แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน การฟังธรรม คือ การฟังเรื่องของเรา เรื่องของเราก็เรื่องกายเรื่องใจ ปัญหาเกิดจากกายเกิดจากใจ ปัญญาก็เกิดจากกายจากใจ เราจึงมาเอากายเอาใจนี้เป็นตำรา เอาสติเป็นนักศึกษา อ่าน ลำดับลำนำ ดู เมื่อไรเรามีสติ ความสงสัยก็หมดไป เมื่อไรเรามีสติ สิ่งต่าง ๆเกิดขึ้นจากกายจากใจก็เกิดจากเหตุ จะดับก็ดับที่เหตุ เมื่อเรามีสติ เหมือนอยู่บ้านพ่อ เพราะสติเหมือนอุปการะคุณเหมือนพ่อเหมือนแม่ ทางจิตวิญญาณ เมื่อเรามีสติ พระพุทธเจ้าก็อยู่เฉพาะหน้านั้นแล้ว ผู้ใดมีสติเห็นเหตุเห็นปัจจัยอันเกิดขึ้นจากกายจากใจ ผู้นั้นก็เรียกว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน ก็เริ่มต้นกำเนิดเกิดขึ้นเป็นโพธิ ก็คือสติ สัมปชัญญะ ที่มันมีอยู่กับเรานี้ทุกคน เหมือนเมล็ดพืช เหมือนเมล็ดโพธิ คือดวงปัญญา เราอย่าให้บอด
โพธินี้อย่าให้บอด มันบอดอาจจะบอดมานาน ไม่เคยรู้สึกตัวกับกายกับใจ กายใจก็เถื่อน ไม่เคยดูแลกาย ไม่เคยดูแลจิตใจ จิตใจก็เถื่อน กายก็เถื่อน จะสุขจะทุกข์ก็ได้ จะโกรธจะเกลียดก็ได้ จะรักจะอะไรก็ได้ เกิดขึ้นจากกายจากใจ ใช้กายผิดประเภท ใช้ใจผิดประเภท สำส่อน เป็นโสเภณีของกาย เป็นโสเภณีของจิต ไม่มีระเบียบ ไม่เฉพาะเรื่องเฉพาะราว ไม่ใช่ประโยชน์ อันที่ไม่มีโทษ สิ่งที่มีโทษก็มีโทษ สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็บอดไป มันหลง ก็หลง ก็หลงเรื่อยไป หลงเป็นหลงเรื่อยไป โกรธเป็นโกรธเรื่อยไป ทุกข์เป็นทุกข์เรื่อยไป ในความหลง มีความไม่หลง ไม่เคยใช้ ในความโกรธ มีความไม่โกรธ ไม่เคยใช้ ในความทุกข์ มีความไม่ทุกข์ ไม่เคยเอามาใช้ มันเป็นคู่กันอยู่ เราจึงมาดู มันจะเจอเข้า โชว์ ความหลงจะโชว์ให้เราเห็น เหมือนจอ เหมือนหน้าจอของรถที่มีสมองดี มันโชว์มันบอก น้ำมันหมดมันก็บอก ประตูปิดไม่แน่นมันก็บอก ไม่ใส่เข็มขัดมันก็บอก ถ้ามันผิด ไม่ปกติ มันจะโชว์
ชีวิตของเราต้องปกติ บ้านของกาย บ้านของใจ ต้องปกติ ถ้ากายใจไม่มีปกติ เรียกว่ากายใจไม่มีบ้าน พลัดถิ่น อาภัพอับจน กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเป็นเปลว กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด ไหลไป เวลานอนหาเรื่องมาคิด หาคำตอบจากความคิด เป็นสุขเป็นทุกข์กับความคิด ให้ความคิดพาเป็นสุข ให้ความคิดพาเป็นทุกข์ เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับสุขกับทุกข์ที่เกิดจากจิต คิดขึ้นมาแล้วน้ำตาไหล คิดขึ้นมาแล้วนอนไม่หลับ คิดขึ้นมาแล้วโกรธ คิดขึ้นมาแล้วชอบทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไร ก็หลง กายหลอกเรา ใจหลอกเรา ผีหลอกไม่กลัว คนหลอกไม่กลัว กลัวแต่ตัวเรานี้หลอกตัวเรา จึงมามีสติ มันจะโชว์ให้เราเห็น เวลามันหลงรู้ ในความหลงในความรู้ มันก็ปกติ บ้านของจิตคือปกติ กลับมาบ้าน เวลามันสุขรู้ เวลามันทุกข์รู้ อะไรก็ตาม ตัวรู้ สภาวะที่รู้เป็นตัวเฉลยปัญหาที่เกิดจากกายจากใจได้ มันจะเกิด ๘๔,๐๐๐ อย่าง ก็แก้ได้ทั้งหมด กลายเป็นปัญญาเสียแล้ว
ความรอบรู้ในกองสังขารชื่อว่าปัญญา สังขาร คือกายสังขาร จิตสังขาร แม้แต่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ก็เป็นปัญญาได้ ถ้าเราไม่รู้เป็นปัญหา ร้องห่มร้องไห้เสียใจ เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ รูปเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์ วิญญาณเป็นทุกข์ มีแต่ความทุกข์ ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว ถูกความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์นี้จะปรากฏชัดแก่เรา จึงมาทำตามพระพุทธเจ้า
อุททิสสะ อะระหันตัง คือ มาทำตามรอยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำยังไง สมัยเป็นสามัญชน ก็เหมือนกันกับเรา ตอนที่เกิดเป็นพุทธะขึ้นน่ะทำยังไง เราก็มาจับตรงนี้กัน ในคืนวันเพ็ญเดือนหก พระองค์ทำยังไง คู้แขนเข้ามีสติ เหยียดแขนออกมีสติ เริ่มต้นอยู่ตรงนี้ เราจึงมารู้สึกตัวนี่ มาดูตรงนี้กัน วิธีใดที่เราจะรู้สึกตัว หาลงไป เอาลงไป ประกอบลงไป คนผ่าฟืนก็ผ่าฟืนเพื่อให้คนได้มีสติ คนตำข้าวก็ตำข้าวเพื่อให้คนมีสติ ได้ความสะดวกการฝึกสติ คนปรุงอาหารก็ปรุงอาหารเพื่อให้ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่นี่มีสติ คนสร้างเสนาสนะที่อยู่อาศัยก็เพื่อให้คนที่อยู่นี่มีสติ มีน้ำมีไฟก็เพื่อให้พวกเรามาอยู่นี่มีสติ เพื่อให้คนเรามีสติ ไม่ใช่เพื่ออื่น ๆ ลองดู มารวมลงอันเดียวกัน ถ้ารวมลงที่มีสติ เหมือนกัน ใครก็คิดอยากให้ใครมีสติ อย่าไปทำให้คนอื่นหลง จะพูดจะทำอะไรก็ทำให้เพื่อนมีสติ อย่าทำให้เพื่อนมีความหลง ให้สะดวกในความรู้ จึงจะเรียกว่า กัลยาณธรรม กัลยาณมิตร ถ้ามีความคิดแบบนี้กัน ก็พากันไปสู่มรรคสู่ผลนิพพานได้ ถ้าทำให้เป็นอันอื่นก็เป็นอันอื่นไป
เราใช้ชีวิตของเราก็เพื่อให้มีสติ นอกจากเพื่อนกัลยาณมิตรแล้ว ให้เราช่วยตัวเรา ให้มีสติ การมีสติมันไม่ยาก หายใจเข้าก็รู้ ตั้งต้นตรงน้อย ๆ หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ ถ้าจะมีความสุขคือไม่ต้องไปที่ไหน ให้รู้ไปกับลมหายใจ สุขน้อย ๆ ปกติน้อย ๆ ก่อน้อย ๆ ไปก่อน อย่าไปหวังเอาน้ำบ่อหน้า วันนี้จะรู้ วันนั้นจะรู้ หนึ่งวันจะรู้ สองวันจะรู้ ไม่ใช่แบบนั้น ความรู้เป็นปัจจุบัน เป็นปัจจัตตัง ไม่ต้องรอ หายใจเข้ารู้นั่นแหละ หายใจออกรู้นั่นแหละ คือของจริง ถ้าไปเอานอกจากปัจจุบันแล้ว ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสอน สวากขาตธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อื่นใด ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ ผู้รู้จะรู้ได้เฉพาะตน เป็นของผู้รู้ ความรู้เป็นของผู้รู้ ผู้ใดรู้ผู้นั้นเป็นเจ้าของความรู้ ไม่ใช่เพศ วัย ลัทธิ นิกาย ศาสนา ชาติใดทั้งสิ้น ถ้ามีความรู้เป็นอันเดียวกัน ของจริงต้องเป็นอย่างเดียวกัน ของไม่จริงก็ของไม่จริง เป็นคนละอย่าง ถ้าเรามีสติก็เป็นคนคนเดียวกัน ถ้าเราหลง ก็เป็นคนละคน ก็พึ่งกันไม่ได้ ถ้าคนนั้นก็รู้ คนนี้ก็รู้ เป็นอันเดียวกัน อุ่นใจ มั่นคง ชีวิตของผู้รู้ก็มั่นคง เหมือนภูขาศิลาแท่งทึบไม่สะเทือนเพราะลม ผู้มีสติไม่สะเทือนเพราะนินทา สรรเสริญ
มันเป็นอย่างนี้ชีวิตน่ะมันจึงเป็นชีวิต ถ้าเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ใช่ชีวิต ฟู ๆ แฟบ ๆ ไม่ใช่ชีวิต มันไม่ยาก ปฏิบัติได้ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติ ผู้ศึกษา จะต้องรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่การปฏิบัติ ผู้ใดขยันรู้ก็ได้ความรู้ ผู้ใดขยันหลงก็มีความหลง เราขยันแบบไหนชีวิตเราที่ผ่านมา ขยันหลง จนความหลงนอนเนือง ครอบงำจิตใจ มืดบอด เหมือนก้อนเมฆ ปิดบังดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ แต่ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ไม่ได้บอด ก้อนเมฆต่างหากมาบังเข้า เวลาเราหลงเหมือนมีก้อนเมฆ เวลาเราโกรธเหมือนมีก้อนเมฆ เวลาเราทุกข์มีก้อนเมฆ ความทุกข์ ความหลง ความโกรธ ไม่ใช่จิตใจ จิตใจมันไม่เป็นอะไร มันเป็นปกติ เรียกว่าบ้านพ่อ เรียกว่าบ้าน ที่อยู่ของจิต บ้านของจิต ปกติ ประภัสสร ผ่องใส เหมือนผ้าขาวสะอาด แต่เดิมมันสะอาดอยู่ ผ้า แต่ใช้ไปไม่ระวัดระวังก็เปรอะเปื้อนได้ ทำไมผ้าสกปรกเศร้าหมอง จิตใจของเราก็เหมือนกัน แต่ก่อนจิตของเราประภัสสรผ่องใสอยู่เสมอ แต่อุปกิเลสมันจรมาทำให้จิตเศร้าหมอง กิเลสคือทำให้เศร้าหมอง ความหลงทำให้จิตเศร้าหมอง ความทุกข์มันทำให้จิตเศร้าหมอง ความโกรธ ความเกลียด ความวิตกกังวลต่าง ๆ เป็นการกระทำให้จิตเศร้าหมองต่างหาก จิตไม่เป็นไร เราเกิดมาถึงวันนี้ เราเคยช่วยเรื่องนี้ไหม จนเขามาใช้จนอิ่มไปเลย ถ้าได้โกรธแล้วก็ แสดงออกไป โทสะร้ายกาจ รับใช้ความโกรธ รับใช้ความทุกข์ รับใช้ความรักความเกลียดชัง มันก็ไม่ช่วย ไม่เคยช่วย ไม่เคยช่วยตัวเอง ก็มีโทษมีภัย ถ้ารู้จักช่วยก็มีประโยชน์ เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ เป็นผลแล้ว เปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้ เป็นผลแล้ว เปลี่ยนความโกรธเป็นความรู้ เป็นผลแล้ว ขณะที่เปลี่ยนอยู่เป็นมรรค ถ้ามันหลงไปรู้สึกตัวกลับมานี่ นั่นล่ะเป็นมรรคเป็นผล ไม่ไกล ถ้าเปลี่ยนอยู่บ่อย ๆ เปลี่ยนอยู่บ่อย ๆ
ปฏิบัติ คือ เปลี่ยน เปลี่ยนบ่อย ๆ เปลี่ยนบ่อย ๆ ถ้ามันรู้ รู้บ่อย ๆ ขยันรู้บ่อย ๆ ขยันรู้เรียกว่าภาวนา ขยันหลงก็เรียกว่าสังขาร สังขารเป็นทุกข์ วิสังขาร เปลี่ยนหลงเป็นรู้ เรียกว่า วิสังขาร เป็นนิพพาน ในสังขารมีนิพพาน ในทุกข์มีนิพพาน ในความร้อนมีความเย็น ในความมืดมีความสว่าง เป็นคู่กันอยู่ มองแบบไม่จน เวลามันโกรธไม่โกรธก็ได้ เวลามันทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ มีสิทธิไม่ทุกข์ เวลามันโกรธมีสิทธิไม่โกรธ เคยใช้สิทธิไหม หรือว่ายอมเลย เวลามันโกรธต้องรีบ รีบไปด่ากัน กลัวมันจะหายโกรธ มันจะไม่ได้ด่ากัน รีบ ไม่ใช้สิทธิ เวลามันโกรธ ถ้ามันอดไม่ได้ก็นับหนึ่งถึงสิบ หรือยกมือสร้างจังหวะ หายใจเข้านับหนึ่ง หายใจเข้าหายใจออกนับหนึ่ง หายใจเข้าหายใจออกนับสอง ถ้านับถึงสิบแล้ว ด่ากันไม่ได้ เพราะความโกรธมันจะลดลง ลดลง เราไม่รับใช้มัน ต่อไปก็ง่าย ต้องทวนกระแส มันหลง ทวนกระแสไว้
ก่อนที่พระสิทธัตถะจะได้ตรัสรู้ ทวนกระแส เสี่ยงถาด ลอยถาด อันเป็นบุคคลาธิษฐาน ฉันข้าวนางสุชาดาแล้ว สุชาดาถวายทั้งถาด ก็ถามว่า “เธอจะถวายหมดทั้งถาด” บอกว่า “ถวายทั้งถาด” พอฉันเสร็จก็นั่งอยู่ริมน้ำเนรัญชรา ก็เอาถาดลอยน้ำ ถ้าจะได้ตรัสรู้เป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ให้ถาดใบนี้ลอยขึ้นทางเหนือ ถ้าจะไม่ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณให้ถาดนี้ลอยลงไปทางใต้น้ำ ปรากฏว่าถาดลอยขึ้นเหนือไป ไปซ้อนกับถาดอีกก่อน ๆ จมลงไป กกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป องค์ที่สี่ องค์ที่ห้าไปซ้อนลงแก๊ก (หัวเราะ) ใช่มั๊ยพระพุทธเจ้านี่เป็นองค์ที่ห้า กกุสันโธองค์แรกพระพุทธเจ้า โกนาคมโนองค์ที่สอง กกุสันโธ อะไร..จำไม่ได้ พระเจ้าห้าพระองค์.. ตำราว่าอย่างนั้น กกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป โคตโม พระพุทธเจ้าเป็นโคตโม องค์ที่สี่ ห้าอะไรห้า กกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป อะไรห้า ห้าอยู่ที่ไหน (หัวเราะ) อาศัยจำนะไม่ใช่พระสูตรนะ มีพระสูตรเอามาดู ซ้อน ซ้อนองค์ที่สามที่สี่มา กาฬนาค ตื่นขึ้นพอได้ยินถาดทองซ้อนแก๊กลงไป