แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ชีวิตของเราเนี่ยะ นอกจากนั้นก็เกี่ยวข้องกับเรา ตัวเราด้วย วัตถุภายนอก วัตถุภายใน สิ่งที่เราไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย คือใจ แต่ร่างกายต้องมีการเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ต้องหายใจ ต้องกินข้าว ต้องนอน ต้องขับ ต้องถ่าย ต้องยืนเดิน แต่ใจนี้ไม่มีอริบทใด มีแต่วาง แต่ปล่อย น้ำจะท่วม ฝนจะแล้ง ใจไม่เป็นไร ไม่กระทบกระเทือน เหมือนสะเทือนบกสะเทือนน้ำได้ ถ้าเราฝึกอ่ะ ถ้าไม่ฝึกใจก็รับฟังทุกอย่าง อะไรเข้าถึงใจ แสงแดดก็เข้าถึงใจ ละอองฝนเข้าถึงใจ ถ้าเราไม่ฝึกอ่ะ ใจเจ้าปัญหา มีสะเทือนบกสะเทือนน้ำ ใจของเราน่ะ เหมือนนิทานธรรม เรื่องเต่ากับปลาเป็นเพื่อนกัน วันทุกวัน ๆ เต่ากับปลาก็หากินในน้ำไปด้วยกันเป็นคู่ ๆ ไป แต่วันหนึ่งเต่าขึ้นบนบกไป 2-3 วัน ปลาหาที่ไหนก็ไม่เจอ ไปตรงไหนก็ไม่เห็นเพื่อน คิดถึงเพื่อน พอดี 5-6 วันผ่านไป เต่าลงในน้ำ ปลาก็กุลีกุจอ ไปไหนมา เต่าก็บอกว่าไปบนบก บนบกมันคืออะไรมีอากาศ หายใจหรือ แล้วแหวกว่ายไปได้เหมือนในน้ำหรือ มันนุ่มศีรษะเหมือนน้ำไหม มีอาหารการกินไหม เต่าก็เล่าให้ฟัง ว่ามี อากาศก็มีหายใจแหวกว่ายไปได้ อาหารการกินก็มี ปลาก็ไม่เชื่อ เหลือวิสัย ที่จะคิดหาคำตอบจากบนบกมันคืออย่างไร เพราะปลาเป็นสัตว์ที่อยู่ในน้ำ เต่าแสนจะอธิบายยังไงปลาก็ไม่เข้าใจเลย เรื่องนี้ก็เหมือนกันชีวิตของคนเรา บางทีเราไม่เคยฝึกหัดใจ ทำไม่ได้ อะไรก็ทำไม่ได้ คิดไม่ออก ไม่ทุกข์ไม่เดือดไม่ร้อน ทางใจทำได้ไง มีลูกมีหลานไม่ห่วงลูกห่วงหลานบ้างหรือ ก็ได้แต่ทำใจ ถ้าเราฝึกมันก็ทำได้ มี มีให้เป็น เป็นก็เป็นให้ถูก ถ้ามีไม่เป็นก็เดือดร้อน เราจะมาหัดกัน หัดจิตหัดใจเรา หัดง่ายกว่ากาย ใจเนี่ยะ กายนี่หัดยาก แก่ เจ็บ ตาย อยู่ฉะนี้ แต่ใจนี่ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายกับอะไรถ้าเราหัด ถ้าเราไม่หัดน่ะ ใจนี่แหละจะพาตกนรกหมกไหม้ กายไม่ไปถึงไหนหรอก ใจนี่ไป แม้แต่นั่งอยู่นี่ ใจก็ไม่อยู่กับเรา เวลานอนก็ไม่อยู่กับเรา มันไป ท่องเที่ยวไป ถ้าเราหัดมันก็อยู่ คงเส้นคงวา มาตรฐานของจิต ไม่เป็นอะไรกับอะไร ถ้าเราหัดนะ เพราะฉะนั้นจิตใจของเราโดยอาศัยกรรมฐานนี้ เป็นหลัก เอาสติมาอยู่ที่กาย เคลื่อนไหวไปมาให้มันรู้อยู่ ถ้าตัวรู้มีอยู่ที่กาย ใจมันก็ไม่ไปไหนหรอก ไม่ยากใจเนี่ยหัดไม่ยาก ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับมันเลย ใจเนี่ยะ เอาทิ้งมันไปเลย มาอยู่รู้สึกตัวที่กายเคลื่อนไหวไปมาที่กายเนี่ยะ เอาตรงนี้ไปก่อน หลักอยู่ตรงนี้ ฐานอยู่ตรงนี้ มีฐานตั้งไว้ตรงนี้ มีการกระทำตรงนี้ เอามันไปไม่ได้หรอก ใจ ถ้าไม่มีที่ตั้งก็ซุกซน ความรู้สึกตัวเนี่ยะเป็นการสอนเทวดาและมนุษย์ มาร พรหมทั้งหลายได้ แต่การไปสอนให้ไปบอกไปชี้โทษของใจ อันนั้นอันนี้มันไม่รู้หรอก เทวดาเค้าไม่เห็นมีความทุกข์เดือดร้อน พระพรหมก็ไม่มีความทุกข์เดือดร้อน อย่างหลวงตาไปสอนคนสิงคโปร์เนี่ย สวดทำวัตรก็มีแต่ทุกข์แต่ทุกข์ ฉันเค้าบอกเค้าไม่เห็นทุกข์ตรงไหน เค้าไม่เห็นทุกข์ตรงไหนเลย เงินก็มีเยอะแยะ ญาติพี่น้องก็มีแต่คนดี ๆ การงานก็ดีไม่ลำบาก อาหารการกินก็เลือกได้ ไม่เห็นเดือดร้อนตรงไหน เค้าก็อาศัยอันนั้นเป็นเครื่องวัด มีเงิน มีทอง มีบุตร ภรรยา สามี มีญาติพี่น้อง มีบ้านเรือน อาหารการกิน เป็นเครื่องวัด แต่ใจมันไม่อยู่หยุดตรงนั้นด้วย มันก็หมกมุ่นครุ่นคิดไป เป็นสุข เป็นทุกข์ บางทีถึงคราวเกิด แก่ เจ็บตาย ใจหยุดไปไหน ความเจ็บเป็นเรื่องของใจเสีย ความเจ็บเป็นเรื่องของใจ ความตายเป็นเรื่องของใจ แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นตั้งที่ตั้ง พระพุทธศาสนาเอาชนะเรื่องนี้ เกิด แก่ เจ็บตาย ถ้าไม่ฝึกหัดใจ ใจจะตายใจจะเจ็บ ใจจะแย่แล้วก็ไม่สมควร ใจจะไปรองรับทุกอย่าง ให้เป็นนายซะจิตน่ะ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว มีอำนาจ ถ้าใจไม่เป็นนาย กายเป็นนาย ใจเป็นทาส มันก็ลำบาก เหมือนบ้านรั่วที่แป แล้วก็เปียกไปหมด ใจของเรามีปัญหากายก็มีปัญหาไปด้วย คนอื่นสิ่งอื่นมีปัญหาไปด้วย ใจเราเป็นทุกข์คนอื่นก็เดือดร้อน ใจเราโกรธคนอื่นก็เดือดร้อนไปด้วย ไม่สมควรที่จะใช้ใจอย่างนั้น เอาไว้ก่อนเถอะใจเนี่ยะ อยู่ตรงนี้ ๆ ไม่ฟูไม่แฟบ หัดให้ได้ มันมีโอกาสฝึกหัดตลอดเวลา เพราะใจนี่มันแสดงออกหลายท่าหลายทางที่จะต้องสอนใจ แต่วาจาก็เรื่องเดียวที่มันเสียหาย ใจก็มีเรื่องเดียว วาจาก็พูดเท็จ โกหกมดเท็จ วาจาก็พูดส่อเสียดทำให้การแตกร้าวสามัคคี วาจาก็พูดคำหยาบดุด่าว่ากล่าว มีแค่ 3 อย่าง กายน่ะ วาจาก็ฆ่าสัตว์ อันหนึ่งก็ลักทรัพย์ อันที่ 3 ก็ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย 3 อย่าง 3 ทาง ส่วนใจนี่เยอะมากมาย แต่ไม่มีใครรักษาใจ คอยตะพึดตะพือ เราก็พึ่งใจไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปทำไม ถ้าเราไม่ฝึกน่ะใช้ไม่ได้ ถ้าเราฝึกหัดมันก็ใช้ได้ ใช้ใจได้ไม่ให้เป็นโทษ งั้นประโยชน์แก่คนใกล้ชิด ประโยชน์ต่อทุกสรรพสิ่ง อานิสงส์ของการฝึกหัดจิตใจนี่มากมาย สนุก พึ่งพาอาศัยใจ ไม่มีคำว่ายากจน ขัดสน ลำบาก