แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน สอนให้รู้ สอนให้ทำนะ ถ้าสอนให้รู้นั่นก็ไม่ยาก ธรรมมีอุปการะมากสองอย่าง หนึ่งสติความระลึกได้ สองสัมปชัญญะความรู้ตัว ให้ก็บอกแล้วก็จำได้ รู้จำสิ่งนี้ไม่เที่ยง สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตนที่ไหนไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งไหนเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งไหนไม่ใช่ ตัวตนสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สอนให้รู้แต่ว่าความทุกข์มันยังมี ความหลงยังมี ความโกรธมันยังมี ถ้าสอนให้ทำก็ต้องมีการปฏิบัติต้องประกอบต้องสัมผัส ถ้าสอนให้รู้พอจะได้เค้าโครงว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ยะ เริ่มต้นที่เกิดเป็นพุทธศาสนาก็เริ่มต้นจากการเจริญสติ พอเจริญสติก็เกิดธรรมขึ้นมาเรียกว่าไตรสิกขา ไตรสิกขาคือศีล คือสมาธิ คือปัญญา ถ้าเป็นไตรสิกขาโลกก็เข้าถึงธรรมวินัย ธรรมวินัยนั่นน่ะ เป็นตัวศาสนา เราก็รู้คำสอนทั้งหมดรวมลงอยู่ที่การละเว้นความชั่วทำกรรมดีทำจิตให้บริสุทธิ์ เพราะว่าปาติโมกข์ธรรมะกำมือเดียว ใบไม้ทั้งป่ากับใบไม้กำมือเดียว พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบ ให้เราก็รู้กัน แต่ทำยังไงจึงจะเข้าถึง สติ ทำยังไงถึงจะเข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ทำอย่างไรเราถึงจะไปพบเห็นธรรมวินัยที่มันมีอยู่ในเรา ตัวเราก็เป็นธรรม ตัวเราก็เป็นวินัย มันต้องไม่ใช่อยู่ในหนังสือ ตำรับตำรา ธรรมวินัยหรือว่าศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นเรื่องของกาย เป็นเรื่องของวาจา เป็นเรื่องของจิตใจ เราก็ต้องสร้างขึ้นมา เราก็ต้องสร้างขึ้นมาเช่นสติ ดังนี้ไม่ใช่เป็นคำพูด ไม่ใช่คิดนู่น คิดเอา ไม่ใช่หัวสมอง ไอเดีย ไอคิวดี ไม่เกี่ยวเลย ไม่เกี่ยวกับเพศกับวัย ไม่เกี่ยวกับลัทธิ นิกาย เป็นการกระทำ เกิดจากการกระทำ ของเราโดยแท้ เช่นการปฏิบัติธรรมตามการเจริญสติธรรมหลักของสติปัฏฐาน หลักของสติปัฏฐานก็คือมีสติเห็นกาย เอากายก่อน ให้ฝึกสติไปในกายก่อน ให้มันเห็น ตัวสติจริงๆมันจะเห็น ไม่ใช่ไปจำ ไม่ใช่คิด เอาเหตุเอาผลนะ ตัวสติจริงๆมันเป็นการพบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น เห็นมือเราวางอยู่บนเข่าน่ะ มือมันก็มีอยู่จริง พอวางไว้เข่ามันก็วางอยู่จริง สัมผัสได้ รู้สึก ระลึกได้ ไม่ใช่รู้สึก มันมีทั้งรู้สึกทั้งระลึกได้ นี่จึงจะเป็นสติปัฏฐาน ตะแคงมือขึ้นก็รู้ วัตถุที่ตะแคงก็คือมือ ยกขึ้นก็รู้ วัตถุที่ยกต้องเป็นกริยาที่ยกก็เป็นมือเป็นกาย เรื่องของกายก็อาจจะไม่ต้องพูดว่ามือ กายานุปัสสนา มีสติดูกาย เห็นกาย เห็นกายในกาย เห็นกายในกาย กายที่เป็นรูปเป็นดุ้น กายที่เป็นตัวเป็นตน เป็นสุขเป็นทุกข์ กายในกาย เป็นทุกข์ก็เรื่องของกาย เป็นสุขก็เรื่องของกาย ไม่ใช่กายธรรมดา เอามาเป็นสุข เอามาเป็นทุกข์ อันนั้นเรียกว่ากายในกาย ให้เห็นกาย ให้เห็นกายในกาย ให้มันรู้ ให้มันเห็น ให้มันเห็นต่อหน้าต่อตา ตาต่อตา เป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจุบัน นี่เรียกว่ามีสติเห็นกาย หัดทำให้มันเป็น ให้มันเห็นอยู่นี่ ลักษณะของการที่จะเห็นก็ให้มันถี่ๆ ไม่ใช่ห่างกันเป็นชั่วโมง เป็นสองชั่วโมง สิบนาทียี่สิบนาที ถ้าเห็นแบบนั้นมันไม่ต่อ มันไม่ได้ความ เหมือนเขียนหนังสือไม่ติดกันมันก็อ่านไม่ออก อ่านไม่รู้เรื่องรู้ราว ต้องรู้ ตัวรู้ ตัวรู้ ต้องให้มันรู้เป็นครั้ง เป็นครั้ง วินาทีหนึ่งรู้ครั้งหนึ่ง วินาทีหนึ่งรู้ครั้งหนึ่ง แล้วรูปแบบของการเจริญสติที่บรรพบุรุษของเราได้ค้นคว้ามานานแล้ว ก็มาเป็นรูปแบบของการสร้างจังหวะ การสร้างจังหวะนี่เรียกว่ากายบรรพะ ในบาลี ในพระสูตร กายบรรพะ สัมปชัญญะบรรพะ กายบรรพะมันก็เคลื่อนไหวจริงๆ สัมปชัญญะบรรพะ มันก็เคลื่อนไหว สัมปชัญญะบรรพะมันไม่ใช่รูป มันเป็นความรู้สึก มันเป็นความระลึกได้ มัน มัน มันทำให้แจ้งเช่นมือวางบนเข่าก็รู้ว่ามืออยู่บนเข่า พอได้ยกมือขึ้น พลิกมือขึ้นก็รู้ ขณะที่ยกก็รู้อยู่ มันสองรู้ รู้แบบไม่มีคำถาม รู้แบบมีแต่คำตอบ ตัวเราตอบเอาเอง เรียกว่าสติสัมปชัญญะ รู้อย่างนี้จึงจะเป็นวิชากรรมฐาน แล้วก็รู้ต่อกันเป็นยาวๆเหมือนโซ่ ที่มันยาวมันก็ใช้ได้ แต่โซ่มันสั้นๆ มันใช้ไม่ได้ ไม่ใช่เหมือนเหล็กเส้น เหล็กเส้นมันรอบตัวมันไม่ง่าย มันแข็งทื่อ ให้มันเหมือนโซ่เหมือนรอบ สติเป็นรู้รอบ มาทางไหนก็รู้ได้เพราะมันรอบอยู่ เพราะรู้ รู้ ไม่ใช่ไปรู้แบบต่อกัน มันรู้เป็นครั้ง เป็นครั้ง รู้เป็นหนึ่ง รู้เป็นหนึ่ง รู้เป็นหนึ่ง สิบสี่จังหวะนี่พอดีกับรู้เป็นครั้ง รู้รอบนี่ หนึ่งรอบ สองรอบ สิบสี่รู้ รอบสองก็สิบสี่รู้ หลายรู้เข้าไป ถ้ามันรู้เข้าไปมากๆ ก็พอดีๆกับจังหวะที่เราสร้าง วินาทีหนึ่งอาจจะรู้ทีหนึ่ง ช้าไปกว่านั้นก็ไม่มาก ไวไปกว่านั้นก็ไม่มาก ไม่มีวิธีใดที่จะชัดเจนเหมือนวิธีการเจริญสติแบบการกายบรรพะการเคลื่อนไหว ตามที่ทดลองมา ไม่ใช่สะเปะสะปะแล้วมาพบกับกรรมฐานแบบนี้ไม่ใช่ ฝึกมาหลายแบบ ฝึกมาได้หลายแบบแต่มันไม่รอบ มันไปทางเดียว เหมือนแสงไฟฉาย มันเหมือนแสงนีออน ไม่เหมือนแสงพระอาทิตย์ แสงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มันน่ารอบ มันรู้รอบ พอมันรู้จริงๆ มือมันก็รู้กายเคลื่อนไหว มันคิดมันก็ยังรู้ได้ แทนที่เราไม่ได้ตั้งใจ เราตั้งใจสร้างสติการเคลื่อนไหว แต่เวลาใดที่มันคิดขึ้นมามันก็รู้ได้ ก็ปล่อยมันเถอะให้มันคิด แต่เราก็รู้เวลาที่มันคิดแล้วกลับมา