แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีผู้ฟัง มีผู้พูด ฟังแล้วนำไปปฏิบัติ ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ละความชั่ว ทำความดี ไม่คิด ทำจิตให้บริสุทธิ์ สูงสุดของชีวิต วิถีธรรม วิธีละความชั่ว วิธีทำความดี วิธีที่ทำให้จิตบริสุทธิ์ ก็คือการเจริญสติ ไม่ต้องไปไล่ความชั่วหนีไปไหน ไม่ต้องไปหาความดีอยู่ที่ไหน ว่าแต่เรามีสติ รู้สึกตัว สร้างขึ้นมา สติมันจะมีได้ก็ต้องสร้าง ต้องประกอบ ไม่ใช่อ้อนวอนขอร้อง ไปซื้อไปหา แห่งหนตำบลใด อยู่กับการกระทำของเรา อยู่ในกาย อยู่ในใจ ปลูกขึ้นมา สร้างขึ้นมา ประกอบขึ้นมาให้มันมี ถ้ามีแล้วมันก็ละความชั่ว มันก็ทำความดี จิตมันก็บริสุทธิ์ไปเอง นี่คือหลักของความจริง ความจริงมันอยู่ตรงนี้ การละความชั่ว การทำความดี การทำจิตให้บริสุทธิ์ ถ้าทำถูกมันก็ง่าย ความดีก็เกิดขึ้นมาเป็นพวง ๆ ความชั่วก็หมดไปเป็นพวง ๆ เหมือนกัน ไม่มีสิ่งที่ถูก ไม่มีสิ่งที่ผิด มันมีสูตร มันมีสูตรสำเร็จ สูตรชีวิต เหมือนกับเราได้เรียนได้รู้อะไรมา มีหลักสูตร สูตรคณิตศาสตร์ สูตรยาสมุนไพร สูตรอะไรต่าง ๆ เมื่อรวมกันเข้า มันเป็นต้นไม้ มันเป็นพืช พอเอาเข้ามากิน มาสัมผัสกับกาย กับธาตุ มันก็กลายเป็นประโยชน์ กลายเป็นหยูกเป็นยา รักษาโรคภัยไข้เจ็บหาย มันเป็นของจริงอยู่เช่นนั้น
สูตรของการบรรลุธรรมนี้ ก็เหมือนกัน มีแล้ว มีพร้อมแล้ว พระพุทธองค์ศาสดาของเราเป็นผู้ที่ค้นพบ ในกายกว้างศอกยาววาหนาคืบนี้ มีสัญญา มีจิตมีใจ มีอะไรทุกอย่าง ที่มันจะเป็นตำราที่จะทำให้เราได้เรียนได้รู้ โดยเฉพาะสูตรอริยสัจ ๔ เป็นสูตรที่คลุมในการศึกษา ทั้งหมดของโลกก็ว่าได้ เข้ามาเอาหลักของสติปัฏฐาน เป็นหลักของการพัฒนา เป็นหลักของการวิวัฒน์พัฒนา ทำอะไรก็สำเร็จ มันมีเหตุ มันมีปัจจัย จะทำอะไร จะแก้อะไร ต้องแก้ที่เหตุ ต้องแก้ที่ปัจจัย ประกอบที่เหตุ จึงเป็นหลักที่เป็นสัจจธรรม สัจจธรรมมีอยู่ ๔ อย่าง คือ หลักอริยสัจ ๔ เอาไปประกอบกับสิ่งไหนก็ได้ ที่เป็นตามภาวะของสิ่งนั้น ๆ เช่น มันร้อน เราก็ต้อง เหตุที่มันร้อน มันก็ต้องมีเหตุ มันหนาวก็ต้องมีเหตุ มันหิวก็ต้องมีเหตุ มันสุขมันทุกข์ มันก็ต้องมีเหตุ มันไม่สุขมันไม่ทุกข์ก็ต้องมีเหตุ มันไม่ร้อนมันไม่หนาวก็ต้องมีเหตุ เหตุอริยสัจ ๔ เอาไปแก้ตั้งแต่รากหญ้า ถึงดอก ถึงผล ถึงมรรคผลนิพพาน เราจึงได้สูตรอันเยี่ยมยอดเป็นมรดกของชีวิตเรา ไม่ผิด
