แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อเป็นส่วนประกอบกับการปฏิบัติธรรมที่เรากำลังทำอยู่นี้ ได้ฟังในสิ่งที่เราได้ทำ เราได้ทำในสิ่งที่เราได้ฟัง เอามาประกอบกัน สิ่งที่ได้ยินนี่เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของคนอื่น คำสอนพระพุทธเจ้าที่เราสาธยายให้เป็นเรื่องของเรา แต่เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ความรู้ ความหลง มันเกิดขึ้นไม่มีกาลไม่เป็นเวลา เราก็ต้องให้มันทันเหตุทันกาลของสิ่งที่มันเกิดขึ้น เช่น ...... หาเรา เราต้องปัดไปออก ในกาลนั้น ความหลงเกิดขึ้น เราต้องเปลี่ยนหลงเป็นรู้ ...... ความทุกข์เกิดขึ้น เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ เป็นภาวะที่รู้ ...... ถึงจะเชื่อ เป็นเรื่องปฏิบัติธรรม
นอกจากเกิดที่เหตุตัดที่เหตุแล้ว ก็ต้องให้มีความเตรียมพร้อมอยู่ ในการใช้ชีวิต เราสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้น มี ศรัทธาในการปฏิบัติ ในการทำความดี มีศรัทธาในการละความชั่ว มีเมตตากรุณา มีความรัก มนุษย์ทุกสรรพสิ่งจะไม่เบียดเบียนตนเอง จะไม่เบียดเบียนสิ่งอื่น คนอื่น มีจิตใจเบิกบาน เสียสละ ทำจิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ เป็นส่วนประกอบกับศรัทธากับสติที่เรากำลังทำอยู่ จะงอกงามได้ไว เหมือนต้นกล้าที่มีสิ่งแวดล้อมดี เจริญเติบโตได้ง่าย ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดี ก็เหี่ยวแห้งเฉาตายไปได้เช่นกัน
เราสร้างสติ เราทำความดี เราละความชั่ว ให้มีพลัง ทำความดี มีพลัง ละความชั่ว เป็นสิ่งแวดล้อมที่เราสร้างขึ้นมา ไม่มีใครสร้างให้เราได้ เราปลูกข้าว เราปลูกอะไรต่าง ๆ เป็นสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่นปีนี้ ชาวนาชาวไร่ ทำนาทำไร่ไม่ได้ เพราะอาศัยฟ้าฝนตามฤดูกาล แต่การสร้างอริยทรัพย์ ที่มันให้มีเกิดขึ้นในเราไม่มีฤดู ไม่มีกาล ไม่มีเวลา มีศรัทธาเหมือนหน้านา มีความเพียรเหมือนน้ำฝน มีสติเหมือน ข้าวปลูก ข้าวพันธุ์ พันธุ์พืช มีสมาธิคือเปลี่ยนร้ายเป็นดี เหมือนมีไถพลิกหญ้าลงไปในดิน เปลี่ยนหน้าดินที่ไม่มีหญ้าขึ้นมา เพื่อเหมาะแก่การปลูก หรือว่าสมาธิ หลงเปลี่ยนเป็นรู้ ได้อย่างชัดเจนแม่นยำ ไม่ต่อรอง มันทุกข์เปลี่ยนไม่ทุกข์ มันโกรธเปลี่ยนไม่โกรธ เรียกว่าสมาธิ
เหมือนคราด เหมือนไถ เวลามันหลงเปลี่ยนหลงเป็นรู้ เหมือนมีปัญญา มันมีนา มีน้ำฝน มีข้าวพันธุ์ ข้าวปลูก มีคราด มีไถ มีปัญญา รู้จักไขน้ำเข้า ไขน้ำออก รู้ตรงไหนที่มันท่วมปล่อยออก ตรงไหนที่มันแห้งขังให้พอดี ให้มันเกิดมิตรภาพ เหมือนกับสร้างถนนมิตรภาพ จากบ้านไผ่ขอนแก่นถึงเชี่ยวน้ำ ...... ไม่กระเพื่อม ไม่สะเทือนเลย มันเป็นมิตรภาพ ที่มันเป็นมิตรภาพได้ เพราะเขาทำ ตรงไหนที่มันสูงตัดลง ที่ไหนที่มันต่ำสูงขึ้น ตรงไหนที่เป็นทางน้ำ ทำสะพานหรือฝังท่อให้มันผ่าน มิตรของเราเป็นอย่างนั้นได้
ความไม่เที่ยงปล่อยมันไป ความไม่ทุกข์ปล่อยมันไป ตนไม่ใช่ตัวตน ปล่อยไป ให้เป็นทางไป อย่าไปยึดมั่นถือมั่น กักขังไว้ ให้ความทุกข์ ความโกรธนอนอยู่กับชีวิตเราข้ามวันข้ามคืน มีแต่เสียหาย ปล่อยมันไป สละอารมณ์เน่าให้เป็น ตรงไหนที่มันอ่อนแอเข้มแข็ง หลงเป็นหลง อ่อนแอ หลงเป็นลู่ ...... เข้มแข็งขึ้น ตรงไหนที่มันตึงเครียดจริงจังเกินไป ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก มันแข็งเกินไป ให้เห็น มันเป็นเรื่องผิด มันเป็นเรื่องถูก อย่าไปจริงกับมัน เห็นธงอยู่ตรงกลาง เห็นมันผิดเห็นมันถูก ถ้ามันผิดแล้วไม่ชอบ ถ้ามันถูกชอบ มันเป็นบวกเป็นลบ อารมณ์บวกลบ มันกระทบกระเทือนต่อชีวิตเรา ให้มันอยู่ตรงกลาง เห็นมันผิด เห็นมันถูก เห็นมันหลง เห็นมันรู้
ดี๊ดีสติเนี่ย มันเป็นศิลปะแห่งการรับ เหมือนแม่รับลูกน้อยที่วิ่งเข้ามาหา ถ้ารับไม่เป็นลูกก็เจ็บ แม่ผู้รับลูก โอบมือไว้ พอดี พอดี ก็จะสัมผัสพอดี ตาเห็นลูก หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส จิตใจคิดนึก มีการสัมผัส การสัมผัสเนี่ยสำคัญที่สุด อย่าด่วนรับ อย่าด่วนปฏิเสธ ไม่ด่วนรับ ไม่ด่วนปฏิเสธ วางไว้ก่อน รู้ไว้ก่อน ได้ยินไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปสุข อย่าเพิ่งไปทุกข์ อย่าเพิ่งไปชอบ อย่าเพิ่งไปไม่ชอบ หัดจากนี้เรียกว่าศิลปะ หรือว่า ศิลปศาสตร์ ศาสตร์แห่งชีวิต ไม่กระทบกระเทือน นอกจากเรามีสติแล้ว มันก็มีสิ่งอื่นที่เราจะต้องให้เป็นส่วนประกอบไปด้วย ทำความเพียรแบบแห้งแล้ง มีสติแบบแห้งแล้ง ก็มี เซ็งจัง หน้าดำคร่ำเครียด ไม่รู้จักทำใจ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เคยคิด ช่างหัวมันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่เคยว่า ไม่เคยวางใจลักษณะแบบนี้ มีแต่ผิด มีแต่ถูก มีแต่ขยัน มีแต่เกียจคร้าน ให้ความเกียจคร้านพาหยุด ให้ความขยันพาทำ ให้ความพอใจความไม่พอใจผ่านอยู่เสมอ อาศัยชีวิตเราอยู่เสมอ มันก็ไม่เหมาะที่จะได้บรรลุธรรม
ผู้ที่ได้บรรลุธรรมนั่น วาง อย่างพระอานนท์เนี่ย เอาจริงจัง เหมือนหนึ่งคือหนึ่ง ไม่รู้อะไรเลย พอมาเห็นตัวเองหมดเรี่ยวหมดแรง นั่งตั้งแต่ย่ำค่ำถึงแสงเงินแสงทองขึ้น คิดว่าตัวเองจะไม่ได้หลับได้นอน ก็เลยวางใจสักหน่อย พักผ่อนเอาแรง สู้อีกสักหน่อย งีบสักหน่อย วางใจไม่อยากยุุ่ง ไม่เคี่ยวไม่เข็ญ ไม่รีดแรงงานขนาดนั้นน่ะ บรรลุธรรมทันที ขณะที่วางใจลง ไม่ใช่เวลาที่รูปแบบ นอกรูปแบบ บรรลุธรรมนอกรูปแบบ ไม่ได้อยู่ในอิริยาบถนั่ง ไม่ได้อยู่ในอิริยาบถนอน ไม่ใช่อยู่อิริยาบถยืน เดิน นอกรูปแบบ ...... ให้มีประสบการณ์หลาย ๆ อย่าง สิ่งไหนที่เกิดขึ้น อย่าเพิ่งไปหาคำตอบจากความคิด ปัญหาเกิดขึ้น จากอะไร ที่มันเกิดขึ้น อย่าหาคำตอบจากความคิด ให้เอากรรมคือการกระทำ ทำไปก่อน
บางทีคิดจะไปถาม มันเกิดอะไรขึ้น คิดจะไปถาม ไม่มีผู้ที่จะถาม ไม่รู้ใครจะเป็นคนตอบให้ ก็เลยผิดพลาดไป บางทีไม่ต้องคิดจะไปถาม เวลาคำถามมันเกิดขึ้น ต้องมีการกระทำไปก่อน เดินจงกรมไปก่อน ไม่เป็นไร มีสติไปก่อน มีสติไปก่อน เหมือนข้อสอบ ข้อสอบบางแบบหรือว่า ปรนัย เขาให้ข้อเขียนมาให้ขีดเอา อ่าน ๆ ดูแล้วข้อไหนมันตอบไม่ได้ อย่าเพิ่งไปคิดมัน ตอบข้อที่มันตอบได้ก่อน ขีดไปข้อที่มันตอบได้ก่อน ถ้าขีดไปข้อที่มันตอบได้ มันตอบได้ มันตอบได้ มาดูข้อที่มันตอบไม่ได้ มันอาจจะตอบได้ทีหลังก็ได้ ง่าย ๆ อย่าไปคิด อย่าไปจน ตรงไหนที่มันจน อย่าไปหาเหตุหาผลกับมัน ทำไม ๆ ๆ คิดว่าจะสอบได้ คิดว่าจะสอบได้ มันไปไกลเสียแล้ว สงบ ๆ ไว้ก่อน ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
อารมณ์ลบมันก็ไม่ดีมาก ๆ มันจะทำให้สูญเสียสมองด้วย เรียนไม่เก่ง คิดไม่ออก บางทีก็เครียดไปเลย การปฏิบัติธรรม ถ้าทำ ...... ว่าสนุก มีแต่หัวเราะ มีแต่ความนิ่งไว้ในใจเสมอ มันหลงก็หัวเราะความหลง ความรู้ก็หัวเราะความรู้ ความสุขหัวเราะความสุข ความทุกข์หัวเราะความทุกข์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหวกับเรื่องใด นี่เรียกว่า พราหมณ์ ...... ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ ทว่ามีเพียรมีสตินั่นน่ะ เวลาปัญหาเกิดขึ้น เมื่อมีเพียรมีเพ่อยู่ เหมือนพระอาทิตย์กำจัดความมืด ปัญหานั้นย่อมผ่านไป กลายเป็นปัญญาไปเลย ปัญหากลายเป็นปัญญา ทุกข์กลายเป็นปัญญา ถึงจะเห็น แต่เป็นลักษณะเดียวกัน
ภาวะที่สุข ภาวะที่ทุกข์ ภาวะปัญหา มีลักษณะเดียวกัน ไม่กระทบกระเทือน ความผิดความถูกไม่กระทบกระเทือน ก็มีเพียรเพ่งอยู่ ไม่หวั่นไหว เหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบไม่สะเทือนเมื่อลม ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ไม่สะเทือน เพราะอารมณ์ที่มากระทบ มีสติสัมปชัญญะ มีความเมตตากรุณา จิตใจเบิกบาน เสียสละอยู่เสมอ ไม่จน ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นให้เรามีความยินดียินร้ายได้ ในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง มันทะลุทะลวงไปได้ นินทาก็เท่ากัน สรรเสริญเท่ากัน สุขทุกข์เท่ากัน ไม่มีรสชาติ ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์ผู้ลอยบาป พราหมณ์เป็นผู้ลอยบาป บาปคือสิ่งที่เป็นทุกข์ มาเท่าใดลอยหนีที่นั่น ไม่ใช่พราหมณ์นุ่งขาวห่มขาว ใจบริสุทธิ์ มีสติ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี
แม้มันจะเกิดขึ้นในอายตนะ ...... ภายใน นั่งนานปวดหลัง ปวดเข่าคอ ปวดขา อย่าเอาความปวดมาเป็นทุกข์ เห็นมันปวด มันปวดไม่ต้องให้เกิดทุกข์ อดทน แล้วก็กลายเป็นสิ่งเราไป ...... แต่ก่อนปวดเป็นปวด สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ พอมาดูเข้าไป มีสติเข้าไปมันจะเห็น มันจะเห็น มันไม่เป็น เป็นจริง มันต้องมีจริง มีกาย ....... ก็มีหลง มีกาย ...... ก็มีรู้ ตรงที่มันหลง ไม่หลงเป็นความรู้ มีสติ ตรงที่มันสุข ไม่สุข เห็นมันสุข มีสติ ตรงที่มันทุกข์ ไม่ทุกข์ มีสติ แล้วก็จึงจะเป็นทางลาดเอียงไปสู่มรรคสู่ผล ถ้าไม่ลาดตรงนี้ มันสุขเห็น มันสุข ลาดแล้ว เทียบท่า เหมือนเรือขึ้นฝั่ง เรือเทียบท่า ถ้าสุขเป็นสุข ไม่มีท่า ชัน ถ้าเป็นทางก็เป็นหน้าผา ขึ้นไม่ได้ ถ้าเป็นน้ำก็เป็นฝั่งที่สูงขึ้นไม่ได้ ...... ขึ้นไม่ได้ ลอยคอ สุขเป็นสุข ไม่ว่าชีวิต ลอยคอ ทุกข์เป็นทุกข์ ลอยคอ เราก็เหนือสุข เหนือทุกข์น่ะได้ ถ้าเห็นเนี่ยมันตื้นขึ้น เห็นเรือเทียบท่า ก้าวขึ้นง่าย เห็นไม่เป็นเนี่ยง่าย เป็นแล้วนี่มันยากที่จะทำให้ไม่เป็นสุข ถ้าเป็นทุกข์ก็เป็นผู้ทุกข์ ถ้าเป็นสุขก็เป็นผู้สุข เราก็ขึ้นไม่ได้
ถ้าพระนิพพานเป็นฝั่งเรียบ ๆ มันก็ง่าย เช่น สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ มันก็ยาก ถ้าสุขเห็นมันสุข ทุกข์เห็นมันทุกข์ มันเป็นอย่างนี้ก็ลาด เหมือนทะเล ทะเลนี่มันลาดลงไป เหมือนก้นกระทะ ถ้าเห็นนี่ เหมือนลาดลงไป ต่ำลงไป ต่ำลงไป ถึงทะเล ถ้ามันชันอยู่มันก็เป็นหน้าผา มันจะไปไม่ได้ แม้แต่เรือก็เดินไปไม่ได้ เช่น แม่น้ำโขง สี่พันดอน หลี่ผี ...... ไปดูที่แม่น้ำโขง ที่มันไหล มันเป็นหน้าผาตรงนั้น ที่มันไปสู่เขมร เวียดนาม มันสูง ตกลงไปที่หลี่ผี ...... มันสูงมาก เป็นหลายเมตร เป็นสองเส้นน่ะ โดดลงไป มันสูง ที่หนึ่งมันสูงที่หนึ่งมันต่ำ ...... เขมรต่ำ มันก็ต่ำจริง ๆ ไปทางนั้นน่ะ อันนั้นมันขึ้นไม่ได้ เรือวิ่ง แม่น้ำโขง ไปสู่ที่นั้น ก็ไปไม่ได้ อยู่ที่แถวนครจำปาศักดิ์ ปากเซ เวียนขึ้นมาใหม่ตรงนั้น ไปไม่ได้ มันเป็นหน้าผา ขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ ลงก็ลงไม่ได้
ชีวิตเรามันเป็นหน้าผา สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ เป็นหน้าผา ถ้ามีสติ เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์ มันจะลาดขึ้นฝั่งได้ง่าย ถ้าขึ้น ขึ้นง่าย ถ้าลง ลงง่าย เหมือนทางขึ้นเขามาสู่ประตู ถ้า ...... มันเป็นหน้าผา ต้องทำให้มันลาด มันขึ้นมาได้ ชีวิตเราก็เหมือนกันมันเป็นหน้าผา สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ มันไม่มีทางที่จะไปถึงมรรคถึงผลได้ ...... เห็นตั้งแต่ก้าวแรก เห็นกาย ...... ว่ากายเนี่ย อะไรที่เกิดขึ้นกับกายไม่ใช่เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นตัวเป็นตน ความร้อนก็เป็นตน ความหนาวก็เป็นตัวเป็นตน ความโกรธเป็นตัวเป็นตน ให้เห็นมันปวด เห็นกายที่มันปวด เดี๋ยวมันร้อนเดี๋ยวมันหนาว เดี๋ยวมันหิว มันไม่ใช่ตัวใช่ตน เป็นสักว่า ขอบคุณมัน มันร้อนเป็น หนาวเป็น หิวเป็น ปวดเป็น ขอบคุณมัน ไม่ใช่เป็นสุขเพราะความร้อน เป็นทุกข์เพราะความร้อน เป็นหนาวเพราะความร้อน เป็นทุกข์เพราะความหนาว เป็นทุกข์เพราะความหิว กลายเป็นสักว่า ลาดแล้ว เทียบท่าได้ กายสักว่ากาย ไม่ใช่ ......
เป็นสุขเป็นทุกข์ที่เกิดกับชีวิตทั้งหมด เรียกว่าอารมณ์ มีคู่ เรียกว่า เป็นคู่ผลบวกลบ สุขทุกข์ เห็นมันสุขไม่ใช่เป็นผู้สุข เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ มันสุขทุกข์ มีค่าเดียวเห็นมันสุขเห็นมันทุกข์ มันทุกข์มันเป็นทุกข์ สุขมันเป็นสุข สักแต่ว่าเวทนา สักว่า เวทนา ไม่ใช่สักบุคคล ตัวตน เรา เขา ...... ที่มันคิด บางทีที่มันคิดอะไรนึกว่าตัวว่าตน มันคิดที่เป็นสุขก็สุข มันคิดที่โกรธก็โกรธ มันคิดให้เป็นทุกข์ก็ทุกข์ เวลานอนความคิดเกิดขึ้นนอนไม่หลับเพราะความคิด คิดขึ้นมาโกรธน้ำตาไหลก็นี่เป็นทุกข์ เพราะความคิด เกิดคิดขึ้นมาเกิดความรัก ก็รักเพราะความคิด คิดขึ้นมาเกิดความเกลียดชัง เกิดความเกลียดชัดเพราะความคิด เอาจิต เอาความคิดเป็นชีวิตไปเป็นภพเป็นชาติ
เมื่อเรามาดูมัน เห็นจิตก็สักว่าจิต มันไม่ใช่ ...... ไม่ใช่หาคำตอบจากความคิดทุกอย่าง คำตอบมันเกิดจากการกระทำ ไม่ใช่เกิดจากความคิด ...... ไม่สนตัวเอง เวลานอนหัดนอน หายใจเข้า หายใจออก สัก 10 นาที 20 นาทีอย่าเพิ่งให้หลับ ขอไว้ อย่าเพิ่งหลับ อย่าเพิ่งหลับ วางขา วางแขน ผ้านุ่งผ้าห่มเรียบร้อย นอนหงาย หายใจเข้าให้ท้องพอง หายใจออกท้องยุบ มีสติดู สัก 10 นาที 15 นาที ...... ปล่อย ...... วางให้หลับ เวลานอนอย่าหาเรื่องมาคิด ไม่ดูแล ปล่อยให้ความคิด คิดไปก็หลับ ก็หลับด้วยความคิด เป็นความฝันไป กลางคืนก็ว่าฝัน กลางวันก็ว่าคิดไป ไม่สอนตัวเอง ...... อย่าให้เป็นสุขเป็นทุกข์ความคิด เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนกับความคิด แล้วแต่ความคิดจะพาให้เป็นอย่างไร ให้มั่นใจ มั่นใจตัวเอง จะคิดอย่างไร จะทำอย่างไร มันคิดไรก็ไปตามความคิด มันไม่ถูกต้อง เสียเปรียบ ผิดพลาด มีสติ เห็นจิต เสวยจิต ...... ไม่ใช่สัตว์ ...... บุคคลตัวตนเราเขา ไขกุญแจแส้โซ่ตรงนี้มันก็หลุดไป ไปได้
อะไรก็อยู่ในหลักสูตรแบบนี้ เป็นเกณฑ์เป็นหลักสูตร เหมือนเราเรียนภาษาไทย คณิตศาสตร์ หลักสูตรยังใช้ได้ ไปประกอบกับอะไรก็ใช้ได้ เรามาได้สูตรมัน สูตรของชีวิตเรียกว่าอารมณ์ ถ้าลองไปได้หลัก เห็นหลักแหล่ง มันหลงตรงไหน มันรู้ตรงไหน ตรงที่มันหลงกลายเป็นความรู้ ตรงที่มีปัญหากลายเป็นปัญญา แต่ก่อนทุกข์เป็นทุกข์ มานี่ทุกข์เป็นปัญญา เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ อะไรต่าง ๆ เห็นมันเลยไม่เป็นอะไรกับอะไร ชีวิตเรามันต้องได้มาตรฐาน ถ้าเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ไม่ได้มาตรฐาน มันยังมีคลื่น ฟู ๆ แฟบ ๆ ถ้าเห็นเนี่ยมันเป็น กลางมาตรฐาน เห็นมันสุขเห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้สุขไม่เป็นผู้ทุกข์ อะไรอยู่ในหลักนี้ เรียกว่า ชีวิตมาตรฐาน ชีวิตแบบนี้เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย ต้องฝึกเอาเอง ลองมาทำก็เห็นทันที เห็นอะไร มีสติ เห็นมันหลง เห็นมันรู้ แต่ก่อนหลงเป็นหลง พอมาฝึกหัด หลงกลายเป็นคนรู้ มันเป็นได้จริง ๆ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ อะไรมันถูกต้อง ความหลงถูกต้องไหม ความรู้ถูกต้องไหม เมื่อได้เปรียบอย่างนี้ได้เห็นอย่างนี้ มันน่าจะขยัน ได้ของจริง ได้ปรมัตถ์ สภาวะธรรม ได้เห็นสมมุติ ได้เห็นปรมัตถ์ ได้เห็นวัตถุอาการ ที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตเรา
ความหลงเป็นสมมุติ ความไม่หลงเป็นปรมัตถ์ ปรมัตถ์คือมันจริง สมมุติไม่จริง ความทุกข์เป็นสมมุติ ความไม่ทุกข์เป็นปรมัตถ์ ความโกรธเป็นสมมุติ ความไม่โกรธเป็นปรมัตถ์ วัตถุคือกาย อาการที่เกิดขึ้นกับกายก็มี มีร้อน มีหนาว มีปวด มีเมื่อย มีหิว ดูอาการ กายเป็นวัตถุอันหนึ่ง เมื่อไม่มีกาย มีรูป มีอาการที่เกิดขึ้นบนกายนี้ ทุกชีวิตเหมือนกันหมด ฝนตกก็หนาว ละอองฝนก็หนาว แสงแดดก็ร้อน เหมือนกันหมด ???รูปเนี่ย เรียกว่าวัตถุอาการ แล้วก็นอกจากรูปเนี่ย ยังมีตา มีหู มีจมูก ลิ้น กาย ใจ มีคู่ มีรูป มีรส มีกลิ่น มีเสียง
กายเป็นวัตถุ รูปเป็นวัตถุ อาการที่มันเห็น มันมีอาการเกิดขึ้น มีอาการเห็น ในภาวะที่มีอาการเห็นมันมีสมมุติบัญญัติ ไปบัญญัติลงไปว่าชอบว่าไม่ชอบ เพียงแต่ตาเห็นรูป บัญญัติไปว่าชอบว่าไม่ชอบ เรียกว่า สมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ ปรมัตถ์สัจจะ อันความชอบก็ไม่ชอบ ไม่เที่ยง ในความชอบก็ไม่ชอบ ในความรักก็มีความไม่รัก มีความรักกันทีแรกก็สมมุติว่ารัก ต่อไปก็จะเกลียด ฆ่ากันตายเพราะความรัก ทิ้งกันไปเพราะความรัก เกลียดกัน เพราะความรัก มันไม่เที่ยง สมมุติบัญญัตินั้น ในโลกนี้สัตว์โลกติดอยู่ในสมมุติบัญญัติ เหมือนปลาติดเบ็ด ถ้าบัญญัติเอาตามกัน บัญญัติเอาตามกัน ไม่ใช่ปรมัตถ์สัจจะ เพราะมันมีการสัมผัส มีสมมุติอยู่ตรงนั้น ไม่มีสติ พอสมมุติบัญญัติ การชอบว่าไม่ชอบก็มีอุปทานเข้าไปต่ออีก ยึดมั่นถือมั่นไว้ อุปทานยึดไว้ ก็กลายเป็นภพเป็นชาติ ชรามรณะ เกิดดับ เกิดดับตรงนี้
หลง ...... ก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง เสียง ...... ก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง เวลามันสัมผัสกัน เรียกว่าวัตถุมีอาการเกิดขึ้น ต้องไปบัญญัติเอา สมมุติบัญญัติว่าชอบว่าไม่ชอบ มีอุปทานเกิดขึ้น อุปทานเกิดขึ้นกลางสัมผัส สมมุติบัญญัติเนี่ย เป็นภพ เป็นชาติ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก เดรัจฉานก็มี รวมกันไป ถ้าเป็นอย่างนี้เรียกว่าชีวิตของคน คนเนี่ยมันปนกัน คุ้มร้ายคุ้มดี ไม่ปลอดภัย ไม่ปลอดภัย คนนี่ตกนรกมากเท่ากับ ...... ไปทางต่ำ ความชอบ ความไม่ชอบมันไปทางต่ำ ถ้าเห็นมัน ไม่เป็น เรียกไปทางสูง เรียกว่ามนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่ถึงมรรคถึงผล ไม่ใช่คน มันเป็นมนุษย์เป็นคนตรงนี้ ตรงที่ผัสสะ ระหว่างตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส จิตใจมันคิด มันเป็นวัตถุอยู่ ทุกคนมีวัตถุ เหมือนกัน มีการสัมผัสเหมือนกัน แต่บัญญัติต่างกัน ถ้าชอบไม่ชอบ สมมุติบัญญัติ 100% ถ้าเห็นมันสุขหรือมันทุกข์เนี่ยปรมัตถ์สัจจะ ไม่เป็น ภพชาติ ตรงนี้ไม่มี เรียกว่า "ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว" พระพุทธเจ้าอุทานออกมา เพราะเห็นเรื่องนี้ เมื่อมีอุปทานเกิดขึ้นเป็นภพเป็นชาติไป เสียเปรียบความโกรธ เสียเปรียบความรัก อกหักเพราะความรัก ผิดพลาดเพราะความโกรธ เพราะสมมุติบัญญัติ อุปทานคิดว่า เราว่าของเรา เสียเปรียบความโกรธ อกหักเพราะความรัก ผิดพลาด เช่น บางคนฆ่ากันตาย พอฆ่าเขาตายแล้วก็เสียใจ ผิดพลาด
...... สมัยอยู่เมืองเลย มีลูกชายฆ่าพ่อตัวเองตาย ให้เมียตัวเองอยู่บ้านกับปู่ ปู่ก็อาจจะบ่นให้ลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้โกรธปู่ ขับรถวิ่งออกไปหาสามีของตัวเอง บอกว่าปู่ด่า อย่างนั้นอย่างนี้ พอลูกชายได้ยินว่าปู่ด่า พ่อด่าเมียก็โกรธพ่อ ไม่ได้ยับยั้งชั่งใจ พอได้ยินก็โกรธ โกรธเกิดขึ้นจากสมมุติบัญญัติว่า ไม่ชอบ พอความโกรธเกิดขึ้น ทำตามความโกรธ เอาปืนลูกซอง ...... ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาบ้าน ...... ปู่ พอปู่นั่ง มาเห็นพ่อของตนนั่งสานตะกร้าอยู่นอกชาน ก็เหนี่ยวปืนขึ้นยิง ปู่เอามือ ...... บังใบหน้าไว้ “อย่ายิง อย่ายิง” ยิงปืนใส่หน้าปู่ ถูกมือทะลุใส่หน้าผาก ตายลงทันที พอเห็นพ่อตายแล้วก็ มันก็เปลี่ยน จิตใจที่มันโกรธ พอเห็นปู่เห็นพ่อตัวเองตาย แล้วก็เสียใจทันที “พ่อกูตายแล้ว พ่อกูตายแล้ว” วางปืนขึ้นไปบนบ้าน ไปดูพ่อโกรธ พ่อร้องไห้ เสียใจเลย เอาคืนก็เอาคืนไม่ได้เพราะพ่อตายไปแล้ว เพราะทำตามความโกรธ มีเหมือนกัน รู้สึกว่า เก็บศพพ่อของตัวเองอย่างเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นรถเข้าไปโรงพัก มอบตัว สารภาพ ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาจะออก มันเสียเปรียบความโกรธ เพราะอะไร เพราะอารมณ์ ไม่ใช่จิต
ความโกรธเป็นอารมณ์ มันจรมา เป็นอาคันตุกะ แต่ว่าอาคันตุกะทุกข์ ความโกรธเป็นอาคันตุกะทุกข์ไม่บรรเทา ละทันที การโกรธเปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธทันทีจึงถูกต้อง ถ้าทำตามความโกรธไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เราอยู่คนเดียวในโลกนี้ต้องมีศิลปะเรื่องนี้เอาไว้ เช่น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะต้องเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ เพื่อนร่วมงานระวังตรงตัวเรานี้ เกี่ยวข้องกับคนอะไรต่าง ๆ วันหนึ่ง วันหนึ่ง มีแต่คนเจ็บคนป่วย ต้องรีบต้องร้อน กายมันรีบแต่ใจมันเย็น มีความเมตตากรุณา ออกหน้าออกตา คิดสิ่งใด ทำสิ่งใด พูดสิ่งใด ได้ยินได้เห็นสิ่งใด มีความเมตตากรุณา จิตใจเบิกบานเสมอ เสียสละอารมณ์เน่าเสมอ จาคะสละอารมณ์ออกมาอยู่เสมอ เพื่อให้จิตใจเบิกบานแจ่มใสจะสนุก ไปช่วย ไม่มีงานอะไรที่เป็นกุศล เท่ากับการช่วยเหลือคนที่มีปัญหา มีแต่เขามานินทาเรา เขาไม่รู้ คนที่ไม่รู้ เพราะอะไร มันไม่รู้ มันหลง ไปหาเรื่องกับคนหลงไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ เอาเหตุเอาผลไม่ได้ คนที่มีความหลง มันอยู่ภูมิมันต่ำ เหมือนพวกปรชิกตูปชีวี ...... จะอธิบายให้มันฟังมันไม่รู้ มันเสวยกรรมของเขา เช่น ความโกรธ เราจะไปสอนคนที่โกรธไม่ได้ เหมือนปรชิกตูปชีวี ...... ภูมิมันต่ำ ภพภูมิมันต่ำ มันจะอธิบายให้รู้จักบุญรู้จักบาปไม่ได้ เขาบริโภควิบากกรรมของเขา
คนที่มีวิบากกรรมเป็นภพภูมิต่ำ เช่น ความโกรธเขาพอใจในความโกรธ ไม่อยากจะทิ้งความโกรธเอามาคิด หลายปีก็เอามาคิดเรื่องความโกรธ คิดขึ้นมาทีไรโกรธทุกที เขาก็พอใจที่จะโกรธ มีใครไปห้ามเขา เขาไม่ยอม ไม่โกรธไม่ได้ ไม่โกรธไม่ได้ เรียกว่าวิบากกรรมของเขา ...... เช่น นิทาน เพื่อนกัน คนหนึ่งทำแต่ความดีเสียสละได้อยู่สวรรค์ คนหนึ่งไปทำแต่ความชั่วได้อยู่นรก ตายไปแล้วคิดถึงกันอยู่ ตามหาเพื่อน คนที่อยู่ในสวรรค์ไปเห็นเพื่อนเป็นหนอนอยู่ในห้องส้วมพระ ก็เรียกขึ้นมา
"เพื่อนเอ๊ย มาอยู่นี่ทำไม ขึ้นมา ขึ้นมา"
"ไปอยู่ด้วยกันกับเรา ไปอยู่เมืองสวรรค์มีความสุข มีอะไร ๆ มาอยู่นี่ยังไง"
เพื่อนที่ตายไปเป็นหนอน อันนี้เป็นนิทานนะไม่ใช่ (หัวเราะ) เคยเล่าให้ฟังแล้ว “เมืองสวรรค์มันดีอย่างไร อยากกินอะไรก็มีกิน อยากใช้อะไรก็มีใช้ ได้ตามคิดอยาก”
ตัวเพื่อนที่เป็นหนอนนั้น ก็บอกว่า "ต้องไปคิดเหรอถึงจะได้กิน อยู่นี่ไม่ต้องคิด ตกลงมาเอง ทุกวัน ๆ ไม่ต้องไปคิดอะไร ถึงเวลาก็ตกลงมา สนุก กินอยู่ อร่อยอยู่ มุดอยู่นั่น สนุกดี ไม่อดไม่อยาก”
“อันนี้ไม่ใช่อาหารมันเป็นขี้ เป็นครูด???”
“เมืองสวรรค์มันมีขี้กินไหม ยังว่าอยู่ (หัวเราะ) เมืองสวรรค์ไม่มีขี้กิน ไม่ไปหรอก" ภูมิมันต่ำ ภพภูมิมันต่ำ
บางคนก็ไปอธิบาย "อย่าโกรธเถอะเพื่อน"
มันไม่เอาหรอก ภพภูมิมันต่ำ ตราบใดที่เขายังไม่สิ้นบาป สิ้นเวร สิ้นวิบากกรรมของเขา คนถึงจะรู้ขึ้นมา จนกว่ามันจะเสวยกรรมไป ไอ้ความโกรธ โกรธเท่าไหร่ไม่รู้จักหลาบ มันก็หายไป ด่ากันแล้วเสียใจทีหลัง ตีลูกจนลูกเจ็บแล้ว เสียใจทีหลัง ทะเลาะกันแล้ว เวลามันหายโกรธแล้ว หายกัน เสียใจ มีเหมือนกันบางคน ป่านนั้นจึงได้ มันสายเกินไป มันผิดพลาดแล้ว
วันนี้มาป้องกัน อย่าให้มันถึงความโกรธ ถ้ามันเห็นแสดงว่ามันโกรธ มันโกรธ แสดงว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคล ...... ตัวตนเราเขาอย่าไปทำตามมัน ความไม่โกรธก็มีมองตรงกันข้าม ไม่โกรธก็มี ความไม่โกรธเป็นธรรม ความโกรธไม่เป็นธรรม เดือดร้อน เป็นทุกข์ เวลาโกรธกินก็ไม่ลง นอนก็ไม่หลับ มันก็ทุกข์ ความไม่โกรธเป็นอิสระ นี่เรามาทำให้มันลาด ถ้ามัน สวรรค์มันขึ้น ขึ้นง่าย ๆ แต่มันโกรธ แต่มันทุกข์ขึ้นง่าย ถ้าเป็นทุกข์ โกรธเป็นทุกข์ขึ้นไม่ได้ เห็นเนี่ย มันมีสติเนี่ย เป็นเครื่องทุ่นแรง ทำเรื่องหนักให้เป็นเรื่องเบา ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย โดยกลับมาถามนี่ศักดิ์สิทธิ์มาก เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติของผู้คน เป็นคนคนเดียวกัน เรานั่งอยู่นี้ ชีวิตหลาย ๆ ชีวิตนี้ ถ้าเรามีสติ เป็นคนคนเดียวกันทันที แต่ถ้าเรานั่งอยู่นี้ ต่างคนต่างหลง เป็นคนละคนกันไป พึ่งพาอาศัยก็ไม่ได้ จึงมาเป็นคนคนเดียวกัน มีสติทุกคน มั่นใจ ไม่เป็นอะไร ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนคนอื่นทุกกรณี ทุกกรณีเลยทีเดียว มันก็มั่นใจแบบนี้ เรียกว่า ชีวิตประเสริฐ
ชีวิตประเสริฐ ชีวิตมาตรฐาน ต้องฝึกเอา ไม่ใช่ชาติกำเนิดเกิดขึ้นมา ต้องฝึกฝนตนเอง หัดมีสติไป ใช้ชีวิตประจำวัน ให้ฝึก เคยได้ยินได้ฟัง เคยทำไปแล้ว เวลาเราหลง รู้ก็ได้ เวลาเราโกรธ รู้ก็ได้ เวลามันทุกข์ รู้ก็ได้ มองตรงกันข้าม มันจะค่อยเอียงไปไหลไปสู่ที่มรรคผลนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้ จงได้ประสบพบเห็นเรื่องนี้กันทุกคน ทุกคน นั้นเทอญ