กลับมาตั้งไว้ กลับมาตั้งไว้ที่กาย แล้วกลับเนี่ยะ การกลับมาเนี่ยะ จะเป็นศิลปะจะเก่งตรงนี้ด้วยนะ ถ้าไม่กลับนี่ไม่เก่งนะ จะเป็น เป็นการปฏิบัติที่อนุบาลอยู่ถ้าไม่รู้จักกลับ มันไปทางไหนก็ไปกับมัน บางทีก็ไปกับความคิด มันหลงก็ไปกับความหลง มันสุขก็ไปกับความสุข มันทุกข์ก็ไปตามความทุกข์ หลงก็ไปตามความหลง อันนั้นเรียกว่าไม่กลับ กว่าจะกลับมาเค้าเอาไปกินหมดเลย มันก็ยอดอ่อนของต้นไม้ พอยอดอ่อนออกมาแมลงก็เอาไปกิน เกิดขึ้นมาใหม่ แมลงเอาไปกิน เกิดขึ้นอีกร้อยครั้งพันหน แมลงเอาไปกิน แล้วมันก็ออกลูกไม่ได้เพราะมันไม่แก่ ต้องมีความแก่หนึ่งปีสิบสองเดือน ยอดมะม่วงมันจึงจะออกลูกได้ มันมีเวลาอย่างนั้น กาลเวลาที่เราปฏิบัติธรรมก็ต้องมีบ้าง ไม่ใช่อยู่ๆมันจะไปออกมรรค ออกผล มันก็ไม่ได้ ต้องให้มันต่อกัน การกลับมาเนี่ยะ การกลับมาเนี่ย นี่เป็นตัวปฏิบัติ ปฏิคือการกลับมา กลับมาตั้งไว้ เวลาใดมันไม่หลงไปทางอื่นก็เอ้าต่อไปเรื่อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ เวลาใดมันหลงก็กลับมาความหลงก็เห็นได้ ไม่ได้ไปหามัน มันออกมาฉายให้เราดูก็รู้เอา ดูเอา เห็นเอา เห็นหลายรส เห็นหลายชาติ มันแสดงออกมาทางกาย ทางจิต แสดงออกมาบางอย่างก็เกิดรสชาติต่างๆกันไป บางทีความไม่เที่ยงก็มี บางทีความเป็นทุกข์ก็มี บางทีก็ไม่ใช่ตัวตน บางทีมันเกิดเป็นเวทนาเป็นสุข เป็นทุกข์ บางทีก็เกิดสุดเกิดทุกข์ ตอนจิตมันพัดเราไป ก็รู้แล้วก็กลับมา มันมีฐาน กรรมฐาน กรรมฐานมันมีฐานมันมีที่ตั้ง มันตั้งอยู่พอหลุดออกไปก็กลับมาได้ ไม่ต้องไปขอร้องใคร ไม่ต้องไปเรียกใครมาช่วยเหลือ กรรมฐานเป็นส่วนตัว ส่วนตัว นี่ไม่มีไรที่จะทำได้ วิชาไหนๆ ไม่เหมือนวิชากรรมฐาน วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่ปฏิบัติได้ ทำได้ ทุกคน เราเอามือวางไว้บนเข่า เรารู้เอามือวางไว้บนเข่าทำได้ รู้ไหมว่ามือวางอยู่บนเข่า ทุกคนก็รู้ เรียกว่าทำได้ส่วนตัว ทำได้ส่วนตัว อย่าไปเรียกร้องใครมาช่วย หัดช่วยตัวเองหลงก็ช่วยตัวเองให้มันรู้ มันเป็นอะไรก็ตามช่วยตัวเองให้รู้ไม่ได้ยาก เหงื่อไม่ไหลไม่ต้องเอามืองุ้มสมอง เหมือนเราไปคิดการเรียนการศึกษา ไม่ต้องไปจับปากกา จับกระดาษ มาขีดมาเขียนแบ่งวรรคแบ่งตอน ได้ข้อมูลได้ผลสรุป ยังทำได้ อันนี่ไม่ถึงปานนั้น ไม่มีวัตถุสิ่งของอันอื่นมาช่วย เป็นแต่เพียง มีสติแล้วก็กลับมา กลับมา มาตั้งไว้ มาตั้งไว้ ยิ้มรับมือได้เลย