การที่จะศึกษาสูตรอันนี้ เราก็จะต้องปรารภกันมาเอง เจริญสติ เจริญสัมปชัญญะ ดูกายดูใจของเรา กายมันจะบอก ใจมันจะบอก มันมีอะไรผิด มันมีอะไรถูก มันเป็นเท็จเป็นจริงอย่างไร อยู่กับกายอยู่กับใจทั้งสิ้น ไม่ต้องไปท่องไปเที่ยว ไปหาที่ไหน หากแต่เรามีสติเข้าไปดู หาวิธีที่จะดู หาวิธีที่จะเห็น หาวิธีที่จะรู้ รู้เห็น พบเห็น การศึกษาของจริงต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่คิดเห็น เป็นสิ่งที่พบเห็น รู้เห็น ทั้งรู้ทั้งเห็น ทั้งพบทั้งเห็น ด้วยตนเอง ไม่มีคำถาม เช่น เรามีความรู้สึกตัวอยู่กับกาย มีความรู้สึกตัวอยู่กับจิตกับใจ ไม่มีคำถามหรอก เห็นของจริงเข้าไปเลย รู้สึกตัวเข้าไป
ถ้ารู้สึกตัวเข้าไปก็เหมือนกับเราเหยียบบนดินเดินไปข้างหน้า เป็นความมั่นใจที่เราเดินได้ เท้าเรามี ดินที่เราเหยียบมี ก้าวไปได้ทุกก้าว การก้าวแต่ละก้าวก็ผ่าน ที่เราจะต้องเดินไป การเดินไป เช่น เราเดินจากศาลาหอไตร ไปศาลาหน้า ก้าวแต่ละก้าวที่เราเดินไป เราก็ไม่มีคำถาม เราไปได้ เหตุปัจจัยเราอยู่ที่ก้าวของเราที่เราผ่านไป ก้าวแต่ละก้าวมันก็ผ่านไป ไม่ต้องถามใคร เราไปรึยังนี่ เราก้าวไปเราไปรึยัง เราไปถึงไหนแล้ว ไม่ต้องไปถาม คำตอบมันก็มีอยู่ในตัวเสร็จ คนผู้เจริญสติ รู้สึกตัว รู้สึกตัว มันก็เป็นอย่างนั้น การที่รู้สึกตัว การที่รู้สึกตัว ดูกายเคลื่อนไหว ดูใจมันคิดมันนึก ที่มันผ่านมาที่เราไม่เจตนาที่จะรู้ มันก็เห็น เยอะแยะไปหมดเลย พอเห็นสิ่งไหนก็รู้สึกตัวกลับมา มารู้สึกตัวอยู่ที่กาย การรู้อยู่ ตั้งไว้ที่เก่าบ่อย ๆ ความรู้สึกตัวก็พัฒนาที่เก่านั่นแหละ อาจจะคุ้นจะเคยไป คุ้นเคยกับกาย คุ้นเคยแล้วไม่พอเห็นแจ้งในกาย สัมผัสกับกายรู้ สัมผัสกับกายหลง สัมผัสกับกายที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์ เห็นเป็นรูปธรรม เห็นเป็นนามธรรม เห็นเป็นวัตถุอาการที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ขยายผลไป ได้ผลลัพธ์ไป ได้ผลต่อไป มันบอกผิดบอกถูกเกี่ยวกับกาย เมื่อเราเห็นกาย เห็นรูป เห็นนาม รูปมันบอก นามมันบอก ในรูปในนามมันมีศีล มีสมาธิอย่างไร ศีลสมาธิมันเกิดขึ้น มีประโยชน์อะไร เวลาไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาเกิดขึ้นมันมีโทษอย่างไร มันบอก ผู้ที่ศึกษาจะต้องรู้ต้องเห็น ถ้าเห็นเลือน ๆ ลาง ๆ ต่อไปต่อมาเมื่อเห็นแจ้ง สิ่งที่สนับสนุนกันมันมี สติสัมปชัญญะสนับสนุนให้เกิดศีล ศีลสนับสนุนให้เกิดสมาธิ สมาธิสนับสนุนให้เกิดปัญญา ปัญญาสนับสนุนให้เกิดศีล ศีลสนับสนุนให้เกิดสมาธิ เกื้อกูลกันไป ถ้ามีอันหนึ่งก็มีอันหนึ่ง ต่อไปเป็นวงจรของความถูกต้อง รื้อถอนของความผิดพลาด มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ศีลก็กำจัดกิเลส สมาธิก็กำจัดกิเลสอย่างกลาง ๆ ขึ้นไป ปัญญาก็กำจัดกิเลสอย่างละเอียดขึ้นไป เหมือนกับแสงสว่างกำจัดความมืดได้ตามรัศมีของแสงสว่าง การเจริญสติมันก็พัฒนาไปอย่างนั้น พัฒนาในกายในใจของเรา ล่วงพ้นไป ข้ามพ้นไป เลื่อนฐานะไป งานมันบอก เหมือนเราสร้างบ้านสร้างเรือน เหมือนเรารื้อบ้านรื้อเรือน เราจะปลูกบ้านปลูกเรือน งานมันบอก ไปตามลำดับจนสร้างบ้านเรือนได้สำเร็จ เราจะรื้อบ้านรื้อเรือน งานมันบอก ก็รื้อบ้านรื้อเรือนออกมาเป็นกอง ๆ หายไปหมดเลยบ้านเรือน แล้วก็จะตกแต่งยังไงให้ดีกว่าเก่า รูปมันก็ดีกว่าเก่านะ พ้นภัย พ้นพิษ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าไปพัฒนา นามมันก็ดีกว่าเก่า เราก็ไปพัฒนา พ้นโทษพ้นภัย จนไม่มีภัย
การปฏิบัติ คือ มาช่วยตัวเองให้พ้นภัย ความรู้สึกตัวเนี่ย เราจึงสร้างกัน ต้องประกอบกัน เป็นหมู่เป็นมิตร เห็นผิดก็สอน เห็นถูกมันก็สอน แต่มันก็มีอยู่ มันมีอยู่ในรูปในนาม แต่ก่อนมันผิด เราก็ไม่ได้เห็น เห็น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความคิดไม่ถูก เหมือนไม่มีผู้ดูแล เหมือนลูกน้อยไม่มีผู้ดูแล ลูกกวาง ลูกสัตว์ตัวเล็ก ๆ ไม่มีผู้ดูแล เมื่อมันไม่มีสิ่งดูแล มันก็ไม่ปลอดภัย หรือปลอดภัยก็เกือบจะไปไม่รอด ชีวิตเราสิ่งที่เรารอดมาได้เพราะมีธรรม มีความถูกต้องที่ช่วยเราอยู่ แต่เราไม่สนับสนุนในความถูกต้อง ในความเป็นธรรม ไม่ค่อยจะให้ความเป็นธรรมในธรรม แต่ว่าความเป็นธรรมยังช่วยเราอยู่ จนอยู่รอดมาถึงวันนี้ ถ้าเราให้ความเป็นธรรมให้มาก ๆ กับชีวิตของเรา เราก็เจริญไปไวที่สุด ถึงจุดหมายปลายทาง เช่น ไม่ใช่จะมาหลงแล้วหลงอีก ไม่ใช่จะมาทุกข์แล้วทุกข์อีก ไม่ใช่จะมาโกรธแล้วโกรธอีก มันย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า ถ้าเราให้ความเป็นธรรมต่อธรรม มันจะไป นะ มันจะไป พ้นจากปัญหาต่าง ๆ เรื่อย ๆ ไป จนจบจนสิ้น