กาฬนาคอยู่ในมหาสมุทร ตื่นขึ้นมา โอ้! พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อีกแล้วหนอ องค์ที่สี่ที่ห้าแล้วหนอ หลับไปอีกกาฬนาค ไม่ตื่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เกิดขึ้นมาในโลก ตั้งสามสี่พระองค์ กาฬนาคยังนอนหลับอยู่เฉย ใครเป็นกาฬนาคนะ ยังหลับไม่รู้เลย พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ ทั้งพระธรรมคำสอน อันเป็นไปเพื่อทางออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน มีแล้ว มีแล้ว เกิดขึ้นมาแล้วในโลกนี้
ถาดทองทวนกระแสคือยังไง คำว่าทวนกระแส ถ้าเป็นธรรมาธิษฐาน ถาดทองก็คือจิตใจของเราเนี่ย มันไปทางต่ำ หรือมันไปทางสูง ถ้าทางต่ำ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง มันต่ำลงไป ต่ำลงไป ถ้าไปทางสูง ความไม่หลง ความไม่โกรธ ความไม่ทุกข์ ความไม่โลภ ความไม่หลงไปทางสูง ไปทางสูง ๆ ใจของเราไปทางสูง เรียกว่ามนุษย์ ถ้าไปทางต่ำเรียกว่าคน “เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่แววขน ถ้าใจต่ำเป็นได้แต่เพียงคน” ถ้าใจต่ำเป็นคน คนคืออะไร ปนเปกันไป รู้จักคนไหม ทำยังไงคน ใช่ไหม เอามาปน ๆ กันคนเข้าไป มีพริก มีข่า มีปลาร้า มีผัก มีอะไร ปน ๆ ลงไป เรียกว่าคน สมชื่อจริง ๆ ทุกข์ก็เอา สุขก็เอา โกรธก็เอา รักก็เอา เกลียดชังก็เอา ดีใจก็เอา เสียใจก็คน ปนเปกันหมดเลย นั่นล่ะคน ไปทางต่ำ สูงขึ้นมา ไม่ปนเปกับใคร มีสติ ไม่เปรอะเปื้อนกับสิ่งใด เห็น ไม่เป็น เห็นทุกข์ไม่เป็นทุกข์ ไม่เปื้อนแล้ว ถ้ามีทุกข์ เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เปื้อนแล้ว เห็นความโกรธเป็นผู้โกรธ เปื้อนแล้ว เห็นความโกรธไม่เป็นผู้โกรธ ไม่เปื้อนเลย เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ เห็นมันเจ็บไม่เป็นผู้เจ็บ เห็นมันหิวไม่เป็นผู้หิว เห็นมันปวดไม่เป็นผู้ปวด สักแต่ว่ากาย กายสักแต่ว่ากาย สุขทุกข์ สักแต่ว่าสุขว่าทุกข์ คิดก็สักว่าคิด ไม่ใช่สัตว์บุคคล มันได้ไม่ปนเป มันเลยสะอาด เรียกว่าเป็นมนุษย์ ไม่ปนเป สูงไป สูงไป สูงไป สูงไป ใจมันสูงขึ้น สูงขึ้น สิ่งใดที่มันสูง สิ่งอื่นก็ทับถมไม่ได้ เหมือนกับถาดทอง รองรับลอยขึ้นไป
เหมือนพระท่านเทศน์ หลวงตาเคยเทศน์ เอาล่ะต่อนี้ไป อาตมาจะแสดง พระสัทธรรมเทศนา ตามสมควรแก่เวลา ขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลาย จงตั้งใจฟัง ให้เป็นโสตประสาท คอยรองรับรสพระสัทธรรม เหมือนถาดทองรองรับ เป็นถาดทองไหม รองรับรสพระพุทธพจน์ คือพระสัทธรรม สอนมานี้ ๔๐-๕๐ ปีแล้ว เป็นหม้อดินเหรอ พระธรรมเหมือนน้ำมันนะ หม้อดินมันใส่น้ำมันไม่อยู่ ซึมออกหมด ต้องเป็นทองเท่านั้นที่จะรองรับน้ำมันได้ พระพุทธเจ้าจึงเหมือนถาดทอง เปรียบเหมือนถาดทอง จิตใจเหมือนถาดทองรองรับพุทธพจน์รสพระธรรมเทศนา ถ้าจะเอาหม้อดินไปใส่น้ำมันนี่ทำยังไง ไม่มีหม้อทอง เราไปรับน้ำมันเรามีหม้อดินอยู่ทำไงไปรับน้ำมัน จะได้น้ำมันมา มีปัญญาบ้าง เรามีหม้อดิน แม่ชีอื่น ๆ มีหม้อทองไปรับน้ำมัน หาหม้อทองไม่ได้กับเขา จะทำยังไงจึงจะได้น้ำมันมา ในหม้อดิน มีปัญญาไหม มี ทำไง เอาหม้อดินไปแช่น้ำให้อิ่มก่อน หม้อดินแช่น้ำอิ่ม เปียกแล้ว ไปใส่น้ำมัน ถือมา ค่อยมาเปลี่ยน ถ้าหม้อดินแห้ง ๆ ไปใส่น้ำมัน ซึมออกหมดเลย ถือมาไม่ถึงบ้านแล้ว อันนั้นจึงมีปัญญาบ้าง เราจึงสร้างความรู้สึกตัว ให้รู้สึกตัว รู้สึกตัว ให้มันติด เวลามันหลงรู้ขึ้นมา อะไรก็ตาม สติ พูดแล้วพูดอีก เป็นตัวเฉลยปัญหาทั้งหมดทั้งสิ้น แก้ได้ทั้งหมด เหมือนสังขารเป็นวิสังขาร สังขารมันไม่เที่ยง วิสังขารมันไม่อยู่ในความไม่เที่ยง วิสังขารคือนิพพาน สังขารเป็นทุกข์ วิสังขารไม่เป็นทุกข์ มีอยู่ด้วยกัน มันหลงมีความรู้ตัวไม่หลง เห็นมันหลง เห็น ไม่เป็น เป็นมรรคที่สุดเลย
พระพุทธเจ้าเทศนาเรื่องแรก ๆ เรียกว่า ทาง มรรคคือเป็นทาง คืออะไรล่ะ มันสุขเห็นมันสุข ไม่เป็นผู้สุข นี่แหล่ะมรรค มันทุกข์ เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ มันร้อน มันหนาว เห็นมันร้อนมันหนาว ไม่เป็นผู้ร้อนผู้หนาว มันเจ็บเห็นมันเจ็บ ไม่เป็นผู้เจ็บ เอาล่ะสิ แยกไป แยกไป แยกไป จะเก่งเลยนะ เก่งจริง ๆ น่ะ มันก็เหนือเกิดแก่เจ็บตายได้แล้ว ถ้าแยกอย่างนี้ไป แยกไม่ได้ หายใจไม่ได้หรือไง เอาจริง ๆ นะ หายใจเข้า ไม่เข้า สามรอบ สี่รอบ ไม่เข้า ทำไงล่ะ แค่นั้นเองชีวิตของเรา หายใจเข้าไม่ออก หายใจออกไม่เข้า หมดแล้ว ชีวิตเราอยู่แค่ลมหายใจนะ หายใจไม่ได้ เห็นมันหายใจไม่ได้ ไม่เอาชีวิตไปไว้กับลมหายใจ ชีวิตต้องเป็นชีวิต แต่ไม่เสียชีวิตเพราะหายใจไม่ได้ เราจะอยู่ของเรา จะถึงเวลานั้นแล้วนะ แน่นอน (หัวเราะ) จะต้องถึงเวลานั้นแน่นอน ไม่มีใครยกเว้น ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ใช่ไหม อะไรเป็นของเที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ใช่ไหม ควรจะสังเวช ไม่ประมาท แล้วทำไง ถ้าไม่เหนือเกิดแก่เจ็บตาย จะมีค่าอะไรชีวิตเรา เกิดมาเพื่อแก่เพื่อเจ็บเพื่อตาย เวลาเจ็บเป็นทุกข์ เวลาตายเป็นทุกข์ เวลาแก่ไม่ทุกข์ไม่ได้หรือ เวลาเจ็บไม่ทุกข์ไม่ได้หรือ เวลาตาย ไม่ทุกข์ไม่ได้หรือ ฝึก ตายวันนี้ อย่ารอให้เฒ่าให้แก่เหมือนหลวงตานะ ตื่นแต่ดึกสึกแต่หนุ่ม
เดี๋ยวนี้ ชาวพุทธเราเมืองไทย กรรมฐานนี่ ยังน้อย มีแต่พิธีรีตองเก่งมาก ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ศาสนธรรม ไม่ค่อยเจริญ วัดป่าสุคะโตจึงจะรับผิดชอบเรื่องนี้ ให้เป็นศาสนธรรม อย่ามาดูอะไร ทุกคนมานี่มาดูตัวเอง พอที่อยู่ได้ก็อยู่ไป เราจึงมานี่ไม่ประมาท ความแก่ไม่เป็นทุกข์ ความเจ็บไม่เป็นทุกข์ ความตายไม่เป็นทุกข์ มีได้ในชีวิตเรานี้ การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเพื่อเรื่องนี้ ตั้งแต่เป็นเจ้าฟ้าชาย เห็นปัญหาเรื่องนี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้ แสวงหา ๖ ปี ได้คำตอบ เรื่องนี้ ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว จบ ความหลงจบลง ความทุกข์จบลง จะว่ายังไง มันต้องจบเป็น นั่นคือครั้งสุดท้าย เมื่อมีความหลงก็ต้องมีความไม่หลง เมื่อมีความทุกข์ ต้องมีความไม่ทุกข์ จะหลงจนตาย จะโกรธจนตาย จะทุกข์จนตาย ชีวิตเรามีประโยชน์อะไร อยากเป็นมิตรเป็นเพื่อน จะไม่พาหลงทิศหลงทาง ก็บอกกันอยู่เนี่ย ให้รู้สึกตัวนะ เวลามันหลงกลับมา หายใจเข้ารู้สึกตัว หายใจออกรู้สึกตัว เวลามันหลงคิดไปกลับมา หัดตรงนี้กัน หัดขีดหัดเขียน อนุบาลไปก่อน หัดไป หัดไป นั่งอยู่เฉย ๆ ก็ได้ เพราะมันไม่ใช่ ไม่ใช่อันนี้ เวลาเราจะตาย นอนอยู่ในห้อง ICU ไปยกมือสร้างจังหวะ ได้ไหม ยกมือไม่ขึ้น หายใจเข้า ครั้งที่สี่หายใจไม่เข้า หมดแรง น้ำลายฟูมปาก ว่าจะเอามือมาเช็ดปากยกมือยังไม่ขึ้นเลย (หัวเราะ) เออ! สุดยอดเลยเนอะ ยกมือไม่ขึ้นแล้ว ตาก็หลับไม่ลง ดูรูปหนอ น่าสงสาร มันหายใจไม่ได้ ก็ต้องไม่หายใจมันแล้ว แล้วจะอยู่ยังไง เราอยู่ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นอะไร จึงบอก สรุปไว้ ไม่มีไม่เป็นอะไร กับอะไรทั้งสิ้น มันสุขไม่เป็นสุข มันทุกข์ไม่เป็นทุกข์ อะไรก็ตาม ไม่เป็นอะไรกับอะไร ได้ยินบ่ (หัวเราะ) เมื่อไหร่จะหัด มันทุกข์ เป็นผู้ทุกข์ หรือเห็นมันทุกข์ ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ ยังเป็นอยู่ ถึงจะทุกข์เพราะความทุกข์ ถ้ามันทุกข์ยังเป็นผู้ทุกข์ ก็ยังจะทุกข์เพราะความทุกข์ ถ้ามันทุกข์เห็นมันทุกข์ จะจบลงไม่นาน ไม่นาน มันหลอกกันนะ เนี่ย ปฏิบัติ
ปฏิบัติ คือ กลับมาโต้ตอบทักท้วง ทักท้วงเรียกว่า ปฏิบัติ เปลี่ยน มันเปลี่ยนได้ชีวิตเรานะ พระสิทธัตถะสมัยเป็นเจ้าฟ้าชาย มองแบบนี้แหละ เมื่อมีเกิดต้องมีไม่เกิด เมื่อมีแก่ต้องมีไม่แก่ เมื่อมีเจ็บต้องมีไม่เจ็บ เมื่อมีตายต้องมีไม่ตาย มองสองแง่เลย หาคำตอบ เผอิญพระพุทธเจ้านี้หายใจเข้าคู้แขนเข้ามีสติ มันคิดไปกลับมา ต้องคิด ต้องหลง เออ! สภาวะที่หลงน่ะมันดี ถ้ามันหลงได้รู้นี่ โอ้ย! ดีมาก ถ้ามันสุขมันทุกข์ได้รู้นี่ แหม! มันดีจริง ๆ เนี่ยมันคิดไป ได้เห็นความคิดที่ไม่ตั้งใจ กลับมา สมน้ำหน้ามัน สมน้ำหน้าความทุกข์ สมน้ำหน้าความคิด เหมือนยุงบินมาจับไล่มันออก สมน้ำหน้ายุง ไม่ได้กัดเรา นอนในมุ้ง ยุงบินอยู่ข้างนอก (เสียงยุงบิน) สมน้ำหน้ายุงไม่มีโอกาสกัดเราได้ นอนในมุ้งฟังเสียงยุง อันความคิดความทุกข์ มันไม่ประสาอะไร เลวร้ายที่สุด หลวงตาเลยบอกว่า กิเลสเหมือนหมาตัวหนึ่ง เห็นไหม ช้างนั่นน่ะ เห็นช้างไหม ช้างยิ้มนะ ไปดูช้างยิ้มซิ ไปดูหมาสองตัวดูซิ สมน้ำหน้ามัน หมดท่าเลยหมา ไปดู ท่านเจ้าของช้าง อาจารย์สายหยุด เจ้าของช้าง เป็นของกลาง ของอาจารย์สายหยุด ผอ.วิทยาลัยพยาบาลพระบาท สงสารหมา หมดท่าเลยหมา หมดท่าจริง ๆ หมาสองตัวนั้น ไม่มีทางที่จะทำให้ช้างตื่นตกใจได้ ช้างเดินยิ้ม กิเลสเหมือนหมา สติเหมือนช้าง ยิ่งใหญ่ไหม หมากับช้าง หวั่นไหวอะไร หมาเห่า (หัวเราะ) เป็นอย่างนั้นนะ แต่มันสุขก็จะสุขไปหรือ หน้าบูดหน้าเบี้ยว มันโกรธก็โกรธไปหรือ แค่นั้นหรือคนเรา อะไรก็คอยจะโกรธหรือ ไปตื่นทำไม ความโกรธเหมือนหมาตัวหนึ่ง สติเหมือนช้าง หวั่นไหวอะไร หัดเอาไว้ (หัวเราะ) นะ ได้ยินไหม อยู่ที่ไหนหรือ ขอจากใคร เวลามันโกรธมีสิทธิไม่โกรธได้ไหม เคยใช้สิทธิไหม ใช้สิทธิไหมเวลามันโกรธ ไม่โกรธ มีบ้างไหม จนชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ต้องมีนะ อย่ายอมง่าย ๆ ปราชัย พ่ายแพ้ความโกรธ พ่ายแพ้ความทุกข์ เป็นคนต้องอาบัติปาราชิกร้ายแรง ไม่มีโอกาสได้ถึงมรรคผลนิพพานกับเขาเลย ปราชัย บาป โกรธเป็นบาป ไม่โกรธเป็นบุญ ใจร้ายเป็นบาป ใจดีเป็นบุญ ใจดีมีสวรรค์ ใจเย็นมีนิพพาน ใจร้ายไปนรก นั่นน่ะสมน้ำหน้ามัน ใจร้ายไปนรก ใจร้ายกินแซบไหม นอนหลับไหม เวลาโกรธนี่กินข้าวได้ไหม นอนหลับไหม สุขหรือทุกข์เวลาโกรธ นรกคือทุกข์ เราไม่ปิดนรกได้เดี๋ยวนี้ ไม่มีทาง อ้อนวอน ให้ถึงมรรคผลนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ เสร็จเลย ไม่มีทาง ต้องทำเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อ้อนวอน ปรารถนา เป็นการกระทำ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการกระทำ ไม่ใช่อ้อนวอน เดี๋ยวนี้ เปลี่ยนมันเดี๋ยวนี้ ใจเย็น ๆ เนี่ย ไม่หวั่นไหวมีนิพพาน ไม่หลง ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ เย็นแล้ว มอดแล้ว เหมือนไฟป่าสุคโตมอดแล้ว ไม่ได้ดับไฟอีกแล้ว มอดแล้ว เดี๋ยวนี้ไฟวัดป่า ไหม้วัดป่า มอดลงแล้ว อันนี้ไฟภายนอก ไฟภายใน มันก็มอดได้ เย็นแล้ว ไม่ฟูไม่แฟบ เย็นแล้ว