การปฏิบัติธรรมมันก็เห็นกาย เห็นอย่างเดียวอยู่นานๆ แล้วก็รู้แจ้งเรื่องกาย สติก็ชำนิชำนาญ ธรรมดาการเห็นอยู่สิ่งเดียวนานๆ ก็ต้องมีความอะไร มีความชำนิชำนาญ มีปัญญามีอะไรเกิดขึ้นมา รู้แจ้งเรื่องนั้น เรื่องนั้นขึ้นมา เรามาอยู่วัดป่าสุคะโต มาจากบุรีรัมย์ มาอยู่วันเดียว คืนเดียว สองคืน ยังไม่รู้หร๊อก มาอยู่หลายวัน หลายวัน เออ เห็นรสเห็นชาติ เห็นบรรยากาศ เห็นสิ่งแวดล้อม อันนี้มันเห็นไม่มีคำถาม มันพบเห็นแล้ว การมาพบเห็นกายนี่ก็ไม่มีคำถาม มีคำตอบ กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ตอบได้ทันทีเลย โผงผางไปเลย ไปเลยไม่มีอะไร ไม่หลงในเรื่องของกาย แต่ก่อนหลงเรื่องของกายนี่ มากเรื่อง เรื่องของกายอย่างเดียวมันเป็นสุขเป็นทุกข์เป็น ความหลงเป็นความโกรธ เป็นวิตกกังวลเศร้าหมอง เป็นความรัก ความชัง เป็นอะไรปัญหา กระทบกระเทือนไปถึงวัตถุอื่น สิ่งอื่น คนอื่น ผู้อื่นไป หลงเรื่องกาย แต่นี้ไม่หลงแล้ว ชาตินี้ เพราะว่ากายนี้ไม่หลงแล้ว รู้ครั้งเดียวจบไปตลอดชาติ เรื่องของกายนี่ ไม่เอามาเป็นสุขไม่เอามาเป็นทุกข์
วิชากรรมฐาน มันเป็นการรู้แจ้ง มันเป็นการเฉลย วิชากรรมฐานนั่น มันก็โล่งข้ามได้เรื่องของกาย แต่ก่อนเราข้ามไม่เป็นเรื่องของกาย ไปชนเหมือนชนหน้าผา มันไม่รู้จักข้ามไป ต้องติดเหมือนด่านที่มันกักเรา มันไปไม่ได้ เมื่อถูกกักก็ไปไม่ได้ ต้องยอมจำนน จนเขาปล่อยเวลาใดค่อยหลุดออกมา หายใจได้บ้าง นี่ ปฏิบัติธรรมมันเป็นอย่างนี้นะ รู้แจ้งครั้งเดียวผ่านได้ตลอด ผ่านได้ตลอด หลุดพ้นได้ตลอด เพราะว่ากายนี่หลุดพ้นได้ บางทีก็เห็นเวทนามันสุข มันทุกข์ มันปวด มันเมื่อย มันร้อน มันหนาว มี เกิดขึ้นกับกาย เพราะว่ามัน เราไปทำถูกมันก็ต้องเห็นต้องเจอกัน เราไม่ได้กลบเกลื่อน นั่งสร้างจังหวะอยู่ เดินจงกรมอยู่ บริบทต่างๆไม่กลบเกลื่อนเวทนา มันก็ออกมาโชว์ ให้เราเห็น แต่ก่อนเรากลบเกลื่อน ยืน เดิน นั่ง นอน คู้เหยียด เคลื่อนไหว กิน ขับถ่าย หนาวห่มผ้า ปวดขา ปวดแขน ไปตามอาการของมัน ยอมรับมันหมด ไม่ดูไม่เห็นไม่เจอหน้ากัน หลบกันไปเลย เพราะฉะนั้นก็หลบกันไปเลย อะลุ้มอล่วยไปเลย แต่นี้มาเห็นเข้าจังๆ ตาต่อตา เห็นเวทนาที่มันเกิดขึ้นขณะที่เรานั่ง สร้างจังหวะขณะที่เราเดินจงกรม มันต้องแสดงแน่นอน แน่นอน เวทนา เห็นต่อหน้าต่อตา ก็รู้แล้วที่นี่คือเวทนา ก่อนเราเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะเวทนา เวทนาทำให้เราเป็นสุขเป็นทุกข์ ทำให้เรามีตัวมีตน เป็นตัวเป็นตนอยู่ในเวทนา เป็นภพเป็นชาติอยู่ในเวทนา หลายภพหลายภูมิในเวทนา ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี สุขก็มีทุกข์ก็มี ต่างกัน บัดนี้เรามาเห็นแจ้ง แต่ก่อนเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์ บัดนี้มาเป็นปัญญา รู้ครั้งเดียวอีกเหมือนกันคำว่าเวทนานะ รู้ครั้งเดียวจบไปตลอดชาติเลยนะ รู้จิตที่มันคิดนะ มันก็มีเหมือนกันจิตเนี่ยะ มันแสดงโชว์ มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นกฏของธรรมชาติของเขามันโชว์ เหมือนควัญรถที่มันมีสมอง