แม้ร่างกายจะเป็นอย่างไรใจนี่ใจไม่เป็นไร เลยถ้าเราฝึกหัดนะ เนี่ยะ คุ้มค่าที่เรามีชีวิต มีอย่างนี้แล้ว มีวิธีปฏิบัติฝึกใจตนเอง มีการกระทำ แสดงออก ให้ชัดเจนแม่นยำ ชั่วช้างสะบัดหู ชั่วงูแลบลิ้น โบราณท่านว่า รักษา 3 ปลาย หาย 3 โทษ ถ้าไม่รักษาตรงนี้ ก็มีแต่โทษแต่ภัย ยิ่งเวลานี้ยิ่งจำเป็นมาก อันตราย วันนี้อ่านหนังสือพิมพ์ มีเด็กนักศึกษาเป็นคนดี้ดี ไปซื้อของกลับมาบ้าน ในมือยังถือของยังเป็นเสื้อผ้า มาถูกคนคนหนึ่งทะเลาะกัน ยิงกัน แล้วมาถูกคนนี้ตายทันที ลักษณะท่านอนกับของที่ซื้อมาน่าสงสารๆ โอ้ยคนเราหนอ เอาตัวรอดเฉพาะตัวเองอย่างเดียวไม่พอต้องช่วยกัน มาชวนกันปฏิบัติละความชั่ว ทำความดี
เมื่อ 2 วันก่อนนี่ก็อ่านหนังสือพิมพ์ เด็กน้อยผู้หญิงอายุ 3 ขวบตายอยู่ในรถ เอาเด็กไปฝากโรงเรียนอนุบาลรีบร้อนปิดประตูรถจอดตากแดดทั้งวันเลย ตั้งแต่เช้า เด็กน้อยอยู่ในรถเปิดประตูรถก็ไม่ได้ถูกล๊อค ถอดเสื้อถอดผ้าออก ดิ้นรนกินน้ำในขวด 3 ขวด ในที่สุดนอนตายอยู่ในรถ เพราะอะไร เพราะขาดสติ กระทบกระเทือนใจ นี่เราก็ไม่รู้จะทำไง สงสารๆ นี่ก็รถชนนักเรียนตาย อ.ชัยค้อ โอ๊ยน่าสงสาร เพราะอะไรเพราะไม่มีสติ ถ้าคนไม่มีสติเราก็ไม่ปลอดภัย แม้แต่ครอบครัวเดียวกัน ถ้าขาดสติก็ลำบาก เราจึงไม่ต้องจนเรื่องนี้ไม่ได้ซื้อได้หา ฝึกฝนตนเอง ดูแลกัน ดูแลตัวเรา ดูแลบุตร ภรรยา สามี ญาติสนิทมิตรสหาย ให้อบอุ่น ให้พึ่งพาอาศัยจะไปสวรรค์ นิพพานในที่นี่ เดี๋ยวนี้ อย่าไปรอเมื่อตาย ชาติหน้าไป หาทางทำได้เดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้เรา ปัจจัตตัง รู้เดี๋ยวนี้ เสียใจนะ อะไรที่ทำผิดไปแล้วเอาคืนไม่ได้ ทำต่อใคร ทำต่อตัวเราเอง ทำต่อคนอื่นเสียใจ กว่าจะรู้สึกตัวก็ตายไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ นั่นแหละเป็นโทษเป็นทุกข์ที่สุด เราได้ทำผิดไรก็เป็นทุกข์ เสียใจแก้ไม่ได้ อย่างหลวงพ่อเทียนน่ะเราก็เสียใจอยู่ ทำไมปล่อยให้หลวงพ่อเทียนเสียชีวิตเพราะโรค ตั้งแต่ปี 2510 หลวงพ่อเทียนก็บ่นว่าปวดท้อง ๆ บางทีหน้าหนาวนี่เอาผ้าอาบน้ำพับปกหัว เดินจงกลมตลอดคืน เราก็ได้ยินเสียงรองเท้า มาดู หลวงพ่อเทียนเดิน แต๊บ แต๊บ แต๊บ เราก็ลงมา หลวงพ่อไม่นอนหรือ ไม่นอน ทำไมไม่นอนล่ะ มันปวดท้อง มันนอนไม่ได้มันปวดท้อง ไม่รู้มันปวดไปทำไม ก็ไม่นอนหัวมันล่ะ เดินอยู่นี่แหละ แต่ทำไมหลวงพ่อจึงหาย ถ้าได้ดื่มน้ำมะพร้าวก็ไคอยู่ ก็ไปหาน้ำมะพร้าวมาให้ดื่ม ปวดท้องทีไรก็ไปหาน้ำมะพร้าวมาให้ดื่ม เอ้อไคแน๋ แต่ก่อนเราก็ไม่รู้ เรานี่โง่ที่สุดล่ะ ทั้ง ๆ ที่เห็นหลวงพ่อปวดท้องอยู่ตลอดเวลา แทนที่พาไปหาหมอให้หมอตรวจเราไม่เคยไป มันขนาดนั้นมันโง่ขนาดนั้น เราเสียใจ จนปี 2530 33 34 หลวงพ่อเทียนป่วยหนักก็ยังไปสิงคโปร์ เราห้ามก็ไม่ฟัง ไปไม่นานก็ขึ้นเครื่องบินมาอยู่ ศิริราช เค้าตรวจโรคก็พบเป็นโรคมะเร็ง ตัดทิ้ง ตันเหมือนก้อนเนื้อมะเร็ง เวลากินข้าวหลวงพ่อเทียน ช้อนเดียวหันมาอิ่ม ตักให้อีก พอแล้ว ๆ ช้อนเดียวช้อนเหรอพ่อ ช้อนเดียวก็พอแล้ว ไม่รู้ว่ากระเพามันตัน เรามาดูแล้วมีแต่เนื้อร้ายในกระเพราะ ตัดออกตั้ง 6 กิโล 7 กิโล เราเสียใจเราไม่ดูแลหลวงพ่อเลย อันนี้แก้ไม่ได้แล้ว เพราะหลวงพ่อเทียนก็เสียชีวิตไปแล้ว หลวงพ่อเทียนเนี่ยะถ้าโรคไม่เบียดเบียนจะถึงร้อยปี หาหลวงตาองค์ไหนเปรียบเทียบไม่ได้ พวกเราลูกศิษย์ลูกหายกย่อง จะหาหลวงตาเหมือนหลวงพ่อเทียนไม่มีหรอก เพราะถ้าไม่มีโรคภัยเบียดเบียน 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็อาจจะ 100 ปีล่ะ หลวงพ่อเทียนจากเราไปก็ 20 ปีแล้ว 77 ปีเสียชีวิต ถ้าไม่เสียชีวิตเพราะโรคก็ 100 ปีแล้วอยู่ได้สบาย เราก็เสียใจ ไม่รู้ทำอย่างไร พอหลวงพ่อเทียนมรณภาพไป เราก็ฐานะของเราก็ดีขึ้น วัดวาอารามก็ดีขึ้น มีรถยนต์ด้วย ญาติโยมซื้อให้ หลวงพ่อปวดท้องเอาขึ้นรถ 3 ล้อ ไปหาโรงพยาบาล ไปหาหมอ จนว่าหลวงพ่อเทียนตาย มีรถยนต์ขึ้นมา โอ๊ย น่าจะได้รถเอาหลวงพ่อเทียนไปหาหมอน้อ มันก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรานั่งอยู่นี้ สามีภรรยาก็นั่งนี่ ทำดีช่วยกัน อย่าไปแสดงความโกรธเคียดแค้นชิงชัง ให้มีแต่ความดี เมื่อกี้พูดกับคุณมนว่า ได้ข่าวว่าเด็กคนนั้นตาย โอ๊ย ไม่รู้เราจะสงสารใครหนอในโลกนี้ ความเมตตาสงสารทำไมมันไม่มีหืดแห้งเลย อาจจะยากจนแต่ความเมตตาสงสารไม่มีคำว่าจนเลย ตลอดเวลา แล้วถ้าเราไม่ฝึกหัดมันจะมีแต่ความดุร้าย ชีวิตของเราเนี่ยะ ถ้าเราจำต้องฝึกหัด มันพึ่งพาใช้ได้ มีความสุข สงบ ร่มเย็น ที่สุด ใจน่ะ ความสุขที่เกิดจากกายนั้น อันนั้นก็เป็น อามิสสุขความสุขที่เป็นอามิส อาศัยเขา แต่จิตนี้ไม่อาศัยอามิสเลย อาศัยธรรม อาศัยใจนั่นเอง อยู่ตรงไหนก็ไม่ขาดแคลน จึงฝึกหัดกันอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีวิธีอันอื่น มีเรื่องเดียวเท่านี้ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นตรงนี้ ตรัสรู้ตรงนี้ ปรินิพพานก็ตรงนี้ ไม่อยู่ที่ใด ตรัสรู้ทางจิต ปรินิพพานก็ทางจิต ไม่ใช่กาย แต่เราทิ้งใจเกินไป ปล่อยปละละเลยไม่ค่อยดูแล ทั้ง ๆ ที่ใจ คอยจะให้คุ้มครองกายเราไม่ค่อยจะใส่ใจ เอากายไปลงโทษใจ เรื่องใหญ่คือกาย