แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ เพื่อให้เป็นส่วนประกอบของการปฏิบัติที่เรากำลังทำอยู่ อาศัยการได้ยินได้ฟังเป็นมิตรเป็นเพื่อนในเวลาปฏิบัติ ให้เป็นกำไรขึ้นกับตัวเรา ที่ปฏิบัติธรรมก็คือมีสติไปในกายเป็นที่ตั้ง เห็นสิ่งที่ผิดที่ถูก แล้วจะได้แก้สิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีสติ มักจะทำไม่ค่อยได้ ถ้าสุขก็เป็นสุข ถ้าทุกข์ก็เป็นทุกข์ มันจะเป็นเข้าไปกับสิ่งต่างๆเมื่อได้เห็น เหมือนคนหลับตา คลำถึงอันใดก็อาศัยสิ่งนั้นว่าเป็นอย่างนั้น ตาบอดคลำช้าง เห็นขาก็เหมือนกับช้าง เหมือนกับเสาโล่ เห็นข้างของช้างก็เหมือนกับฝาโล่ บางคนไม่เห็น คลำเอา สัมผัสเอา บัญญัติเอา สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเรานี่เหมือนถ้าคนไม่มีสติก็เป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามีสติจะได้เห็น เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ได้เป็นไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น เวลาเราปฏิบัติ ถ้ามีสติ เกิดอะไรขึ้นมา มีความพร้อมที่จะเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก ทุกเรื่องทุกราวที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเรานี่ ถูกผิดจะได้เห็นตรงนี้ เพราะสติเป็นตัวเกณฑ์ชี้วัด จะได้เปิดเผยออกมา เหมือนกับของที่ปิดจะได้เปิดออกมา ถ้ามีสติดูกาย การมีสติดูใจไปเห็นของที่คว่ำก็จะได้หงายขึ้น เมื่อเปิดออกก็ย่อมเห็นเป็นอย่างไร หงายขึ้นก็ย่อมเห็นว่าเป็นอย่างไร ปฏิบัติกับสิ่งที่เห็นนั้นอย่างถูกต้องได้ มีสติไปในกายอยู่เป็นประจำ อะไรเกิดกับกายก็จะได้เห็น ไม่เป็น แต่หากสิ่งที่เกิดกับกาย ถ้าไม่มีสติก็เป็น ร้อนก็เป็นผู้ร้อน หนาวก็เป็นผู้หนาว หิวก็เป็นผู้หิว เจ็บปวดก็เป็นผู้เจ็บปวด หมดตัวไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีหลัก หนที่สุดก็ทิ้งอะไรที่ไม่ถูกต้องไว้ในกายในใจเยอะๆ เป็นกิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด แต่ถ้ามีสติก็จะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นกายสักแต่ว่ากาย สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายเป็นอาการของกาย เรียกว่า เวทนา ก็สักว่าเวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์นั้น เห็นจิตที่มันคิดก็สักว่าจิตที่มันคิด ไม่ได้หลุดไปกับความคิดให้มันเป็นอันอื่น คิดขึ้นมาก็เป็นสุข คิดขึ้นมาก็เป็นทุกข์ คิดขึ้นมาเป็นหลายๆ อย่าง เกิดกิเลสตัณหาราคะ เกิดโกรธโลภโกรธหลง ความพอใจไม่พอใจ ถ้ามีสติก็เห็นสักแต่ว่าจิต สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับจิตเป็นอาการของจิตไม่ใช่จิต สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายก็เป็นอาการของกายไม่ใช่กาย เป็นปกติ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย ถ้ามันเห็นก็เป็นเรื่องที่เป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่กาย เป็นกายในกายเป็นอย่างนี้ เป็นสุขในสุข ทุกข์ในทุกข์ ทุกข์ต่อๆกัน ก็ยาวลำดับไป ต่อๆไป ไม่สักแต่ว่า ไปไกล สุขก็ไปไกล ทุกข์ก็ไปไกล สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตก็ไปไกล ถ้าไปไม่ถูกทางก็ไปสู่อบายได้ คิดขึ้นมาตกนรกได้ คิดขึ้นมาเป็นเปรตได้ คิดขึ้นมาเป็นอสูรกายได้ คิดขึ้นมาเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ โง่ไปเลย แต่ถ้ามีสติกลับมาสักแต่ว่า สติจะทำให้เราเป็นอย่างนั้น ฝืนไปไม่ได้ เพราะมีที่ตั้งเป็นเกณฑ์ชี้วัด มันไม่ถูกต้อง ความถูกต้องคือเห็นไม่ได้เป็น ภาวะที่เป็นไม่ถูกต้อง สุขเป็นสุขไม่ถูกต้อง ทุกข์เป็นทุกข์ไม่ถูกต้อง ถ้าสุขเห็นมันสุข ถ้าทุกข์เห็นมันทุกข์อย่างนี้ถูกต้อง ไม่หวั่นไหว ไม่เกิดอะไรขึ้น มีสุขปกติ สุขปกติ สุขเห็นมันสุขไม่เป็นผู้สุขเป็นปกติ ทุกข์เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์เป็นปกติ ถ้าสุขเป็นผู้สุข ทุกข์เป็นผู้ทุกข์ผิดปกติ รู้จักผู้ปฏิบัติ เมื่อเราได้สัมผัสอย่างนี้ ถูกบุกเบิกไปเรื่อยๆ มีอะไรเข้าแถวมาให้ดูเยอะแยะ ดูเรื่องเก่าเห็นแล้วเห็นอีก แตกฉาน เห็นกาย เห็นรูปธรรม แตกฉานเท่านี้ เห็นจิตที่มันรู้อะไรได้เป็นนามธรรม แตกฉานเท่านี้ แตกฉานในรูป แตกฉานในนาม มันก็บอก รูปมันบอก นามมันบอก ธรรมชาติมันสอน ถูกธรรมชาติสอน จำนนต่อธรรมชาติ รู้แจ้งตามธรรมชาติเยอะแยะ กายสักว่ากาย รูปธรรม นามธรรม รูปมันทำดี นามมันทำดี รูปมันทำชั่ว นามมันทำชั่ว แต่ก่อนมันเป็นใหญ่ในการกระทำ จิตก็เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า กายจิตมันชั่วแล้ว ผู้อยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตามเห็นว่าผิดทั้งนั้น ถ้าจิตไม่มีสติ ความชั่วก็ไม่ถูกต้องเกิดกับจิต ก็ย่อมนำไปเหมือนเกวียนหมุนตามรอยเท้าโคตามไป ไปตามจิตที่มันคิดไป เป็นรอยไป รอยรัก รอยแค้น รอยสุข รอยทุกข์ รอยดีใจ เสียใจ รอยโกรธ โลภ หลง รอยกิเลสตัณหาตามไปย้อมจิต จิตดีๆก็เป็นจิตที่เปรอะเปื้อนไปกับอารมณ์ เขาเรียกว่าอารมณ์ ธรรมารมณ์เป็นผู้ฝึกจิต อย่างเช่นจิต เค้าก็เห็นอย่างนี้ ธรรมารมณ์ อารมณ์ที่เกิดกับจิต