เวลามันมีปัญหาอะไรมันก็โชว์หน้าจอ ไฟแดง ไฟแดงบางจุด มันก็บอกว่านี่คือเบรค ไฟแดงบางจุดมันก็บอกว่านี่คือน้ำมัน ไฟแดงบางจุดมันก็บอกว่านี่คือความร้อน น้ำมันหมด อะไรต่างๆ มันบอกนะ มันโชว์ จิตของเราก็เหมือนกัน มันมีอยู่จิตน่ะ เราเคยเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะจิต ถ้าเป็นจิตแล้ว มีอำนาจ จิตมันคือคือคิด การเคลื่อนไหวของจิตคือมันคิด มีทุกคนก็ต้องเห็นมันคิด นั่งอยู่สุคะโต มันปุ๊ดไปโน่น บุรีรัมย์ กรุงเทพ ชัยภูมิ ขอนแก่น โคราช แป๊บไปแล้วหาคนรักคนชัง หาความพอใจชอบใจในอดีต สิบปียี่สิบปีมันไหลไปมันกลับไป ไปข้างหน้า คืนข้างหลัง นี่คือจิต เห็นมั๊ย เป็นตัวเป็นตนจริงไหมอ่ะลักษณะนั้นพอเรามาดูเข้าจริงๆมันก็ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน มันเป็นลักษณะมัน เป็นอาการ อาการที่มันเกิดขึ้นกับจิตเป็นสุขเป็นทุกข์ ในอาการที่มันเกิดขึ้นกับจิต เป็นกายก็ดี เป็นเวทนาก็ดี เห็นจิตก็ดี แสดงถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน เราเคยเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง เราเคยเป็นทุกข์เพราะความเป็นทุกข์เราเคยเป็นทุกข์เพราะความไม่ใช่ตัวตน บัดนี้มันเป็นปัญญาเสียแล้ว เปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยนชั่วเป็นดี เปลี่ยนหลงเป็นรู้ เปลี่ยนอะไรที่มันเคยทุกข์ เคยทุกข์เป็นปัญญา
ชีวิตของเราถ้ามันเปลี่ยนอย่างนี้มันก็พ้นภาวะเก่า เคยสุขเพราะความคิด เคยทุกข์เพราะความคิด ความคิดจัดสรรชีวิตเราไป ส่งเราไปเหมือนบั้งตะไล ที่มันมีมื้อ มีแรง มีดิน มีแรงขับ ให้มันขึ้นไป ที่สุดแล้วมันก็ไม่จริง มันขับให้เราหัวเราะร้องไห้ ทำให้เราเป็นสุขเป็นทุกข์ หลงไปตามอาการกับมัน ตอนนี้เรามีสติ เรามีสัมปชัญญะ เห็นมัน ยังไม่ให้มันส่งให้เราเป็นสุข ยังไม่ส่งให้เราเป็นทุกข์เลย รู้แล้ว รู้ก่อนแล้ว ว่ามันเกิดขึ้น พอมันคิดขึ้นมารู้แล้ว ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจนะ ไม่ใช่ความคิดที่ตั้งใจ ความคิดที่ตั้งใจนี่ไม่มีปัญหาหร๊อก คิดได้คิดลงไป กลัวว่าจะขี้เกียจคิดนั่นแหละแต่คิดที่ไม่ได้ตั้งใจมันลักคิดล่ะตัวนี้มันเป็นตัวขยัน ตัวขยันแบบนี้เรียกว่าสังขาร ตัวแบบนี้เค้าเรียกว่าสมุทัย ตัวเหตุ ที่จะจัดชีวิตให้เราหลุดไปทางไหนก็ได้ มีอำนาจสั่งการสั่งงานให้เราได้ตามมันไป พอเรามันดูก็เห็นจิตนี่สมกับคิดนะ มันก็ไม่มีอะไรเหมือนๆกัน ตอบอันเดียวกัน แต่สติจะเป็นคำตอบอันเดียวไม่ใช่คำตอบกันคนละอย่าง เห็นความไม่เที่ยงก็รู้แล้ว เห็นความเป็นทุกข์ก็รู้แล้ว เห็นความไม่ใช่ตัวตนก็รู้แล้ว เห็นกิเลส ตัณหา เห็นปวด เห็นเมื่อย เห็นหิว เห็นร้อน เห็นหนาว รู้แล้ว ตอบคนเดียวเลย ไม่ใช่เป็นชอบ ไม่ใช่เป็นไม่ชอบ บอกตอบคนเดียวรู้แล้ว รู้แล้วนี่คือ กรรมฐาน ตัวเฉลย แปลว่ารู้แล้วไม่เอะใจนะ เป็นคำตอบอันเดียว ฟังดีๆ คำพูดหลวงพ่อเนี่ยะ ไม่ได้จำมาพูดเรื่องที่มันมีอยู่กับทุกคน สิ่งที่หลวงพ่อพูดเนี่ยะ มีอยู่ทุกคน ไม่เกี่ยวกับเพศ กับวัย ลัทธิ นิกาย ชาติ ศาสนาใดทั้งหมดไม่เกี่ยว เป็นเรื่องที่เป็นจริง เป็นสัจธรรม มีอยู่กับเรา
ธรรมที่มันเกิดขึ้นกับใจง่วงเหงาหาวนอนความเครียดมีเหมือนกันนะ เวลาเราปฏิบัติน่ะ ความง่วงเหงาหาวนอน ความเครียด ความอ่อนแอ ความเบื่อหน่าย พ่ายแพ้ เข็ด ว่าการปฏิบัตินี่ โอ๊ย ยาก นอนดีกว่า ง่วงเหงาหาวนอน มันเครียดขึ้นมา มันเบื่อขึ้นมา มันไม่ชอบขึ้นมา เปรียบเทียบขึ้นมา ความง่วงเหงาหาวนอน ฟุ้งซ่าน นี่เค้าเรียกว่าธรรม มันเกิดครอบงำ ทั้งกายทั้งใจ มันมีเราก็เห็นเหมือนกันนี่ก็เหมือนกัน มันเป็นอาการ ถ้าเห็นเข้าไปจริงๆเนี่ยะ สิ่งที่มันเกิดทั้งหลาย ทั้งหลายเนี่ยะ ถ้าจะตอบง่ายๆ ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายกับจิต อาการนี้ มันไม่ใช่ตัวใช่ตน มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่ตัวใช่ตนจริงๆ ไม่ให้มันหลอกอีกต่อไปแล้ว เพราะว่ากายเวทนาจิตธรรม หลอกก็ได้ รู้ เฉลยได้ตั้งแต่ครั้งแรกจบไปตลอดชาติ จนไปเห็นรูปธรรมนามธรรม เห็นอยู่บ่อยๆ เรื่องเดียวบ่อยๆ แตกฉาน มันแตกฉาน แต่ก่อนเห็นเป็นกาย เห็นเป็นเวทนา เห็นเป็นจิต เห็นเป็นธรรม ต่อไป ต่อไปมันเห็นเป็นรูปธรรม นามธรรม สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับรูปกับนามเนี่ยะ สรุปได้เลย รูปก็สรุปให้เราแล้ว นามก็สรุปให้เราแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับรูป กับนาม กับกาย กับใจ เป็นอาการต่างๆ อาการต่างๆที่เกิดขึ้นมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์มันไม่ใช่ตัวตน พอเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์เห็นความไม่ใช่ตัวตน ในชีวิตของเราทั้งหมดเลย ทั้งหมดเลย หลายอย่างเห็นกิเลส ตัณหา ราคะ ความรัก ความชัง ความไม่เที่ยงเกิดขึ้นกับเราส่วนตั๊ว ส่วนตัวก็มี
ความไม่เที่ยงเกิดจากคนอื่นที่เกี่ยวกับเราก็มี บางทีเราเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยงของคนอื่น เป็นทุกข์เพราะเพื่อน เพราะมิตร เป็นทุกข์เพราะบุตร ภรรยา สามี คนที่เรารัก คนที่เรารักเขาก็เป็นคนไม่เที่ยง เขาเป็นคนอนิจจัง เขาไม่เที่ยงเราก็ไปพึ่งคนที่ไม่เที่ยง เอาไปพ่วงเข้าไปอีก ก็เป็นทุกข์หนา มีเป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยงที่เกิดขึ้นภายนอกเรา กับบุคคลกับวัตถุ สิ่งของกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ บางทีก็เป็นทุกข์ ซุกซนเกินไปเพราะทุกข์ เพราะร้อนเพราะหนาวเป็นทุกข์ ฝนตกเป็นทุกข์เพราะแดดออก มันซุกซนไปตะพึดตะพือในความทุกข์ในความไม่เที่ยง ทั้งๆที่เราจัดสรรมันได้เราก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ไปหลงอยู่ บัดนี้มันก็สรุปให้เราความไม่เที่ยงมีหลายอย่างในตัวเราก็มี เป็นวัตถุสิ่งของก็มี เป็นผู้เป็นคนที่อยู่ใกล้ชิตที่เราเกี่ยวข้องนะ สิ่งนั้นมันไม่จริงจังกับเรา เราก็เป็นทุกข์ ทั้งๆที่ ก็ห่างเราไปตั้งหลาย หลายโยชน์ แต่ในเรานี่ก็ยังเป็นทุกข์ ก็ยังพอไหว ก็ยังพอไหว แต่ทุกข์ที่มันไม่ใช่อยู่กับเราเอามาเข้ามาอีกล่ะ พอเห็นอย่างนี้ล่ะ โอ๊ยยเบา เบ๊า เบา เพราะความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ที่ไม่ใช่ตัวตนนี่ครบวงจร ในตัวนอกตัวเฉลยได้หมด ล่วงพ้นไปได้นะปฏิบัติธรรม ก็จิตก็ไม่ปรุงไม่แต่ง มีแต่เห็น เห็น จิตมันก็สงบ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นไตรสิกขา สรุปถลุงย่อย เป็นความชำนิชำนาญเหมือนเราเรียนวิชาการต่างๆ ชำนาญในวิชาการสาขาใดๆ เราก็ชำนาญในสาขานั้นๆ การมาชำนาญในชีวิตจิตใจของเรานี้ เรียกว่าปริญญาได้เหมือนกัน กำหนดรู้โดยการรู้ กำหนดรู้โดยการแจกแจง กำหนดรู้โดยการละง่ายที่สุดเรื่องเนี่ยะ หลุดออกไปง่ายๆ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาเพราะมันเป็นไปเอง แต่จิตมันสงบ ก็เป็นศีล ศีลก็กำจัดกิเลส สมาธิก็กำจัดกิเลส สิ่งไหนที่มันเศร้าหมอง เคยทุกข์เพราะสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่เคยทุกข์อีกต่อไป มันกำจัดแล้วเหมือนกับความมืด เหมือนกับแสงสว่างกำจัดความมืด เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นทุกข์ไม่หลง มันเห็น เห็นแบบนี้ ไม่ใช่เห็นเป็นคำถาม ไม่ใช่เห็นแบบจำ มันไม่ใช่จำ มันพบเห็น การพบเห็นมันต่อหน้าต่อตา การปฏิบัติธรรมมันก็จูงมือไปดู จับแขนไปดู คลี่ให้ดู คลี่ให้ดู ให้เรานี่แหละดู ตัวปฏิบัติ ตัวกรรมฐาน จะลิขิตเราไปดูไปเห็นนะ กรรมฐานเป็นอย่างนี้ ให้เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา มันก็เป็นไตรสิกขา ไตรสิกขาก็ถลุงก็ย่อยออก มีแต่เนื้อ มีแต่ชีวิตล้วนๆ ชีวิตธรรมชาติ ชีวิตธรรมดา ก็เกิดธรรมวินัยขึ้นมา ธรรมวินัยก็คือศาสนา เหมือนพระพุทธเจ้าเหมือนพระอานนท์ ถามพระพุทธเจ้า ทูลถามพระพุทธเจ้าในช่วงปรินิพพานสูตร เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วจะให้ใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนเราตถาคต เป็นศาสดา เป็นตัวศาสนา ธรรมวินัยก็เกิดขึ้นในกายในใจเรานี้ อยู่ในกรอบ อยู่ในเขต ตัวเฉลย ไม่เอามาเป็นทุกข์ไม่เอามาเป็นทุกข์ เป็นตัวปัญญา วินัย วิก็คือวิเศษ นัยยะ คือนำไป นำไปสู่ความหลุดพ้นอย่างวิเศษ นำไปสู่ความหลุดพ้นอย่างวิเศษ ธรรมก็คือธรรมชาติ ธรรมดาทั้งหลายทั้งปวง มีอยู่ทุกหนทุกแห่งเป็นธรรมกุศล เป็นธรรมอกุศล เอากุศลละได้ กุศลสร้างขึ้นมาได้ การเจริญสติ สติเป็นเครื่องมือทำให้เป็นเครื่องมือละอกุศล เป็นเครื่องมือสร้างกุศล สติสัมปชัญญะนี้ เป็นเครื่องมือ เป็นเครื่องทุ่นแรง ทำให้ไม่ยาก ถ้าขาดสติ เสียแล้วทำยากเหลือเกิน ละความชั่ว ทำความดี บางทีจะทำดีได้ยาก ทำชั่วได้ง่ายด้วยซ้ำไป ผู้ไม่ค่อยมีสติ แต่ผู้มีสตินี่ง่าย เหมือนเครื่องทุ่นแรงที่ช่วยเรา ของหนักทำให้เบา ของยากทำให้ง่าย ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเราจึงมาเริ่มต้น ในวิชากรรมฐาน วิชานี้เป็นวิชาส่วนตัวใครก็ช่วยเราไม่ได้ เราเห็นความหลงด้วยเราเองเราก็เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ด้วยตัวเราเอง เราเห็นทุกข์ เห็นโกรธ เห็นโลภ เห็นหลง เราก็เปลี่ยนได้เอง หัดเปลี่ยน หัดมีความเพียรตรงนี้ อย่าเกียจคร้านตรงนี้ เมื่อมันหลงขยันรู้ไว้ เมื่อมันทุกข์ขยันรู้ เมื่อมันโกรธขยันรู้ เพียรถูกที่ ถูกทาง การเพียรถูกที่ ถูกทาง การขยันถูกที่ ถูกทาง มันหลุดได้ ไม่ใช่ขยัน อันนี้ไม่ใช่ เวลามันง่วง ขยันรู้ เวลามันทุกข์ขยันรู้ เวลามันหลงขยันรู้ เรียกว่าเพียร เพียรอย่างนี้แล้ว ล่วงทุกข์ พ้นทุกข์ได้ วิริเยนะทุกขะมัจเจติ คนจะล่วงพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร ขยันรู้ ขยันรู้เอาไว้ เอาไปซะก่อน บุกไปก่อน บุกไปก่อน นี่สอนให้ปฏิบัติ ทั้งสอนให้รู้ สอนให้รู้น่ะสอนง่าย สอนให้เป็นนี่เราต้องทำเอาเอง ทำเป็นมั๊ย เวลามันหลงเปลี่ยนตัวหลงเป็นตัวรู้ได้มั๊ย ทำเป็นมั๊ยความหลงหมดไปจริงมั๊ย เวลามันโกรธเปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธทำเป็นมั๊ย ทำได้มั๊ย เวลามันทุกข์เปลี่ยนเป็นความไม่ทุกข์ ทำได้มั๊ย เวลามันง่วง เปลี่ยนความง่วงเป็นความรู้สึกตัว เป็นความรู้สึกตัวได้มั๊ย ทำเป็นมั๊ย ทำให้มันเป็น ปฏิบัติธรรมไม่ใช่รู้ความรู้มันของปลอมนะ ทำเป็นเนี่ยะเห็นเนี่ยะมันจริง ต้องพบเห็นด้วยสติปัญญาของเรา เหมือนกันหมดทุกคน การศึกษามารวมอยู่ตรงนี้ทุกคน ศึกษาตรงนี้ สัจธรรมต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน อันเดียวกันนะ ไม่ใช่ โอ๊ย หลวงพ่อเป็นพระ หลวงพ่อก็รู้ได้ พวกผมเป็นฆราวาส ญาติโยมไม่ได้ มีลูกมีหลาน โอ่ยย ไม่ใช่ อย่าไปพูดแบบนั้นไม่ใช่หร๊อก ความรู้สึกตัวไม่เกี่ยวกับลูกกับหลาน ไม่เกี่ยวกับเพศหญิง เพศชาย ไม่เกี่ยวกับ นักบวช ฆราวาส ญาติโยม เป็นการกระทำ กรรมจำแนกสัตว์ คือการกรรมฐานนี่แล้ว หลวงพ่อก็พูดให้ฟัง แต่ถ้าพูดให้เราเอาไปทำมันรู้เรื่อง ถ้าพูดแล้วไม่ไปทำมันไม่ค่อยรู้หร๊อก เราได้ทำในสิ่งที่เราได้ยิน เราได้ยินในสิ่งที่เราได้ทำ เป็นส่วนประกอบที่ดีที่สุด.