กายเบียดเบียนใจ บางทีก็ใจก็เบียดเบียนกาย เป็นศัตรูกันเลย ระหว่างกายกับใจ ถ้าเราฝึกมันจะเป็นวิหารธรรม พึ่งพาอาศัยกันได้จริงๆ ทำความดีได้ละความชั่วได้ เพราะมีมนุษย์สมบัติ หัสดินขี่ม้าขาวเลยทีเดียว ชีวิตของเราเนี่ยะ ไม่ต้องไปฝันอะไร หัสดินคือทำได้ทันที พลิกมือขึ้นก็รู้ทันที วางมือลงก็รู้ทันที คว่ำมือก็รู้ทันที ไม่ต้องไปหาที่ใด ตั้งต้นจากตรงนี้ พระพุทธเจ้าก็ทำตรงนี้ สอนพระสงฆ์ก็ตรงนี้ เห็นกายเห็นจิตเห็นรูปเห็นนามเห็นขันธ์ 5 เห็นอุปทาน การยึดมั่นทำให้เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นโทษยังไง ว่าโดยย่อ อุปทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ เอวัง พลัง สังวะเก วิเนติ พระสงฆ์สาวกทั้งหลายก็รู้เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องนี้ เอวัง รวมลง ไม่ใช่มากมาย ถ้าเรามีสติทุกอย่างก็อยู่นี่แล้ว พระพุทธเจ้าอยู่เฉพาะหน้านี่แล้ว เห็นมั๊ย ความรู้สึก ความสงบ ความปกติ พุทธะ คือรู้ คือตื่น คือเบิกบาน มันตื่นตรงไหน มันรู้ตรงไหน รู้ตรงนี้ที่กายที่ใจเนี่ยะ ไพเราะในเบื้องต้นมีอะไรเกิดขึ้นมั๊ย ไพเราะ ในท่ามกลางสงบมั๊ย ไพเราะในที่สุดหมดปัญหาหรือยัง กาย ใจ ที่สุดท่ามกลางและเบื้องต้น มันอยู่ที่นี่ สตินี่แหละเป็นเบื้องต้น สตินี่แหละเป็นท่ามกลาง สตินี้แหละเป็นที่สุด แปลว่ามันเจริญ เหมือนเราเป็นช่าง มีเลื่อยเล่มเดียว มีสิ่วอันเดียว มีมีดเล่มเดียว สามารถทำฝีมือได้ยอดเยี่ยม ก็สิ่งวัตถุอันเดียวแต่ว่าใช้ได้ดี แต่ไม่หัดก็ใช้ไม่เป็น มีดถากไม้ก็ไม่เป็น สิ่วเจาะรูก็ไม่ถูก ถ้าเราใช้เครื่องมือนี้ชำนาญจนเป็นนายช่าง ชำนิชำนาญ มองทะลุทะลวงได้ ประมูลได้ รับเหมาได้ ก่อสร้างได้ มองทะลุไปเลย ถ้ามองไม่รู้ก็ขาดทุน อะไรก็ไม่เป็น มันขาดทุนทางชีวิต คนเราเนี่ยะ เอาชีวิตมาลงโทษตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ชีวิตพึ่งพาอาศัย ชีวิตก็ต่อให้มีกำไร เป็นกำไร มีผลใหญ่ มีอานิสงใหญ่ทั้งตนเองและคนอื่น อย่างสวด (ทำ มะปะ หัง) ดูซิ หน้า 90 น่ะสวดดูซิ อ่านหนังสือทั้งวัน (ทำ มา ปะ หัง จิต ตะ นา คา ถา) เป็นผลใหญ่ อานิสงใหญ่ แต่ไม่มีใครสวดนะ วันหนึ่งไปวัดป่าสุคะโต บอกพระ เปิดไปหน้า 90 ดูซิ สวด (ทำ-มะ-ปะ-หัง) ให้ฟังสักหน่อย เพราะเคยไปสวดอยู่ที่สวนโมกข์ สมัยปี 2513 14 พอสวดแล้ว เทศน์ มันเหมาะสมที่สุดเลย เหมือนซักผ้าแล้วย้อมสีทันที อาจารย์พุทธทาส มักจะให้พระสงฆ์สวดแล้วเราเทศน์ สติปัฎฐานบ้าง อานาปานสติ (ทำ มะ ปะ หัง) บ้าง แต่พวกเราสวด (สับ พะ ปา ประ จา กัน นัง) อยู่บทเดียว