เหมือนตาคู่กับรูปที่ได้เห็น ติดทางตา รูปติดตา เสียงติดหู จมูกติดกลิ่น ลิ้นติดรส กายติดสัมผัส จิตใจติดอารมณ์ เพี้ยนไปหมดเลย กายก็เพี้ยน ตาหูก็เพี้ยนไป เป็นที่เกิดของความผิด ไม่จบลงที่นั่น เห็นสักว่าเห็นคือสติ ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้รส ได้สัมผัสสักแต่ว่า ได้คิดสักแต่ว่า ไม่ไป อยู่ตรงที่เก่าเป็นเสาเขื่อนไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่เช่นนี้ก็เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา ได้ปัญหาพบปัญญาขึ้นมา มันบอกรูป มันบอกนาม มันบอก รูปมันทำดี นามมันทำดี รูปมันทำชั่ว นามมันทำชั่ว ได้เห็นมายาสาไถของสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เคยช่วยรูป ไม่เคยช่วยนาม
พอมาเห็นอย่างนี้ มันก็ได้ช่วยรูปช่วยนาม เหมือนกับกอบกู้ขึ้นมาให้สู่ความปกติ ผู้ปฏิบัติเองก็ย่อมรู้เองเห็นเอง สัมผัสได้เอง เป็นเช่นไร ความว่างเปล่า ความไม่เป็นอะไรกับความเป็นอะไรที่หนัก หอบยึดถือมา เกิดปล่อยวางลงมา ใจว่างๆ กายว่างๆ วางๆ เบาๆ เย็นๆ มันก็เกิดกระแส เกิดมรรค เกิดผล ตามฐานะของผู้ปฏิบัติ เป็นกอบเป็นกำ เป็นผลขึ้นมา รูปมันทุกข์ นามมันทุกข์อย่างไร ขุดคุ้ยออกมาทุกแง่ทุกมุม ทุกข์ของรูปบางอย่าง ทุกข์ของนามบางอย่าง ทุกข์ของรูปบางทีกำหนดรู้ด้วยการรู้ ละไม่ได้ ทำหน้าที่กับรูปอย่างถูกต้อง เกี่ยวกับรูปอย่างถูกต้อง ทุกข์ของรูปบางอย่างบรรเทา ทุกข์ของรูปบางอย่างต้องละ ไม่เอาเป็นตัวเป็นตน ไม่ปนเปกันไป เป็นระเบียบ ระเบียบรูป ระเบียบนาม กลายเป็นกฎเกณฑ์ชี้วัด ได้อาศัยระเบียบเป็นแผนที่ หล่อหลอมเป็นแม่พิมพ์เป็นแบบให้เราได้อยู่ในแบบในพิมพ์ ศีลก็ช่วยเรา ปกติช่วยเรา สมาธิความไม่หวั่นไหวก็ช่วยเรา ปัญญาความรอบรู้ก็ช่วยเรา เวลาเราปฏิบัติ มีธรรมรักษา ธรรมคุ้มครองคืออย่างนี้แหละ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมอยู่เป็นนิจ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว เป็นอย่างนั้นจริงๆเวลาเราปฏิบัติ เหมือนกับว่ามีคุณมีค่า คุ้มค่าที่ได้เกิดมาตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ว่าลูกของพ่อของแม่กำลังทำดี ก็ละความชั่วได้ ตามคนเขาเดินขึ้นมา รูปทุกข์บางอย่างต้องละเช่น ความโกรธต้องละ ทุกข์ว่าร้อนว่าหนาวก็ต้องบรรเทา พอหิวก็ต้องบรรเทา เกี่ยวกับทุกข์ที่เกิดกับรูปอย่างเป็นระเบียบ เจ้าแบบเจ้าแผน ใจยึดไม่ผิดเพี้ยน เห็นความพอเพียง เพียงพอไม่ขาด เป็นอาชีพพอเพียง ไม่จนในเรื่องนี้ เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือย รู้จักใช้ รู้จักรักษา รู้จักหา รู้จักซ่อมแซม ตรงไหนไม่ดีที่เกิดกับกายกับใจ ไม่ได้ปล่อยทิ้ง รูปโรค นามโรค โรคของรูป โรคของนามมีอะไร เป็นของทุกข์อันหนี่ง รูปทุกข์ รูปโรค โรคของรูป บางอย่างก็เช่นมีร้อนมีหนาวมีหิว มีเจ็บมีปวดเป็นโรคของรูป โรคนี้เค้ากำหนดรู้ด้วยการรู้ กำหนดรู้การบรรเทา โรคของรูปของนามที่เป็นความโกรธ ความโลภ ความหลง กิเลสตัณหา สิ่งเสพติดต้องละอย่างเดียว บรรเทาไม่ได้ สูบบุหรี่บรรเทาความอยาก ไม่ใช่แบบนั้น กินเหล้าบรรเทาความหิว ไม่ใช่แบบนั้น ทุกข์แบบนี้ โรคแบบนี้ต้องละเป็นระเบียบ ไม่ละไม่ได้ คอมันจะขาด หัวมันจะแตก มันเห็นอย่างนี้ ไม่ได้อดได้ทน มันหลุดไปเลย เห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหลุดไปเลย ยิ่งมาเห็นความคิดที่ไม่ตั้งใจ มันรุนแรงเหมือนกับว่าไอ้นี่แหละเป็นจำเลยหมายเลขหนึ่ง เราถูกเดี๋ยวนี้ เราเป็นทาสของความคิดที่ไม่ตั้งใจ เป็นบาปตัวแรก ได้รู้ได้เห็นความคิดที่ไม่ตั้งใจ เอาจริงๆ ตรงนี้ ปล่อยทิ้งไม่ได้ ให้ไปไกลไม่ได้ เหมือนกับว่า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ มันเคยใช้จิตให้คิด เป็นทวารของจิตที่ใช้ให้จิตคิด มีสติเต็มที่เหมือนกับก้อนกรวดทิ้งใส่ฝาผนังตกลงตรงนั้น ตกลงตรงนั้น คิดที่ใดตกลงที่นั่น ไม่มีค่าในความคิด พาให้เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิดไม่ได้ พาให้เกิดโกรธโลภหลง เกิดจิตตัณหาไม่ได้ ตกลงที่นั่น มีสติเป็นพลังคุ้มครอง และความคิดเหมือนกับดินเหนียว คิดทีไรก็ติดไปกับสิ่งนั้น รอยของความคิด เกิดความสุขความทุกข์เยอะแยะ เปรอะเปื้อนไปหมดเลย พอมาเห็นความคิดที่เกิดกับจิต ไม่ใช่ได้ตั้งใจนี้ เอาตรงนี้จริงๆ ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมตรงมาที่นี่มากที่สุด แก้ตรงนี้มากที่สุด เปลี่ยนตรงนี้มากที่สุด ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นพอได้หลักได้ฐานแล้วก็ตั้งทัพตรงนี้มากที่สุดแล้ว เรียกว่าบำเพ็ญทางจิต พระพุทธเจ้าก็บำเพ็ญทางจิตแบบนี้ ได้ตรัสรู้ก็เพราะได้ทำอย่างนี้ เป็นพุทธะก็ได้เป็นอย่างนี้ เป็นพระสงฆ์ก็เป็นอย่างนี้ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เค้าเป็นอย่างนี้ ได้หลักตรงนี้ ได้ฐานตรงนี้ ยึดพื้นที่นี้ ครองพื้นที่นี้ เป็นใหญ่ในพื้นที่นี้ มีสิทธิในพื้นที่นี้ ความคิดนี้เหมือนเป็นต้นเหตุ มีสติเท่านั้นที่จะไปเห็น ไม่ใช่ไปศึกษารูปไหนแบบไหน อ่านตำรับตำราหรือได้อวดรู้มา อย่างที่เราสาธยายพระสูตร มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุดสำเร็จแล้วที่ใจ ว่าแต่ปาก ไม่ได้เห็นเงื่อนไขของความเป็นจริง ใจพาให้เป็นทุกข์ก็ทุกข์กับความคิด ใจพาให้เป็นสุขก็เป็นสุขเพราะความคิด ใจพาให้เกิดจิตตัณหาก็ทำตามความคิดที่เกิดจิตตัณหา ผลงานของความคิดไปไกล เยอะแยะไปแล้ว พอเรามีสติรู้เห็น มายาสาไถของความคิดที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความชั่วมากมาย ชีวิตทั้งชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับความคิด กินไม่ได้ก็คิดขึ้นมากินไม่ได้ คิดขึ้นมานอนไม่หลับ คิดขึ้นมาก็เสียใจ น้ำตาร่วง น้ำตาไหล ทั้งๆที่ไม่มีอะไรทำ ตัวเองทำเอง คิดแบบกัดตอดตัวเองให้เจ็บปวด สะดุดตรงนี้ก็โดดได้ไกลนะ ตื่นมากตื่นตรงนี้ กระโดดได้ตอนนี้มากที่สุดเลย ตื่นรู้ได้มากที่สุด เหมือนผ้าคลุมหัว ผ้าคลุมหัวที่หลุดออก โล่งแจ้ง ความรู้แจ้งอันนี้เกิดขึ้นเรียกว่าวิปัสสนาญาณก็ว่าได้ ไม่ใช่แจ้งแบบแสงอาทิตย์แสงจันทร์ อาทิตย์แจ้งสว่างในกลางวัน ดวงจันทร์สว่างในกลางคืน แต่ธรรมะสว่างทั้งกลางวันและกลางคืน คือความรู้แจ้งแบบนี้ วิปัสสนาญาณ มีญาณขึ้นมา ญาณก็ขนส่ง มิใช่ญานแบบรู้ วิปัสสนาญาณขนส่งให้หลุดพ้น ความหลุดพ้นเป็นจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่อันอื่น ถ้าเข้าถึงวิปัสสนาแล้วหลุดพ้นมาอันดับหนึ่ง อะไรก็พ้น อะไรก็หลุดพ้น หลุดพ้น นี่คือวิมุตติ เป็นจุดหมายปลายทางของกรรมฐาน ไม่ใช่ลาภ สักการะ สรรเสริญเยินยอ ไม่ใช่หมู่มิตรพวกพ้องบริวาร ไม่ใช่เจ้าลัทธินิกาย ความหลุดพ้นต่างหากที่เป็นเกณฑ์ เราทำอยู่ในกรรมฐานนี่เรียกว่าพรหมจรรย์ เพราะว่าได้รูปทุกข์ นามทุกข์ รูปสมมติ นามสมมติเยอะแยะ เป็นหลักฐานฟ้องลงไป ไม่มีที่อาศัย รูปบัญญัติ วัตถุอาการปรมัตถ์ บอกความหลงไม่จริง ความไม่หลงจริง ความหลงเป็นสมมติบัญญัติ ความไม่หลงเป็นปรมัตถ์สัจจะ ไม่มีการเปลี่ยนได้ ความจริงต้องเป็นความจริงอยู่เช่นนั้น ใครจะรู้หรือไม่รู้ ความจริงก็มีอยู่มันผูกขาด ความไม่เที่ยงก็คือความไม่เที่ยงผูกขาดอยู่อย่างนั้น จะให้มันเที่ยงไม่ได้เด็ดขาด ความเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น จะให้เป็นสุขไม่ได้เด็ดขาด ผูกขาดแล้ว เราจึงเห็นเรื่องนี้ตามความเป็นจริง พอเห็นแล้วนี่ตามความเป็นจริงก็เข้าสู่กระแสแห่งมรรคแห่งผลได้ เหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ ไม่มีอะไรทำให้เราเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะความเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความไม่ใช่ตัวตน บัดนี้ มันเกิดมรรคเกิดผลตรงนี้ รู้สึกว่ากระโดดได้ ตื่นมากตรงนี้ ความไม่เที่ยงเป็นมรรคเป็นผล เบื่อหน่ายความไม่เที่ยงที่เกิดอยู่ในรูปในนามนี้ ความโกรธมันก็ไม่เที่ยง จะไปรับใช้มันได้ยังไง ความโกรธทำตามความโกรธได้ไง กระโดดได้ เรื่องทุกข์มันก็ไม่เที่ยง จะให้มันเป็นทุกข์ได้ยังไง แต่ก่อนมันไม่รู้ ไปนอนในความทุกข์ นอนอยู่กับเราข้ามวัน ข้ามปี ข้ามเดือน ข้ามคืนก็มี เรากระโดดได้ จะให้มันเป็นสุขไม่ได้เด็ดขาด ความทุกข์ก็คือความทุกข์ รูปทุกข์ นามทุกข์เป็นอย่างนั้น ธรรมช่วยเหลือเรา เปิดทางออก บอกถูก เหมือนทางที่บ่งบอก เหมือนเครื่องนำทางที่ติดรถยนต์ ทุกวันนี้เขาก็ทันสมัย ว่าจะไปทางไหนกดจังหวัด อำเภอ เมือง เส้นทางมันบอก ทำทางเป็นแผนที่ ถ้ามันวิ่งไม่ถูก ก็มีเสียงออกมาว่าไม่ถูก ไม่ถูก ผิดแล้ว กลับไปใหม่ มันบอกอย่างนี้ คนที่ไม่รู้ก็รู้ไปเลย สิ่งที่มันบอกมันเป็นไปได้อันนั้นเป็นรูปธรรม แต่สัจธรรมมันบอก ปรมัตถธรรมมันบอกยิ่งมากกว่านั้น ไม่ต้องอาศัยอย่างอื่น ในความหลงก็มีความไม่หลง บอกอยู่เช่นนั้น ประกาศอยู่เช่นนั้น ในความทุกข์ก็มีความไม่ทุกข์อยู่เช่นนั้น ในความผิดก็มีความถูกต้องอยู่เช่นนั้น ไม่ต้องมีอะไรบอก ตรงกันข้ามหมด หรือตรงกันพอดี ตรงกันพอดี เหมือนพระสิทธัตถะได้กระแสเรื่องนี้ตั้งแต่เป็นเจ้าฟ้าชายอายุสิบหกพรรษา ประพาสกรุงกบิลพัสดุ์ เห็นคนเกิดก็มองความไม่เกิด เห็นคนแก่ก็มองความไม่แก่ เห็นคนเจ็บก็มองถึงความไม่เจ็บ เห็นคนตายก็มองด้วยความไม่ตาย ได้หลักตรงนี้ ต้องมีคู่อย่างนี้ ไปเห็นคนทุกข์ นั่งเวลาตายเผาศพ เห็นคนร้องห่มร้องไห้ก็รู้คนร้องไห้ เศร้าโศก คนเสียใจ จึงเป็นการบ้านของพระองค์ ถามใครไม่มีใครตอบได้ ต้องเป็นอย่างนี้กันหรือ ต้องเป็นแบบนี้หรือ ในขณะที่เป็นเจ้าฟ้าชายรับผิดชอบ เกิดความรักของคน รักมนุษย์ อยากช่วยเหลืออย่างนี้ หาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้ ต้องมีคำตอบในนี้แน่นอน เมื่อมีแก่ต้องมีไม่แก่ เมื่อมีเจ็บต้องมีไม่เจ็บ เมื่อมีตายต้องมีไม่ตายแน่นอน จะหาคำตอบเหล่านี้แล้วจะมาบอกคน มาช่วยคน ให้คนได้ไม่มีทุกข์เพราะเรื่องนี้
วิธีจะหาคำตอบเรื่องนี้ เห็นสมณะก็เอาแบบอย่างสมณะ ศึกษาอยู่ตั้งหกปี หลงทิศหลงทางอยู่ จนมาได้ พอคืนสุดท้ายวันเพ็ญเดือนหกปีที่หกมานั่งใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ หลบหลีกมา ปัญจวัคคีย์หนีจาก อยู่คนเดียว เอาหล่ะ วันนี้ที่นี่ อันอื่นก็ศึกษามามากแล้ว มาเปรียบเทียบกับตัวเองเหมือนกับไม้ไผ่แช่น้ำ สีไฟไม่เกิด ไม้ไผ่เอาขึ้นน้ำแล้ว ยังไม่แห้ง สีไฟไม่เกิด ไม้ไผ่เอาขึ้นน้ำแล้ว แห้งแล้ว สีไฟย่อมเกิด มาเปรียบเทียบกับตัวเอง พระสิทธัตถะออกจากบ้านจากเมือง ทิ้งลูกทิ้งเมียมาหกปี กำลังชุ่มอยู่ คิดถึงพิมพา ราหุล เหมือนไม้ไผ่ออกจากน้ำแล้วแต่ยังไม่แห้ง ยังชุ่มอยู่ มาสอนตัวเอง ภาพออกมา คือมันอะไร มันคิดไป คนมีเมียคิดถึงเมีย คนมีลูกคิดถึงลูก คนมีความสุขคิดถึงความสุข เคยมีปราสาทสามฤดู คนเคยมีความสุขเมื่อคราวมีทุกข์ก็คิดถึงความสะดวกสบาย ภาพออกมา ไปมากความคิดรุนแรงมากหอบหิ้วไปไหนก็ได้ ภาพติดออกมา คิดทีไรกลับมา ไม่ใช่มานั่งคิดถึงลูกถึงเมียนะ เออมาเป็นตรงนี้ เอาตรงนี้นะ อะไรที่มันเกิดขึ้นทางจิตใจที่ไม่ถูกต้อง กลับมารู้ กลับมารู้ มีสติไปในกายอยู่เป็นประจำ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก รู้อย่างนี้เป็นหลัก ตั้งไว้นี่ คู้แขนเข้ารู้สึก เหยียดแขนออกรู้สึก คิดไปแล้วกลับมานี่ คิดไปทีไรกลับมารู้ กลายเป็นความหลงได้ความรู้ ได้จากความหลงของจิตเป็นความรู้มากมาย นานๆมันไปเก่ง ไปไว กายมันก็ยังมีบ้างบางครั้ง ลมพัดมาหนาว ฝนตกลงมาหนาว แดดออกร้อน แต่จิตไม่รู้จักอะไร ไม่มีกาลเวลา คิดได้ทุกเวลา เวลานอนก็ฝันตะพรืดตะพือไป เอาตรงนี้กลับมา ขยันตรงนี้ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก รู้สึกตัว คิดไปกลับมา คิดไปกลับมารู้ ความคิดทำให้รู้ ความหลงทำให้รู้ ความทุกข์ทำให้รู้ ความอะไรเกิดขึ้นทำให้รู้ เนี่ยมันก็เป็นอย่างนี้ มันตรงหน้าตรงตากันอย่างนี้ ปฏิบัติธรรม ใครทำก็ได้เพราะมันเกิดกับตัวเราเอง เคลื่อนไหวมือเข้ารู้สึกตัวเอง เคลื่อนมือออกรู้สึกตัว เวลามันคิดที่ไม่ตั้งใจ รู้สึกตัวนี่ทำได้ทุกคน เรียกว่าปฏิบัติ กลับมานี่ กลับมานี่ ปฏิบัติให้กลับมา กลับมาๆ ตั้งไว้ๆ คืนเดียวเท่านั้นเองได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้รู้ก่อนเรียกว่าพระพุทธเจ้า ผู้รู้ทีหลังจะเรียกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ เรียกว่าสงฆ์สาวก รู้ตามพระพุทธเจ้า เราก็มาทำตรงนี้ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก ประกอบกันมาให้มีสติเป็นที่ตั้ง สติเป็นเจ้าของกาย สติเป็นเจ้าของจิตใจก่อน อะไรเกิดกับกายให้รู้ อะไรเกิดกับใจให้รู้ ทำได้ ทำได้ ทำได้ แน่นหนัก เหงื่อไม่ออก ความรู้สึกตัวเนี่ย ก็เป็นขันธ์ห้า นิมิตขันธ์ พูดเป็นสิ่งที่ แผนที่ไว้เหมือนกันหมดทุกชีวิต ปฏิบัติอย่างเดียวกัน กายก็แบบเดียวกัน ใจก็แบบเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายก็อันเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจก็อันเดียวกัน