แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน พวกเรามาพบกันเนื่องจากพระธรรมวินัย ธรรมวินัยทำให้เราได้มีโอกาสมาพบกันตามกาลตามเวลา ไม่ใช่เราพบกันด้วยหลวงพ่อหลวงตาอาจารย์ที่ไหน ธรรมวินัยต่างหากที่ทำให้เรามาสู่ที่นี่ได้ ก็เป็นอันเดียวกัน หลายชีวิตก็มาเข้าเส้นเข้าสายทำมาเพราะคุณความดีในพระพุทธศาสนา พระธรรมวินัยนำเราเข้ามาสู่อาวาสสู่กรรมวิธีเพื่อหล่อหลอมชีวิตจิตใจเราและก็ทำให้เราเป็นคนๆ เดียวกันด้วย ละความชั่วทำความดีทำจิตให้บริสุทธิ์เหมือนกัน มีสติเหมือนกัน ทำลายความโลภความโกรธความหลงเหมือนกัน มีเมตตากรุณาเหมือนกันมีการให้อภัยเหมือนกันก็เป็นคนเดียวกันเลยแค่เอื้อมมือ การทำอย่างนี้ไม่มีอะไรมาต่อรองพวกเราเลย ไม่มีลัทธินิกายเพศวัยอะไรต่างๆ จากไหนมาก็คือมนุษย์ทั้งนั้น ความเป็นมนุษย์ความเป็นอันเดียวกันนี่มันทำได้ ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องมีการต่อรอง ร้องเรียนอะไรมาก มันก็อยู่กับเราแท้ๆ เช่นเราโกรธ เราก็เปลี่ยนเป็นความไม่โกรธซะ เอื้อมมือจริงๆ มันทุกข์เราก็เปลี่ยนมันเป็นตัวไม่ทุกข์ซะ ก็เอื้อมมือจริงๆ มันหลงก็รู้สึกตัว เปลี่ยนซะ มันก็เอื้อมมือ เราก็มีเครื่องมือจริงๆ มีสติมีสัมปชัญญะ มีความรู้สึกมีความระลึกได้เรียกว่าตัวเรา ไม่ได้ไปหาซื้อขอมาจากไหนเลย เอื้อมมือจริงๆ ธรรมเนี่ย พระธรรมวินัยนี่มาเถอะมาจากไหนก็ตาม มาร่วมกันอย่างนี้เป็นเพื่อนเป็นมิตรกัน พูดกันเรื่องนี้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ก็แบบก็พิมพ์แบบนี้ มันก็จะเกิดเป็นแบบฉบับไม่ใช่แบบแผน แบบฉบับไปเลยจะอยู่ชาติใดภาษาใดประเทศไหนโลกอันไหนก็ตาม คือคนเรามนุษย์นี่มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐอัศจรรย์ธรรมวินัยนี้ ไม่ใช่ไปเป็นฤทธิเป็นปาฏิหารย์กับหลวงพ่อหลวงตาองค์ใดเลย ธรรมวินัยต่างหาก เราเป็นคนดีเราละความชั่วเราทำจิตให้บริสุทธิ์เราก็ไปไหนก็ไปได้อยู่ไหนก็อยู่ได้อะไรก็ได้ เป็นอาชีพอะไรก็ได้ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะพร้อมที่จะละความชั่วพร้อมที่จะทำความดีพร้อมที่จะทำจิตให้บริสุทธิ์ แม้ว่ามีสามทวาร มีกายมีใจมีวาจาเขาก็อยู่กับเรา เอากายมาทำความดีเอาใจมาทำความดี เอากายมาพูดความดี ใช้ได้ทันทีมันพร้อมมันใช้ได้ เหมือนหลอดไฟเมื่อมันพร้อมมันก็ใช้ได้พร้อมใช้ ไปใช้ที่ตรงไหนก็กายก็ใจก็วาจาของเราเนี่ยให้เหมือนวัตถุสิ่งของอื่นๆ เลย ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในโลกนี้ ในตัวเรานี้ไม่มีปัญหาอะไรเล๊ย..ย..ย..ย..ย แต่ยังมีวิธีเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ในพระสูตรก็สอนไว้ที่เราสาธยายทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ในพระสูตรนั้นมีตำราเอามาเป็นพิธีกรรมก็จะได้งดงาม พิธีกรรมนักบวชเป็นภิกษุก็แบบนี้ พิธีกรรมของอุบาสกอุบาสิกาเป็นแบบนี้ ที่เป็นสถานที่ก็เป็นแบบนี้เป็นแบบฉบับ ไม่เหมือนบิ๊กซี โลตัส โรงแรมหรือโรงละครอะไรก็เป็นแบบนี้ เหมือนกับเราเข้ามาสู่แบบฉบับแบบพิมพ์เขาออกมาเป็นรูปแบบนี้กัน คำพูดแบบนี้ กายแบบนี้ วาจาแบบนี้ กิริยาแบบนี้ น้ำใจแบบนี้ ทำไมต้องประกาศใบปลิวอะไรไปไหน ถ้าพวกเราก็เป็นเส้นเป็นสายมาแบบนี้กัน แต่มันก็มีเส้นที่ไปไม่ถูกเหมือนกันไปสู่นรกก็มีทางไปเหมือนกัน ไปสู่มรรคผลก็มีทางเหมือนกัน เรานี่เหมือนกับอยู่ ... ยืนอยู่ทางสี่แพร่ง ทางหนึ่งไปอบายภูมิคือสัตว์นรกเดรัจฉานเปรตอสุรกายก็ไปได้ถ้าอยากจะไป เอื้อมมือเหมือนกัน คิดชั่วทำชั่วพูดชั่วไปได้ทันที ไปสวรรค์ก็ไปได้เหมือนกัน คนไปสวรรค์นิพพานคือคนมีศีล พวกเราเนี่ยกำลังจะไปสวรรค์นิพพาน มีศีลละความชั่วทำความดีทำบุญให้ทาน ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย สัคคะตลอดถึงเนกขัมมะ เมื่อมีทานมีศีลมีภาวนาก็มีสวรรค์ เมื่อมีสวรรค์ก็มีข้ามสวรรค์ไปอีกเรียกว่าเนกขัมมะ อุบายออกบวช บวชทางใจ ไม่ต้องเอาอีกละ สวรรค์ก็ไม่ต้องเอาสุขก็ไม่ต้องเอาทุกข์ก็ไม่ต้องเอา เหนือสุขเหนือทุกข์จึงจะปลอดภัยเรียกว่าเนกขัมมนิสังสกถา เนกขัมมะตามรูปแบบก็มี พระสงฆ์ก็แบบนี้ แม่ชีก็แบบนี้ อุบาสกอุบาสิกาก็แบบนี้แต่ว่าความหมายอันเดียวกันละความชั่วทำความดี ดำริออกจากความชั่ว มีความชั่วเท่าไรหนีหมด มีความดีเท่าไรน้อมมา เรียกว่าเนกขัมมะ เลยเป็นแบบฉบับ เป็นสมมุติบัญญัติ ถ้าเป็นปรมัตถ์สัจจะไม่ต้องเป็นสมมุติบัญญัติอยู่ในตัวเราเลย ทางสี่แพร่งเราก็อยู่ในกายในวาจาในใจเรา เอื้อมมือจริงๆ เราเห็นไม๊ สวรรค์เป็นยังไง นรกเป็นยังไง นิพพานเป็นยังไง มันก็อยู่กับเราแท้ๆ เอื้อมมือ นรกในใจก็ร้อนกระวนกระวายทะเลาะเบียดเบียนกันเอาเปรียบกัน ไม่ต้องรอตายแล้วก็ทุกข์ทันที ตัวเราไม่พอ ทุกข์คนอื่นสองคนสามคนทุกข์ไปหมดเลย ถ้าอยากไปสวรรค์ก็ทำบุญทำทาน เว้นความชั่ว (ทำ)ละความดี ได้ไปนิพพานก็เหนือดีเหนือชั่ว วาง เย็น มันอยู่ที่ใจเราไม่ใช่วัตถุสิ่งของอยู่ที่ใจ ใจก็เลยเป็นใหญ่ ฝึกหัดจนเป็นใหญ่ ใหญ่ในเรื่องสิ้นพบสิ้นชาติถ้ายังมีอยู่ก็เรียกว่ายังไม่ใหญ่ ถ้ายังมียังเป็นอยู่ถือว่าไม่ใหญ่ จนเหนือความมีความเป็นอะไรไป....อิสระในวันนั้น ไปฝึกหัดเอา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คำพูด เป็นการหัด ถ้าไม่ฝึกหัดมันก็ไม่เป็นอ่ะ เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างในโลก มีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจ มีรูปมีรสมีกลิ่นมีเสียงเป็นวัตถุภายในเป็นวัตถุภายนอกทำให้เกิดทวารทำให้เกิดประตูต่อกันเชื่อมกัน ทางสัมผัสเป็นทวารเป็นประตูรับอาคันตุกะเข้ามา หูได้ยินเสียงเป็นประตูอาคันตุกะเข้ามาอย่างนี้ จมูกลิ้นกายใจก็เหมือนกัน ตาหูก็..