พวกเราก็สนุกไปกับธรรมยาตรา นอนกับแผ่นดิน ป่าไม้ ปักกลดปักเต็นท์กัน ทำวัตรสวดมนต์กลางแดดกลางแจ้ง หนาวก็หนาว แต่ว่ามันก็สนุก มีมิตรมีเพื่อน ทั้งเด็กทั้งเล็ก บางครอบครัวก็อุ้มลูกเดินธรรมยาตราไปด้วยกัน จนจบ ลูก ๒ คน พ่ออุ้มคนหนึ่ง แม่อุ้มคนหนึ่ง เดินไปด้วยกัน มีทั้งปัญญาชนระดับนายแพทย์ แพทย์หญิง ดอกเตอร์ อะไรต่าง ๆ เดินไปด้วยกัน ทั้งเด็ก ทั้งผู้ปานกลาง ทั้งผู้เฒ่า ที่สุดคือหลวงพ่อกรม แม่ชีเพ็ง ๘๘ ปี เดินไปกับเพื่อน หนาว ๆ ก็เดินเหมือนกัน รู้สึกแข็งแรงกว่าอยู่วัดนะ ความดันก็ไม่ค่อยจะมี ไปอยู่อย่างนั้นมันธรรมชาติ การมีมิตรมีเพื่อนก็เกิดความรักกัน ความทุกข์ ความยาก ความลำบาก ทำให้เรารักกัน ยิ่งกว่าความสะดวกสบาย ความสนุก ความรื่นเริงนี่ไม่มีประโยชน์หรอก ความยากลำบากเนี่ยมันทิ้งกันไม่ได้ มันรักถึงหัวใจ กำหัวใจกันไว้ได้ ความรักที่ได้จากความทุกข์ ความยาก ความลำบากมาด้วยกันนี่ มันผูกหัวใจกันจริง ๆ ได้ความรักเป็นอมตะ คือความยากลำบาก ไม่ใช่ได้ความรักเพราะความสนุกสนาน อันนี้เพื่อนร่วมกินหาได้ง่าย เพื่อนร่วมตาย คือความทุกข์ยากลำบากด้วยกันนี่ มันเป็นสิ่งที่ผูกจิตใจไว้ ทิ้งกันไม่ได้
เช่น เราอยู่นี่ ๔๐ กว่าปีเนี่ย มันมีความรักต่อที่นี่ รักผู้รักคน รักสัตว์ สาราสิ่ง มันก็ทิ้งไม่ได้ ไปหาบของขึ้นเขา ไปแบกของขึ้นเขาลำบากมาด้วยกัน ไข้ป่ามาเลเรีย สู้กันจน ลำบาก กับดงกับป่า กับอันตราย มีช้าง มีเสือ มีสิงห์ เราก็สู้กันมา รอดมาได้นี่มันทิ้งกันไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้ก็ไกลเราไปเรื่อย ๆ เราก็ปล่อยทิ้งมาได้ สิ่งใดพอจะช่วยเราก็ช่วย จนสุดหัวใจเหมือนกัน มันหมดไปเรื่อย ๆ แล้ว นอนกลางแจ้งดูแสงเดือนแสงดาว มันไม่เหมือนสมัย ๕๐ ปีก่อนนะ แต่ก่อนเดือนหงายนี่ มองเดือนกลางคืนเนี่ย มันเห็น มันเห็นเหมือนกับตัวคนเลยอยู่ที่นั่น เขาเรียกว่ายาย่าจอมสวน หรืออะไรพ่อใหญ่กรม ย่าจอมสวน ตำเข่า บ่ได้เซา มองดูเดือนหงายเนี่ย ช่วงเดือนพฤศจิกานี่ มันหงายกว่ามันใสกว่าทุก ๆ เดือน ฤดูฝนหมดใหม่ ๆ ยังไม่มีฝุ่นเนี่ย ปลายฤดูฝนนี่ เดือนหงาย มองดูเดือนนี่ เห็นคนเคลื่อนไหวอยู่นั่นด้วย เรียกว่ายายย่าจอมสวนตำข้าวไม่หยุดเลย (...) ดู นอนชมแสงเดือน เดี๋ยวนี้ดูไม่เห็นเลยแสงเดือน มันมีเรือนกระจกบังไว้ ดูไม่เห็น พอเป็นรูปเฉย ๆ ไม่ค่อยสว่างไสวเหมือนเมื่อก่อน แสงดาวก็ไม่สว่างไสว ท้องฟ้าก็ไม่ใส เหมือนเมื่อก่อน เรือนกระจกที่เขาว่า คลุมไว้ ความจริงที่มันประดับให้งดงามก็หมดไปแล้ว เมื่อมันเพี้ยนไปหมดก็กระทบกระเทือนต่อสัตว์โลก ผู้คน อาหารการกินก็อาจจะไม่งอกไม่งามมา ให้เรากินก็ได้ มันหมดธรรมชาติ ธรรมชาติหมดไป พืชบางชนิดไม่ออกลูก ปลูกไม่ขึ้น ต่อไปเมล็ดข้าวก็อาจจะปลูกไม่ขึ้น จะทำยังไงพวกเรา เราจึงขยายกิจกรรมออกไป ช่วยธรรมชาติ จึงมีกิจกรรมธรรมยาตรา ปีที่ ๑๔ มันก็ไม่มีทางไปอีกแล้ว จึงตีฆ้องร้องป่าวบอกกล่าวเป่าร้องตาม หมู่บ้านต่าง ๆ ให้ช่วยกัน ลูกหลานเราจะอยู่ที่ไหน มันหมดไปแล้ว น้ำแพงกว่าน้ำมัน น้ำดื่มแพงกว่าน้ำมัน ไม่เคยมี สมัยก่อนน่ะกินน้ำที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวนี้ น้ำขวดหนึ่งต้องค่าปรุงยิ่งกว่าปลูกข้าวซะอีก อย่างเช่นวัดภูเขาทอง ๕๐๐,๐๐๐ บาท เครื่องกรองน้ำ ใส่ขวดหนึ่งก็ไม่กี่เท่าไหร่ก็เป็น ๑๐ บาท ๕ บาท มันเป็นความอาภัพของคนสมัยทุกวันนี้ ไม่เหมือน ๔๐-๕๐ ปีก่อน เราประมาทไม่ได้ เราก็ต้องช่วยกันสอน กรรมฐาน ช่วยกันสอนให้คนรู้จักโลก ให้ช่วยโลก ให้มันทันเวลาสักหน่อย เรียกว่า โลกัตถจริยา ญาตัตถจริยา ทุกคนเป็นแต่ญาติกันทั้งนั้น เพื่อนร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตาย สัตว์สาราสิ่ง สามารถที่อยู่ด้วยกันได้ รักกันได้ ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชังนะ เอ้า! ก็ได้กลับมาบ้านแล้ว ขอพูดกับพวกเราแค่นี้ก่อน