เหมือนกัน กาลเวลาก็เหมือนกัน เวลาหนาวก็หนาวเหมือนกัน ร้อนก็ร้อนเหมือนกัน ทุกข์ก็ทุกข์เหมือนกัน โกรธก็โกรธเหมือนกัน หลงก็หลงเหมือนกัน แต่สิ่งที่เราหลง คนอื่นเค้าไม่หลง ผู้ปฏิบัติ สิ่งที่เราทุกข์คนอื่นเขาไม่ทุกข์ ผู้ปฏิบัติก็เป็นอย่างนั้น มีในโลกนี้ เพราะป่วยจึงทุกข์ เพราะป่วยจึงหลง กี่เดือนผ่านไปขนาดนี้แล้ว ยากลำบากกว่าจะได้ถึง ผ่านมาในชีวิต ที่ได้เกิดมามีกาย มีใจ มีรูป มีนาม ยากที่สุด ยากที่จะได้ยินได้ฟังคำบอกคำสอนในความถูกต้อง ยากที่สุดที่ได้ปฏิบัติ นี่มันก็มีแล้ว เราก็มีแล้ว พระธรรมคำสอนมีแล้ว มีผู้บอกผู้สอน สถานที่ก็มีแล้ว เพื่อนมิตรมีแล้ว จะไปที่ไหนกัน บัดเดี๋ยวนี้ จะไปรู้ที่ไหน ใครดีที่ไหน คนดีก็เป็นของเขา เราดีแบบเขาไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำ มันทุกข์ก็เป็นทุกข์ของเขา มันเป็นทุกข์ของคนทุกข์ เขาทำดีเขาก็ดีเอง เราไม่ทำดีเขาก็ไม่ได้ดี ช่วยกันไม่ได้ตรงนี้ แทนกันไม่ได้ ตัวใครตัวมัน มีเงินมีทองก็ซื้อหาเอาไม่ได้ อยู่กับการกระทำนั่นแหละ คู้แขนเข้าเหยียดแขนออก ก็รู้สึกตัวนะ ให้โอกาสกันอย่างนี้ ไม่ต้องไปใช้แรงงานอะไรกัน วัฒนธรรมศาสนาประเพณีของเรา เราบอกไม่ให้เป็นอย่างนี้โดยตรง มีคนสนับสนุนให้ สร้างที่อยู่อาศัยให้ มีคนนำอาหารมาให้ มีคนซื้อเสื้อซื้อผ้ากันหนาวกันร้อนมาให้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็มีหยูกมียาเพื่อให้เราทำความดี เมื่อเขาสนับสนุนให้คนทำความดี ให้ความดีเกิดขึ้นในโลก อยู่กับคนมากขึ้นๆ เราก็ได้รับความสะดวก ความปลอดภัยมากขึ้น นี่คือความเป็นจริง ผู้สนับสนุนให้คนทำความดีก็ย่อมได้อานิสงส์ ผู้ทำความดีเองได้รับความสนับสนุนจากคนอื่นก็มีอานิสงส์ อานิสงส์ทั้งสองฝ่าย เป็นมหาอานิสงส์ เป็นทางช่วยให้คนทำความดี ก็ได้บุญได้กุศล เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา เราไม่ใช่โจรผู้ร้าย มาช่วยโจรผู้ร้ายให้มันคุ้มค่ากับชีวิตของเรา โดยเฉพาะพวกเราเป็นนักบวชนี่มันก็เป็นหน้าที่โดยตรง หนีจากความชั่วไปสู่ความดี ความชั่วมีเท่าไหร่ก็พยายามหนีจากมัน ความดีมีเท่าไหร่ก็พยายามทำ โดยมีสติเป็นเกณฑ์ชี้วัดให้เราได้รู้ได้เห็นเรื่องนี้ ปีใหม่นี้ให้ได้เกิดอะไรงอกงามขึ้น ให้มีกำลังใจ ให้มั่นใจ ใช้กายใช้ใจให้เกิดความดีให้จงได้ ให้เข้มแข็ง ให้มีศรัทธา ให้มีความเพียร ให้มีวินัย อย่าเลิกล้มในความดี ก็จะได้ความสำเร็จเกิดมรรคเกิดผลในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกคนเทอญ