แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ประเทศไทยเรามีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมกันเป็นคนๆ เดียวกัน มีการละความชั่ว มีการทำความดี ชีวิตเรานี้เหมือนกัน มีกายกับใจ ปัญหาก็มีเหมือนกัน ปัญหาเกิดกับกาย ปัญหาเกิดกับใจ การแก้ปัญหา ก็แก้ปัญหาที่กายที่ใจเหมือนกันหมด หัวอกก็อันเดียวกัน เรามาสร้างชีวิตของเราให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตอันบริสุทธิ์ อย่าเบียดเบียนตนเอง อย่าเบียดเบียนคนอื่น ทำให้ตนเป็นทุกข์ เพิ่มความโกรธ ความคับแค้นใจ มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ เบียดเบียนตนเองเป็นบาปเหมือนกัน การที่จะคนละอย่างต่างกันก็คือ ให้เรามีกายมีใจเหมือนกัน ความโลภ ความโกรธ ความหลงเหมือนกัน แต่จะต่างกันตรงที่เปลี่ยนความหลงเป็นความไม่หลง เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์เปลี่ยนได้ แต่ถึงกับเราเปลี่ยนตัวเราก่อน ไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่น ถ้าเราหลงก็รู้สึกตัว เปลี่ยนความหลงเป็นตัวรู้ หยุดปรับตัวเราไปก่อน เราโกรธขึ้นมาทางใจ เราก็เปลี่ยนความโกรธ เป็นความไม่โกรธ ถ้ามันต่างกันอ่ะ ทุกคนทำหน้าที่ตรงนี้ หัดทำเอง การหัดอย่างนี้เราต้องหัดตัวเอง สอนตัวเอง เตือนตัวเอง คนอื่นหัดไม่ได้ สอนเราไม่ได้ เราทุกข์ก็สอนตัวเอง เปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความไม่ทุกข์ เมื่อเวลามันทุกข์ใจ โกรธเคืองขึ้นมา จะไปดุไปด่า ทำลายกัน มาเปลี่ยนตัวเองก่อน อาจจะไม่ต้องด่า ไม่ต้องทะเลาะกันก็ได้ ถ้าเรามาเปลี่ยนตัวเองให้เป็นร้ายกลายเป็นดี เช่นหัดตรงนี้ ถ้าทุกคนหัดตรงนี้ ก็เกิดความสงบร่มเย็นร่วมกัน ถ้าเราไม่หัดตรงนี้คนอื่นเขาเดือดร้อน เราก็เดือดร้อน เราจึงมีหัวอกอันเดียวกัน แล้วก็เราก็ทำได้ ความโกรธมันอยู่ที่ใจ ใจเขาก็อยู่กับเรานี้ ลองมาเปลี่ยนดู มันก็เปลี่ยนได้อยู่ อย่างพระพุทธเจ้าว่า อนิจจา วต สังขารา สังขาร ความโกรธ ความเครียดแค้น ชิงชังเกิดขึ้นแล้วจากใจแล้วหนอ อุปปา ท ว ย ธัมมิโน เราไปยึดเอาว่าเรา อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เปลี่ยนได้อยู่ เปลี่ยนได้อยู่ เตสัง วูปสโม สุโข เปลี่ยนความโกรธได้แล้ว เป็นสุข เป็นสุข ไม่ต้องด่ากันเลย มาให้เราเปลี่ยน มาให้เราแก้ไข เราก็เป็นจิตใจที่ดีไปเรื่อยๆ มาอยู่ที่เรา สามารถเอาใจมาทำความดี คิดดี พูดดี เอากายมาทำความดี เอากายมาละความชั่ว เอาใจมาละความชั่วได้ มาอยู่กับเรา เราก็มีสิทธิมาทำความดี มีสิทธิละความชั่ว เช่นเราโกรธ เรามีสิทธิที่จะไม่โกรธ ความโกรธนั้นเป็นธรรมต่อชีวิตเรา ความไม่โกรธเป็นธรรมกว่าเราก็มีสิทธิตรงนี้เต็มที่ อย่าไปยอม อย่าเสียเปรียบความโกรธ บางทีเราเสียเปรียบความโกรธมาก ให้ความโกรธนอนอยู่กับเราข้ามวัน ข้ามคืน ไปเปลี่ยนความร้ายให้เป็นความดี เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปนั่งหลับหู หลับตาอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่เรานั่นแหละ จนเราทำดีได้หมด ทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ ทางกายก็ไม่ไปเบียดเบียนใครให้เดือดร้อน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย สังคมก็รังเกียจ ไม่เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ถ้าใครไม่มีรั้วล้อมกาย ก็อยู่กับหมู่ไม่ได้ ถูกจับกุมคุมขังไปอยู่คุกในตาราง สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ค่อยมี แต่ว่าคนเรามันมีสมอง ก็มีศาสนาเป็นคู่ชีวิต ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เป็นนักเลงการพนัน ไม่คบคนชั่วเป็นมิตร ไม่เกียจคร้านทำการงาน กายของเรานี้เอาไปทำความดีได้สำเร็จ ถ้าเราเอาไปไม่ทำความชั่ว มันก็เดือดร้อน เราต้องใช้กายให้เป็น กายของเรา ใจของเรานี้ ควรจะมีผู้ดูแล ปฏิบัติธรรมคือดูแลกายใจของตนให้อยู่ในขอบเขต เดี่ยวนี้กายใจของเรามันเถื่อน ส่ำสอน ถ้ามีเจ้าของที่ดูแลอย่างดี บางทีมีความหลง เป็นเจ้าของกาย เป็นเจ้าของจิตใจ กลางคืนก็ฝัน กลางวันก็คิด หมกมุ่นครุ่นคิด ไม่รู้จักหักห้ามความคิดของตนเอง ปล่อยให้ความคิดมันแล่นเข้ามา จนนอนไม่หลับ จนเป็นโรคประสาทก็มี คิดมาก ๆก็กลายเป็นโรคกระเพาะอาหารได้ ไม่รู้จักดูแลตัวเอง เวลานอนหาเรื่องมาคิด หาคำตอบจากความคิด อาจจะไม่ถูกเสมอไป เวลานอนก็ต้องนอน ถ้าหาเรื่องมาคิดในเวลานอน ผิดศีลด้วย เวลาวิกาลแล้ว เวลานี้เป็นเวลานอน ทำไมมานอนคิดกันอยู่ ถือว่าผิดศีลเหมือนกัน ศีลมันจะทำให้เรามัวหมอง ทำให้เราเนี่ย ไม่ใช่ไปทำคนอื่น เราจึงมีสติ สัมปชัญญะ เป็นเจ้าของกาย เป็นเจ้าของจิตใจ อย่าให้กายมันเถื่อน อย่าให้ใจมันเถื่อน ดูแลดีดี ทุกคนดูแลตัวเอง คนไทยเรานี้ 60 กว่าล้านคนถ้าทุกคนดูแลกายใจดีดี ก็สงบร่มเย็นร่วมกัน จึงมีศาสนาแสดงออก เมื่อความดีเกิดขึ้นที่กาย มันก็มีประโยชน์ เหล่าศรัทธาเจ้าภาพญาติโยมวันนี้ ความดีเกิดขึ้นที่ใจ ที่จิตใจคิด จะไปทำบุญถวายเพลที่อริยธรรมสถาน การนำอาหารหวานคาวมาถวายแด่พระสงฆ์องค์เจ้าแก่ผู้คนทั้งหลาย ก็มีประโยชน์ มันคิดขึ้นมาเป็นความดี ความดีที่เราคิดขึ้นมา มันก็เป็นรูปธรรม แสดงออกเป็นข้าวปลาอาหาร วัตถุปัจจัยต่างๆ มันก็เกิดขึ้นมาจริงๆ ความดีเนี่ยเป็นจากกายจากใจเรา ถ้าความไม่ดีเกิดจากกายจากใจเรา ก็เดือดร้อน อย่างภาคใต้เวลานี้ ความไม่ดี เกิดขึ้นจากจิตใจของเขา ก็จากศาสตราวุธ ระเบิด ปืน ไปเข่น ไปฆ่ากัน คิดจะไปฆ่าคนอื่น ทำลายคนอื่นเพื่อหาผลงาน ทำให้ได้ผลงานจากการฆ่าทำให้คนอื่นเดือนร้อน ไม่ใช่เลย ผลงานของเราก็คือ ให้เกิดสันติสุข สันติภาพร่วมกันในโลกนี้ อย่าทำให้ตนเองเดือดร้อน อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน จึงมีศาสนา มีพระธรรมคำสอน ให้มีศีล มีธรรม เห็นธรรมให้อยู่กับกายกับใจ ไม่ก่อวินาศ เดือดร้อนกันทั่วไป
นอกจากกายจากใจแล้ว ก็มีสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นเวลานี้ เพราะฝีมือของของคน ไม่รู้จักสำรวม ตัดไม้ ทำลายป่า เราไม่ได้ตัดต้นไม้สักต้น เราก็เดือนร้อน คนอื่นเขาตัด เกิดน้ำท่วม ไหลหลาก ไม่มีรากไม้ ซับซึมน้ำเอาไว้ เราก็เดือดร้อน กลายเป็นโลกร้อนเกิดขึ้น เกิดพิบัติทางมหาสมุทรอะไรต่างๆ เพื่อเขาปรับความสมดุลของธรรมชาติ ก็เดือดร้อนกันไป ฝีมือของเรา ไม่มีการสำรวมระมัดระวัง การใช้ปัจจัย4 อยู่กันบนโลกนี้ นั้นเราก็มีชีวิตส่วนรวมอยู่ เราทำความดีนั้นก็เป็นส่วนรวมมีความสุข เราทำความชั่วก็มีความร่วมเป็นความทุกข์ เราจึงมาช่วยกันทำความดี ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรานี้ มันก็ไม่ยาก กายก็อยู่กับเรา ใจก็อยู่กับเรา คิดดี ทำดี พูดดี ยิ่งพวกเราเป็นสัตว์สังคม เป็นครอบครัว บุตร ภรรยา สามี ยิ่งจะดีมาก ๆ ทำบุญกับสามี ทำบุญกับภรรยา ทำบุญกับลูกกับเต้า กับพ่อ กับแม่ อย่าทำบุญแต่กับพระกับวัด ตลาดแห่งบุญมีทั่วไป อะไรที่แสดงออกในความดี เป็นบุญ ช่วยเหลือกันให้เป็น คนหนึ่งหลง คนหนึ่งไม่ต้องหลง เปลี่ยนกัน คนหนึ่งทุกข์ ช่วยคนที่ทุกข์ไม่ให้ทุกข์ มันก็เป็นบุญ คนหนึ่งโกรธ ช่วยคนหนึ่งไม่ให้โกรธ มันก็เป็นบุญแล้ว แล้วเราก็เห็นกันอยู่ อย่าไปโกรธกัน เวลาคนโกรธกัน เขาก็หลงอยู่แล้ว เราต้องช่วยกัน ไม่ให้เราโกรธ ไม่ให้เขาหลง จึงมีการปฏิบัติธรรมก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด ให้มีสติ มีความรู้สึกมีความระลึกได้ หัดให้เป็น อย่าเป็นผรุสวาจา ผิดแล้วยังไม่รู้จัก จะเสียใจ บางทีเราอยู่ด้วยกันอ่ะ ไม่ค่อยทำความดีเท่าไหร่ พอพัดพรากจากกันไปก็บกพร่อง เสียใจ ไม่มีโอกาสทำได้เลย เช่น พ่อแม่ของเราอ่ะ เป็นผู้มีพระคุณต่อเรา เราทำอะไรที่สุดฝีมือเราหรือยัง อาจจะหลังจากเป็นลูกทำกับพ่อกับแม่ ถ้าเราขาดตกบกพร่อง พ่อแม่ล้มหายตายไป เราก็เสียใจ สายเกินไปเสียแล้ว แก้ไม่ได้ ไม่ภูมิใจตัวเอง บางทีถึงคราวเจ็บไข้ได้ป่วยถึงคราวเจียนตายเข้าไปนะ หาความดีในตัวเองไม่มีเลยก็เศร้าโศกเสียใจ เกิดสู่นรก หมกไหม้ไป แล้วเราทำดี มันก็สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่วันนี้ วันข้างหน้า มันก็ตั้งต้นจากวันนี้ เราจึงไม่ควรประมาท ให้ทำความดีต่อกันและกัน เราทำดีวันนี้ อีก 40 ปี 50 ปีข้างหน้าก็ยังเป็นความดีอยู่ ไม่ใช่หายไปไหน ชั่วดีมันเป็นตา เป็นเลนส์ ถ่ายเอาไว้ในชีวิตเรา เป็นภาพในชีวิตเรา ความชั่วก็เป็นภาพ ความดีก็เป็นภาพ มีความดี ความชั่ว เป็นมรดก เป็นผลที่เราจะต้องรับกรรมอันนี้แน่นอนที่สุด เรามีกรรมเป็นของของตน คือเราทำดี ก็ดีไป เราทำชั่ว ก็ชั่วไป จึงเปลี่ยนความชั่วเป็นความดีให้จงได้ในชีวิตของเรานี้ มันก็เกิดประโยชน์ร่วมกันได้จริง ๆ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เป็นบุญของเรา ให้เป็นตา เป็นเลนส์ในใจของเรา ไม่ใช่หายไปไหน อยู่กับเราแล้ว คิดถึงวันนี้ทีไรก็ชื่นใจ สุขใจ ไม่เหมือนทำความชั่ว ทำความชั่ว คิดถึงทีไรก็เศร้าหมอง หม่นมัว กินแหนงแคลงใจตัวเอง เป็นคนเน่าใน เปียกแฉะ เหมือนบ่อเทขยะมูลฝอย ปกปิดซ่อนเร้นตนเอง การทำความดีนี่มันสง่างาม ยิ้มแย้มแจ่มใส สะอาดกาย สะอาดใจ บริสุทธิ์ มันก็ไม่มีบาป บาปคือความชั่ว บุญคือความดี บาปทำให้เป็นไปสู่ทุกคติ บุญไปสู่สุขคติ มันตั้งต้นจากอะไรอ่ะ เรามาดูชีวิตเราดูซิ วันหนึ่งเรามีความรู้สึกตัว หรือว่ามีความหลง ความหลงก็พาไปในทางต่ำได้ ไปสู่บาปได้ แต่ความรู้สึกตัวให้ไปทางสูงเป็นบุญได้ สิ่งที่ลิขิตชีวิตเราคือ ความหลง ความรู้สึกตัวนี่แหละ ถ้าเรามีความหลง พูดก็ผิด ทำก็ผิด คิดก็ผิด ถ้าเรามีความรู้สึกตัว พูดก็ถูก ทำก็ถูก คิดก็ถูก ชิงความฝึกหัดคุณธรรมเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นแก่เราเพื่อจะได้ใช้ ความหลงไม่เป็นธรรมต่อชีวิตเรา ความรู้สึกตัวเป็นธรรมต่อชีวิตเรามากที่สุดเลย ทีนี้ก็มีการสอนสติ เจริญสติกัน ฝึกเดินจงกรม ฝึกการเคลื่อนไหวให้มีความรู้สึกตัว ชั่วโมงหนึ่ง 2 ชั่วโมง หรือ 1 วัน 7 วัน ลองดู ประเทศไทยเราก็มีอย่างนี้ มีวัดวาอาราม มีพระสงฆ์องค์เจ้า มีพระบรมครูคือพระพุทธเจ้า ดั่งมีคุณธรรมอยู่ กับโลกนี่