การศึกษาก็เป็นอย่างนั้น เลื่อนชั้น เลื่อนฐานะทางจิตวิญญาณไป นี่คือการปฏิบัติ คือการวิวัฒน์พัฒนา มันมีสูตร แต่ละสูตรก็ช่วยกันไป สนับสนุนกันไป เอามาเป็นกำลัง เหมือนต้นไม้เอาปุ๋ย เอาคูตรมาเป็นการสร้างต้น สร้างกิ่งก้านสาขา เกิดดอกออกผล อาศัยบนผืนดิน อาศัยบนน้ำ อะไร ๆ หลาย ๆ อย่างที่มันเป็นประโยชน์ คนผู้มีการศึกษา ความหลงนั่นแหละจะเป็นประโยชน์ ความทุกข์นั่นแหละจะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่มีการศึกษา ความทุกข์มันจะเป็นโทษ ความหลงจะเป็นโทษ จะเป็นโทษ หรือบางโอกาส ถ้ามันมี ที่จะไม่มีสิ่งที่เราจะต้องพลัดพรากจากกัน มันลึกซึ้งมาก แทนที่จะอาลัยอาวรณ์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ถ้าผู้มีธรรมแล้ว มันลึกซึ้งนะ ลึกซึ้งมาก เห็นของจริงที่ต่อหน้าต่อตา เห็นแม่ตาย ใจขาดต่อหน้าต่อตา มันลึกซึ้งมาก แทนที่เราจะเสียอกเสียใจ แทนที่เราจะร้องห่มร้องไห้อาลัยอาวรณ์ แม้นว่าน้ำตามันร่วงแต่ว่ามันลึกซึ้ง ลึกซึ้งในความจริงของชีวิต มันไม่ใช่จะไปเศร้าโศกเสียอกเสียใจจนหมดเนื้อหมดตัว มันเป็นเช่นนั้น มันลึกซึ้ง เห็นความทุกข์ก็ลึกซึ้ง ลึกซึ้ง โอ! มันเป็นอย่างนี้ เห็นความหลงก็ลึกซึ้ง ลึกซึ้งที่จะไปเกี่ยวข้องกับความทุกข์ความหลง อย่างงดงาม
เหมือนกับเราจะ หนามทิ่มเราลงไป เราลึกซึ้งที่จะบ่งหนามออก ด้วยความพากเพียร เอาหนามออกให้ได้ แม้นมันจะเจ็บก็เอาออกได้ ความเจ็บเพื่อจะให้ไม่เจ็บ ความทุกข์เพื่อจะให้ไม่ทุกข์ ความหลงเพื่อจะให้ไม่หลง ความโกรธเพื่อจะให้ไม่โกรธ แปลว่า “เย ธัมมา เหตุ ปัปพวา” แก้ ขยันแก้ เป็นงานของพระอริยเจ้า ขยันแก้ ขยันเปลี่ยนความร้ายเป็นความดี เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นไม่ทุกข์ เปลี่ยนหลงให้เป็นไม่หลง ปฏิบัติอย่างนี้กัน ให้ขยันตรงนี้ เป็นหน้าที่ อย่าละ อย่าทิ้งหน้าที่ตรงนี้ มันหลงเปลี่ยนไม่หลง นี่หน้าที่ของเรา ความทุกข์เปลี่ยนไม่ทุกข์ ความโกรธเปลี่ยนไม่โกรธ เป็นหน้าที่ของเรา ถ้าทำอย่างนี้เนี่ยะ งานของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ มีชีวิตอยู่อย่างนี้ ถ้ามันจะมี จนเป็นกิจวัตร เจริญสติเป็นกิจวัตร มีสติเป็นวัตร วัตรคือทำบ่อย ๆ เหมือนเรากวาดบ้านกวาดเรือนบ่อย ๆ ทำความสะอาดบ่อย ๆ อันนี้การปฏิบัติก็เหมือนกัน เราจึงไม่มีกาลไม่มีเวลา เพราะว่ากายเรามีใจเรามี ต้องปฏิบัติต่อกายต่อใจ
พอเราเสร็จการเสร็จงานเสร็จหน้าที่ รู้รอบ แปลว่ารู้รอบ รอบรู้ในกองสังขาร เป็นปัญญาที่รู้รอบหมดจดหมดแล้ว ก็มีงานที่จะต้องทำไปอีกเยอะแยะ ไม่หมด อย่างที่พูดว่า การละความชั่ว การทำความดี การทำจิตให้บริสุทธิ์ สำหรับตัวส่วนตัว ก็ไปช่วยคนอื่นให้เขาละความชั่ว ให้เขาทำความดี ให้เขาทำจิตบริสุทธิ์ การไม่เบียดเบียนตนแล้ว การไม่เบียดเบียนคนอื่นแล้ว ก็ไปช่วยคนอื่นให้เขาไม่ให้เบียดเบียนเขา ให้เขาไม่เบียดเบียนคนอื่นอีก ต่อไปเรื่อย ๆ ไป นอกจากนี้ก็มีอีกหลายอย่าง ที่เราจะต้องช่วยเหลือ แม้แต่ดิน น้ำ อากาศ
เราจะต้องช่วยเหลือกันแล้วทุกวันนี้ ไม่มีใครช่วยเหลือดิน ไม่มีใครช่วยเหลือน้ำ ไม่มีใครช่วยเหลืออากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะสิ่งเหล่านี้ มีป่า ในดินมีป่าไม้ มีน้ำ มีอากาศ ซึ่งเราก็ขาดไม่ได้ เราเหยียบดินทุกวัน ดินนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ สำหรับชีวิตเรา จำเป็นสำหรับชีวิตเรา เราไม่ไปเดินอยู่ก้อนเมฆอากาศที่ไหน สัมผัสกับดิน กับป่า กับน้ำ กับอากาศ ก็จะต้องช่วยกันอีก มันกำลังจะไปจากเรา ดินก็จะหนีจากเราไป ต้นไม้ก็จะหนีจากเราไป อากาศก็จะหนีจากเราไป น้ำก็จะหนีจากเราไป หลายอย่างที่เราจะต้องช่วย ปีนี้คณะสงฆ์วัดป่าสุคะโต วัดป่ามหาวัน วัดภูเขาทอง เป็นปีที่ ๕ จะต้องช่วยน้ำ ช่วยดิน ช่วยป่าไม้ ช่วยอากาศ เดินธรรมยาตรา ไปบอกกล่าวป่าวร้องแก่ชุมชนหมู่บ้าน ในรัศมีของลุ่มน้ำลำปะทาว
มีเยอะแยะการงานของเรา มันไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยทุกวันนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อน เราได้รับโทษรับภัยเพราะดิน เพราะน้ำ เพราะอากาศ เพราะป่าไม้ที่มันหมดไป แต่นี่มันก็มีอันตรายเกิดขึ้นหลาย ๆ อย่าง โรคไข้สัตว์ปีก โรคไข้หวัดนก ต่อไปต่อไปถ้ามันเป็นอย่างนี้ นกก็จะไม่มี เป็ดไก่ก็จะไม่มี โรคที่เกิดกับคนแล้วไม่พอ โรคที่เกิดกับสัตว์ มันขยายผลมาเป็นผลกระทบต่อพวกเรา หลายอย่าง ที่เกิดขึ้น ที่เราไม่เคยคิด แล้วก็มีผลกระทบกับเราทั้งสิ้น
เราช่วยคนด้วยกัน เราจะต้องช่วยคนอื่นไปพร้อม ๆ กัน สิ่งอื่นไปพร้อม ๆ กัน ก็มีสิ่งอื่นวัตถุอื่นที่รอให้เราไปช่วยอยู่ หลายอย่างนะ เป็นงานที่รีบด่วน เราจะต้องเฉยไม่ได้ ประมาทไม่ได้ ไม่ใช่ส่วนตัว มีทั้งส่วนตัว มีทั้งส่วนรวมบ้าง ประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่นสิ่งอื่นวัตถุอื่น ที่เราจะต้องทำ พระพุทธเจ้าถามหาผู้ที่ทำประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่น สำหรับผู้ใดที่ทำแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ทำประโยชน์ตน