จมูกลิ้นกายใจมันก็มีอะไรที่รองรับ ถ้ามีอวิชชาความไม่รู้ไปรองรับมัน มันก็ไปทางอื่นไป ถ้ามีสติมีสัมปชัญญะมีวิชชาก็ไปรองรับก็เป็นความดีไป แม้เรายิงศรใส่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็แปรสภาพเป็นดอกไม้ธูปเทียนได้ ในโลกนี้มันทำได้ เป็นความทุกข์มันก็เป็นลูกศรเสียบแทงเรา เราก็เปลี่ยนเป็นตัวไม่ทุกข์ดอกไม้ธูปเทียนไป ถ้าเราเปลี่ยนได้นี้แม้จะมีอะไรก็ตามถ้าเปลี่ยนที่การกระทำเราหัดตรงนี้โลกมันจะมีรสแบบไหนก็ตาม จะมีนินทาสรรเสริญสุขทุกข์ได้เสียมันก็เปลี่ยนเป็นตัวไม่เป็นอะไรก็ได้ มันรู้เพราะมันเห็น ถูกหลอกแล้วถูกหลอกอีกให้ทุกข์แล้วทุกข์อีก เคยหลงเคยทุกข์เคยรักเคยชังแล้วอยู่ในโลกแบบนั้น พอเรามามีสติมันก็ลบออก ลบออก ลบออก จนไม่มีค่า ความทุกข์ไม่มีค่า ความสุขไม่มีค่า ความโกรธความรักความชังไม่มีค่า มีแต่เป็นกิริยาที่สำเหนียก (10.48 เสียงไม่ชัดเจน) แสดงต่อกันเป็นพหิตตาธาธรรมกันภายนอก สมมุติบัญญัติใช้ภายนอก ปรมัตถสัจจะใช้ภายใน เรียกว่า “อัชฌัตตาธรรม” คือภายใน มันมีภายนอกภายใน ภายนอกแสดงให้กันเห็นได้ ภายในแสดงให้กันเห็นได้แต่ว่าเห็นด้วยเจ้าตัวเอง คนอื่นจะไม่เห็นแต่ตัวเราเห็นก่อนรู้ก่อนเพราะเราเป็นเจ้าของเอื้อมมือของเรา เหมือนโบราณท่านว่าแล้งเลื่อล่าลุ๊กหลุ่ย (11.26 ภาษาถิ่น) ...... เรามองเห็นเป็นตัวแล้งมันลุกหลุ่ยอาจจะเป็นเครื่องแต่งตัวอะไรต่างๆ รูปไม่สวยหน้าตาไม่ดีแต่ว่าลุกหลุ่ย เศษสัตไตไกลสุย เฉียดข้อง เหม็นสาบเหม็นคาวคือไม่ค่อยงามเท่าไร บางทีก็เป็นฤาษีมุนี แต่จิตนั้นมุ่งสู่การกุศลใม่มีบาป อันนี้ภายนอก ถ้าภายในเรียกอัชฌัตตาธรรม
มนุษย์เราเมื่อมีอัชฌัตตาธรรมเป็นภายในแล้ว ภายนอกก็งามไปในทันที นุ่งขาวถือขาวนุ่งเหลืองห่มเหลืองไหว้พระสวดมนต์แต่ในการให้ศีลให้พรมันก็เป็นภายนอกมันก็งามไปด้วย ถ้างามแต่ภายนอกภายในไม่งามว่ามือถือสากปากถือศีลหลอกกันได้ วิธีปฏิบัติของเรามันครอบจักรวาลพอเรามีสติมันก็ไปทั้งหมดแล้ว เรามาฝึกกันตรงนี้มันก็ไปกันได้ทั้งหมดเลยไม่ใช่ตะครุบนั่นตะครุบนี่เหมือนท่านสอนว่าเหมือนจับปูใส่กระด้งไม่ใช่แบบนั้น พูดให้มันยากมันไม่ยากขนาดนั้น พอเรามีสติมันเป็นสายบังเหียนมันเป็นศูนย์รวมมันมาเป็นพวงมาเป็นพวงเลย ความดีก็เกิดขึ้นเป็นพวงละความชั่วก็เกิดขึ้นเป็นพวงไปพร้อมๆ กันไป เหมือนแสงสว่างถ้าจุดน้ำมันจุดตะเกียงแสงสว่างเกิดขึ้นขับความมืดออกไปไส้น้ำมันก็หมดไส้ตะเกียงก็หมดไปพร้อมๆ กัน เมื่อเรามีสติมันหมด อันที่ไม่ใช่สติ อันที่ไม่ใช่ทุกข์อันที่มันเป็นทุกข์มันค่อยๆ หมดไปมันเกิดแสงสว่างขึ้นมานี่คืออัศจรรย์ ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอัศจรรย์ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ เราจึงมีธรรมวินัยอย่างนี้ไม่ต้องให้โฆษณาเมื่อเราปฏิบัติธรรมเรายกมือสร้างจังหวะเรามีสติมันเป็นการโฆษณา โฆษณาไม่ใช่คนอื่นไม่ใช่รูปที่เขาขึ้นสไลด์ขึ้นป้ายตามถนนหนทางโฆษณา โฆษณาจริงๆ มันเป็นโฆษกคือเอาธรรมไปฝากเอากุศลให้เห็นให้ละให้รู้ เมื่อเรามีสติต้องเห็น เห็นอะไร เห็นกายเห็นเวทนาเห็นจิตเห็นธรรมมันเป็นการโฆษณา โฆษณาบอกผิดบอกถูกเหมือนกับเรามีฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเลยทีเดียวมันบอกผิดบอกถูก ความผิดของกายความถูกของกาย ความผิดของเวทนาความถูกของเวทนา ความผิดของจิตความถูกของจิต ความผิดของธรรมความถูกของธรรม มาให้เราดูเลยทีเดียวถ้าเรามีสตินะเหมือนตาลืมขึ้นมาก็เห็นอะไร แต่การเห็นของตามันก็ปลอดภัยจากขวากจากหนาม จากห่วงจากเหนียว ไม่เข้ารกเข้าพงเดินตามถนนหนทางไปได้ ไปไหนก็ถึงไม่ผิดถ้าเรามีตา การแสดงธรรมน่ะ แสดงคือชี้แจงให้เห็นไม่ใช่คนอื่นชี้ให้เห็น ถ้าเราปฏิบัติภาวนาน่ะมันแสดง แสดงให้เราเห็นไม่กล้าเอา มันทุกข์อยู่เนี่ยมันแสดงให้เราเห็น เห็นทุกข์ ปัดโธ่ ตื่นเลยว่ะ เห็นความดับทุกข์เนี่ยโอ้เราโจนเข้าไปหา เหมือนเราเห็นงูเนี่ย โอ้โห้..ห..จงอางมันชูคอขึ้น ทางไหนที่ไม่งูล่ะ ไปทางโน้น ออกไปไหนหรือว่านั่งอยู่ตรงนั้นหรือต้องออกไป หนึ่งก้าวพ้นไหมสองก้าวพ้นไหม ห้าก้าวสิบก้าว เออ..พ้นแล้ว พ้นแล้วงูไม่กัดเราแล้วหนีไปจนพ้น มีอยู่สามอย่างการเห็นงูพิษเมื่องูไม่กัดเราก็เห็นเป็นเรื่องดีหนีออกไปอีก...พ้นแล้วเป็นเรื่องอันนั้น แล้วมันเอื้อมมือไหม เคยทำอย่างนี้ไม๊ มันหลงก็เอื้อมมือไหม ต้องต่อรองต้องร้องเรียนใคร มีบุคคลที่หนึ่งที่สองมาช่วยเราเหรอ ไม่มีเลย อัตตาหิ อัตโนนาโถ เตือนตนเองแก้ไขตนเองมีสติไปเลยพร้อมที่สุดแล้ว จึงต้องฝึกหัดกัน ไม่ใช่จะมาเอาเงินเอาทองเอาข้าวเอาของมารับของแขกไม่ใช่แบบนั้น ได้บุญก็คือได้บุญแล้ว ยถาสติได้บุญแล้ว โหติสัพพะ มังคะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่านก็เป็นคำว่าให้ศีลให้พร แต่เราต้องรับเอาถ้าให้แล้วไม่รับมันก็ไม่ได้เพราะอะไร เหมือนกับเราไปรับน้ำ เแก้วของเราที่รับน้ำมันเติมน้ำอยู่แล้วเราเอาน้ำใหม่ใส่ไปมันก็ไม่เข้าไป การละความชั่วการทำความดีต้องดูตัวเองหอบอะไรมา เอาความโกรธมาด้วยเอาโลภมาด้วยเอาบุหรี่มาด้วยเอาความทุกข์มาด้วยใครจะช่วยเราหล่ะถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง เราก็เพียงเป็นพื่อนกันมีวิธีการมีรูปแบบ ใครก็อดีตใครก็เหมือนกันใครก็หอบไป...ติดมาเพราะเอาไปจุ่มอะไรมา ในรูปก็ดีในเวทนาก็ดี ในสัญญาในสังขารในวิญญาณเลย จุ่มมาเลยติดมาเป็นแผลเป็นแก้วเป็นสีต่างๆ มันซุกซน ชีวิตเรามันชอบซุกซน มันชอบไปเอาความรักชอบไปเอาความชัง ชอบไปหาความสุขชอบไปหาความทุกข์ ความทุกข์มันก็เอา ความชังมันก็เอา ความรักก็เอา มันติดไปเลย มันติดที่เราไม่พอก็ไปเบียดคนอื่นมันก็ติด เมื่อเรามาดูเราโอ๊ยยยย...เรามีงานการสนุกดี เมื่อเราไปปฏิธรรมกับหลวงปู่เทียนเนี่ย เมื่อมีสติแล้วโอ๊ยยยย..มันเห็น มันติดอะไรมาเยอะแยะ ติดไสยศาสตร์ ติดศักดิ์สิทธิ์ ติดฤทธิปาฏิหาริย์ พอจะมาทำลายตอนเนี่ยโอ๊ยย...มันไม่ยอมมันยังเหนียวแน่น เหมือนปลิงมันกัดเรา เราจะไปดึงมันออก ดึงปากหนึ่งมันติดอีกปากหนึ่ง จะไปดึงความทุกข์ออกแต่ไปดึงเอาความสุขเข้ามามันไม่ใช่กิริยาแบบนั้น หลวงปู่เทียนพูดว่าเราดึงปลิงออกจากขา ปลิงมันกัดขาเราดูดเลือดเรา ถ้าดึงปากหนึ่งมันติดอีกปากหนึ่ง ดึงอีกปากหนึ่งมันติดอีกปากหนึ่ง ไม่ต้องดึง เอายาฉุน เอาน้ำมันก๊าดใส่ยาฉุนบีบราดลงไปที่ปากปลิง ปลิงก็หลุดออกทันทีทันใด สมัยทุกวันนี้เขาก็ใช้น้ำยา น้ำยามียาทา หลวงตาไปอยู่นิวยอร์คสหรัฐหน่ะเห็นก้อนหินสวยๆ อยู่ในวัดวาอารามเขาเลยไปนั่งก้อนหิน นั่งสร้างจังหวะบนก้อนหิน ภิกษุณีวิ่งเข้าไป...ไม่ได้ๆ...No..no..no..no..เขาถือขวดยาไปให้ ขวดน้ำยาอะไรทาขาทาตัวทาไปตามตัว ป้องกันเห็บ เห็บกวางอันตราย ถ้ามันกัดแล้วเป็นโรคพิการได้ มันอันตรายมากกว่าเห็บหู แต่ก่อนในบ้านเรามีเห็บหูเยอะแยะ ประเทศสหรัฐเนี่ยมีกวางเยอะมันก็มีเห็บกวางเลยไม่ต้องไปใช้อะไรใช้น้ำยาทาแล้วก็เห็บก็ไม่ขึ้น คนที่นั่นจะไปไหนเค้าไปจัดแค้มป์จัดอะไรเขาก็ต้องมีน้ำยานี้ไปทาตัวเข้าไปเพราะว่าชอบไปนอนป่าไปเที่ยวไปอะไรต่างๆ ในวันเสาร์อาทิตย์ก็มีน้ำยาเลยปลอดภัย อันนั้นเป็นรูปธรรม แต่ปฏิบัติธรรมน่ะไม่มีวัตถุที่หนึ่งที่สองเลย มันหลงก็รู้มันทุกข์ก็รู้มันสุขก็รู้เข้าไปเลย ตัวรู้ตัวเดียว ตัวรู้สึกตัวตัวเดียว ลองใช้กันดู พิสูจน์กันดูจะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปเชื่อ เรายกมือสร้างจังหวะ เราเดินจงกรมน่ะเพื่อให้เกิดความรู้ไม่ใช่รูปแบบนะ ถ้ารูปแบบมันใช้ไม่ได้แต่ว่ามันใช้ได้เมื่อเรามีความรู้สึกตัว ถ้าเคลื่อนไหวไม่รู้สึกตัวมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เป็นภาษาเป็นรูปแบบ เป็นภาษาถ้าเป็นภาษาพูดก็เป็นภาษานกแก้วนกขุนทอง เหมือนเราสวดมนต์ไหว้พระถ้าเป็นภาษานกแก้วนกขุนทองไปก็ไม่รู้อะไรเลย ต้องเป็นภาษาธรรมด้วย ถ้ายกมือให้รู้สึกตัว เดินจงกรมให้รู้สึกตัว ถ้าไม่รู้สึกตัวอย่าไปยก เอาค้างไว้ก่อน เหมือนตีเกราะสมัยก่อน ตีเกราะให้สร้างจังหวะ ก๊อก..ก๊อก.. แต่บางทีไม่มีเสียงดัง ก๊อก....ก็ยกไปเคลื่อนไหวไปต้องค้างไว้ก่อน ตีแล้วจึงค่อยๆ เคลื่อนไหวไปอย่างนั้นก็มี ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก.. 14 จังหวะ 14 ครั้ง ให้หัดไปตามเสียง อันนี้ก็มี แบบนี้เราไม่ต้องมาใช้เสียงมันเป็นภายนอกอีกมันจะไปติดก๊อก..ก๊อก..อีก เอาอีกแล้วเป็นนิมิตเอาหูไปติดนิมิตอีกแล้ว ต้องเจตนาสร้างขึ้นมาให้มันรู้ให้มันรู้ รู้เอาๆๆ.. รู้ไปไหนล่ะ ไม่ไปไหน ความรู้นี่มันเป็นปรมัตถ์ ถ้ารู้แบบรู้สึกตัวเนี่ยไม่ใช่รู้แบบจำ ถ้ารู้แบบจำมันไม่เป็นปรมัตถ์มันเป็นสมมุติใครก็จำได้สติความระลึกได้สัมปชัญญะคือความรู้ตัว จำมาแล้วคาถาอาคมไสยศาสตร์ คาถาไม่ตกนรกก็เรียนมาตั้งแต่เป็นเด็ก เห็นคนเกิด ชาติทุกขา หันทาอาทิกัลยาณังกะโลนิ.... เห็นคนเจ็บ พยาติทุกขา พยาติอนันทิตาหันทาทุกขา อาทิกัลยาณังกะโลนิ.... เห็นคนตาย มรณาติทุกขัง อันที่เราสวด อันนี้เรียนตั้งแต่เป็นเด็ก ไปดูคนเกิดคนแก่คนเจ็บคนตายเพื่อไม่ตกนรกต้องมีเทวทูตสี่อย่างนี้ไปพูดในป่าไม่ใช่ไปดูแต่ตาคนโบราณเราก็ดู เราก็ได้มาไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอมารู้โอ๊ยยยย...เห็นกับตาทันที เห็นความเกิด เกิดอะไร... เกิดสองครั้ง เกิดทางรูปจากเหตุปัจจัยพ่อแม่ให้เกิดมา เกิดทางนามธรรมเป็นทุกข์เพราะรูปเรียกว่ากายในกาย มีกายแล้วไม่พอยังมีกายในกายมันเป็นภพชาติอยู่ในกายอีก เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกายเรียกว่ากายในกาย เห็นไหมว่ามันเกิดหน่ะ ชราปิติทุกขา นั่นล่ะมันเกิดล่ะกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อันนี้ก็ไม่ใช่คำพูดมันเป็นความรู้สึก เมื่อรู้สึกมันก็เห็นโอ๊ยยย..มันรู้ มันเกิดทุกข์เพราะกายมันเกิดสุขเพราะกาย อะไรที่มันเกิดสุขเกิดทุกข์เพราะกาย หลายอย่าง อาการที่มันเกิดสุขเกิดทุกข์เพราะกายมีมากเหลือเกินนับไม่ถ้วน เป็นความปวดความเมื่อยความหิวความร้อนความหนาว มันเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย เห็นสักว่าได้ไหม มีสติหน่ะมันเป็นอาการไม่ใช่ภพใช่ชาติอยู่ตรงนั้นมันเป็นอาการเขา กายถ้าไม่มีอาการแบบนั้นก็ไม่ใช่กายแล้ว ขอบคุณเขาที่เขารู้จักเจ็บรู้จักปวดรู้จักร้อนรู้จักหนาว ยุงกัดมันเจ็บรู้จักเจ็บรู้จักอะไรต่างๆ มันเป็นสัญญาณภัยของเขา ถ้าใช้ไม่ถูกมันก็อันตรายเหมือนกัน พระกรรมฐานเนี่ยระวังนะนั่งหลังขดหลังงอเนี่ยเป็นอัมพาตได้ ต้องพอสมควร ยืนเดินนั่งนอนแต่ว่าอย่าไปอ่อนแอเกินไป นั่งนานๆ ทนๆ สักหน่อย ความทนมันจะเข้มแข็ง ความทนมันจะไม่ทำให้เราอ่อนแอนะ การนั่งนานการเดินนานมันทำให้เราเข้มแข็ง
เราเป็นนักเดินทางตั้งแต่สมัยก่อนเมื่อห้าสิบหกสิบปีก่อนโน้นไม่มีรถเวลาเดินทางไกลเป็นร้อยกิโลน่ะ เวลาเดินไปมันเหนื่อย พอเวลาพักปุ๊บนั่งขัดสมาธิแล้วก็นั่งยองย่อ ไม่มีเก้าอี้ไม่มีขอนไม่มีอะไร นั่งเหนื่อยขา แบบนั้นหน่ะมีทางไปไม่รอดถ้านักเดินทางแบบนั้นนะ พอเมื่อยนั่งปั๊บชันหัวเข่าพอลุกขึ้นน่ะเดินไม่ออกเลยแบบนั้น นักเดินทางเขาไม่นั่ง เวลาพักเขาก็ยืนเดินก้าวสองก้าวกลับไปกลับมา เดินอยู่ในร่มไม้ๆ ไม่ต้องไปนั่งยองย่อ นั่งแบบ แล้วเดินจงกรมเหมือนกันนะ พอเหนื่อยปั๊บนั่งทันทีมันไม่แข็งแรง พอเหนื่อยปั๊บถ้ามันขอพักสักหน่อยเราเป็นเจ้าของกายไม่ใช่กายเป็นใหญ่ มันเหนื่อยรู้สึกตัวๆ ถ้ามันขอพักก็เอ้ยยย...เดี๋ยวหน่า...เราจะเดินสักหน่อยก่อน มันขอพักอีกสองทีเราก็เอ้า...เดินสักหน่อยเราจะเดินอย่างนี้ โอ๊ยมันสักว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ...ไปแฮกงานสองต่อบ่ แฮกงานได้สองรวมหัวงาน ไปไถได้ครึ่งหนึ่งแล้ว มื้อนึงไถสองคาบ คั่นไถธรรมดาได้สองงาน ถ้าเราเกินไปสักหน่อยไถสองคาบได้สามงานเคยทำไม๊ เนี่ยสมัยก่อนเราทำแบบนี้ ให้มันข้ามไปเสียก่อน ข้ามเวทนาไปก่อนอย่าให้เวทนาเป็นใหญ่ อย่าให้สุขเป็นใหญ่อย่าให้ทุกข์เป็นใหญ่ เลยๆ ไปสักหน่อยก่อน เลยไปสักหน่อยก่อน เหนือมันไปสักหน่อยก่อน ถ้าเราเหนื่อยโอ๊ยยยย...เป็นแล้ว เป็นทุกข์เป็นแล้วเป็นผู้เหนื่อยเป็นผู้ไม่เหนื่อยเป็นผู้ขยันเป็นผู้ขี้เกียจ ไม่ใช่นักกรรมฐานแบบนั้น นักกรรมฐานต้องเหนือไปก่อน ยกไปก่อนอย่าให้ความเหนื่อยมันใหญ่อย่าให้ความอะไรมันใหญ่ให้เหนือไปก่อนให้มันสติไปก่อน มีสติไปก่อนที่จะเป็นสักว่ากายสักว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เวทนาก็เหมือนกันไปอย่างนี้ เวทนาก็สักว่าเวทนาไม่ใช้สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จึงจะมีผลเอื้อมมือเดียว ถ้าเป็นกายไม่เอื้อมมือนะไปที่ไหนก็แพ้มันทุกที พอมันง่วงปั๊บก็หลับตาทีหาว่า ก็เป็นผู้ง่วงไปแล้วขนขวายหาที่จะนอนหลับไปแล้ว ลองดูสิให้เห็นให้รู้ อู้ว์..มันง่วงแล้ว เอ้าเมื่อกี้มันง่วง นอนพอไม๊ถ้านอนไม่พอมันก็ไม่ดี ต้องนอนให้พอสัก 5-6 ชั่วโมง 7 ชั่วโมง คนปฏิบัติบัติธรรมต้องนอนให้พอ ต้องยืนให้พอ ต้องเดินให้พอ ต้องนั่งให้พอ พอดีๆ ปรับอิริยาบถให้พอดี ไม่ใช่ไม่กินเลยไม่ใช่ไม่ยืนเดินนั่งนอนเลยไม่ใช่แบบนั้น ต้องนอนให้อิ่มต้องกินให้อิ่มไม่เช่นนั้นมันจะเพี้ยนไป อดีตเคยกินยาง่วงนอนอีกก็เพี้ยนไปแล้ว ไปกินยาแก้ง่วงก็เพี้ยนไปแล้ว ไม่ต้องไปอาศัยปัจจัยภายนอก หัดตัวเองนอนปั๊บหลับปั๊บ บางทีเราไม่หัด อาศัยให้มันง่วงเราจึงนอนถ้าไม่ง่วงไม่นอน บางทีไปกินกาแฟกินอะไรไปก็เกิดไม่ง่วง มียาขยันยาม้ายาหมากินไปเราก็ไม่ง่วง มันใช้ปัจจัยเรียกว่าพหิตตาธรรม ภายนอกๆ ทำอะไรมีแต่ภายนอก เข้ามาหาภายในคืออัชฌัตตาธรรม มาเอาตัวเองเนี่ยสอนตัวเองแก้ตัวเอง เรียกว่าฝึกกันน่ะ เรียกว่าฝึก ธรรมวินัยดีแล้วแต่เราไม่ฝึกมันก็ใช้ไม่ได้เลย เหมือนเราซื้อหวยซื้อควายซื้อช้างซื้อม้ามา คนวัวไม่ได้ฝึกม้าไม่ได้ฝึกมันก็ใช้งานไม่ได้ ชีวิตของเรากายวาจาใจถ้าเราไม่ฝึกมันก็ใช้ไม่ได้ ต้องฝึกหัดให้มันภายนอกภายใน ภายในเนี่ยตัวสติมันเป็นของภายใน แม้จิตใจไม่มีรูปจับมันไม่ได้ไม่เหมือนร่างกาย ร่างกายมันฉิบหายเพราะร้อนเพราะหนาวแต่ใจมันฉิบหายเพราะอารมณ์ร้ายกว่ากายอีก จึงต้องมีสติเข้าไปดูไปสอนมัน เมื่อสอนกายไม่เห็นกายไม่เห็นจิต จิตมันเป็นไงมันคิดน่ะมันคิด เวลามัน...กายมัน...ความคิดมาเป็นใหญ่ในกายไม๊ ความคิดเป็นใหญ่ไม๊ กายกับใจเบียดเบียนกันไม๊สามัคคีกันไม๊เห็นด้วยกันไม๊ บางทีมันขัดแย้งกันน่ะ ความทุกข์ที่ใจกายเป็นทุกข์ด้วย ความทุกข์ที่กายใจเป็นทุกข์ด้วย ถ้าเรามีสติเนี่ยมันจะเป็นทาง สติทำให้เป็นกลางเกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายทั้งกายด้วยทั้งใจด้วย เดี๋ยวนี้ความเป็นธรรมระหว่างกายกับใจเราไม่ค่อยมีบางคราวก็กินไม่ได้นอนไม่ได้ กายเบียดเบียนใจใจเบียดเบียนกาย เพราะอะไร เพราะไม่ฝึกหัดถ้าฝึกหัดแล้วมันจะเป็นหนึ่งทันทีเลย เอตทัคคะเป็นหนึ่งเลยทีเดียว เอ้ากายก็คืออะไรกายก็คือความรู้สึกตัว เอ้าใจคืออะไรใจคือความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวเป็นอินทรีย์ตัวใหญ่ไม่ใช่ตาไม่ใช่หูไม่ใช่จมูกลิ้นกายใจนะ สติอินทรีย์เนี่ยใหญ่เหมือนหลวงตาพูดว่าอะไร สติเหมือนนกอินทรีย์ นิวรณ์ธรรมเหมือนแมลง นกอินทรีย์ต้องจับแมลงได้ ถ้าแมลงมันใหญ่กว่านกอินทรีย์มันก็เป็นไปได้ถ้าเรายกเมฆให้มัน ความง่วงนิวรณ์ธรรมเป็นแมลงอันหนึ่ง เคยไม่ให้ความเป็นใหญ่แก่สติ ให้แมลงเป็นใหญ่มันก็ไม่ได้เราใช้ผิดประเภท ใช้วัตถุผิดประเภท ใช้มีดเอาไปฟันดินมันก็เสียความเป็นมีด ใช้จอบไปฟันไม้มันก็เสียความเป็นจอบว่าไม่รู้จักสมมุติบัญญัติปรมัตถ์สัจจะ ใช้กายใช้ใจเนี่ยไม่ถูกต้อง ใช้เวทนนาไม่ถูก ใช้ความง่วงเหงาหาวนอนกามราคะปฏิฆะมานะทิฐิไม่ถูกต้องก็เลยเพี้ยนไปจนตายไปเลย ทุกข์เพราะเรื่องนี้ไป เราจะต้องมาฝึกหัดกันนะ ใช้ให้มันถูกสิ เวลามันง่วงมีสติเป็นใหญ่ ใหญ่กว่าความง่วงตรงกันข้ามกันพอดี ตื่นอยู่ตอนนั้นด้วย ถ้าความง่วงมันชวนให้หลับความรู้สึกตัวมันทำให้ตื่น ตื่นขณะที่มันง่วงลองดู มันเป็นทุกข์..ไม่ทุกข์ในขณะที่มันเป็นทุกข์ มันหลง..ไม่หลงในขณะที่มันหลง มันโกรธ..ไม่โกรธขณะที่มันโกรธ ลองดู อัศจรรย์ตรงนี้นะ เอื้อมมือจริงๆ นะ ธรรมเนี่ย เพราะฉะนั้นเนี่ยสิ่งเหล่านี้เราทำได้เด็ดขาดเลยไม่ต้องอ้อนวอนอะไร อยู่ในกำมือเรา.
..........................................................................................................................