แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วยแสดงธรรมน่ะเป็นบุญนะ บุญนี่ 1. ทานมัย บุญเกิดด้วยการให้ทาน 2. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล 3. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา อนุโมทนามัย - บุญเกิดจากการอนุโมทนา ไวยาวัจจมัย - บุญเกิดจากการช่วยเหลือกิจการพระพุทธศาสนา ธัมมเทสนามัย - บุญเกิดจากการฟังธรรมเทศนา ธัมมัสสวนมัย - บุญเกิดจากการฟังธรรม หลายอย่างเหลือเกิน ศาสตร์แห่งบุญนี้
การเทศน์ก็ได้บุญเหมือนกัน ผู้ฟังก็ได้บุญ ผู้แสดงธรรมก็ออกมาจากจิตใจของผู้แสดง ถ้าสิ่งใดที่พูดไป ต้องรับผิดชอบ มันเป็นบุญยังไง มันเป็นบาปยังไง เมื่อบรรพชิตถามในการภายหลัง เพื่อจะไม่เก้อเขิน อันการแสดงธรรมก็เป็นการบรรลุธรรมไปในตัว ผู้ฟังก็ได้บุญ ได้กุศล ได้ความฉลาด จากการได้ยินได้ฟัง เป็นมงคล เราจึงเกี่ยวข้องกันด้วยกันและกัน มีผู้พูด มีผู้ฟัง เมื่อไม่มีผู้พูด เมื่อไม่มีผู้ฟัง มันก็หมดแล้ว คำสอน จึงเอามาพูดอยู่วนเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้มันหมด พูดแล้วไม่พอ เอาไปทำให้มันมี ให้มีบุญ คือให้มีใจดี ให้ละบาปคือละความใจร้าย ฟังอย่างนี้ทุกวัน มันมีบาปเหมือนกัน
ชีวิตของคนเรานี้ มันมีบุญ มันมีสวรรค์ มีนิพพาน เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่มีอย่างนี้ เขาก็เป็นอันเดียว เขาไม่รู้จักบุญจักบาป เขาพัฒนาไม่ได้ เรานี้เกิดมาแล้ว ต้องไปข้างหน้า ไปสู่มรรคสู่ผล ถ้าจะว่าเดี๋ยวนี้ เรายืนอยู่ทางสี่แพร่ง อยู่บนทางสี่แพร่ง ทางสี่แพร่งคือไปทางใด ไปสู่อบายภูมิ คือภูมิอันต่ำ ไม่เจริญ ไปสู่มนุษย์โลก ไปเป็นผู้ศึกษา มีศีลมีธรรม ทำบุญให้ทาน ไปสู่พรหมโลก ไปสู่ความเป็นพรหม เมตตา กรุณา ไปสู่มรรคสู่ผลนิพพาน ไปสู่ความหลุดพ้นจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เรามีสิทธิ์ที่จะเดินไป ก้าวแรกก็คือเดินจากความรู้สึกตัวไป ความรู้สึกตัวเอียงไปไหลไปสู่มรรคผลนิพพานได้ ความหลงตัวเอียงไปไหลไปสู่อบายภูมิ เราก็เลือกเดิน อย่างน้อยเราก็ให้รู้จักทาง ละความชั่วเป็น ทำความดีเป็น ทำจิตให้บริสุทธิ์เป็น ต้องฝึกหัดตัวเอง ถ้าไม่หัดก็ไม่เป็น เพราะสิ่งแวดล้อม มันก็จะได้นิสัยจากสิ่งแวดล้อมได้ เราจึงสร้างสิ่งแวดล้อมให้ตัวเอง ให้จงได้ และสร้างสิ่งแวดล้อมให้แก่กันและกัน อาศัยการกระทำให้กันดู อาศัยการอยู่ให้กันเห็น อาศัยการพูดให้กันได้ยินได้ฟัง ให้ช่วยเหลือกันนี่ให้เป็น เรามีโอกาสช่วยเหลือกันเยอะแยะ เราเป็นสัตว์สังคม เป็นมนุษย์ เป็นครอบครัว ผัวเมีย ลูกหลาน ปู่ย่าตายาย เราก็ช่วยกัน ดูแลกัน ใครยังหลงก็ช่วยให้รู้ ใครทุกข์ช่วยให้ไม่ทุกข์ ใครโกรธช่วยกันไม่โกรธ ช่วยให้ไม่หลง ช่วยให้ไม่ทุกข์ ช่วยให้ไม่โกรธ ไม่เสียเงินสักบาท แต่จะทำให้ดู พูดให้ฟัง อยู่ให้เห็น จะให้ทานก็ให้อภัยกันให้เป็น ไม่เสียเงินสักบาท ได้บุญเหมือนกัน ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ผิดแล้วแล้วไป อย่ากระทำผิดซ้ำ ให้อภัยกันแล้วอย่าได้เอามาคิด ยึดมั่นถือมั่น จำได้แต่ความผิดของคนอื่น เอาความทุกข์ของคนอื่นที่ทำกับเรา ปล่อยวางไป ไม่เป็นไร รู้จักให้อภัย เรียกว่าอภัยทานได้ ไม่ต้องเสียเงิน
กรรมฐานก็บอกกันให้เห็นทิศเห็นทาง กำลังหลง กำลังทุกข์ กำลังโกรธ ก็ชวนกันให้เข้าสู่ทาง อันทางทุกข์ ทางโกรธ ทางวิตกกังวลเศร้าหมอง มันเป็นทางไปไม่พ้น ไม่ถึงไหน ทางตัน ทางการปล่อยการวาง การเมตตากรุณา เป็นทางผ่าน ผ่านไปจนถึงมรรคถึงผล เราเพียรพยายามสร้าง อย่าจนเรื่องทาง ถ้ามันหลงก็หาความรู้ในความหลงนั้น ความรู้ ความปัญญา มันเกิดจากตัวหลง ความรู้เกิดจากตัวหลง ความทุกข์เกิดจากตัวหลง ปัญญาเกิดจากปัญหา หาได้ไม่ยาก ตรงไหนมีปัญหามีปัญญาอยู่ที่นั่น ตรงไหนมีทุกข์ตรงนั้นมีปัญญาอยู่ที่นั่น อย่าให้หลงเป็นความหลง อย่าให้ทุกข์เป็นความทุกข์ อย่าให้โกรธเป็นความโกรธ เอามาเป็นปัญญาได้ เกิดจากเราบ้าง เกิดจากคนอื่นบ้าง ถึงเกิดจากคนอื่นเราก็เอาบทเรียน เห็นคนกินเหล้าเมายาทะเลาะวิวาทกัน เราก็ไม่ต้องทำ ไม่เคยกินเหล้าสักทีเลยเกิดมา เพราะเห็นโทษของเหล้า เห็นคนเมาเหล้า ทะเลาะกันไม่รู้จักอาย เราก็เห็นอย่างนั้น เราก็มาสอนเรา เราจะไม่ทำอย่างนั้น ได้บทเรียนจากคนอื่นก็มี บทเรียนจากตัวเราก็มี เช่น ความหลง ความทุกข์ เราพ้นจากความหลงได้เพราะความหลงนั่นเอง พ้นจากความทุกข์ได้เพราะความทุกข์นั่นเอง หนามยอกเอาหนามบ่ง โบราณท่านว่า
เราจึงฝึกหัดครั้งนี้ให้เป็น ทำให้เป็น เราอยู่ในโลก วิธีฝึกหัด หลักของการฝึกหัดตนมีเยอะแยะ หามา อย่าไปจน ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องสอน เราก็ไม่เป็นไร ว่าลงไป ไม่เป็นไร เป็นทางแล้ว ทำในใจด้วย เป็นคำพูดด้วย เป็นความเห็นอย่างนี้ ใครจะมีความอัตคัดทุกข์ยากสักปานใด ก็ทำให้มีความรู้สึกว่าไม่เป็นไรไว้ก่อน มันร้อนก็ไม่เป็นไร มันปวดก็ไม่เป็นไร มันหิวก็ไม่เป็นไร คนอิจฉาพยาบาทขนาดไหนก็ไม่เป็นไร แต่ว่าความไม่เป็นไรนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องเฉยเมย เป็นบทเรียนที่จะต้องผ่านพ้นไป เช่น เราไปทำความผิด เราก็นึกว่าไม่เป็นไร ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเกิดจากเราทำนี่จะไม่เป็นไรไม่ได้ ถ้าเกิดจากคนอื่นทำผิด เราก็ไม่เป็นไร อย่างนั้นได้ ถ้าความผิดเกิดจากเราทำ จะว่าไม่เป็นไรนั้นไม่ได้เลย เป็นมิจฉาทิฐิ อยู่คนละภาวะ อยู่คนละฐานะกัน ศัพท์เดียวกัน ใช้สมมติให้เป็น ใช้ปรมัตถ์ให้เป็น สมมติบางอย่างใช้ไม่ถูกก็เป็นโทษ เป็นนิสัยของตัวเองไป ผิดศีล ไม่เป็นไร อันนี้ไม่ได้ ทำบาปไม่เป็นไร อันนี้ไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนตรงนั้นให้ได้ทันที อันนี้เราก็สอนเรา ไม่ต้องให้คนอื่นสอน คนอื่นสอนไม่ดีเท่ากับตัวเราสอนตัวเรา
“อยู่ในตัวเรา มีมณีอันเอกอุตม์ เพื่อนมนุษย์ ค้นหามาให้ได้ การตรัสรู้ หรือรู้สิ่งใดใด ล้วนมาจากความรู้ตัวสูนั่นเอง” พระอาจารย์พุทธทาสพูดเอาไว้
ถ้าให้ธรรมชาติมันช่วยกัน มันก็ช่วยกันได้ เช่น ปวดเนื้อครั่นตัว แทนที่จะไปกินหยูกกินยาแก้ปวดเลยทีเดียว อาจจะไม่ถูกเสมอไป ให้ธรรมชาติมันช่วยตัวมัน ลองดู พักผ่อนบ้าง ทำจิตทำใจด้วยบ้าง อาการครั่นเนื้อครั่นตัวก็หายลงไป เพราะมันช่วยตัวเอง เกิดความเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าปวดนิด ๆ หน่อย ๆ กินยาแก้ปวด บรรเทาแก้ปวด มันก็อ่อนแอ การช่วยตัวเองไม่เป็นก็กลายเป็นคนอ่อนแอได้ ทางร่างกายก็เช่นกัน ทางจิตใจก็เช่นกัน
มีต้นนิโครธอยู่วัดภูเขาทอง มันแผ่กิ่งก้านสาขา มันเด่ไปอย่างเนี้ย ปลายมันจะลากดิน เราก็เอาไม้ไปค้ำมัน เอาไม้ไปค้ำไว้ ลองดู กิ่งหนึ่งไปแนวเดียวกัน ไม่ต้องเอาไม้ไปค้ำไว้ ศึกษาธรรมชาติ ลองดู กิ่งที่มันเด่ไปเอาไม้ค้ำไว้นั่น พอปลดไม้ออก ลากลงดินเลย กิ่งที่ไม่ต้องค้ำมัน มันก็ขึ้นด้วยตัวของมันเอง แขนขึ้นไป ปลายมันก็สูงขึ้นไป มันก็ดึงกันขึ้นไป เกิดความเข้มแข็งของเขาเอง ผลที่สุดกิ่งที่เอาไม้ไปค้ำไว้ต้องตัดทิ้งไป เพราะมันลากดิน คนเราก็เหมือนกัน เช่นเราเลี้ยงลูก เวลาลูกมันหกล้ม พ่อแม่อย่ารีบไปโอ๋กันนะ บอกมันลุกขึ้น ลุกขึ้น เหมือนคนโบราณนะ เห็นลูกล้มทำไง เคยเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า ที่แน่สุดพี่สาวหลวงพ่อนะ เคยได้ยินแม่...พูดว่าคุบหนู ๆ (หัวเราะ) ใช่มั้ย คุบหนู ๆ ลุกขึ้น ๆ ลูกมันก็ แทนที่มันจะร้องไห้ มันก็โอ้ยแม่บอกว่าคุบหนู ลุกขึ้นมาสู้ต่อไป ก็เกิดความเข้มแข็งขึ้นมา อันนี้ฉลาดสอน ตัวเราเองก็ต้องฉลาดสอนตัวเราเหมือนกัน อะไรก็โอ้ย อะไรก็โอ้ยไม่ได้ เราจึงต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ เราอยู่ในโลกนะ โลกนี่ไม่ได้ปูด้วยกำมะหยี่หรือผ้าพรมไว้ให้เราเดินไปทางเดียว มันมีขรุขระบ้าง เราก็ให้เข้มแข็ง ความขรุขระคืออะไร มีลาภ มียศ สรรเสริญเยินยอ สุข ๆ ทุกข์ ๆ มันเป็นสมบัติของโลก ถ้าเราไม่เข้มแข็ง ก็ถูกรสของโลกครอบงำย่ำยีได้ ถ้าเราเข้มแข็ง ก็อยู่เหนือโลกได้ อย่างนี้ไม่มีใครช่วยเราได้ ประสบการณ์มันต่างกัน ถ้าความโกรธ พอเห็นหน้ากันก็พอช่วยกันได้ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นในใจของเราน่ะ มันมองไม่เห็นกัน เราก็ต้องรู้จักช่วยตัวเอง ถ้าไม่รู้จักช่วยตัวเอง อย่าจนอยู่คนเดียว อย่าทุกข์คนเดียว บอกกันด้วย
สามีภรรยากันน่ะ ก็บอกกันหน่อย สามีภรรยาคู่หนึ่งมาเล่าให้เราฟัง สอนกรรมฐานในห้องนอน ผู้สามีก็มาปฏิบัติธรรม ส่วนภรรยาห่วงลูก ไปไหนไม่ได้ เวลานอน สามีก็นอนหลับเลย นอนด้วยกัน ก็มาเล่าให้ฟัง ก็ปลุกกันขึ้นมา บอกว่า “พ่อ ๆ พอนอนก็หลับเลยหรือเนี่ย ทำไมไม่ห่วงลูกห่วงเต้าหรือ” ปลุกสามีขึ้นมา สามีก็ตื่นขึ้นมา “นอนก็หลับเลยเนี่ย” ภรรยาพูด “ไม่คิดห่วงลูกห่วงเต้า”
“อ้าว! ห่วงลูกห่วงเต้าก็นอนให้มันหลับสิ ไปคิดอะไร เขาอยู่กรุงเทพ เขาอยู่เชียงใหม่ เรานอนอยู่บ้านนี้ ถ้าไปคิด เขารู้จักมั้ยว่าเราคิดถึงเขา เขาไม่รู้ดอก ถ้าเราห่วงลูกรักลูกก็นอนให้มันหลับ”
“ก็มาคิดช่วยกันสิ คิดคนเดียวไม่ได้ดอก”
“ไม่ใช่ ไม่คิด การรักลูกไม่ใช่เรื่องความคิด รักษาตัวให้ดี เป็นคนดี นอนให้หลับกินให้ได้”
“ฉันนอนไม่หลับ ฉันนอนไม่หลับ จะทำยังไงล่ะ”
ก็บอกกัน “พลิกมือคว่ำมือ พลิกมือคว่ำมือ (หัวเราะ) พลิกมือคว่ำมือ พลิกมือคว่ำมือ อยู่นี่นะแม่นะ ถ้ามันคิดไปหาลูกก็กลับมาอยู่นี่ แม่นี่” ก็นอนสอนกรรมฐานให้ เอาไปมันก็หลับได้ ผลที่สุดก็เห็นคุณค่าของการฝึกตนเอง แต่ก่อนความคิดลงโทษตัวเอง เบียดเบียนกาย เบียดเบียนใจ เวลามันคิดมาก ๆ ก็นอนไม่หลับก็มีเหมือนกัน
อย่าให้มีสำหรับเรานะ ในชีวิตนี้ ถ้าความคิดเป็นทุกข์ ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าความคิดทำให้นอนไม่หลับ ไม่ได้เด็ดขาด แค่นี้เองนะ มันเกิดจากความคิดของเรา มันเกิดจากความหลง ไม่มีใครที่จะช่วยเรา เราต้องรีบเปลี่ยนทันที เราจะไปบอกกันว่าฉันคิด ฉันคิด ให้หยุดคิดซะ มันก็ไม่ได้ เราก็ต้องมีวิธี ทำความรู้สึกไป ทำความรู้สึกไป สอนตัวเอง แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังสอนคนไม่ได้ ก็มีเยอะแยะไป ถ้าเราไม่สอนตัวเรา เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาไว้ในเรา อย่างพระพุทธเจ้าว่ามีคุณพระพุทธเจ้าอย่างไรบ้าง คุณของพระพุทธเจ้ามีอยู่สี่อย่าง คือ เมตตาธิคุณ เราก็มีได้เหมือนกัน เอามาไว้ในเรา คิดสิ่งใด พูดสิ่งใด ทำสิ่งใด ให้ประกอบด้วยเมตตากรุณา เมตตาธิคุณ กรุณาธิคุณ บริสุทธิคุณ ทำอะไรด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีปิดบังอำพราง ปัญญาธิคุณ รู้จักแก้ความทุกข์ ให้เป็นไม่ทุกข์ รู้จักแก้ความโกรธ ให้เป็นไม่โกรธ รู้จักแก้ความหลงที่เกิดกับเรา ให้เกิดความไม่หลง นี่เรียกว่าปัญญาธิคุณ ไปทางนี้ ไปทางนี้ นี่ชื่อว่ามนุษย์สมบัติ ไม่ใช่ไปโง่ช่างเรื่องนี้เถอะ อย่าไปดื้อในเรื่องนี้ ถ้าเราดื้อเรื่องนี้ก็เป็นบาป ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้มีเมตตาธิคุณ เรามีแต่ความอิจฉาเบียดเบียน มันก็ดื้อ ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า เราสวดมนต์เนี่ย พุทโธ เราสวดว่า พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้าพเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า พระธรรมเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า พระสงฆ์เป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ เป็นเครื่องนะ เป็นเครื่องหมายถึงเครื่องมือเอามาใช้สำหรับทุกคน ไม่ใช่ไปอ้อนวอนขอถึงพระพุทธเจ้า ขอถึงพระธรรม ขอถึงพระสงฆ์ให้มาช่วย อันนั้นไม่ได้ ศาสนาของเราไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอน ศาสนาเกิดจากการกระทำ
สมัยหลวงตาไปสอนธรรมที่ไต้หวัน เขาพาไปอยู่วัดจ้างเหยียน ไปดูวัดจ้างเหยียน ลูกศิษย์เราพาไปดู นี่หลวงพ่อ ที่นี่เป็นที่อ้อนวอน เราก็มีเหมือนกัน เวลาคนไปเซ่น เอาเงินไปใส่บาตร แล้วก็มีคนอยู่ที่นั่น นุ่งขาวถือขาว เอาจุดธูปจุดเทียน แล้วก็ทำท่าทำทางมากอบเอาบาปหนี ออกไปนอกโบสถ์ วิ่งมามากอบเอาบาปหนีไปนอกโบสถ์ คนที่ไปอ้อนวอนนึกว่าเขาจะมาช่วยเอาบาปออก นี่คือศาสนาแห่งการอ้อนวอนหลวงพ่อ พวกผมลูกศิษย์หลวงพ่อไม่เอาศาสนาแห่งการอ้อนวอน พวกผมช่วยตัวเอง ถ้ามันโกรธ เปลี่ยนความไม่โกรธเป็นความรู้สึกตัว ถ้ามันทุกข์เปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้สึกตัว เป็นการกระทำ อันนี้คนไต้หวันเขาก็ต่างกันในการนับถือศาสนาฝ่ายมหายาน
แม้แต่เราก็เหมือน ฝ่ายเถรวาทอ้อนวอน พึ่งอาศัยภายนอก เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้ อาศัยสิ่งภายนอก แม้จะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ไม่รอด ต้องพึ่งตนเองให้ได้ ถ้าเราทุกคนเป็นคนดี เราพึ่งความดีของเรา คนอื่นก็พึ่งความดีของเราได้ ไม่ใช่เราเอาดีจากภายนอกนะ นี่คือการกระทำของเรา ไม่ใช่อ้อนวอน อยู่ในสถานะแบบไหนก็ได้ ถ้าเราพึ่งตนเอง จะทุกข์ จะเดือดร้อน จะเจียนตายขนาดไหน มันก็มีที่พึ่ง ไม่ขาดไม่แคลนอะไร ถ้าเราพึ่งตนเองไม่ได้เป็นเบื้องต้น แม้คนอื่นจะช่วยเราก็ช่วยไม่ได้ เราจึงพึ่ง หัดให้มีความรู้สึกตัว ให้มันเป็นนิสัยเป็นปัจจัย ขอให้เป็นนิสัย ขอให้เป็นปัจจัย เพื่อถึงมรรคผลนิพพาน มันต้องมีนิสัยบ้าง หัดให้ตัวเองมีนิสัย นี่เราจึงมีเกี่ยวข้องกันลักษณะแบบนี้ ให้ได้ยินได้ฟังเอาไว้ อย่าให้จนเถอะพวกเรา มีเยอะ ๆ เลย คำสอนเนี่ย ไม่ใช่อยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับเรา เอามาไว้ในเรา น้อมเราเข้าไปหา ทำลงไป ศาสตร์แห่งบุญมีเยอะแยะ ศาสตร์แห่งกุศลมรรคผลนิพพานมีเยอะแยะ เห็นใบไม้ร่วงก็เป็นนิพพานได้ เห็นท่อนไม้ไล่มาตามแม่น้ำก็เป็นนิพพานได้ เห็นทุกข์ของคนอื่นก็เป็นนิพพานได้ เช่น พระอรหันต์สมัยก่อน โสเภณีเป็นโรค ร้องไห้ บ้านอยู่ใกล้วัด ได้ยินเสียงโสเภณีปวดโรคร้องไห้ พระสงฆ์อยู่วัดได้บรรลุธรรมเลย พระยสกุลบุตร ทุกข์ วุ่นวายเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน เดือดร้อนเหลือเกิน ความทุกข์เพื่อให้เกิดความไม่ทุกข์ หาความทุกข์เป็นเหตุ พระพุทธเจ้าก็อยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เดินจงกรมอยู่ตอนใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าขานตอบไป ที่นี่ไม่ทุกข์ ที่นี่ไม่วุ่นวาย มาที่นี่ มาที่นี่ ยสกุลบุตรก็เดินเข้าไปหา ฟังธรรม บางทีก็ต้องให้กันรู้ว่า ให้รู้จักช่วยกันเรื่องนี้ ยิ่งเราเป็นครอบครัว สามีภรรยากัน ยิ่งสนุกช่วยกัน กระตือรือร้นมากในเรื่องนี้ อย่าปล่อยปละละเลย ช่วยกันให้ได้ มันน่าภาคภูมิใจ ช่วยกันที่เป็นคนโกรธให้หายความโกรธ โอ้ย! ชื่นใจ ช่วยคนที่ทุกข์ให้หายเป็นทุกข์เนี่ย ชื่นใจ ชื่นใจมาก ๆ เลย ช่วยคนที่ทุกข์ช่วยให้ไม่ทุกข์ ช่วยคนโกรธไม่ให้โกรธ ช่วยคนหลงไม่ให้หลงเนี่ย เป็นหน้าที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว