แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติ ไม่ให้มันผิดพลาดเสียเวลา ชีวิตของเราถ้าเราไม่รู้หลักการปฏิบัติ ก็เสียเวลา เพราะชีวิตนี้ มันมีกายมีใจเกิดขึ้นมาแล้วแก่เจ็บตายไป มีแล้วหายไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวใช่ตน เราจะยอมรับทุกเรื่องไม่ได้ ถ้าเราไม่ปฏิบัติก็ยอมรับ คอยยอมรับกรรมที่ยื่นมาให้ เวลาเจ็บก็เป็นทุกข์ เวลาตายก็เป็นทุกข์ แทนที่เราไม่ต้องเป็นทุกข์กับความเจ็บ ไม่เป็นทุกข์กับความตาย เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังพากันทุกข์เป็นแต่ความคิด ยังไม่ได้เจ็บเลยก็เป็นทุกข์ เขายื่นเอาความรักมาให้ก็รับเอาความรัก เขายื่นเอาความชังมาให้ก็ยอมรับเอาความเกลียดชัง ทำตามมันไป เราก็เสียเวลา ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ตัวใช่ตนอะไร บางคนก็ทำไปตามกรรมที่จำแนกมา เสียผู้เสียคนก็มี เสียเงินเสียทองก็มี
การปฏิบัติธรรมนี่มันเป็นอริยทรัพย์ภายใน ป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ เราจึงต้องรีบใช้มันซะ ชีวิตนี่ต้องรีบใช้มัน ถ้าไม่ใช้มัน มันจะ อะไรจะแย่งไปก่อน มัวประมาทอยู่ไม่ได้ ความแก่ ความเจ็บความตาย เทวทูตมาเตือนแล้ว ... เราเคยมีทุกข์กับความทุกข์ เรามีความโกรธเพราะความโกรธ ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความเศร้าหมอง เคยเป็นทุกข์มาแล้ว เทวทูตเตือนแล้ว เรายังมัวประมาทอยู่ จะต้องเป็นการรีบด่วนนะ ฝึกหัดศึกษาเรื่องชีวิตเอาไว้ เรียกว่าอริยทรัพย์ภายใน ป้องกันได้ เวลาทุกข์ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เวลาโกรธก็ไม่ต้องเป็นความโกรธ เวลาแก่ เวลาเจ็บ เวลาตาย ก็ไม่ต้องมาทุกข์ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ชีวิตเราต้องรีบใช้ ไม่ใช่ไปใช้ทดลองดื่ม เขาบอกให้ไปทดลองใช้ ดื่มเบียร์สิงห์ ดื่มอะไรต่าง ๆ โน่น ต้องใช้ซะ เป็นรสชาติอย่างไรจะได้รู้ อุตส่าห์เชื่อเขาไป เขายื่นอะไรมาให้ก็เชื่อไป ทำตามโฆษณา เสียเงินเสียทอง ติดเหล้า ติดเบียร์ ติดยาเสพติด ติดกิเลสตัณหา เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เจียนตายไปก็มี หรือตายไปก็มี ใช้ไม่เป็นน่ะ ทุกวันนี้ต้องเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ควรดูก็อย่าไปดู ไม่ควรพูดก็อย่าพูด ไม่ควรคิดก็อย่าคิด ไม่ควรที่จะไปรับใช้มันทุกเรื่องไป รู้จักใช้ชีวิต หัดเอาไว้จะได้ใช้เป็น ถ้าไม่หัดก็ใช้ไม่เป็นนะ ชีวิตเนี่ย เกะกะสุรุ่ยสุร่าย แม้แต่ของอยู่ของกินของใช้ของจ่าย ก็มีความสุรุ่ยสุร่าย เลอะเทอะ ๆ ไป
อย่างมาปฏิบัติธรรมเนี่ยมันจะ ได้หลัก มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เพื่อมาใช้กายใช้ใจให้มีระเบียบแบบแผน มามีแบบ กายก็มีแบบ วาจาก็มีแบบ จิตใจก็มีแบบ ถ้าไม่มีแบบก็ผิดไป เข้าแบบเข้าพิมพ์จะได้เป็นรูปอันเดียวกัน มีสติสัมปชัญญะ เป็นเจ้าของกายเป็นเจ้าของจิตใจ จะเห็นอันเดียวกัน จะได้แก้ไขเรื่องเดียวกัน แบบเดียวกันก็เห็นอันเดียวกัน สิ่งที่เห็นก็เหมือนกันหมด เช่น เราเห็นความโกรธมานานกว่าคนอื่น เราแก้ความโกรธได้แล้ว คนอื่นยังไม่เห็นความโกรธ จึงว่าตัวเราโกรธ ยังไม่เคยแก้ไข พาลคนอื่น ปัญหาก็เกิดขึ้น แต่เราผ่านมาแล้ว แต่ช่วยไม่ได้เวลามัน เข้าถึงตัวเขาแล้ว เขาช่วยไม่ได้ ให้เขาช่วยตัวเองเขาไม่เคยหัด เมื่อเขาไม่เคยหัดเขาก็ทำไม่เป็น การปฏิบัติธรรมมันฝึกหัดให้ทำให้เป็น เวลามันหลง ทำความไม่หลงเกิดขึ้นได้ทำเป็นแล้ว เวลามันทุกข์ทำเป็นแล้วให้ความเป็นทุกข์หมดไป ให้ความเป็นทุกข์หมดไปให้ความไม่ทุกข์ไปแทน ทำเป็นแล้วชำนาญแล้ว ชำนาญในการใช้กายใช้ใจ ชำนาญในการใช้ชีวิต ที่ถูกที่ชอบ เป็นแบบฉบับ เป็นแบบพิมพ์ พิมพ์เดียว เราจึงต้องมาหัดกัน ขณะที่หัดนี่ต้องอยู่ในรูปแบบพิธีกรรม เรียกว่ากรรมฐาน ที่ตั้งของการกระทำ เหมือนชีวิตของเรามัน ดอกไม้กระจุยกระจาย การเข้ามาหัด มาเข้าเส้นด้ายมันก็จะเป็นระเบียบ
ถ้าเรามีสติ ก็เป็นคน ๆ เดียวกัน ว่าเส้นด้าย แต่ก่อนกระจุยกระจาย เอามาร้อยเข้ากันก็เป็นพวงมาลัย สวยงามกว่าเก่า เป็นอันเดียวกันไปแล้ว ลูกต่างพ่อต่างแม่ ต่างนิสัยใจคอ มาเป็นอันเดียวกัน เป็นคน ๆ เดียวกัน นี่ แบบฉบับเป็นอย่างนี้ มีเส้นด้าย มีกรอบ มีเฉด มีสติดูกาย ทุกคนก็เห็นกาย ตามความเป็นจริง ตามความไม่จริง สิ่งใดที่เกิดความไม่จริงขึ้นมาต่อกายต่อรูปก็แก้ไข แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ มันเป็นสมุทัยสังขาร นี่ต้องละ แก้เป็นแล้ว ทำเป็นแล้ว นี่เรายังแก้เรื่องเกิดขึ้นกับกายไม่เป็นเลย ทั้ง ๆ ที่ง่าย ๆ เอามาเป็นสุขเอามาเป็นทุกข์ อันเรื่องเก่าก็ยังเป็นอยู่ ให้เขามาใช้อยู่ ยังรับใช้เขาอยู่ ทำไม่เป็น เรื่องของจิตใจยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งใหญ่ เรื่องของจิตใจ อะไรเกิดกับจิต คือความคิดเกิดขึ้น พาให้หอบหิ้วไปได้ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นโทษเป็นภัย ยอมรับความคิดว่ามันเกิดขึ้น น้ำตาร่วงตาไหล กินข้าวไม่ลง เป็นทุกข์ บางทีก็ไม่มีทางไม่พบทาง ฆ่าตัวตายก็มีถมไป เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ทำไม่ถูก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าทำถูกก็ได้ประโยชน์ ได้ประโยชน์สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ สิ่งไหนเป็นทุกข์เป็นโทษ ได้เห็นแล้ว แก้ไขได้แล้ว ได้ประโยชน์ เห็นความโกรธ เกิดขึ้นจากจิต เปลี่ยนเป็นความไม่โกรธได้แล้ว ได้ความไม่โกรธ ได้ความไม่ทุกข์ ที่มันเกิดจากจิต มันก็มาสอนเราให้เราได้รู้ จึงเรียกว่าปัญญาพุทธะ
ปัญญาพุทธะรู้เหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหตุ แก้เหตุนั่นได้แล้ว นี่เรียกว่าปัญญาพุทธะ อะไรก็มีเหตุทั้งนั้น มีสมุทัย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้ ถ้าเราไม่ฝึกหัดก็ทำไม่เป็นนะ สับสนตรงนี้ ยุ่งเหยิงสับสนเพราะความคิด วุ่นวายเพราะความคิด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไร เราปล่อยให้มันมุ่นมันวุ่นไปเฉย ๆ เราไม่รู้จักหลักการแก้ไข การฝึกหัดวิชากรรมฐาน เป็นรูปแบบการแก้ไข เป็นหลักสูตรตายตัว แบบเดียวกัน เหมือนสูตรสำเร็จที่เราศึกษาคณิตศาสตร์ สองหนึ่งเป็นสอง สองสองเป็นสี่ สองห้าก็เป็นสิบอย่างนี้ ให้เป็นอื่นไม่ได้ เรียกว่าสูตรสำเร็จ ที่เกิดขึ้นจากการศึกษา ด้านนอกกายนอกใจ เอามาใช้ได้ เป็นคนไทยต้องรู้คณิตศาตร์ เป็นคนไทยต้องอ่านภาษาไทยได้ นี่เป็นสูตรสำเร็จอันหนึ่ง จบมาสูง ๆ ก็ยังไม่รู้จักใช้สูตรสำเร็จที่เกิดจากใจ ก็มีเยอะแยะ บัณฑิตสกปรก โบราณท่านว่า
จึงมาหัดกัน ด้วยเอาของจริงมาศึกษา เอากายขึ้นมาตั้ง เอาใจขึ้นมาให้ดู มีสติดูกายเคลื่อนไหว ก็จะเห็นใจที่มันคิดขึ้นมา ได้รู้เป็นหลักเป็นตาตั้งไว้ ลืมไว้แล้ว ความคิดเกิดขึ้นก็รู้ ได้เห็นความคิดที่ไม่ตั้งใจ ใจไหลไปกับความคิด ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจหอบหิ้วเราไป ให้เดิน ให้นั่ง ให้นอน ให้ไปไหนก็ได้ ออกจากบ้านไปที่ไหนก็ได้ ถ้ามันหิ้วไป เที่ยวเตร่เร่ร่อน กินเหล้าเข้าบาร์ในคลับไป ตะพึดตะพือไป ต้นเหตุมันเกิดจากความคิดนิดเดียว ทิ้งลูกทิ้งเมียไป ลืมบ้านลืมช่อง ลืมญาติพี่น้องไป ไม่ได้คิดเรื่องความจำเป็น ให้ความไม่จำเป็นเป็นเรื่องสำคัญกว่า อย่าง ๒๐-๓๐ ปีที่ผ่านมานี่ นั่งรถประจำทางจอดลงร้านอาหาร ณ ที่ใดเสียงเพลงเกิดขึ้น เมียตายไม่เสียดายเท่าเหล้าหก เจ็บใจมากหนใด เปิดดังที่สุดเลย เมียตายไม่เสียดายเท่าเหล้าหก แล้วก็ชอบกัน ตบมือยึกยัก ยึกยัก ยึกยัก ให้มันหลง เวลาคนมันหลงมากก็เป็นปัญหา ต่อสังคม ต่อชาติบ้านเมือง แม้แต่จะมีทหาร มีคุก มีตาราง มีตัวบทกฎหมาย ก็เอาไม่อยู่หรอก ความหลงมันเกิดขึ้นที่ใจ จะมาขังใจไม่ให้คิดมันทำไม่ได้ จับกุมคุมขังไม่มี โทษหนัก กรรมหนักที่เกิดจากใจจะจับไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน เป็นนามธรรม กว่าที่มันแสดงมาทางกาย ทางวาจา มันเป็นทวารของใจ ที่มันสั่ง ใจมันเป็นใหญ่ ไม่เคยให้ความสำคัญเรื่องจิตใจเลย เพราะไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้เคยเห็น ไม่มีสติดูกายเคลื่อนไหว ไม่ได้เห็นใจที่มันคิด
วันนี้เรามาตั้งหลักตรงนี้จะเห็นทางออก เราอยู่ประตูนี้แล้ว มันผ่านมาทางประตูเนี่ย ความดีความชั่ว ความผิดความถูก เกิดขึ้นมาให้เห็นเนี่ย เป็นช่องแคบ ผ่านมาทางนี้ อะไรก็ผ่านมาทางนี้ ถ้าเรามีสติดูกายเคลื่อนไหว จะเห็นอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจทุกเรื่องทุกราว ไม่ปกปิดซ่อนเร้นได้เลย เป็นชีวิตที่เปิดเผย พระพุทธเจ้ายังบอกว่า เราเปิดของที่ปิดออกแล้ว เราหงายของที่คว่ำขึ้นแล้ว เราเฉือนส่วนที่เป็นขี้ริ้วทิ้งหมดแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้กุลบุตรกุลธิดาทั้งหลาย จะทำกันยังไง บอกให้ดูวันนี้ก็ยังไม่มีใครสนใจ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เกิดมาได้เห็น ได้รู้ ได้ฟัง ได้ยิน พุทธศาสนา พระรัตนตรัย รวมทั้งพระธรรมคำสอนอันเป็นไปเพื่อทางออกจากทุกข์ มีแล้ว ตะโกนมาแล้วตั้ง ๒,๖๐๐ กว่าปีมาแล้ว มันไม่ได้ยิน ไม่มีใครหูหนวกก็ไม่ยอมฟังเสียงถูกต้อง คนหูหนวกที่สุดก็ไม่ยอมฟังเสียงอันถูกต้อง ชอบฟังแต่เสียงที่ไม่ถูกต้อง เขานินทา สรรเสริญ เขาว่าอะไรเรา ชอบฟังเรื่องนั้นเรียกว่าคนหูหนวก คนหูดีเขาจะต้องเนี่ยนินทาเป็นสมบัติของโลก ได้ยินแล้ว ไม่ได้หวั่นไหวเพราะการนินทา ไม่หวั่นไหวเพราะสรรเสริญ คนหูดี เป็นสมบัติของโลก คนไม่รู้ก็ว่าเป็นเรื่องของตัวเอง มาประสบเอาซะ ปล่อยทิ้งไม่ได้ เขานินทาก็เสียใจ เขาสรรเสริญก็ดีใจ เป็นมานานเท่าไหร่เรื่องเนี้ย จะอยู่เช่นนั้นมันจะปลอดภัยยังไงชีวิตของเราเนี่ย ถูกโลกธรรมครอบทับถมเอาไว้ เงยคอไม่ขึ้น ยอมรับ ดีใจเพราะสรรเสริญ เสียใจเพราะการนินทา ดีใจเพราะการได้มา เสียใจเพราะการเสียหายไป มันดึงเราไปเช่นนั้น หวั่นไหว
ผู้ที่ฝึกตนสอนตน ไม่หวั่นไหวเพราะนินทาสรรเสริญ เหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบไม่สะเทือนเพราะลมฉันใด ผู้ฝึกหัดตนกายใจดีแล้วเนี่ย ก็มั่นคง ในการมีชีวิต ยิ่งเราเป็นสัตว์สังคมนี่ ถ้าฝึกกันอย่างนี้จะอยู่กันด้วยความสงบ ร่มเย็น มีผัวมีเมียก็รักเดียวใจเดียวอันเดียว มีเพื่อนมิตรอันเดียวกัน มิตรดี เพื่อนดี สหายดี เจ็บไข้ได้ป่วยก็หายได้ ถ้ามิตรที่ดี เพื่อนที่ดี เมียดี ผัวดี เห็นหน้าก็ได้นิพพานแล้ว เย็นแล้ว ได้ยินเสียงพูดก็ได้นิพพานแล้ว เห็นกิริยามารยาทก็ได้นิพพานแล้ว เย็นใจแล้ว ถ้าเราฝึกตนสอนตนดี ๆ มันก็มีผลกระทบ สิ่งแวดล้อมที่ดี สังคมใด ตระกูลใด ครอบครัวใด ที่มีปฏิบัติตามหลักสังฆสามัคคีกันตระกูลนั้นมักจะมีพระอริยเจ้าเกิดขึ้น ตระกูลใดที่ไม่มีพระธรรมคำสอน ตระกูลนั้นเกิดคนพาลมากขึ้น เราจึงไม่ควรที่จะให้เรื่องอื่นเป็นเรื่องสำคัญ มีจริง ๆ คำสอนเนี่ย อย่างน้อยก็ขอท้าทายเรื่องนี้ มาเจริญตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ได้ประกาศเป็นสถาบันเลย
ชีวิตของเราต้องมีสถาบัน ปฏิบัติเป็นสถาบัน ปฏิบัติดีเป็นสถาบัน ปฏิบัติตรงเป็นสถาบัน ปฏิบัติออกจากทุกข์ ถ้ามีทุกข์ตรงไหนออกจากทุกข์ที่นั่น เป็นสถาบัน นี่คือชีวิต ไม่ใช่สถาบันคือตึกราม ตึกอะไรคณะต่าง ๆ เรียนก็จบอยู่ แต่ว่าไม่จบเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องกายนี่ไม่จบเลย มีปัญหาตลอดไป แก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ เห็นแต่ความไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ ความไม่ใช่มีตัวตนก็เป็นทุกข์ อ่อนแอเหลือเกิน เปราะบางเหลือเกิน แค่นี้หรือชีวิต ให้ความสำคัญขนาดนี้หรือ สิ่งที่มันแก้ได้กลับไม่แก้ สิ่งที่แก้ไม่ได้กลับไปแก้ไข เขาว่าอะไรกันเราทำไมจึงว่าแบบนั้น ไม่ยอมให้มันว่า ว่ากูทำไม เหมือนหมาที่เอาไม้แหย่ ไปโกรธไม้ที่แหย่โน่น ไม่รู้จักเหตุว่าอยู่ที่คน ไปกัดไม้โน่นน่ะ หมา ชีวิตเหมือนหมาตัวหนึ่ง
จะให้คนทั้งโลกเป็นเหมือนเรา มันเป็นไปไม่ได้ ต้องห้ามตัวเราก่อน เอาตัวเราเป็นหลักเป็นเกณฑ์ก่อน ถึงจะใช้ได้ อยู่เหนือโลกได้ ถ้ารู้จักเรื่องธรรมะ ความเท็จความจริงที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเราแล้วเนี่ย จะได้มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีเวรมีภัย ชีวิตไม่มีภัย ปลอดภัย เรียกว่า พระอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่ง ถ้าไม่มีภัยอะไรเลยเป็นอริยบุคคลชั้นยอดเยี่ยม เพราะการปฏิบัติ แล้วก็ทำได้ทุกชีวิต เวลามันหลง เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงนี่ ง่ายนิดเดียว สะดวก เวลามันทุกข์เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ ง่ายนิดเดียว โล่งแจ้ง ยิ่งเจริญสติปัฏฐานเนี่ย เห็นกระแสพระนิพพานเลยทีเดียว มีสติดูกายเคลื่อนไหว อะไรที่เกิดกับกายไป เห็นหมดว่ากายสักว่ากาย นั่นแหละ ไม่ใช่เอาความร้อนเป็นกู ไม่ใช่เอาความหนาวเป็นกู เอาความหิวเป็นกู เอาความปวดความเมื่อยเป็นตัวกูตัวตน สักแต่ว่า เป็นธรรมชาติธรรมดา เป็นอาการ อาการไม่ใช่ตัวใช่ตน ถ้ามันไม่มีอาการ มันก็ไม่ใช่กายใช่ใจ ความมีรูปมีนาม มีธาตุรู้ มีวิญญาณธาตุ นอกจากดินน้ำลมไฟ ก็มีวิญญาณธาตุที่มันรู้อะไรได้ อากาศธาตุคือช่องว่างในกาย มีช่องเลือด ช่องลมมันวิ่ง ไม่ใช่กูอะไร มาให้เราได้ใช้ ลุยกับโลก ถ้ามันไม่ดีอย่างนี้ ก็ลุยกับโลกไม่ได้ ใช้ไม่ได้เลย มันจึงดีขณะนี้กายใจนี่ ได้มาแล้วเป็นรูปธรรมนามธรรมมีมาแล้ว พ่วงแพที่เราจะต้องขี่ข้ามฟาก ข้ามวัฏสงสาร เราจึงมาหัดใช้แพให้มันสำเร็จ ขึ้นฝั่งให้ได้ เทียบท่าให้ได้ มันหลงเห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง พ้นจากความหลง ขึ้นฝั่งได้แล้ว มันทุกข์เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากความทุกข์ ขึ้นฝั่งได้แล้ว นี่สติปัฏฐานเป็นอย่างนี้ ทำไมจะไม่เห็น สัมผัสดู สัมผัสความไม่หลงเป็นทุน มีสติเป็นลืมตาเอาไว้ ไม่หลับ เวลาใดเกิดขึ้นก็รู้เห็น เห็นเนี่ย สติภายใน ตาในมันเห็น ไม่เหมือนตาหน้า ตาในมันคิด มันพบเห็น ตาเนื้อมันคิดเห็น ความคิดเห็นกับการพบเห็นมันต่างกันนะ การพบเห็นอยู่ใกล้ ๆ การคิดมันอยู่ไกลโน้น มองไม่เห็นเลยริบหรี่เลย นิพพานะปัจจะโย โหตุ ขอให้ถึงพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ไกลเท่าไหร่นานเท่าไหร่ ถ้ามันคิด พบเห็นนี่เห็นเดี๋ยวนี้ ได้กระแสพระนิพพาน เห็นความไม่หลงในความหลง เห็นความไม่ทุกข์จากความทุกข์ เห็นความไม่โกรธจากความโกรธ นี่กระแสพระนิพพาน ปฏิบัติได้สัมผัสได้ทันทีในคราวเดียวกัน ในคราวเดียวกันนั้นเอง ไม่ได้ไกลแม้แต่นิดเดียวเลย อยู่ด้วยกันนะ ของที่มันอยู่ติดกันเนี่ยจึงทำได้ทุกอย่าง
พระสิทธัตถะสมัยเป็นเจ้าฟ้าชายคิดเรื่องนี้ ถ้ามีความเกิดก็ต้องมีความไม่เกิด ถ้ามีความแก่ก็ต้องมีความไม่แก่ ถ้ามีความเจ็บก็ต้องมีความไม่เจ็บ ถ้ามีความตายต้องมีความไม่ตาย มองไม่ต้องมองไกลนะ มองใกล้ ๆ เนี่ย เราจะต้องแก่หรือต้องเจ็บหรือต้องตายไปเนี่ย จะแก้ยังไง ไม่มีผู้ใดบอกได้เลย ถามพระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า พระเจ้าตา พระเจ้ายาย ไม่มีใครตอบได้ สิทธัตถะยังคิดเรื่องนี้ ขนาดเป็นเจ้าฟ้าชาย รับผิดชอบต่อมนุษย์ เห็น เห็นกันร้องไห้ เพราะความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ เห็นคนเผาศพ เห็นญาติผู้เสียชีวิตเผาศพร้องไห้ ศพที่ถูกเผา ศพที่ยังไม่เผา ยังเห็นอยู่ เป็นอย่างนี่หรือเนี่ย แล้วก็มองเห็นตัวเองก็จะต้องเป็นอย่างนี้เหมือนกัน จะทำยังไงเนี่ย จะยอมรับหรือนี่ ถ้ายอมรับก็ไม่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมอาศัยจอมปลวก ฟ้าร้อง ภูเขา ทุกวันนี้ยังมีประเทศอินเดีย แม่น้ำคงคา แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ หลวงตาก็ไปล้างบาป ไปเผาศพก็บางทีศพยังลอยน้ำอยู่เลย ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เอาศพไปเรียงไว้เหมือนกับท่อนไม้ท่อนฟืน เตรียมตัวเผา คนเผาศพไฟไม่เคยดับมา ๕,๐๐๐ ปีแล้ว เผาบ้างไหม้บ้างไม่ไหม้บ้าง เอาลงแม่น้ำไป ลอยไป แร้งกาเกาะกินศพตามแม่น้ำไป นั่งเรือล่องคงคา ยังเห็นศพเด็กลอยอยู่ในน้ำ เด็กไม่นุ่งผ้าเลย ยังพากันทำอยู่ ยังว่ามีอะไรศักดิ์สิทธิ์ที่ล้างบาปล้างกรรมได้ ล้างบาป ถ้าเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงนี่ ล้างเลย บาปคือทุกข์นะ บุญคือไม่ทุกข์เนี่ยะ เมื่อไม่หลงก็ได้บุญขึ้นมา ได้บุญเมื่อไหร่อ้อนวอนนะ ให้ใครมาช่วยถ้าเราไม่ช่วยนี่ เคยสำเร็จไหม อ้อนวอนเคยสำเร็จไหม บารมี คือเดี๋ยวนี้ พร้อมเดี๋ยวนี้ มีความพร้อมอยู่นี้ เรียกว่าสร้างบารมี จึงจะเป็นผู้มีบุญ บารมีคือ พร้อมแล้ว พร้อมจะละความไม่ดี ทำความดีตอบแทน บารมีคือความพร้อม พร้อมจะเปลี่ยนความไม่ดีให้เป็นเรื่องดี มันอยู่ที่กายที่ใจเรานี้ ไม่ใช่อยู่ที่อื่น ทำได้ ปฏิบัติได้ให้ผลได้เนี่ย ไม่ต้องมาเชื่อกันนะ ต้องสัมผัสต้องปฏิบัติดู ยกมือขึ้นรู้สึกตัวนี่ รู้จริงไหม มือมานี่รู้สึกตัวเนี่ย ให้เคลื่อนไหวทีไรรู้สึกตัวเนี่ย ให้มันอยู่ที่เนี่ยรู้จริง ๆ เนี่ย ไม่ต้องถามใครเนี่ย รู้จริง ๆ เนี่ย มือฉันอยู่ที่ใด มือฉันอยู่ที่เข่า รู้จริง ๆ นี่ เขามาบอกว่ามือของคุณอยู่ไม่ได้อยู่ที่เข่า มือของคุณขัดอยู่ที่หลัง ไปเชื่อเขาหรือ เราไม่เชื่อ เราเชื่อตัวเองนี่ ตะแคงตั้งไว้รู้สึกตัวเนี่ย ยกขึ้นรู้สึกตัว รู้อยู่เนี่ย มันจริงขนาดเนี้ย ตาเนื้อก็เห็น สัมผัสได้เนี่ย เวลามันหลงไปทำไมจะไม่เห็น เราเปลี่ยนความหลงคือกลับเนี่ย ความมีนิมิตที่อาศัย มันไม่ยาก กลับมาเนี่ย กลับมาก็ได้ ความหลงกลายเป็นความรู้ ทุกครั้งที่มันหลงกลายเป็นความรู้ เนี่ยทำแล้วทำเล่า ทำแล้วมันก็ชำนาญ ทำใหม่ ๆ ง่ายที่จะหลง ทำไปทำมาง่ายที่จะไม่หลงแล้ว มันชำนาญ ทำอะไรก็ชำนาญเรื่องนั่นแหละ ถ้าไม่ฝึกหัดก็ชำนาญเรื่องหลง ง่ายที่จะหลงง่ายที่จะโกรธ เป็นจริตนิสัย โมหจริต ง่ายที่จะหลง โทสจริต ง่ายที่จะโกรธ ราคจริต ง่ายที่จะเกิดการปรุงแต่ง อวิชชา สังขาร ถ้าเราไม่ฝึกมันก็เป็นอย่างนั้น เลยไม่ได้ใช้เลยชีวิตเนี่ย รับใช้ความชั่วร้าย จึงเป็นเรื่องรีบด่วนซะหน่อยนะ เอาหละพอสมควรแก่เวลาแล้ว