พระพุทธเจ้าไม่ถามหา ผู้ใด ๆ ทำประโยชน์แต่คนอื่นประโยชน์ส่วนตัวไม่ทำ พระพุทธเจ้าก็ไม่ถามหา พระพุทธองค์เราถามหาแต่ผู้ที่ทำประโยชน์ตนประโยชน์คนอื่น เช่น พระพุทธองค์ที่ได้ตรัสรู้ ทำประโยชน์คนอื่นสิ่งอื่น จนมาถึงพวกเรา จนมั่นคงในหมู่มนุษย์ ในศาสนา ในศีลในธรรม เราจึงต้องช่วยกัน ให้พ้นภัย ให้มีน้ำใจ ไม่มีพิษมีภัย ถ้าเราไม่มีน้ำใจยังมีพิษมีภัยอยู่ ก็เป็นพิษ เป็นภัย เป็นโทษ มันไม่เหมือนสัตว์อื่นคนเรานี่ ถ้าไม่มีศีลมีธรรมแล้ว โอ๊ย! มันอันตราย อันนี้ประเทศไทยเราก็มีปัญหา ไม่รู้จะทำยังไง เหลือวิสัยที่เราจะทำได้ ภาคใต้ก็ตายกันเป็นเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ก็คนทำกับคนเอง จึงมีศาสนา จึงมีวัด มีปฏิบัติ
ศาสนาก็สอนโดยตรง ๆ ชัดเจน ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ ไม่เหลือวิสัยที่เราจะทำได้ วิธีที่จะทำสิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ อย่างที่เราพากันทำอยู่ขณะนี้เนี่ย ไม่มีสิ่งไหนที่จะมาแก้ มาเติม มาเพิ่มอะไรอีก การปฏิบัติธรรม สำเร็จเป็นสูตรสำเร็จมาแล้ว ทนต่อการพิสูจน์คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสวากขาตธรรม ทนพิสูจน์มาตั้ง ๒ พัน ๓ พันปีมาแล้ว ไม่น่าที่จะรั้ง ๆ รอ ๆ พวกเรา ไม่ใช่จะรั้ง ๆ รอ ๆ เสียเวลากับไปกับอย่างอื่น ถ้าเราทำถูกต้องจริง ๆ มันก็เป็นกอบเป็นกำ ไม่นาน ไม่นานจริง ๆ ว่าแต่เราทำให้มันจริง มีความจริงต่อความจริง ไม่จริงต่อความไม่จริง ให้ซื่อ ๆ ตรง ๆ ตรงนี้ สัตย์จริงคือความรู้สึกตัวก็สร้างไป ความหลงมันไม่จริงก็เอากับมันที่มันไม่เป็นของจริง ให้มันจริง ให้โอกาสความจริงสักวัน ๒ วัน ไม่ให้โอกาสกับความไม่จริงสักวัน ๒ วัน มันจะเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกตัวมันของเป็นจริง ให้โอกาสของจริง ความหลงมันไม่เป็นของจริง อย่าให้โอกาสมัน มีสิทธิเรื่องนี้โดยตรงชีวิตเรา มีสิทธิ ไม่ใช่สิทธิไปเรียกร้องอันอื่น ไปเรียกร้องอันนู้นอันนี้ อันนั้นมันเป็นเรื่องหนึ่งตากหาก สิทธิของเรา มันหลงมีสิทธิที่จะไม่หลง สิทธิของเรามันทุกข์มีสิทธิที่จะไม่ทุกข์ สิทธิของเรามันโกรธมีสิทธิที่จะไม่โกรธ ใช้สิทธิตรงนี้ มันก็จะแก้ไปทั้งหมดล่ะเรา ให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นให้กับชีวิตทุกคน สุดที่เหตุ อริยสัจ ๔ อยู่ตรงนี้ ถ้าทุกคนมาเริ่มจากตรงนี้ คนในโลก ๕ หมื่น ๕ แสนกว่าล้านคน มันจะยากอะไร มันก็พริบตาเดียว
หลักอริยสัจ ๔ อยู่ในกำมือ ๔ ข้อเท่านั้น ปฏิบัติตรงนี้นะ จะเกิดความสงบร่มเย็นทันที ตามกำลัง จนถึงมรรคถึงผล ราบเหมือนหน้ากลองไทร เกิดศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยขึ้นมา ทันที ไม่ต้องไปสร้างกองทัพ ศาตราอาวุธ ยุทโธปกรณ์อะไร นี่หลักของจริง ให้ความจริงกับชีวิตของเรา ให้ได้สิทธิหน้าที่ของเรา เรามีสิทธิที่จะไม่หลง ก็สร้างความรู้เรื่อยไป ไม่มีใครจะมาตั้งม็อบตั้งแม๊บกับเรา การที่จะไปทำอันอื่นน่ะ มันมีหลายอย่าง ไปแก้โน่นแก้นี่ อย่าไปเอาที่เหตุที่ปัจจัยมันทำไม่ได้ เช่น คนทั้งโลกก็จะไม่รักเรา เราจะไปเกณฑ์ให้คนทั้งหลายมารักเราเป็นไปไม่ได้ เขาเรียกว่าอจินไตย ห้ามคิด แต่เราก็ยังคิดอยู่ สิ่งที่เราจะทำได้ คือเราจะต้องรักคนทั้งโลกได้ทันที ทันทีเลยทีเดียว อาจารย์ไพศาลเทศน์แผ่เมตตา ไม่มีขอบเขต ไม่มีคนไหน คนรัก คนชัง คนใกล้ชิดสนิทสนม ไม่มี เรียบไปเลย ไม่มีที่รักไม่มีที่ชัง เป็นอัปปมัญญา แผ่ไปเลยทันที ทำในใจทันที ล้างบาปในใจทันที เหมือนกับวันออกพรรษา ที่เราปวารณาลบอกุศล ใครเคียดแค้นชิงชัง ไม่พออกพอใจกัน ลบทันที แผ่เมตตาไปทันที สละบาป คืนดีกัน ทำใจของตนเอง เป็นสิ่งที่ทำได้ทันที การปฏิบัติธรรมเป็นเช่นนี้ เป็นปัจจัตตังทันที จะเหลือหลออะไร ทิ่มตัวลงไปให้มาก ๆ บางคนปฏิบัติธรรมเอาไว้ก่อน บางทีแม้แต่ความคิด คิดก่อนเถอะ แล้วค่อยมาปฏิบัติใหม่ บางทีมันเกิดความรัก เอ้า! ไปกับความรักซะหน่อย เดี๋ยวก็มาสร้างจังหวะใหม่ บางทีมันเกิดความโกรธ เอ้า! โกรธสักหน่อย ว่ากันสักหน่อยก่อน เดี๋ยวค่อยปฏิบัติ ยังอาลัย เรียกว่าพระไม่เป็นพระมาลัย ยังอาลัย ในสุขในทุกข์ ไม่ไป ยังถอยหน้าถอยหลัง ลองเป็นพระมาลัยดูซิ อย่าไปอาลัยในอะไร ทุ่มลงไปทิ่มตัวลงไป เหมือนกับเราทำงาน ทำงานอย่าไปใช้ ๒ นิ้ว จับด้ามจอบด้ามเสียม ทุ่มลงไป ยืนลงไป ฟันลงไป ถ้าไปทำจ้อก ๆ แจ้ก ๆ เดี๋ยวสุขภาพก็ไม่ ยืนไม่ดี ไปฟันจอบ เสียสุขภาพ ยืนไม่มั่นไปฟันขวาน เสียสุขภาพ ยามที่ฟันที่จับที่จะใช้แรงต้องมีจังหวะ ต้องยืนให้ดี ต้องจับให้มั่น เหมือนเราจะไปถอนหญ้าคา หญ้าแฝก ไปจับไม่มั่น มันก็บาดมือเรา การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ทิ่มตัวลงไป คล้าย ๆ กับว่าลำดับนี้ นี้ไว้นะ ยกมือทีไร ดิ่งหัวเข้าไปรู้ รู้ รู้นี่ เขาเรียกว่า วสี
วสี คือ เน้น เพื่อจะให้มันชัดเจน เหมือนเขาเขียนหนังสือ ที่เขาเน้นบทไหนข้อความใด เขาทำตัวให้หนา ๆ ให้สีทึบ ๆ เหมือนเรายกมือสร้างจังหวะน่ะ ถ้าทำเบา ๆ ผิว ๆ เผิน ๆ ไม่รู้ เนี่ยรู้สึกตัว รู้สึกตัว รู้สึกตัวเนี่ย เรียกว่า วสี คือ เน้นสักหน่อย เน้นเข้าไป แต่ว่าอย่าเน้นให้เตลิด มันจะกลายเป็นสมาธิ มันจะกลายเป็นหัวตอ เน้นเป็นบางครั้ง เหมือนเราฟันจอบ ทิ่มเป็นบางครั้ง ไม่ใช่ทิ่มตะพึดตะพือ ฟันจึ๊กลงไป วางแล้ว พอยกเข้า จึ๊กลงไป วางแล้ว แรงจะเหลือ ถ้าเรากับปฏิบัติธรรมเนี่ยก็เหมือนกัน การเน้นแต่ละครั้งจะมีแรงไปอีกไกล จะมีแรงไปอีกไกล ถ้าไม่รู้จักเน้นจะไม่ได้แรง ทำเบา ๆ จะไม่ได้แรงการปฏิบัติธรรม มีจังหวะที่จะต้องใช้วสีเน้นลงไป เน้นลงไปจนมั่นใจ รู้ลงไป รู้ลงไป รู้ลงไป รู้ลงไป เอ้อ! มันสนุกดีนะ ฮะ! ทำอย่างนั้นหรือแม่ชี ฮะ! ใจลอย ๆ ใจลอย ๆ แล้ว สร้างจังหวะใจลอยกว่าวิธีอื่น เวลาให้ยกมือสร้างจังหวะใจลอย ตาเหม่อ ง่วงซึม นั่นไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ เวลาใดสร้างสติ โอ! มันชัดเจน เหมือนกับเขียนภาพได้มั่นใจตกแต่ง คนเขียนภาพมั่นใจ ใส่ใจบรรจง จับพู่กันวาดภาพหนักเบา ได้รูป ได้ภาพสวยสดงดงาม ทำแล้วติดมือ ยกมือ เหมือนหลวงพ่อไปซ่อมรถ ไปซ่อมเสาอากาศเสาวิทยุ เขาเจาะรู โอ๊ย! ผมจะทำได้หรือเปล่า ผมจะทำได้รึเปล่า ทำไมเขาเจาะรูใหญ่เหลือเกิน พอทำไป ทำไป มั่นใจ ทำโน่น ทำนี่ เขาก็ร้องเพลงไป เขาผิวปากไป ทำผิดบ้าง แต่ว่าพอทำได้ปั๊บ นี่ (หัวเราะ) มีบ้างไหมฮะ มีบ้างไหม นี่ยกมือ ต้องเป็นอย่างนั้นซีปฏิบัติธรรม นี่ นี่รู้สึกตัวอย่างนี้ อย่างนี้นะ นี่ก็จะมีพระที่จะสึกวันนี้นะ ก็ไม่เป็นไร ไม้จันทน์นะ แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทิ้งกลิ่นชื่อว่าไม้จันทน์ ผู้ที่อบรมดีแล้ว เป็นเพศลัทธิใดไม่เกี่ยว ไปอยู่กับบ้านกับช่อง ยังหอม หัสดิน ผู้ฝึกมาดีแล้ว นักรบดีแล้ว แม้จะเข้าสงครามก็ไม่ทิ้งลีลา เป็นกีฬาอยู่เสมอ มันทุกข์ไม่ทุกข์ มันหลงไม่หลง อยู่เสมอ บัณฑิตผู้ฝึกฝนตนเอง เมื่อประสบทุกข์ ก็ไม่ทิ้งศีลทิ้งธรรม สำหรับผู้ฝึกฝนตนเอง เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นวันนี้ พวกเราก็จะปฏิบัติธรรมต่อไป ไม่มีคำว่าสึก ไม่มีคำว่าไม่สึก เพราะว่าธรรมะ หรือว่าความเป็นพระมีอยู่ในจิตใจ เป็นพระ ยิ่งเป็นฆราวาสญาติโยมยิ่งมีใจเป็นพระ ให้ระมัดระวัง ใจร้ายเป็นผี ใจดีเป็นพระตลอดเวลา