แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก็จะพยายามพูด อยากเป็นส่วนร่วมกับผู้ปฏิบัติธรรม โดยคำพูดขอเป็นเพื่อนเป็นมิตรกับผู้ที่ปฏิบัติธรรม มั่นใจว่าจะไม่พาหลงทิศหลงทาง โดยอาศัยคำพูดนี้ เหมือนกับขีดแผนที่ให้ท่าน ก็พอจะรู้จักทิศทางที่ได้เดินมาแล้ว ทางที่ผิดก็เคยเดินมา ทางที่ถูกก็เคยเดินมา ประสบการณ์เรื่องทางเฉยๆ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านี้ ทางเดินของชีวิตเราไปสู่จุดหมายปลายทางมันมีอยู่ ทางตันก็มีอยู่ ทางสุดโต่งไปไม่ถูกก็มีอยู่ ในโลกนี้ จึงไม่อยากจะปล่อยให้มนุษย์ทั้งหลาย ที่เกิดมา ตายทิ้งไปเปล่าๆ สูญเสียไปเปล่าๆ โดยไม่มีประโยชน์อะไรต่อตัวเองและคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น ต่อโลก ต่อพระพุทธศาสนา ถ้าจะขุดลงไปบนดินนี่ จะเจอแต่กองกระดูกของคน มีสัตว์โลกละลายเป็นแผ่นดิน เป็นพืชต่างๆ สัตว์โลก มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ รู้เรื่องนี้ พอที่จะรู้จักกระแส ในผู้คนที่ยังไม่เคยเดินทาง ก็เห็นกระแสบ้างก็ยังดี ริบหรี่ก็ยังดี อย่างธรรมดาก็คิดถึง หลายคนที่คิดถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แต่ยังทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่คิดถึง ไม่ไปถึง มีแต่รู้ แต่ไม่เห็น มันก็ไม่ได้สัมผัส วิธีที่จะเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง มันก็มีแผนที่ มีคนเดิน มีประสบการณ์ ผู้เดินทางจะเป็นอะไร ไม่ใช่จะเขียนแผนที่ให้ได้ เออรู้จักแล้ว เดินลองดูซิ ทางเส้นนี้ มันจะเป็นอย่างไร เหมือนเราเดินทางร้อยกม. หรือเดินทางแปดร้อยกม.จะเป็นอย่างไร 20 วันจะเป็นอย่างไร เดินทาง๒๐วันมันจะเป็นอะไร ปัญหาก็เกิดขึ้นแน่นอนกับการเดินทาง แต่สำหรับผู้เดินทางจริงๆไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเหลือ จะช่วยตัวเอง ไม่เรียกร้องความสะดวก จะเดิน แต่นี่ว่าจุดหมายปลายทางแน่นอน ความร้อนก็มี ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็มี ความหิวก็มี เจ็บปวดก็มี ขาแตกก็มี ฝ่าเท้าแตกก็มี ต้นขาแตกก็มี จะเกิดอะไรขึ้นมา นี่ก็สำหรับผู้เดินทาง จึงจะได้ประสบก่อน ว่ามันจะภูมิใจแค่ไหน ปัญหาต่างๆที่ผ่านมา มันภูมิใจที่เอาชนะความยากลำบาก ไม่ใช่ภูมิใจด้วยความสะดวกสบาย ค่าของเรา บางทีผ่านความยากลำบากมาได้ ชัยชนะตัวเอง นี่จึงมีวิธีปฏิบัติ พากันทำตามพระพุทธเจ้า ลองดู จะเป็นอย่างไร มีความรู้สึกตัวไปในกายเป็นประจำ หัดเดิน ให้กายรู้สึกตัว ให้ใจรู้สึกตัว ทางมันอยู่ที่ความรู้สึกตัว อย่าให้กายเป็นความสุขความทุกข์ อย่าให้ใจเป็นความสุขความทุกข์ เยอะแยะ ผิดก็มี ถูกก็มี สงบก็มี ฟุ้งซ่านก็มี สบายก็มี สุขก็มี อย่าไปหลง ให้รู้ จับเส้นทางให้ดี ให้รู้ คำว่ารู้คือไปได้ ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ถ้ารู้สึกตัวนี่ แล้วความเหนื่อย ความปวด ความเมื่อย ความขี้เกียจขี้คร้าน ความร้อน ความหนาว คำว่า รู้ซื่อๆตัวนี่ เหมือนวัวเกวียน ควายนา ควายเกวียน วัวเทียมเกวียนตัวไหนผู้ใดหนักก็ดัน เบาก็ดัน อย่างสม่ำเสมอ หนักก็ไป เบาก็ไป ลักษณะที่เดิน ก้าวเท่าเดิม ความไวเท่าเดิม ความช้าเท่าเดิม สม่ำเสมอ ควายเทียมไถ เทียมคราด หนักก็ดันไป เบาก็เดินดันไป ให้พลังงานด้วยการสม่ำเสมอ ม้าวิ่งทางไกล ทางขรุขระก็ไป ขามีน่อง เหยียบจังหวะพอดี มันไม่เหมือนรถ รถถ้าหลุมก็ตกหลุม ถ้าม้าไม่ตก ม้ามันรู้จักหยอดหลุม ม้าที่มีฝีเท้าดี คนนั่งขาไม่แตก ก้นไม่แตก ถ้าม้าฝีเท้าไม่ดี คนนั่งก้นแตก กระโดกกระเดก เรียกว่าฝีเท้าดี วัวฝีเท้าดี ควายฝีเท้าดี
การเดินทางของจิตวิญญาณก็คือลักษณะเดียวกันนี่ รู้ซื่อๆ ความสุขก็รู้ เนี่ยฝีเท้าดี หยอดหลุมดี มันทุกข์ก็รู้ มันสุขก็รู้ มันสงบก็รู้ มันฟุ้งซ่านก็รู้ มันผิดก็รู้ มันถูกก็รู้ อะไรก็รู้ นี่คือนักเดินทาง ทางจิตวิญญาณ ภาวะที่รู้คือปกติ หัดตนให้ปกติ อย่าฟูฟูแฟบแฟบ ขี้เกียจก็หยุด ขยันก็ทำ ว่าแต่อาการต่างๆจะเกิดขึ้นมา บางทีก็ศรัทธา บางทีก็เบื่อหน่าย บางทีก็เข็ดหลาบ เหมือนวัวเทียมเกวียน เวลาลงขี้โคลนก็เข็ดหลาบ ไม่อยากจะดัน ไม่อยากจะไป เวลาม้าเดินทางไกล เวลา เหนื่อยๆ ล้าๆก็หยุด ไม่อยากวิ่ง พยศ ควายเทียมคราดเทียมไถ เวลาหนัก ร้อน ก็พยศได้ ออกทิ้งแอกทิ้งไถ อันนั้นเรียกว่า ไม่ใช่ควายนาวัวเกวียน แต่ว่าลักษณะของควาย ของวัว ของช้าง มันก็มีลักษณะ ม้าตัวใดมีฝีเท้าดี วัวตัวใดมีฝีเท้าดี ควายตัวไหนมีฝีเท้าดี ก็ดูออก แต่หลวงตานี่เป็นนักดูวัวดูควาย ใส่ล้อ ใส่เกวียน ใส่คราด ใส่ไถ สำคัญดูตรงไหน มันก็มีตำราดูเหมือนกัน คนก็เหมือนกัน มันบอก ลักษณะมันบอก ถ้าวัวฝีเท้าดี ก็ดูเล็บสักสักมนมน ไม่เล็กเนิบๆเนกๆ ขาหลังตรงๆ ระหว่างไหล่หน้าไหล่หลังหนุนกันพอดี นี่เรียกว่าวัวฝีเท้าดี ถ้าเล็บตัวไหนเนิดๆเนี่ย ขาน่องๆ เปะๆปะๆ อืดอาด ขี้เกียจ ควายเหมือนกัน ฝีเท้าดี ดูลักษณะ เขาตก อกเป็ด เขาตก อกเป็ด สีดอกเลา เขาตก อกเป็ด ก้นหางจ้ำเบ้า สีดอกเลา เขาตก อกเป็ด ควายนา ดูออกเท่าไหร่ก็ซื้อถ้าได้ลักษณะนี้ พ่อค้าเป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้ไม่มีวัวมีควายเลือก มีแต่รถไถ มีแต่รถคูโบต้าอะไรต่างๆ หลอกได้ แต่วัวควายหลอกไม่ได้ ดูออก พ่อค้าตาคม ชีวิตเราก็อาจจะเป็นเช่นนั้น บางทีขี้เกียจสันหลังยาว แต่ว่า เราฝึกได้ทุกชีวิต บางทีฝึกก็ง่าย มันมีบรรทัดฐาน มีกรรมฐาน มีการเคลื่อนไหว อาศัยกรรม อาศัยที่ตั้ง อาศัยฐานเป็นที่ตั้ง เรียกว่านิมิตที่ตั้งเป็นหลัก เอาตั้งไว้นี้ มีจุดหมายปลายทางตั้งไว้นี้ เพื่อจะเอากายเอาใจ เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกตัว อย่าให้อดีตมาตั้ง กายของเราใจของเรานี่ ให้เป็นที่ตั้งของความรู้สึกตัว อันอื่นเคยมาตั้งนานมาแล้ว ความหลงก็เคยมาตั้ง ความทุกข์เคยมาตั้ง ความรัก ความชัง ขี้เกียจขี้คร้าน พอใจไม่พอใจ เคยมาตั้ง ตั้งที่กายที่ใจเราอาจจะเป็นนิสัย เคยชินในทางนั้น ก็ทวนเอาไว้ หัดได้ ไม่เป็นไร หัดได้เพราะมันไม่ยาก มันมีกรรมวิธี สิ่งที่ยากเคยง่ายได้ เป็นกรรมฐานนี่ จึงมาพิสูจน์กันเถอะพวกเรา ว่ามีประโยชน์จริงๆ รูปนี้ นามนี้ อย่าไปปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยมัน วิสังขาร เปลี่ยนร้ายเป็นดี แม้สังขารมันไม่เที่ยง เอาความไม่เที่ยง เป็นเรื่องกระตือรือร้น ได้เห็นแจ้ง อย่าทำลายก็ไม่เที่ยง รูปนามของเราเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง เราอาศัยต้นไม้เวลาไปนั่ง เดินผ่านเอามีดฟัน หักก้าน หักกิ่ง มันก็ สังขารมันก็รีบไปตาม ปล้นไปๆ ไม่ใช่สังขารธรรมชาติ สังขารถูกปล้นไป ให้เกิดเหตุแทรกแซง เกิดโรคขึ้นมา กว่าจะมาซ่อมแผลฟัน ต่อยอดอีกก็เสียเวลา สิ้นเปลืองพลังงานของมัน แทนที่จะไปสร้างให้โคนใหญ่โต ก็เลยเสียเวลา แกร็นไปเลย บางทีก็เป็นแผล แผลใน ไม่เจริญ
ชีวิตของเราก็เช่นกัน ดูดบุหรี่บ้าง กินเหล้าบ้าง ติดสิ่งเสพติดบ้าง เสียพลังงานไปทางอื่นบ้าง ก็เรียกว่าถูกปล้นสังขารให้มันด่วน ด่วนโทรมลงเรื่อยๆ ที่น่าสงสารที่สุด รูปนี่นามนี่ มันก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว ก็ทำให้เป็นทุกข์อีก เอาอะไรมาให้มันแบกอีก น่าสงสาร แต่จิตใจก็น่าสงสาร หาเรื่องมาคิดปรุงๆแต่งๆ ไม่ปกติ ใจมันปกติมาแต่เดิม แต่ผิดปกติ มันถูกปรุงเยอะแยะหมดเลย ผ้าดีดีขาวสะอาดบริสุทธิ์เปรอะเปรื้อนไปหมดเลย น่าจะกระตือรือร้น กอบกู้รูปนี้นามนี้ขึ้นมา มันมีมรรคมีผล รูปนี้นามนี้ เมื่อมีสติเป็นที่ตั้งไว้ เกิดงอกงามขึ้นเป็นมรรคเป็นผล เป็นบุญเป็นกุศล ถ้าหลงเป็นรู้ ปลูกบุญลงไป ถ้าหลงเป็นหลง ปลูกบาปลงไป อกุศล ธรรมดำนำไปแล้ว หลงเป็นหลง ธรรมดำนำพา หลงเป็นรู้ ธรรมขาวนำพา มันอยู่ตรงนี้นะ สุขเป็นสุข ธรรมดำนำพา ทุกข์เป็นทุกข์ ธรรมดำนำพา มันพาไปแล้ว ผิดไปแล้ว จึงพิถีพิถันตรงนี้เวลาเราปฏิบัติ ถ้าหลงเป็นรู้เนี่ย ธรรมนำพาไป ไปคนละทาง สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ เป็นธรรมนำไป ไปจากข้าศึก หนีไปจากข้าศึก จะไม่มีข้าศึก ไม่มีภัย พ้นภัย ด้วยธรรมเหล่านี้ไม่ใช่อ้อนวอน ศาสนานี้ไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอน เป็นศาสนาแห่งการกระทำ แล้วก็มีกายมีใจนี้ เอามาทำเรื่องนี้ มันก็ไม่เหลือวิสัย มีแต่เคลื่อนไหวได้เฉพาะคอก็ยังทำได้ ถ้าหายใจเข้าหายใจออกอยู่ ก็รู้สึกตัวได้ ความรู้สึกตัวไม่ได้อาภัพ อย่างอื่นอาจจะอาภัพ ตาบอดบ้าง หูหนวกบ้าง พิการบ้าง อาจจะอาภัพ แต่ว่าใจนั้นไม่อาภัพ อย่าดูถูกคนพิการ เดี๋ยวนี้อาจารย์กำพลเคลื่อนได้แต่คอ ได้เป็นบุคคลตัวอย่างในโลก คุณธรรมตัวอย่างในโลก วิเศษในโลก แล้วจะเอาอะไรมาอ้าง อยู่ที่ใจเราเนี่ย เอาความแก่มาอ้างหรือ ไม่ใช่ เอาความเจ็บป่วยมาอ้างหรือ มันก็ไม่ใช่ ยิ่งจำเป็นต้องใช้ ยิ่งแก่ยิ่งใช้ ยิ่งเจ็บยิ่งใช้ ใช้เท่าไหร่ก็มีประโยชน์เท่านั้น ไม่เหมือนใช้รถใช้เรือ ใช้เท่าไหร่ก็สิ้นเปลือง ใช้ไปสิ้นเปลือง โดยเฉพาะกรรมฐานไม่ใช่วิชา การกระทำที่สิ้นเปลือง เป็นการกระทำที่ออกดอกออกผล เพียงแต่คู้แขนเข้ารู้สึก เหยียดแขนออกรู้สึก ได้ประโยชน์แล้วๆ จึงอย่าให้พลาดซะ งานกรรมฐานนี่เป็นงานรีบด่วนสำหรับชีวิตทุกชีวิต พรุ่งนี้จะมีชีวิตอยู่รึเปล่าไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้มีอยู่แล้ว พร้อมแล้ว โอกาสก็พร้อมแล้ว สิ่งแวดล้อมก็พร้อมแล้ว มิตร เพื่อนมิตรก็พร้อมแล้ว พร้อมจะเป็นของเชียร์ให้กันและกัน โดยธรรมวินัย กิจวัตร วิถีวัตร ตามเวลา แต่ละวัน เพื่อเป็นรั้วล้อมไปสู่ทิศสู่ทาง เวลาบอก ระเบียบบอก รั้วล้อมกาย รั้วล้อมจิตใจ มีกรรมฐาน เราจึงฝึกตน สอนตน เตือนตน แก้ไขตน มีสติ เนี่ยมันทำไม่ยากนะ เสียด๊ายเสียดาย เสียดายความหลงที่เกิดกับคนให้เป็นหลง เสียดายความทุกข์ที่เกิดกับคนให้เป็นทุกข์ เอามาเป็นความรู้สึกตัวเนี่ย ถนัดงาน งานที่ชอบที่สุด การงานชอบแล้ว เปลี่ยนร้ายเป็นดี มีงานให้ทำทุกโอกาส งานเปลี่ยนร้ายเป็นดี เวลาเขามีให้เราเปลี่ยนอย่าได้แต่นอนหลับ ถ้าเราหลับก็เป็นเวลาสตาร์ทหรือพักผ่อนชาร์ตพลังงานเพื่อให้เหมาะสม สมดุล ที่มันเป็นรูปเป็นนาม มันก็ต้องเป็นกินเป็นเวลาให้เหมาะสมกับที่มันเป็นรูปเป็นนาม นอนก็เป็นเวลา ถ้านอนผิดเวลาก็ไม่มีประโยชน์ กินอาหารไม่ถูกเวลาก็ไม่มีประโยชน์ มีระเบียบของเขาอยู่ ตามธรรมชาติ จึงเหมาะที่สุดชีวิตเรานี้ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก มันเป็นงานชอบที่สุด ได้เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ได้เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ ได้เปลี่ยนผิดเป็นรู้ ได้เปลี่ยนถูกเป็นรู้ วันหนึ่งๆจะงอกงามขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกตัวเนี่ย ไม่อาศัยอันอื่น เหมือนกับฝนฟ้า ปลูกข้าวปลูกพืช ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมภายนอกจึงทำได้ แต่ว่าปลูกมรรคปลูกผลนี่ ไม่มีสิ่งแวดล้อมใดๆ อยู่ในกายในใจ ถ้ามีรูปมีนามก็ทำได้แล้ว ไม่มีอันใดอ้าง อ้างว่าลูกว่าเมียหรือ ก็อ้างไม่ได้ ไม่ได้ทิ้งเมีย ไม่ได้ทิ้งลูก ไม่ได้ทิ้งการทิ้งงาน เรารับผิดชอบอยู่ ผู้ปฏิบัติธรรมเป็นรับผิดชอบ งานการชอบ มันก็ชอบหลายอย่าง การคิดชอบ ดำริชอบ พูดชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ การตั้งสติชอบ การตั้งใจไว้ชอบ มันก็หมดแค่นี้แล้ว ชอบแปดอย่างรวมกันเป็นทาง ไปสู่มรรคสู่ผล อยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเรานี่ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออกเนี่ย เป็นทุกอย่างแล้ว รวมวงจรไว้อยู่ที่นี่ ครบวงจร ละความชั่วก็อยู่อย่างนี้ ทำความดีก็คือทำอย่างนี้
จิตใจบริสุทธิ์ก็คือทำอย่างนี้ ไม่ใช่อ้อนวอน บวงสรวงบูชายัญ ฤกษ์งามยามดี ไม่ใช่ ยามดีก็คือการทำดี เปลี่ยนความไม่ดีเป็นความดี ฤกษ์ดี ไม่ใช่ หนึ่งค่ำ ช้างแก้วขึ้นสู่โฮงคำ สองค่ำ ผีฟัง ธรรมป่าช้า สามค่ำ ล้างมือ ถ้าคองกิน สี่ค่ำ นอน ป่วยตีนตากแดด ห้าค่ำผีแวดล้อม ระวังเอา อะไรทำนองนั้น จะปลูกพืช ทิตย์หัว จันทร์ต้น อังคารใบ พฤหัสดอก พุธหมาก วันพุธต้องปลูกหมาก ไม้ วันอังคารต้องปลูกหม่อน ใบมัน วันจันทร์ต้องปลูกกอ ปลูกอ้อย ว่าอย่างงั้น ถ้าฝนตกละไปถึงวันจันทร์ สมมติว่าวันนี้วันอังคารซะ ฝนตกวันอังคาร กว่ารอถึงวันจันทร์ ดินก็แห้งแล้ว กรรมดีการกระทำเนี่ย รู้จักกาลเทศะ กรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์ โอย ไม่มีเสียง เบ่งจนเหนื่อย ต่อไปจะเลิกลาเด้อ เว้าอาจารย์ทรงศีล อาจารย์ธวัชชัย สนใจ ช่วยทีช่วยกัน ดูแลกัน เมื่อวานก็ไปดูงานภูเขาทอง รู้สึกว่าถ้าเราไม่ไปก็ไม่ได้ ก็ต้องไปดูงานซะหน่อย มันจะเสียหาย เวลานี้ไม่ใช่ขี้เกียจขี้คร้าน ไปดูแป๊ปเดียว ก็เสียไปแล้ว วันนี้ว่าจะไปดูอีก พรุ่งนี้ก็เป็นวันวิสาขบูชา บางครั้งมีกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาด้วยการบวชต้นไม้ นอกจากการปฏิบัติธรรม แสดงออกถึงความกว้างใหญ่ไพศาล เรามีความรักมากต้นไม้นี่ สุดหัวใจเลยทีเดียว รักแผ่นดิน รักต้นไม้ เพราะว่าต้นไม้นี่มีประโยชน์สูงสุด เราฉีกกระดาษทิชชู จิ๊ดเดียวเอง ต้นไม้ล้มไปแล้วต้นหนึ่ง วันหนึ่ง 25,000 ต้น คนทั่วโลกตัดต้นไม้ ฉีกกระดาษทิชชูจิ๊ดออกมา ต้นไม้ล้มไปแล้วต้นหนึ่ง ไปดูที่แถวเนี่ย เลยจตุรัสไปเนี่ย ที่ต้นไม้มาบดบังภูเขา เขาทำกระดาษ รถสิบล้อสิบแปดล้อบรรทุกไป มาจากไหน ก็อยู่ในแผ่นดินนี้ เพราะฉะนั้นต้นไม้ที่นี่ประกาศว่า 500,000 ต้น ให้มีเจ้าของห้าล้าน กี่คนเนี่ย ประเทศไทยมีคนกี่คน 65 ล้านคน ต้นไม้ในวัดป่าสุคะโตมีเจ้าของ 65 ล้านคน มาช่วยกันดูแล การดูแลต้นไม้คือทำบุญ การงดสูบบุหรี่เพราะถือว่าทำบุญ การงดทำความชั่วถือว่าทำบุญ ทำบุญที่นี่ให้รักษาต้นไม้ มาร่วมกันรักษาต้นไม้ ได้ข่าว ต้นไม้ใหญ่ อย่างอาตมาดูอยู่เนี่ย หน้ากว้างยาวสองเมตรครึ่งเหมือนกระดานแผ่นนึง สองเมตรครึ่ง ความกว้างของหน้าไม้ประมาณ ๕ ศอก ความยาว 5 เมตร ใส่รถสิบล้อเต็มยาวๆขนไป เค้าจะขายแสนนึง แต่ว่าไม่มีเงินซื้อหรอก ไปดูเป็นขวัญตา ต้นไม้ใหญ่นี่ โถ วานนี้ก็บวชต้นไม้ 3 ต้น
ต้นหนึ่งก็เอาเป็นลูกชาย ลูกชายจริงๆ ลูกชายคนเล็ก ปลูกเมื่อปี 2504 สองพันห้าร้อยเท่าไหร่อาจารย์ ต้นยางเอาเป็นลูกชายคนเล็ก เอาผ้าไปห่อไว้ ต้นหนึ่งก็ของเจ้านายอำเภอ เจ้านายอำเภอตายไปแล้ว ก็เลย เจ้าคณะอำเภอเลยรักต้นไม้ต้นนี้ จะดูแลแทนให้ ขอดูแล ต้นหนึ่งนายอำเภอแก้งคร้อปลูก จำได้ นายอำเภอสุภาพงษ์ หรือไร จำไม่ได้ เคยเป็นข้าราชการแต่เกษียณไปแล้ว นายอำเภอภานุพงษ์ ขออภัยจำไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็อยู่ภูเขียว เกษียณแล้วไปอยู่ภูเขียว นายอำเภอภานุพงษ์นี่ มีประวัติที่นี่ เอาลูกชายมาบวชที่นี่ สมัยนั้นแต่ก่อนนั้นที่นี่เป็นเขตอำเภอเกษตรสมบูรณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมหรือจริงก็ไม่ทราบ มารบกวนเรื่อยมา มายึดไม้เลื่อย จับไม้เลื่อย สมัยหนึ่งเราเลื่อยไม้ ไม้ยางใหญ่ เขาเอาปลายมัน ไม้โรงเลื่อยเขาตัดทิ้งต้นไว้ เขาไม่เอา เอาแต่เฉพาะปลายมันไป ก็เลยให้คนไปเลื่อยมาทำเป็นฝาส้วม ก็ไม่ยาวเท่าไหร่ ประมาณ 5 ศอก 4 ศอก 5 ศอก สั้นๆได้กระดานเป็นร้อยแผ่น แต่ตำรวจจะมาจับเอา บอกว่าเอาไปทำส้วม ไม้ที่โรงเลื่อยเค้าไม่เอา เขาตัดทิ้งไว้นี่ดีกว่าปล่อยมันเน่าทิ้ง ไม่ได้ ถือว่ามีไม้สะสมไว้ เผอิญลูกบาศก์มันผิด แต่ไม่จับเจ้าของ ไม่จับหลวงพ่อ แต่เอาไม้ยึดไม้ เป็นของกลางเข้ารัฐ ยึดไม้ไปจ้อย ไปลักเฮ็ดบ้านกะบ่ฮู้ ไม่อยากขึ้นต่ออำเภอเกษตรสมบูรณ์ เลยให้นายอำเภอแก้งคร้อ อยากขึ้นต่ออำเภอแก้งคร้อ ทำได้ไหมเขตนี้ ตั้งแต่ลำประทาวมานี่ ถึงเกษตรสมบูรณ์ นายอำเภอภานุพงษ์ว่าได้ ผมจะลองดู เขาพูดมันเป็นเขตทหารพอดี หลวงพ่อจะเอาตรงไหนหละ เอาภูค้อ ภูคี ภูกลาง เอามาห้วยยาง เป็นเขตแดนเกษตรสมบูรณ์ นายอำเภอภานุพงษ์เลยวิ่งเต้นให้เปลี่ยนเขต ขีดเส้นเขตใหม่ ได้ตั้งบ้านใหม่ กับบ้านท่าเว่อใน เป็นหมู่บ้านอำเภอแก้งคร้อ นายอำเภอภานุพงษ์ปลูกต้นไม้ไว้ เลยไปห่อต้นไม้ไว้ ดูแลรักษา เป็นหูเป็นตาแทน พวกเราเป็นเจ้าของต้นไม้ อย่างน้อยได้คนละ 10 ต้นนะ เอาผ้าไปห่อไปห่มไว้ มีจิตใจสำนึก มีที่ไหนต้นไม้หน้ากว้าง ๕ ศอก เคยเห็นไหม มันมีอยู่ที่อุบลเขื่อนสิรินธร น้ำมันแห้ง เขาเอาจากน้ำเขื่อนที่มันแห้ง เอาขึ้นมาเลื่อยเป็นโซฟา เพราะนั้น ก็นั่นแหละเคารพที่สุดเลยต้นไม้ นั่งอยู่นี่ก็ต้นไม้ บ้านเรือนก็ต้นไม้ แต่คนไม่รู้จักสงสาร ทำลายกัน เราจึงเป็นมือ ขอเป็นมือเป็นแขน เป็นปากเป็นเสียง เป็นกำลังวังชา ช่วยคนไทย 65 ล้านคน ให้มีป่าไม้ที่นี่ เป็นของแผ่นดินเอาไว้ ช่วยเป็นเจ้าของทุกๆชีวิต ในวันพรุ่งนี้ เพื่อสนับสนุนโครงการวันตรัสรู้พระพุทธเจ้าบวชขึ้นมา ร่วมกันเป็นบุญ ให้สำนึกในใจเสมอ ไปไหนก็คิดว่าลูกหญิงลูกชายหลานชายอยู่ที่นี่ ต้นใหญ่หน่อยก็เป็นป้าเป็นลุง ต้นใหญ่ๆก็เป็นพ่อเป็นแม่ ต้นสามร้อยปีก็เป็นปู่เป็นย่า มีหรือไม่ต้นสามร้อยปี เอ้าวันนี้ก็สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน