แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทำกิจวัตรประจำวัน ตื่นเช้าหรือเข้าหลังยามโบราณท่านว่ายามศีล ยามธรรม ยามสติ ยามสมาธิ ยามปัญญา อาจจะพอมีหวังได้อะไรบ้าง และก็มีประโยชน์ การสวดมนต์แต่ละวรรค จะยาวบ้างสั้นบ้าง หายใจออกยาวๆ หายใจเข้ายาวๆ ก็มีประโยชน์ ถ้ามีความดันสูง ก็อาศัยลมหายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ ความดันก็ลดเสมือนกินยาแก้ความดันสักเม็ดหนึ่งก็ได้ และก็ได้ผายปอด ทำให้ปอดมีพละมีกำลัง และปอดมีกำลังก็สามารถฟอกเลือดฟอกลม สุขภาพก็จะดี ได้ประโยชน์หลายอย่าง ในแง่ศาสนา กิจวัตรที่ วัด เป็นพละเป็นกำลังอันหนึ่ง และก็ได้บรรยากาศที่ดี ตอนเช้าๆ อาหารใจอาหารกาย อากาศเป็นอาหารจำเป็นทุกๆ วินาที นอกจากอาหารที่กินเข้าไปทางทวารปาก อากาศดี อาหารดี อารมณ์ดี ก็เป็นหลายส่วนที่ทำให้มีชีวิตชีวาดีขึ้น และได้มาพบมิตร พบเพื่อนผู้แวดล้อมดี มิตรดี สหายดี เห็นพระเห็นสงฆ์ เห็นญาติ เห็นโยมผู้อยู่ในการปฏิบัติกำลังละความชั่ว กำลังทำความดี และเห็นสมณะผู้สงบเป็นมงคลสำหรับผู้พบเห็นด้วย และเราก็ได้ปฏิบัติมีสติ สติเป็นครูของกายของใจ กายใจนี้ต้องมีครู เป็นการศึกษาพุทธศาสนา เอาสติเป็นครูของกายของจิตใจ เห็นอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ สิ่งที่ผิดก็มีสิ่งที่ถูกก็มี สิ่งที่ถูกก็ทำไป สิ่งที่ผิดก็แก้ไข แก้ความผิดไปทำความถูกไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีสติอาการที่เกิดขึ้นกับกายกับใจไม่มีที่ปิดบังอำพราง เห็นแม้กระทั่งความคิดที่มันเกิดจากจิต มีสติขึ้นมาเป็นนายทวารบาล เป็นเจ้าของกายเป็นเจ้าของจิตใจ ก็เรียนรู้ ไม่ใช่ครูสอนที่เป็นผู้เป็นคน อาจารย์ตามวิชาต่างๆ ครูพละก็ต้องสอนพละ, ครูคณิตศาสตร์, ภาษาไทย, วิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษอะไรก็สอนกันไป อันนั้นได้ความรู้ ได้ความรู้อาจจะเป็นวิชาชีพ อาจจะเป็นปัญญาเหมือนกัน แต่สติสอนไม่ใช่ให้ความรู้ ทำให้เป็น ทำให้มันเป็น ให้สัมผัส เอาสติไปสัมผัสกับกาย เอาสติไปสัมผัสกับใจ เวลาใดเกิดขึ้นที่กายที่ใจ ให้รู้ให้เห็น เรียกว่าสอนทำให้เป็น เช่นความหลงเกิดขึ้น รู้สึกตัวให้เป็น อะไรที่ไม่ถูกต้อง เรื่องรู้สึกตัวคือการแก้ไข เปลี่ยนร้ายเป็นดี อันนี้ทำเป็น หัดทำให้มันเป็นสอนให้เป็น ไม่ใช่สอนให้รู้ สติสอนให้เป็น สอนให้ทำเป็น เวลามันหลงเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงเป็น เวลามันทุกข์เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ให้ทุกข์เป็น ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นมา มันก็จะหมดได้ อันนี้ต้องสอนตัวเอง ช่วยตัวเอง คลำไป และก็มีสติตามวิชากรรมฐาน มีสติไปในกายเป็นประจำ การมีสติไปในกาย ลมหายใจก็เป็นกาย เรียกว่า(อานาปานบรรพ) เอาลมหายใจเป็นที่เกาะที่ตั้งไว้ให้มีสติไปกับลมหายใจเข้าหายใจออก ตอนนี้เรียกว่า(อานาปานบรรพ) ส่วนการเคลื่อนไหวของกายเรียกว่า (สัมปชัญญะบรรพ) คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก อันนี้ว่า (สัมปชัญญะบรรพ) รู้สึกระลึกได้ ยังพอกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกได้ดี (จิตตบรรพ)
การเคลื่อนไหวของจิตก็ให้รู้สึกตัว มันเคลื่อนไหวได้จิตน่ะ มันยิ่งใหญ่กว่ากายกว่าลมหายใจเว้นแต่มันละเอียดไม่มีใครเห็น เป็นการเคลื่อนไหวมองเห็นกันได้ ตาก็เห็นได้ คนอื่นก็มองเห็นได้ แต่ความคิดไม่มีใครมองเห็นนอกจากสติที่อยู่กับเราที่ตั้งไว้ ลมหายใจเข้าหายใจออกก็อยู่ใกล้ๆ ก็รู้จัก พองยุบพองยุบที่ท้องอันนี้ก็พอมองเห็น แต่ความคิดมองไม่เห็น จะได้ที่ลับไม่มีอะไรปรับอาบัติได้ ปรับทุกข์ปรับโทษไม่ได้ ผิดกฎหมายไม่เป็น แต่ว่าวาจา กายผิดกฎหมายมีคนเห็น มีหลักฐาน มีคลิปอะไรที่เขาว่ากันทุกวันนี้ จึงพอจะว่าได้บ้าง ทางวาจาทางกาย แต่ว่าใจนี่ไม่รู้จักอายใครอะไรก็คิดได้ คิดได้ทุกเรื่องทุกราว ผิดก็ยังคิดได้ ทุกข์ก็ยังคิดได้ โกรธ โลภ หลงก็ยังคิดได้ ไม่รู้จักแก้ตรงนี้มีเหมือนกันคนเรา ในที่สุดก็ถูกอารมณ์ยึดเอาใจไปกินไปครองหมด ความโกรธก็เป็นเราไปเลย ความทุกข์ก็เป็นตัวตนไปเลย อาศัยให้จิตเป็นใหญ่เป็นโต เอาอารมณ์มาเป็นตัวเป็นตน เอาอารมณ์มาเป็นจิต ความโกรธก็คือจิต ความรักความชังก็คือจิต ที่จริงมันไม่ใช่มันเป็นอาการ เป็นอารมณ์ ไม่ใช่จิตเดิม จิตจริงๆ ไม่มีอะไร บริสุทธิ์ ไม่เปรอะเปื้อนอะไร เป็นจิตบริสุทธิ์ จิตแต่เดิมนั่นนะ ทีนี้เราใช้ไม่เป็นก็เปรอะเปื้อน กลายเป็นจริตนิสัย ราคะจริตเกิดจากความคิด โทสะจริตเกิดจากความคิด โมหะจริตก็เกิดจากความคิดทั้งนั้น มีสติก่อนที่จะดูจิต เห็นจิตแก้ไขจิต ที่มัน อาการที่เกิดกับจิตได้ ต้องเตรียมพร้อม มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสติตั้งไว้เพื่อจะป้องกันอกุศลที่ยังเกิดไม่ให้เกิดขึ้น อย่างที่เราสาธยายพระสูตรสัมมาวายามะเนี่ย ข้อที่ ๗ เนี่ย มีความเพียร มีสติ มีฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ศรัทธาตั้งมั่น มีความเพียรเพื่อจะป้องกันอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น มีความเพียรมีความป้องกันเพื่อละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เกิดขึ้นอีก นี่คือสติ ไม่ใช่เอาอะไรไปละไปทำให้มันเป็น เปลี่ยนเรื่องร้ายเป็นความดี เรียกว่าละอกุศลเป็นกุศล เปลี่ยนความผิดเป็นความถูกเรียกว่าละอกุศลเป็นกุศล นี่คือศรัทธามีสติ มีความเพียร และก็เมื่อตั้งมั่น เพื่อให้สติที่เกิดขึ้นแล้ว ให้กุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญขึ้น ให้งอกงามขึ้น ให้ไพบูลย์ขึ้น ให้เต็มรอบอันนี้เรียกว่า ทำเป็น เมื่อละอกุศลได้แล้วกุศลก็ตั้งอยู่ได้นาน เป็นเจ้าของสติ เป็นเจ้าของกาย เป็นเจ้าของจิตใจ อันนี้ต้องมีการกระทำตามวิชากรรมฐานที่ตั้งของการกระทำ โดยเฉพาะสัมปชัญญะบรรพนี้ มันชัดเจน มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด นั่นนะมาเลย เปิดเลย ของที่คว่ำเปิดออก ของที่คว่ำหงายขึ้น ของที่ปิดเปิดออก ถ้ามีสติน่ะ มันเป็นอย่างนี้ ว่าแต่อย่าเข้าไปเป็นกับมัน อย่าเข้าไปในความคิด จนเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นความพอใจไม่พอใจ เรียกว่าเข้าไปแล้ว ถอนออกมา อะไรเกิดกับกาย มันก็เข้าไปแล้ว เวทนาคือเราซะ เราปวดเราเมื่อย สุขเวทนาคือเรารู้ เราสงบเข้าไปเป็นผู้สงบเข้าไปเป็นผู้รู้ เข้าเป็นผู้ผิด ผู้ถูกซะ นั่นมันไปแล้ว อย่าให้ไปถึงโน่นนะ รู้ พอรู้สึกตัวถอนออกมา การรู้สึกตัวคือถอนออกมา ไม่ใช่เอามือไม่ใช่เอาตัวหนีไปไหน ในกายมันก็สอนกาย ในใจมันก็สอนจิตใจ ถ้ามีสตินะ ภาษาบ้านเราเรียกว่า สติ ภาษาอีสาน เรียกว่า ฮู้เมี๊ย ฮู้เมี๊ยตัว เหมือนลูกนอนหลับ ไฟไหม้บ้านพ่อแม่ก็ไปปลุกให้ตื่น ตื่นหรือยัง ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว บางทีไม่ตื่นก็ลากแขนขึ้น ถ้ามันตื่นแล้วมันก็ช่วยตัวเอง นี่คือ ฮู้เมี๊ย ตื่นแล้วรู้จักทิศจักทาง ภาษาทางการเรียกว่า ความรู้สึก ความระลึกได้ เรียกว่าภาษาไทย ภาษาบาลีเรียกว่า สติสัมปชัญญะ แต่ละภาษาแล้วแต่จะเรียกยังไง ภาษาอังกฤษก็เรียกไปอย่างหนึ่ง ภาษาจีนก็เรียกไปอีกอย่างหนึ่ง ก็คือความรู้สึกระลึกได้นั่นหละ อันเดียวกัน ใครก็มีเหมือนกัน ถ้ารู้สึกระลึกได้ ได้เปลี่ยนความผิดเป็นความถูกต้องมันก็เหมือนกันทุกคน ความผิดก็เหมือนกันแต่เป็นคนละวาระต่างวาระกัน บางทีคนหนึ่งผิด เราว่าจะไม่ผิด บางคนไม่ผิด ชีวิตคนหนึ่งเป็นทุกข์ บางคนอาจจะไม่เป็นทุกข์ เพราะสิทธิคนหนึ่งเป็นทุกข์นั้น เพราะอะไรเพราะหัดตนสอนตน มันก็ต่างเก่าพ้นภาวะเดิมได้ มีสติเป็นครูของกายของใจ เรียกว่าได้บทเรียน ได้ประสบการณ์ พระสิทธัตถะไปเรียนเรื่องนี้ ไม่มีใครเป็นครูของพระองค์ ตรัสรู้เองโดยชอบ เหมือน ปัญหานักธรรมชั้นโท คุณของพระพุทธเจ้ามีสองคืออะไร ใช่ไหม แก้ปัญหานักธรรม อนุพุทธประวัติ คุณของพระพุทธเจ้าสองอย่างคืออะไร หัวหน้าสังข์ว่ามา ไม่มีใครตอบได้เลย ตอบได้บ้างไหมเรา คุณพุทธเจ้ามีสองหมายถึงอะไร ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีใครเป็นครู และสอนคนอื่นรู้ตาม ได้ชื่อว่า สัมมาสัมพุทโธ นี่คุณของพระพุทธเจ้าประเสริฐด้วยพระองค์เอง ยกให้พระธรรม แน่แล้ว แน่แล้ว สอนคนอื่นรู้ตาม ง่าย นี่เรียกว่า เมื่อพระพุทธเจ้าได้ศึกษา และเกิดเป็นพุทธะขึ้นมาไม่มีใครมาสอนให้ ศีลก็ไม่ได้ขอจากใคร ถ้ามีสติก็ละความชั่ว ถ้ามีสติก็ทำความดี ถ้ามีสติจิตก็บริสุทธิ์ นั่นละคือศีล นั่นหละคือละความชั่ว นั่นหละคือทำความดี เรามีสตินี่ มันก็ไปกันหมดเลย
เราจึงเอาสติเป็นครูของเรา ไม่มีใครเห็นตัวเราเท่ากับตัวเรา จึงจำเป็นต้องมาทำอย่างนี้ เป็นกัลยาณมิตร เป็นมิตรเป็นเพื่อนผู้แวดล้อมดี มิตรดี สหายดี เชียร์ เป็นกองเชียร์เป็นแนวร่วม หลายๆ หลายส่วน ผู้ปรุงอาหารก็ปรุงอาหาร ผู้ผ่าฟืนก็ผ่าฟืน ผู้ตำข้าว ก็ตำข้าว ผู้ดูแลอะไรก็ดูแลไปเพื่อให้ได้อยู่ในการปฏิบัติ ผู้ที่มาอยู่เพื่อปฏิบัติเนี่ย ถ้าเรากำลังช่วยคนที่ละความชั่วทำความดี นี่ก็เป็นกุศล คนจะได้เป็นคนดีเกิดขึ้น จะได้ช่วยกัน ไม่ใช่โจรผู้ร้าย ยังยินดีกับพวกเราที่มาปฏิบัติเนี่ย เหมือนกับมีที่พึ่ง มันมีอยู่จริง เมื่อสอนเป็นแล้ว ทำเป็นแล้ว มันไม่หมด มันไม่ลืม มันลืมไม่เป็นเพราะเห็นหลักฐาน รู้จักรูป รู้จักนาม ตามความเป็นจริง รู้จักอาการที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม มีมากมายหลายอย่าง กิเลสพันห้าตัณหาก็ร้อยแปด มันเกิดขึ้นที่รูปที่นามนี้ ก็จะได้เห็น ได้แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้นมา มันก็จะหมดเป็น พ้นเป็น หลุดพ้นเป็น เกิดเป็นชีวิตชีวาที่ดีที่ประเสริฐ ที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐยิ่งปฏิบัติธรรมได้ประสบการณ์ได้บทเรียน ได้รสพระธรรมแล้วมันก็เป็นรสอันประเสริฐ มีเงินหมื่นเงินแสนเงินล้านก็ซื้อไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่า พรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือน มันดะ ยอดโอชาแห่ง โอรส มันดะ คือเนยที่มันหาได้จากนมวัว มันดะ ยอดโอชาแห่ง โอรส โอรสคือ วัว เอาแม่วัวที่เลี้ยงดี อาหารดี กำลังแข็งแรงดี 700 แม่มารีดนม เอานมวัวที่มี กำลังดี แข็งแรงดี อาหารดีรวมกัน 700 ตัวไปทำเป็นเนยข้น เนยแข็ง นั่นละโอชาแห่งโอรส เดี๋ยวนี้ไม่ได้เพียง 700 ตัว หลวงตาก็มีเนยข้น ที่โยมเอามาให้ช่วงปฏิบัติเข้มที่ผ่านมา เค้าทำเอง เอามาฉันดู ว่าจะเอามาให้เพื่อนฉัน แบ่งกันคนละก้อนละก้อนดู มันก็พอมีรส แต่มันไม่ใช่มันดะที่แท้จริง ไม่ใช่ได้จากแม่วัว 700 ตัว ตั้งใจทำจริงๆ แบบนั้น นมวัวที่แข็งแรง 700 ตัว พระเจ้าอโศกไปรดต้นต้นโพธิ์ที่ถูกฆ่าตายยังพื้นขึ้นมาได้ ต้นโพธิ์ที่ถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่พระเจ้าอโศกนี่รักนอนเฝ้า จะพยายามให้ต้นโพธิ์ต้นนี้เกิดหน่อขึ้นมาอีก อาศัยนมโค 700 ตัวเนี่ยรดน้ำ จนหน่อโพธิ์เกิดขึ้นมาอยู่ทุกวันนี้ อันนี้ก็เป็นไปได้ มันดะ มันดะ เนี่ย อันนั้นเป็นวัตถุ แต่รสพระธรรมมันประเสริฐกว่านั้น จึงไม่มีวิธีใดที่จะบอกที่จะเผยแพร่ เพื่อให้คนที่เกิดมาได้สัมผัส กับรสพระธรรมเช่นนี้ สัพพะระสัง ธรรมะระโส ชินาติ พระเจ้าสรรเสริญรสพระธรรมเนี่ย จึงไม่มีอันใดที่จะช่วยมนุษย์โลกได้ดีที่สุดนอกจากวิชากรรมฐาน มีอยู่จริง มรรคผลนิพพานมีอยู่จริงในชีวิตของคนที่เป็นๆ อยู่เนี่ย ว่าแต่ฝึกไปทางนี้ มันมีทางอยู่เยอะแยะเลยเราไม่จนเรื่องนี้ มีพระสูตร มีบทเรียน มีการศึกษาด้านปริยัติก็มี นี่ก็มีพระสอบ ด้านปฏิบัติก็มีเรียกว่า คันถะธุระ การศึกษาเล่าเรียน วิปัสสนาธุระ การนำมาปฏิบัติ ปฏิบัติเป็นหนึ่ง ปริยัติเป็นสอง นี่เราร้องเพลงสมัยเป็นเด็กนักเรียน พระพุทธเจ้าไม่เคยมีครูสอนแต่ว่าเมื่อสอนไปสอนไปก็เลยมีหนังสือเกิดขึ้นมาเขียนไว้เป็นพระไตรปิฎก พระอานนท์เป็นผู้จำมา หลายรูปเป็นผู้จำมา นี่เคยถามว่าอนุพุทธประวัติ อนุพุทธบุคคลคือใคร ก็คือพระสาวก มีความสำคัญยังไง สำคัญเช่นนี้ มีผู้จำมาสมัยพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ไม่มีเทป ไม่มีซีดี ไม่มีอะไรบันทึกไว้เหมือนทุกวันนี้ นอกจากพระสาวกที่พากันจำไว้ ถ้าจำได้ก็เอามาร้อยกรอง มาบันทึก พระพุทธเจ้าก็นิพพานไปตั้งสองสามร้อยปี ฟังต่อต่อกันมา แล้วก็มีคำถาม พระสาวกรูปใดมีกตัญญูกตเวที เนี่ยะอนุพุทธะนี่ พระสาวกรูปไหนมีกตัญญูกตเวทีมากที่สุด พระพุทธเจ้าสรรเสริญเป็นเอตทัคคะในทางนี้ ก็มีพระสารีบุตรเป็นกตัญญูกตเวที สมัยหนึ่งมีพรามหณ์สุภัททะปริพาชกเป็นพรามหณ์แก่ไม่มีญาติพี่น้อง มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอยากมาบวชหาผ้าก็ไม่มี หาบาตรไม่มี พระพุทธเจ้าถามพระสงฆ์ พระสาวก อนุพุทธะเนี่ยคือพระสาวก พระสงฆ์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นคุณประโยชน์ของสุภัททะปริพาชกคนนี้บ้างไหม ใครจะเป็นผู้อุปการะ พระสารีบุตรยกมือขึ้น กราบทูลว่าข้าพพุทธเจ้าเห็นคุณของสุภัททะ คุณอะไร?
สมัยหนึ่งสุภัททะเคยใส่บาตรให้ทัพพีหนึ่ง จำไม่ลืมเลย เออถ้าเช่นนั้นเธอไปบวชให้เขา หาผ้าหาจีวรให้เขา ก็ยกให้สารีบุตรบวช นี่อุปการะคุณที่สาวกรูปนี้ นอกจากนั้นก็ตอบแทนบุญคุณมารดา บิดา ถ้าคนที่สองคือ ตอบบุญคุณแทนบิดามารดา ไว้แสดงโปรดเวลาเป็นพระอรหันต์ มีน้องสาวมีพี่ชายน้องชายเท่าไหร่เอามาบวชหมดเลย เอาน้องเอาพี่มาบวชหมดเลย เลยเหลือแต่แม่ แม่ก็เลยให้กลับบ้านไปสอนให้ด้วย ไปสอนแม่จนได้เป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานที่บ้านเกิดในนาลันทา สารีบุตรเนี่ย ใกล้ๆราชคฤห์ เราขึ้นเขาคิชฌกูฏ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ นาลันทาเนี่ย บ้านสารีบุตรเนี่ย เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ โมคคัลลาเป็นเพื่อนกัน ชวนกันออกบวช เราขึ้นเขาคิชฌกูฏ มองไปนาลันทาเนี่ย เห็นทุ่งนา เห็นคันนาเหมือนผ้าจีวร ผ้าจีวรที่เป็นตัดเป็นรูป ปะทักโกสี อะนุวาส ได้มาจากนาลันทา ขึ้นไปเขาคิชฌกูฏ มองลงไปทิศตะวันออกไปเห็นคันนานาลันทา เหมือนผ้าจีวรเราเนี่ย พระอานนท์เป็นคนออกแบบแต่ก่อนเป็นผืนใหญ่ โจรมันลัก พระพุทธเจ้าเลยหาวิธีเอายังไงดี ก็เลยเอาแบบนี้ตัดเป็นชิ้นเป็นชิ้นมาเย็บติดต่อกัน ให้เหมือนทุ่งนานาลันทา อานนท์เป็นผู้ออกแบบ จนเราใช้จีวรรูปนี้มาทุกวันนี้ก็คือสาวก นี้ว่าอนุพุทธะ มีพระสูตรต่างๆ พระอานนท์ จำเก่ง ผู้เทศนาเก่งที่สุด พระพุทธเจ้าสรรเสริญคือใคร มีแต่ท่านในการแสดงธรรมคือ มหากัจจายนะ เนี่ย เลิศ อธิบายภาษิตที่น้อยๆ ให้กว้างใหญ่ไพศาล อธิบายภาษิตที่กว้างใหญ่ไพศาล ให้น้อยๆ เทศน์เก่งและก็รูปงาม พวกภิกษุณี สงฆ์ภิกษุณีทั้งหลายชอบนิมนต์ไปแสดงธรรมแต่ว่ารูปของมหากัจจายนะเนี่ย แต่มันเป็นรูปล้วนๆ อันนี้ไม่ใช่รูปมหากัจจายนะองค์นี้ นี่ก็คือแสดงธรรมเก่ง นอกจากพระมหากัจจายนะ ก็มาพระอานนท์ สงฆ์ภิกษุณี ชอบนิมนต์เข้าไปสอนในสำนักสงฆ์ภิกษุณีมาก จนมีภิกษุอิจฉา มีผ้าดีๆ ถวายของดีๆ ให้พระอานนท์ และก็แย่งกันไปเทศน์โปรดผู้หญิง จนได้ตั้งวินัยขึ้น วันนี้อาจจะถามพระวินัยนะ พระพุทธเจ้าได้บัญญัติว่าภิกษุที่สมมุติ สั่งสอนนางภิกษุณี ภิกษุที่ไม่ได้สมมุติไปสอนนางภิกษุณีต้องอาบัติ เพราะแย่งกันไป เช่นปฏิบัติธรรม มีแต่ผู้หญิง ใส่บาตรก็มีแต่ผู้หญิง แล้วผ้าจีวรที่เราถือผ้ากฐินนี่ก็ผู้หญิง ผ้าอาบน้ำฝนนี่ก็เป็นผู้หญิงเป็นผู้เกิดศรัทธาคิดขึ้นมา มีผ้าอาบน้ำฝนใช้ มีผ้าจีวรทอดกฐินเนี่ย มีผู้หญิงเรียกว่า มหาอุบาสิกา เรียกว่าสุอะไร? นางอะไร? มันก็มีประโยชน์เราเรียนปริยัติเนี่ย เราเรียนปฏิบัติก็สอดคล้องกันพอดี ปฏิบัติเป็นหนึ่ง ปริยัติเป็นสองเนี่ย ปฏิบัติก่อนค่อยไปสอบ ไม่เคยไปเรียนในห้องเรียน นักเรียนวัดป่าสุคะโตไม่เคยนั่งห้องเรียนเลย สอบด้วยตนเอง ดูตนเองปฏิบัติธรรมไป ก็สอบไป จบนักธรรมกันเป็นส่วนมากแล้ว อันนี้จะเป็นครูได้ เผื่อลูกศิษย์ผู้เกิดท้ายภายหลัง ยิ่งเรามีปฏิบัติเนี่ย เดี๋ยวนี้ก็โยมสอนศาสนายิ่งกว่าพระ ศาสนาที่ว่าอยู่ได้นี่มาสู่ประเทศไทยนี่ อนาคาริกธรรมปาละ ประเทศศรีลังกานะเป็นโยมนะไปเผยแพร่ ไปค้นคว้า ไปฟ้องร้องเอาคืน เอาพุทธคยาคืนมา เอานาลันทาคืนมา เอาป่าอิสิปตนคืนมาเป็นของพวกฮินดูไปทั้งหมดแล้ว ก็ได้หลักฐาน สงสารต้นศรีมหาโพธิ์ คนนาลันทาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง อนาคาริกธรรมปาละก็ช่วยศาสนาขึ้นมา จนมาถึงพระเจ้าอโศกขึ้นกันมา จนมาถึงส่งทูตมา คือพระสาวกนั่นหละ ทูตมาเมืองไทยเรานี่เรียกว่า พระโสณโกฬิวิสะ พระอะไรสองรูปนั้นหละ พระสาวกนั่นหละมา จึงมีความสำคัญ พวกเราเป็นนักบวชนี่ก็สืบต่อ เพื่อสอนต่อมาเรื่อยๆมาจนถึงทุกวันนี้ อันเดิมมีสติดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจมันคิดพระพุทธเจ้าว่าคู้แขนเข้ารู้สึกตัว เหยียดแขนออกรู้สึกตัว ในวันตรัสรู้นั้น จะมีปางมารวิชัย แต่ก่อนอาจจะนั่งอยู่นี้ ก็ยกมือมานี้ ปางนี่ก็ตรัสรู้ ปางนี้ก็เกิดปัญญานะ แล้วก็สอนกันตามฉบับเดิมไม่ใช่ของใหม่นะ ของเก่าๆ แท้ๆ เนี่ย มีสติดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจคิด นี่เรียกว่า สัมปชัญญะบรรพ อานาปานบรรพ หายใจเข้าบริกรรมพุทโธ พุทโธก็มี จิตตบรรพ เห็นความคิดได้สอนจิต เรียกว่าจิตตบรรพ อันเดียวกันแท้ๆ ไม่แปลกเลย ให้ตัดสินใจศึกษาเรื่องนี้กันบ้าง อย่ารอเวลาให้รีบด่วนสักหน่อย เรามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า มีจริงๆ ความเกิด ความเจ็บ ความตาย มีจริงๆ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีกันทุกคน เราจึงมีวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เราอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ ให้มีความสุขไปยาวๆ ให้เข้าถึงสัจจะธรรมตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาวนั่งอยู่เนี่ย วันนี้ก็สมควร กราบพระพร้อมกัน