แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาศัยหลายๆอย่างสร้างสติปัญญา เราก็ตื่นนอนมาไหว้พระสวดมนต์สาธยายธรรม ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อนำมาแสดงออกทางวาจา กริยามารยาทเราก็แสดงออก ใจเราก็แสดงออกติดตามคำสวดรู้ไปตามแต่ละบทที่เป็นความหลุดความพ้น ทำให้เกิดความฉลาดเกิดปัญญา สุดท้ายเราก็มาฟัง การพูด การบอก ในวัตรปฏิบัติ เมื่อวานก็ได้ฟังเรื่องความหลุดพ้น จากกาย จากเวทนา จากจิต จากธรรมเหมือนกับการไขกุญแจแก้โซ่ ปลดปล่อยตัวเองออกไปไม่ถูกกักขัง เห็นสภาพชีวิตที่มันมีส่วนที่มันขวางๆกั้นๆเคยเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเรื่องกาย เรื่องเวทนา เรื่องจิต เรื่องธรรม เราหลงอยู่นี้กี่ภพกี่ชาติ ก็ข้องแวะอยู่อย่างนี้ เป็นภาระ เป็นปัญหาต่อตัวเองและคนอื่นสิ่งอื่น วัตถุอื่น ทำการทำงานทำอะไรใช้กายใช้วาจาผิดเพี้ยนไปเพราะมันหลงตรงนี้ ถ้าเราไม่หลงก็หลุดออกไปแล้วพ้นไปแล้ว จนไปเห็นกายเห็นใจ เห็นเป็นรูปธรรม นามเป็นธรรม รวบรวมเป็นการแตกฉาน แตกฉานในกองรูป กองนาม
กองรูป กองนาม มีสิ่งที่อาศัยอยู่นี่มากมาย หลายอย่าง มีอาการมีธรรมชาติเยอะแยะไปหมดเลย ที่เกิด ที่ตั้งอยู่ บนกองรูป ที่อาศัยอยู่บนกองรูปกองนาม เหมือนแผ่นดินที่มีสิ่งที่เกิดอยู่บนแผ่นดิน ต้นหมากรากไม้ สิงสาราสัตว์ ที่มีพิษมีภัยมีประโยชน์ก็มีมีโทษก็มี เหมือนภูเขาลูกนี่ที่เราอยู่นี่วัดป่าสุคะโต มีภูเขาอีกหลายลูกตั้งอยู่บนภูเขาลูกนี้ มีชื่อเสียงเรียงนามต่างๆ ลักษณะก็ต่างกันไป เหมือนกับแผ่นดินเหมือนกับภูเขา นามนี่ก็ยิ่งมากมาย มันก็มีความรู้ ความคิด ความนึกอะไรต่างๆ นามเป็นธาตุรู้อันหนึ่ง เรียกว่าวิญญานธาตุ เป็นธาตุรู้อะไรรู้อะไรรู้ไปหมดรู้ตะเปะตะปะไปก็มี รู้อันถูกอันท่องก็มี รู้ความชั่ววางแผนทำความชั่วทำความชั่วได้สำเร็จ รู้ความดีทำความดีได้สำเร็จก็มี รู้ธาตุรู้นามธรรม ที่อาศัยกันทำกรรมได้สำเร็จ เราก็ทำได้สำเร็จ แต่ว่ามันเป็นกรรมที่ไม่ใช่ความหลุดพ้นเป็นกรรมที่วกวน ในกองรูป กองนาม พอมาเห็น สิ่งต่างๆที่มันตั้งอยู่กับกองรูปกองนามเนี่ย ตัวนี้แหละเป็นแหล่งแหล่งการศึกษาแล้วกันนะ สนุกดู สนุกเห็น สนุกดู สนุกเห็นหลายอย่าง เห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม รูปมันทำดี นามมันทำดี รูปมันทำชั่ว นามมันทำชั่ว เห็นกับหูกับตาสัมผัสได้ เอ้าเอารูปเอานามมาทำความดี เอารูปเอานามมาล้างความชั่วทำได้ล่ะบาดนี่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามทำให้เราได้ทำดีทำให้เราได้ละความชั่วมีมาก เห็น เห็นจริง เห็นตามความจริง
ก็พอสรุปได้ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามล้วนแต่เป็นอาการไม่ใช่จริงจังอะไร อาการเหล่านั้น มีการแสดงออกตามลักษณะมีความไม่เที่ยง มีความเป็นทุกข์ มีความไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่กับกองรูปกองนาม เฉลยได้ตรงนี้ เฉลยได้ตรงนี้ คือความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนอยู่ในกองรูปกองนามเป็นอาการต่างๆที่เขาแสดงออกแต่ก่อนเราเคยโง่ก็มี เคยหลงก็มี เคยสุขเคยทุกข์ก็มี บัดนี้ไม่โง่หลงงมงาย เป็นตัวปัญญาเป็นตัวเฉลียวฉลาดจากกองรูปกองนามทั้งหลาย ทั้งหลาย รูปธรรม นามธรรม รูปโลก นามโลก รูปสมมุติ นามสมมุติ รูปทุกข์นามทุกข์ สมมุติบัญญัติโอยมากมาย ในโลกเต็มไปด้วยสมมติ สมมติบัญญัตินี่ บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้ให้สำเร็จประโยชน์เป็นสากล เช่นชื่อเสียงเรียงนามของเราบุตร ภรรยาสามีของเรา ทรัพย์สินของเรา อะไรต่างๆนี่สมมุติบัญญัติใช้ ใช้ตามความถูกความต้อง สมมุติใช้กันไป เป็นอะไรต่างๆมากมาย
สมมุติบัญญัติที่เป็นอารมณ์ที่บัญญัติเอาเองก็มี ความชอบ ความไม่ชอบ ความยินดี ความยินร้าย บัญญัติลงไปมากหลาย บันทึกลงไปเหมือนคอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลไว้เยอะแยะไปหมดเลย หนักอึ้งไปเลยบางคนชีวิตบางชีวิตหนักมากเป็นภาระ อเวปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าทั้งๆที่มันเป็นธรรมชาติ ก็เป็นอุปทานไปยึดเอา ไปยึดเอาไว้ไม่ปล่อยให้มันเป็นไปธรรมชาติเป็นอาการไปยึดเอาหนักแบกเอาพะรุงพะรังไป ยึดเอาความสุขยึดเอาความทุกข์ความทุกข์ก็ยึดนะ ยิ่งยึดเก่งอันความทุกข์น่ะถ้าได้โกรธแล้วก็ลืมไม่ลงแล้ว ยึดไว้เอามาทำให้มันเป็นทุกข์ เสวยเรียกว่าวิบาก วิบากกรรม วิบากเหมือนเราสวดเมื่อกี้นี่ อยู่ในภูมิทั้งสาม อยู่กันในกำเนิดทั้งสี่ ภูมิทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภูมิภพ วัฏสงสาร กำเนิดทั้งสี่ คือ สังเสทชะ อัณฑชะ ชลาพุชะ โอปาติกะ เกิดดับ เกิดดับ หลายภพหลายภูมิ บางทีเผลอๆมันเกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉาน ไล่สติปัญญา มาเห็นแล้วโอ เห็นภูมิเจ้าของเห็นภพเจ้าของ เหมือนกับเป็นญานเกิดขึ้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ คิดถึงตนเองเคยอยู่ในภพในภูมิอะไร เหมือนกับ เหมือนกับเข็ดหลาบพอมาเห็น มาดู มารู้เข้าไป นี่เป็น เป็นสมมุติบัญญัติที่เกิดขึ้นกับนามรูป นามรูปมันเกิดดับเกิดดับ วันหนึ่งกี่ภพกี่ชาติ
สมมุติบัญญัติที่เป็นรูปก็หลง สมมุติบัญญัติที่เป็นนามที่เราบัญญัติขึ้นมาก็หลง บัญญัติในสมมุติหูได้ยิน บัญญัติว่าชอบว่าไม่ชอบ ตาเห็น บัญญัติลงไปว่าชอบว่าไม่ชอบ จมูกได้กลิ่น บัญญัติลงไปว่าชอบว่าไม่ชอบ ถ้าชอบไม่ชอบก็ปฏิเสธ ปฏิเสธถ้าไม่ชอบปฏิเสธ ถ้าชอบก็เอามา ปล้นเอาก็มี จี้เอาก็มี ข่มขืนเอาก็มี ฉกฉวยเอาก็มี เอาของคนอื่นมาเป็นของตน ผิดศีลผิดธรรมไปตะพึดตะพือไป เห็นแตกฉานตกแหล่ง ตกแหล่งของตักศิลา พอเห็นรูปเห็นนาม เป็นตักศิลาของการศึกษาชีวิตเรา รู้ รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้แบบจำ รู้เห็น รู้เห็นพบเห็น เห็นความไม่เที่ยง เขาก็ไม่เที่ยง จริงแบบไม่เที่ยง ไม่จริงแบบไม่เที่ยง รู้จนเกลี้ยงทุกข์ก็จริงแบบเป็นทุกข์ ความทุกข์มันก็ไม่จริง มันจริงแบบเป็นทุกข์เฉยๆ ไม่มีสิ่งไหนที่จะไปยึดไปถือเอา วิชากรรมฐานหลุดไปอย่างนี้ พ้นไปอย่างนี้ เห็นรูปสมมุติ เห็นนามสมมุติ เห็นบัญญัติพอเห็นสิ่งเหล่านี้ มันเป็นอะไร มันเป็นอะไรมันทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง เบาบาง จาง คลาย หรือหมดไปเลย ถ้าญานมันแก่กล้า เป็นอาสวักขยญาณทำลายอนุสสัย ทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสที่จริงทำให้เศร้าหมอง ทำลายลงได้จริงๆ
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบญานหรือปัญญาเนี่ย ปัญญาญาณ ปัญญาวิปัสสนาญาณเนี่ย พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบเหมือนช้างม้วนอ้อยเข้าปาก ง่ายนิดเดียว ถ้าเราไปม้วนเหมือนช้างไม่ได้ การที่มันเกิดญานขึ้นมา มันเป็นพลังร่วมหลายอย่าง เราก่อตั้งเราสร้างเอาไว้ตั้งแต่ สร้างสติให้อยู่ในกายมีอยู่ในกายต้องมาเจาะตรงนี้เสียก่อนพอเจาะหลุดออกไปปุ๊บมันก็หลุดไปเลยล่ะบาดนี่ เหมือนแต่ก่อนเหมือนกับเราติดคุกไม่ค่อยเป็นอิสระ อยู่ในความรัก ความชัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือเหมือนกับเมฆหมอกที่บัง เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ที่เมฆหมอกบัง หลายชีวิตที่ถูกปิดบังตั้งแต่เกิดจนตาย หลายชีวิตก็สร่างซาออกไป เกิดมามืดก็ไปมืด เกิดมามืดไปสว่าง เกิดมาสว่างไปมืดก็มี เหมือนกับองคุลีมาลตัดคาถาออก แต่ก่อนนี้เราประมาท ภายหลังไม่ประมาท ชื่อว่าสร้างโลกให้สว่างแล้ว เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆฉันท์นั้น ชีวิตต้องเป็นอย่างนั้นมันหลุดนะ ภาวะอย่างนี้มันไม่ใช่เป็นคำพูดมันหลุดแล้วมันจึงมีคำพูดออกมาเป็นสมมติออกมาสมมุติบัญญัติออกมา หลายรูปพระอรหันต์หลายรูปที่บัญญัติที่เป็นคาถาแสดงออกมา เรียกว่า ศาสนุภาษิต กลายเป็นพุทธภาษิตเป็นของพระพุทธเจ้า บางทีภิกษุณีก็มีบัญญัติออกมา อุทานออกมา เป็นคำพูดแสดงออกมา หลายคนพูดบัญญัติลงไปจนเป็นพระสูตร เป็นพระอภิธรรม เป็นพระวินัย มากหลาย
การศึกษากรรมฐานเป็นการศึกษาที่พบเห็น ไม่ใช่การศึกษาเพื่องูๆปลาๆ ลูบๆคลำๆ นั่งหลับหูหลับตานะไม่ใช่แบบนั้น โดยเฉพาะหลักของการเจริญสติปัฏฐานเนี่ย มันเป็นสูตร มันเป็นทางไป แล้วเห็นกุศล เห็นอกุศล เห็นศีล สมาธิ ปัญญา มีแล้วจึงเห็น เป็นแล้วจึงรู้ สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ไปเรียนเหมือนการศึกษาฝ่ายปริยัติ ไปเรียนเอา ว่าได้ ปาราติปาตา เวระมณี ว่าได้ หรือพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ว่าได้ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ว่าได้ อย่างในตำราผู้ที่ว่านะโมก่อนใครในโลก คือใครล่ะ อะไรล่ะ พรหมอะไรจำบ่ได้ นี่เป็นความจำนะ ไม่ใช่ความรู้ พอฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธาน้อมกราบนะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ขอนอบน้อมต่อ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะได้ยินได้ฟัง ได้เกิดปัญญาขึ้นมา หรืออุบาสก อุบาสิกาคนแรก บิดาของพระยสะ มารดาของพระยสะ ภรรยาของพระยสะ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเพราะมันถึงแล้ว มันพ้นแล้ว แต่ก่อนมันไม่รู้ พอเกิดพุทธะในใจมันพ้นขึ้นมา ข้าพเจ้าอาศัยพระพุทธเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ถ้าเราเรียนมาเราก็ว่าแต่ปาก ไม่พ้นอะไรก็ว่าได้ บางทีต่อหน้าต่อตายังมาหลอกกันอยู่เมาเหล้ามาวันนี้ก็ยังว่า สุราเมระยะ มัชชะ ประมาทัฏฐานา เวระ มณี ข้าพเจ้ามีเจตนางดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งของความประมาท ยังมาหลอกกันต่อหน้าต่อตาก็มี คำว่าคำพูดอันนั่นมันเป็นการศึกษาที่รู้แบบจำเอามา มาว่าว่าได้ เรียนได้ หัวดีแต่ว่าวิชากรรมฐานนี้เป็นวิชาที่เกิดจากการกระทำ ของเราทุกคน ไม่มีใครที่จะให้กันได้ ต้องมาทำเอา กรรมเนี่ยกรรมฐานจำแนกไปเลย ไม่ต้องมีอะไรหรอก เอ้ากายนี่แหละเป็นตำรา ใจเนี่ยแหละเป็นตำรา สตินี่แหละเป็นนักศึกษา ดูไปดูไป เริ่มต้นจากสติ เอาไปเอามาไม่ใช่สติธรรมดา เป็นญาน เป็นฌาน เป็นปัญญาก่อเกิดขึ้นเรื่อยๆมากหลายการเจริญสติเนี่ย
เพราะฉะนั่นจึงมาจับตรงนี้กัน จับร่องรอยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เกิดขึ้นมาในโลกเริ่มต้นจากการเจริญสติปัฏฐาน พระองค์นั่งอยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ไม่มีหนังสืออ่านสักเล่มเดียว ความรู้ที่ศึกษามาสิบเจ็ดศาสตร์ ก็ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้เลย มามีสติดูกาย ตั้งไว้ ตั้งไว้ จนเกิดมารมาผจญหลายอย่างเกิดพระพุทธรูปปางต่างๆ พระพุทธรูปที่เรากราบไหว้ ปางสมาธิ รูปนั่งอยู่รูปนี่ก็มีปางสมาธิแบบเชียงแสน ปางสมาธิแบบสุโขทัย แบบเป็นไปอีกรูปนึง ปางมารวิชัยก็เป็นอีกแบบนึง ปางสีหไสยาสน์ ปางอะไรต่างๆ รำพึงรำพันอะไรต่างๆ ห้ามญาติอะไรต่างๆ สมมุติขึ้นมา สมมุติบัญญัติขึ้นมา นี่ก็คือการศึกษาในวิชากรรมฐาน ไม่ใช่วิชาที่ไปคิดเห็น เป็นวิชาเป็นการศึกษาที่เกิดการพบเห็น พบเห็น เห็นอะไร เห็นทุกเรื่องที่มันเกิดขึ้นกับกายกับจิตใจ ไม่มีตรงไหนปิดบังอำพราง รู้หมด รู้ครบ รู้ถ้วน เห็นแล้วก็หลุด เห็นแบบนี้มันหลุดมันพ้นยิ่งตรงกันที่มันดีที่สุดคือเห็นความหลง เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้มัน มันถ้าจะว่าภาษา ภาษาอะไรนะ เอาชนะมันได้ เห็นความโกรธเอาชนะความโกรธ เห็นความทุกข์เอาชนะความทุกข์เนี่ยโอ ไม่มีอะไรที่จะแน่วแน่มั่นคงเท่ากับสิ่งเหล่านี้ นะ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อนิพพานเอาให้มันวอดไปเลยเนี่ยอย่าให้มันเป็นใหญ่อยู่ในชีวิตจิตใจเรา ได้อย่างไร
นี่มันเป็นไปเพื่อความดับทุกข์จริงๆแล้วมันก็มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า น่าสงสารคนเรามันมีทุกขัง ทุกขังนี่เป็นทุกข์ที่ออกไม่ได้ต้องกำหนดรู้อย่างเดียว นั่งอยู่นี่มันก็หายใจเคลื่อนไหว มันก็เป็นทุกข์ของมันถ้าไม่พริบตามันก็เป็นทุกข์ถ้าไม่หายใจก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่กลืนน้ำลายมันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่นั่ง ไม่นอน ไม่ยืน ไม่เดิน มันก็เป็นทุกข์ โอ้ทุกขัง ทุกขัง ทุกข์อันนี้เป็นทุกข์กำหนดรู้ ไม่ใช่ทุกข์อุปาทาน แต่บางคนไม่รู้ไปยึดเอาว่าเป็นทุกข์ จนเกิดปัญหาแก่สิ่งอื่นว่าตรงอื่น คนอื่น หาเรื่องที่จะมาแก้ตรงนี้ ที่จริงทุกข์อันนี้มันเป็นทุกข์กำหนดรู้ ในรูปทุกข์ ในนามทุกข์ ทุกข์บางอย่างกำหนดรู้ด้วยการบรรเทา เช่นความร้อนก็อาบน้ำ การหนาวก็ห่มผ้า การหิวกินอาหาร การขับการถ่าย ทุกข์จร ทุกข์เจ้าเรือน ทุกข์เจ้าถิ่นทุกข์สามัญลักษณะ ไม่ใช่เป็นทุกข์อุปาทาน ทุกข์ที่เป็นอุปาทานเป็นทุกข์อริยสัจสี่ บางทีทุกข์อริยสัจสี่มันพ่วงเข้ามากับทุกขัง ทุกข์สามัญลักษณะ ทุกข์สภาวะทุกข์ ทิพสยทุกข์ อาคันตุกะทุกข์ เอาหมดเลย ทุกข์อริยสัจ ถ้าเห็นแล้วโอเป็นระเบียบเจ้าทุกข์ทั้งหลาย เข้าแถวกัน เข้าแถวเคารพสติ เพราะสติเนี่ยมันมีญาน มีปัญญา ออกหลีกทางไปเลยถ้ามีสติ เพราะสติเนี่ยสร้างความเป็นธรรม อธรรมทั้งหลายก็ไม่ขวางกั้นได้ ง่ายๆการทำลายความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
บางคนนั้นพูดว่าการห้ามจิตห้ามใจ ห้ามได้ยากทำได้ยาก แสดงว่าไม่เคยปฏิบัติ เพียงแต่คิดเฉยๆ ถ้าปฏิบัติแล้วง่ายกว่าอย่างอื่น การที่จะทำใจง่ายกว่าอย่างอื่น การทำกายเนี่ยต้องเกี่ยวข้องกับวัตถุอื่นสิ่งอื่นหลายๆอย่างมาช่วย เช่นหนาวก็ต้องหาผ้ามาห่ม หิวข้าวก็ต้องกินข้าว มีข้าว มีอาหาร มีถ้วย มีชาม มีช้อน มีเคี้ยว มีมือ มีตา โอ้ย เยอะแยะไปหมดเลย แล้วอาการทุกข์ที่เป็นทุกข์อริยสัจเนี่ยง่ายนิดเดียว ละทันที เปลี่ยนทันที เปลี่ยนง่าย ถ้ามันเกิดทุกข์ที่เป็นอริยสัจ ทุกข์เพราะสังขาร เช่นสังขารเนี่ย สมุทัยเนี่ยเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกข์เกิด ง่ายนิดเดียว ก็สังขารมันเป็นอะไรสังขารมันปรุงมันแต่งให้ทุกข์เกิด ก็เปลี่ยนเป็นวิสังขารเท่านั้นเอง ในสังขารมันมีวิสังขาร ในสังขารมันมีวิสังขาร ในสังขารมันมีนิพพาน ในทุกข์มันมีนิพพาน ในทุกข์มันมีพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีทุกข์พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้เกิด เราไปกลัวทำไม
ลองปฏิบัติธรรมมันจะโอ้ มันมีชัยภูมิมันชนะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันมีแต่ชนะ ชิตังเม ชิตังเม ชนะแล้ว ชนะแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว ไปทำนองนี้ การปฏิบัติธรรม มันก็เปลี่ยนไปไม่ใช่รู้เฉยๆ ไม่ใช่พบเห็นเฉยๆ มันเปลี่ยนแปลง ชีวิตเรามันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงไป ล่วงข้ามไป ล่วงพ้นไป เอาไว้หลัง เอาไว้หลัง สิ่งที่เห็นเอาไว้หลังสิ่งที่เห็นเหมือนเอาไว้หลัง เหมือนคนเดินทาง คนเดินทางต้องเอาบ้านนั่นเมืองนี่ไว้หลัง จึงจะชื่อว่าเดินทาง เหมือนกับพณฯท่านรองผู้ว่า คุณหมอกับพยาบาลมาจากบุรีรัมย์ ก็เอาบุรีรัมย์ไว้หลัง เอาคูเมืองไว้หลัง เอาพุทไธสงไว้หลัง เอาหนองสองห้องไว้หลังเอาเมืองพลไว้หลัง เอาพรสวรรค์ไว้หลัง เอาแก้งคร้อไว้หลัง ขึ้นถึงป่าสุคะโต เรามองไปข้างหลังดูซิ ที่เราเดินมา เราก็ผ่านมาได้อย่างนี้ มาถึงนี่เยอะจริงๆ แล้วมีใครมาถามว่าเรามาได้ยังไงเขาเห็นแล้ว เพราะมาถึงที่นี่ มองไปข้างหลังก็รู้แล้ว มาได้ ผ่านมาตรงนั้นจริงๆ ถ้าจะมานี่นั่งรถถูกซ่งถูกเส้นถูกสาย ถูกเที่ยว ถูกเวลา ก็มาถึงได้ การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันไม่ต้องไปใช้สมอง ใช้การกระทำอย่างเดียว การกระทำพาไปเอง จำแนกไปเอง กรรมจำแนกสัตว์ กัมมุนา วัตตะติโลโก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ถ้าเราจะศึกษาโดยชีวิตแห่งการหลุดพ้นต้องมีปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปคิดเอาเหตุเอาผล เหตุผลไม่ใช่สัจธรรม เหตุผลก็ฆ่ากันตายก็ได้ สัจธรรมเนี่ยมันไม่เป็นเช่นนั้น มันจริงมันเห็นจริงมันทำไม่ลง เห็นความโกรธมันโกรธลงได้ยังไง มันจะเอาไฟมาจุดตัวให้มันไหม้อยู่ทำไม เราเห็นไฟจะเอาไฟมาให้มันร้อนอยู่ทำไม มันก็เอาไฟหนีหรือดับไป
บางทีเราแต่ก่อนไม่รู้ถ้าใครมาทำให้เราโกรธ มาทำให้เราทุกข์ เราก็ต้องตามหาคนทำไม ทำไมจึงว่าอย่างนี้ ทำไมจึงว่าอย่างนี้ ทำไมจึงว่าเราอย่างนี้ อย่าว่าเราสิ บางทีก็ไปทะเลาะวิวาทกัน บางทีกูได้ด่ามันกูก็หายโกรธ กูได้ฆ่ามันกูก็หายโกรธ มันไม่ใช่อย่างนั้น ไฟมันเกิดขึ้นก็ดับทันที เย็นจ๊อยไปเลย เรานี่มีภาระเสียเปรียบ ถ้าเราโกรธใครคนใดเราเสียเปรียบคนนั้น เสียเปรียบจริงๆ เสียเปรียบความโกรธ เสียเปรียบความทุกข์ มีประโยชน์อะไร โอเมื่อเห็นแล้วขนหัวลุก ขนหัวลุกว่า เวลามันจะ มันจะอะไรที่มันน่ายกมือไหว้ตัวเอง มันก็ต้องเป็นเรื่องอย่างนี้ การศึกษา การปฏิบัติธรรม หลวงปู่เทียนสอนพวกเรา ตามอาการ ตามอาการที่เห็น จิตใจมันก็เปลี่ยนไป มาบำเพ็ญทางจิต มาบำเพ็ญทางจิต เอ้าทุกคนก็มีจิต จิตมันเป็นยังไง จิตกับสตินี่เข้ากันดี๊ดี คู่กันมีสติดูจิต เอ้าในจิตมันก็มีจิตดูของมันเอง ในสติมันก็มีสติ แล้วเท่านั้นไปแล้ว ไม่ต้องยากเลยว่า ในตัวของมัน ในจิตมีสติ ดูจิตมีจิตดูจิตให้ไวที่สุดตรงนี้ เราจะแพ้เราจะชนะก็เนี่ยแหละตรงนี้แหละ เราก็แพ้ตัวเอง เราชนะตัวเอง สุดท้ายก็มีสติดูจิต มีจิตดูจิตเนี่ย ในจิตดูจิต ในจิตมันดูจิตเอง มันเป็นไปเอง การบำเพ็ญทางจิต
ไม่เหมือนกับการเริ่มต้นที่มาสร้างจังหวะต้องเอากายสร้าง ปวดหลัง ปวดเอว ต้องเห็นกายต้องหลงกาย ต้องเห็นกาย ต้องหลงกาย ความหลงกับความรู้นี่ทำใหม่ๆความหลงอาจจะมากความรู้อาจจะน้อย ต้องสู้ ต้องทน ต้องทวนกระแสสักหน่อย พอมันขึ้นได้มันก็ไปง่ายๆ เหมือนทะเล การศึกษาธรรมะ มันลึกลงไปเรื่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ ทะเลมันไม่เหมือนฝั่งแม่น้ำชี ฝั่งแม่น้ำมูล ไม่เหมือนฝั่งลำปะทาว ไม่เหมือนฝั่งแม่น้ำโขง ทะเลเนี่ยมันเรียบมันลุ่มลึกลงไปเรื่อยๆ เหมือนก้นกระทะ มันจึงมีความเข้มแข็งไม่พัง ฝั่งทะเล ภูเขาที่มันแข็งทึบและฝั่งทะเล พระอาทิตย์พระจันทร์ฝั่งทะเลมีกำลัง การศึกษาธรรมะนี่ก็มีกำลัง มีกำลังที่จะละความชั่ว ทำความดีมากหลาย เยอะแยะ ศีลมาช่วย สมาธิมาช่วย ปัญญามาช่วย วิมุติมาช่วย มีแต่สิ่งมาช่วยเราไม่ให้ข้องไม่ให้ติด อยากจะโกรธมันโกรธไม่ได้ อยากจะหลงก็หลงไม่ได้ ข่มขืนตัวเองถ้าจะโกรธข่มขืนตัวเรา ถ้าจะหลงก็ข่มขืน ถ้าจะทุกข์ก็ข่มขืนมันทำไม่ลง เพราะอะไร ศีลมาช่วย สมาธิมาช่วย สติมาช่วย ปัญญามาช่วย อะไรเยอะแยะไปหมดเลย มีจิตดูจิต มีสติดูจิต โถ่ สนุกแล้วตรงนี้บาดนี่ ไม่มีอะไรจะสนุกเท่าตรงนี้ เหมือนเด็กติดเกมส์ ชนะก็ชนะตัวเอง แพ้ก็แพ้ตัวเอง มันไม่ใช่ของจริงอันนั้น แต่ว่านี่มันจริงมันก็เกิดขึ้นแถวนี้มารู้เท่ารู้ทันจิตใจที่มันคิด ตัวคิดมันมีสองคิด คิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดที่ตั้งใจ เวลานี้เราไม่ต้องมาคิดแบบที่ไม่ตั้งใจ มาคิดที่ตั้งใจมีแต่มีสติมาดูจิต มีจิตดูจิตลงไป ให้มันแคบๆให้มันแหลมๆ ให้มันเป็นโฟกัสมันแหลมไม่มีอะไรจริงๆตอนนี้ มีแต่สติดูจิตมีแต่จิตดูจิต ตรงนี้แหละเป็นตรงที่ชนะตัวเอง
แต่ว่าถ้าเราจะบำเพ็ญตรงนี้เลยไม่ได้ เราต้องเริ่มต้นต้องศึกษาต้องปฏิบัติ ได้ทางได้กำลังได้แนวร่วมเกิดจากเบื้องต้นที่เราสร้างไว้ เห็นกายมันหลุดไปแล้ว กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมเหมือนกันหมด เห็นอาการที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามเหมือนกันหมด มันบอกอารมณ์มันบอกมันช่วย เราว่าได้อารมณ์ ได้อารมณ์ของกรรมฐานน่ะ อารมณ์เนี่ยมันเหมือนตุลาการพิพากษา สร้างกระบวนให้เกิดความยุติธรรมขึ้นมาต่อชีวิต จิตใจ ของเรา อะไรที่ไม่ใช่ธรรม สิ่งเหล่านี้ก็ช่วย กระบวนการแห่งความเป็นธรรม ความหลงไม่เป็นธรรม ความรู้สึกตัวเป็นธรรม ความโกรธไม่เป็นธรรม ความไม่โกรธเป็นธรรม ความทุกข์ไม่เป็นธรรม ความไม่ทุกข์เป็นธรรม มันก็เกิดธรรมขึ้นมา เปลี่ยนอกุศลเป็นอกุศล กุศลก็งอกงาม เจริญก้าวหน้า เมื่อกุศลมีอยู่แล้วหนึ่งสองสาม ก็ดี กุศลอื่นที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็เจริญมากขึ้นมันเป็นอย่างนั้น มันมากขึ้น มันมี มันมีแหล่งเหมือนกับความเพียรเหมือนน้ำฝน เมื่อมีน้ำฝนมันก็เกิดชุ่มฉ่ำ หญ้าเขียว ผลหมากรากไม้เกิดขึ้นมา ฤดูนี้เป็นฤดูแล้งใบไม้เหี่ยวแห้ง เพราะอะไร เพราะขาดน้ำฝน
ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ความเพียร ความเพียรคือการกล้า เพียรอย่างไร เพียรละอกุศลให้เกิดกุศล เพียรละอกุศล เพียรละบาป เพียรละกายทุจริต เพียรละวจีทุจริต เพียรละมโนทุจริต ให้เป็นกายสุจริต ให้เป็นวาจาสุจริต ให้เป็นมโนสุจริต เราเจริญสติอย่างเดียว ธรรมทั้งหลาย ทั้งหลายมันคือการศึกษา เราศึกษาไป ที่สุดก็คือเจริญสติ มาบำเพ็ญทางจิตมันง่ายๆแล้วบาดนี่ มันง่ายๆมันมีสิ่งอาศัยเหมือนเราเดินไต่สะพาน มีราวจับไม่มีทางที่จะพลัดตกลงไปได้ การปฏิบัติธรรมเมื่อได้อารมณ์ เมื่อเห็นอารมณ์ กรรมฐานมันก็ช่วยเรา อารมณ์มันช่วยเรา โดยเฉพาะรูปธรรม นามธรรม หรือความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไตรลักษณ์ทั้งหลาย มาเห็นไตรลักษณ์นี่ พอ พอเห็นไตรลักษณ์นี่ โอ พาให้เราหลุดพ้นได้ง่ายๆ เข้าหาไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์เป็นตัวเฉลยชีวิตทั้งหมดเลย ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง ชีวิตของเราเห็นรูปเห็นนามเห็นไตรลักษณ์ เห็นอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับจิต ตกอยู่ในสภาพไตรลักษณ์นี่ ถ้าเจริญอยู่อย่างนี้อย่างเดียวก็ถึงมรรคถึงผลได้ แต่นี่เราด่วนสักหน่อย เราด่วนสายด่วนสักหน่อย เอาให้ เอาให้ทันทีเลย บำเพ็ญทางจิตเข้าไป ไม่ต้องไปลำดับลำนำบางที ปัญญาวิมุติก็เกิดขึ้นได้ การหลุดพ้นด้วยปัญญา การหลุดพ้นด้วยกรรมฐานเรียกว่า สุขวิปัสสโก เอาร้อนๆ ไม่ต้องรอไม่ต้องอาศัยปัญญา ไม่ต้องอาศัยอะไร เอาร้อนๆเข้าไปเลย มีสติดูจิต มีจิตดูจิตเข้าไป มันสรุปแล้วมันมีเท่านี้จริงๆ อะไรก็รู้หมด เห็นมาหมด รูปทุกข์ นามทุกข์ รูปโลก นามโลก รูปธรรม นามธรรม รูปสมมติ รูปบัญญัติ มีศีล สมาธิ ปัญญา มีกุศล อกุศล อกุศลก็ละ กุศลต้องสร้างเรื่อยไป เปลี่ยนเรื่อยไป เปลี่ยนได้ เปลี่ยนได้ อกุศลเปลี่ยนกุศล ความหลงเปลี่ยนความไม่หลง สังขารเปลี่ยนเป็นวิสังขาร
ผลที่สุดจิตใจมันก็เปลี่ยน รื้อหมดเลย หมดเนื้อหมดตัว หมดเนื้อหมดตัวที่ทำให้สุขทำให้ทุกข์ เป็นธรรมชาติ ชีวิตเข้าสู่ธรรมชาติ คืนสู่ธรรมชาติ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไร อันนี้มันก็เหมาะแก่การงานแก่หน้าที่ ก็คิดเห็นอยากสอนคน เมื่อตรงที่หลวงพ่อเทียนสอนพวกเราให้รู้จักรูป รู้จักนาม หรือสอนตั้งแต่เบื้องต้น ไม่เคยมีใครสอนให้เอากายมาสร้างความรู้สึกตัว สอนให้เอาใจมาสร้างความรู้สึกตัว ความรู้สึก ความรู้สึกตัวเกิดจากกายจากใจ ความหลงก็เกิดจากกายจากใจ เอากายเอาใจมาสอนให้รู้สึกตัวไม่เคยเห็นใคร ก็ศึกษากรรมฐานมาหลายแบบ มาเห็นหลวงพ่อเทียนเนี่ย มาสอนได้อารมณ์กรรมฐาน ได้หลักได้ฐานไปเรื่อยๆก็อยากสอนคนให้มา มันก็มีรสชาตินะรสพระธรรมตรงนี้นะ โออยากสอนคนให้เขารู้เรื่องนี้ กระตือรือร้นแล้วบาดนี่ ไม่มีคำสั่ง ไม่ต้องมีคำสั่ง ไม่ต้องมีมหาเถระสมาคมมาสั่ง
ตอนนี้กำลังร่างพระราชบัญญัติพุทธศาสนา กับร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองพุทธศาสนาให้มีระเบียบให้มีแบบแผน ให้มีรูปธรรม ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาก็ดี แต่ถ้าเราไม่เรียนปฏิบัติธรรมจริงๆเนี่ย คนก็รู้กันทั้งนั้นแหละ รู้ รู้อยู่ ความโกรธมันไม่ดีก็รู้อยู่ แต่เขาก็ยังโกรธอยู่ ความทุกข์มันไม่ดีก็รู้อยู่ แต่ว่ามันยังทุกข์อยู่ แต่ว่าถ้าปฏิบัติเนี่ยมันจะเป็นไปเอง บ้างก็นี่แหละเราจะเอาศาสนธรรมไว้ได้ไหม เหมือนหลวงพ่อพูดไปเมื่อวานนี้ ศาสนธรรมเกิดขึ้นจากอะไร จากสติ สัมปชัญญะ เมื่อมีสติสัมปชัญญะก็มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เมื่อมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ก็มีธรรมวินัย สิ่งเหล่านี้อยู่กับใคร อยู่กับตำราอยู่หนังสือหรือ มันต้องอยู่ในชีวิตจิตใจของเรา ถ้าเราไปอยู่ในหนังสือในตำรา มันก็มีแต่ความรู้มันก็ใช้ได้แต่ว่ามันทำลายได้ แต่ถ้ามันอยู่กับเราเนี่ยสติก็อยู่กับเรา ศีล สมาธิ ปัญญาก็อยู่กับเราธรรมวินัยก็อยู่กับเรา
นี่คือศาสนามั่นคง คนเป็นคนดี คนไม่ทำบาปไม่ทำกรรม เปลี่ยนแปลงมีชีวิต มีเมตตา กรุณา สอนให้คนเป็นคนดี ทุกชีวิตเป็นคนดีมันก็ต้องไม่มีอะไร ทุกชีวิตละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ นี่คือตัวศาสนาคือธรรมวินัย มันต้องอยู่ในกาย ในวาจา ในใจของเรา ก็เป็นไปทำนองนี้การศึกษาวิชากรรมฐาน ไม่ใช่พระป่าอยู่ป่าไม่รู้อะไร ไม่ใช่นะ ก็ศึกษากรรมฐานเป็นวิชาหลักเป็นต้นตอของพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมา ก็ต้องเรียนทั้งปฏิบัติ ทั้งปริยัติ คันถธุระเรียนปริยัติ คำสอน คำอะไรต่างๆวิปัสสนาธุระก็คือเรียนเรื่องกรรมฐาน คันถธุระ วิปัสนาธุระ พวกเรามีธุระสองอย่างนี้ ให้ศึกษา ให้เรียนรู้ ให้เข้าใจ อย่าทิ้งมันตรงนี้ มันจะเสียชาติที่เกิดมา ชีวิตเราเพื่อการณ์นี้โดยตรง ก็พูดให้ฟัง สอนให้รู้ สอนให้ทำ ทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกัน