แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมไว้นะ มีผู้ฟังมีผู้พูด ฟังแล้วเอาไปทำไม่ใช่ฟังแล้วจำเอา ถ้าฟังแล้วจำเอาได้ของปลอมเชื่อมกัน ถ้าฟังแล้วไปทำจะเห็นของจริง ทำยังไงก็ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมีสติไปในกาย สติมันจะเกิดก็เพราะการประกอบขึ้นมา ไม่ใช่สติธรรมดา สติปัฏฐานเป็นสติทักท้วง นอกจากความรู้แล้ว อะไรที่ไม่ใช่ความรู้ทักท้วง สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ได้พบเห็นสิ่งต่างๆ ดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักร จะได้เห็นความอ่อนแอ เห็นความตึงเครียด ความอ่อนแอเรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค ความตึงเครียดเกินไปเรียกว่าอัตตกิลถานุโยค ผู้ปฏิบัติไม่ควรข้องแวะในสิ่งเหล่านั่น มีสติทำให้เกิดความพอดี ไม่ด่วนรับไม่ด่วนปฏิเสธ อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ไม่ด่วนรับไม่ด่วนปฏิเสธ อยู่เป็นภาวะที่เห็น ภาวะที่รู้สึกตัว ระลึกได้ อะไรที่มันเกิดขึ้นกับความรู้สึกตัวมันคนละอย่างกัน ความรู้สึกตัวคือไม่เป็นอะไรไม่ด่วนรับไม่ด่วนปฏิเสธ นี่เรียกว่าเป็นกลาง เห็นทั้งสองอย่าง เมื่อเห็นสองอย่างก็เห็นความเป็นกลาง เห็นวิธีดำเนินการชีวิตเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรา เมื่อกายเราได้พักผ่อน การอ่อนแอเมื่อได้พักผ่อน การตึงเครียดเมื่อได้พักผ่อน ถูกกระทบกระเทือน ทั้งสองประตูทั้งซ้ายทั้งขวา เราจึงมีสติเหมือนกับการพักผ่อนทางจิตวิญญาณ ถ้าจะเปรียบชีวิตของเราถ้ามันอ่อนแอ ถ้ามันตึงเครียดเหมือนกับมันวิ่งตลอดเวลา เหมือนรถที่วิ่งทางไกล เหนื่อยล้า กินน้ำมัน เสื่อมหลายอย่าง ความเป็นรถหมดไปหมดไป เหมือนกับชีวิตของเรานี้ มันหมดไปในทางสูญเปล่า
ในความรักความชัง ความสุขความทุกข์ ความดีใจความเสียใจ ความพอใจความไม่พอใจ ทำให้ชีวิตเราสูญเสียไป ไม่ได้ชีวิตเลยเราใช้เมื่อเรามีสติมันก็ซ่อมซะ เข้าอู่ซ่อมหรือว่ากรรมฐาน ถ้ารู้ถ้ารู้อยู่นี่ ลอยชนลอย ลอยสุขลอยทุกข์จะค่อยๆหายไป เหลือแต่ภาวะที่รู้คืนมา เรียกว่าชีวิตใหม่ คืนสู่สภาพเดิมๆปกติได้ พวกเราก็วิ่งมาไกล มาพักผ่อนซะ จะยืนอยู่ จะนอนอยู่ จะนั่งอยู่ จะเดินอยู่ ก็มีความรู้สึกตัวได้ แต่เวลาใดมันไม่ใช่ความรู้สึกตัว เดินอยู่ นอนอยู่ นั่งอยู่ ยืนอยู่ ก็รู้สึกตัวได้ ไม่ใช่มาลุกลี้ลุกลนยุกลุกขึ้นสร้างจังหวะ ความรู้สึกตัวไม่ได้เป็นแบบนั้น รู้สึกระลึกได้ ให้รู้สึกระลึกได้กับอะไรก็ตามไม่ได้เกี่ยวกับบริบท ก็ได้ประกอบไปเลย ทำไปเลย มีไปเลย เห็นไปเลย เห็นไม่เป็นไปเลย มันก็มีไม่ยากมีความรู้ตามความเป็นจริงดังพุทธองค์ได้ทรงแสดง เราเห็นความรู้ตามความเป็นจริง มีปริวัฏฏ์ 3 มีอาการ 12 ความรู้ตามความเป็นจริงในหลักอริยสัจ 4 คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ รู้แล้ว รู้แล้ว ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากทุกข์ สมุทัย แจ้งแล้วแจ้งแล้ว เห็นแล้ว ไม่สงสัย ทุกข์เป็นความไม่ถูกต้อง ความไม่ทุกข์เป็นความถูกต้อง แจ้งที่สุด แจ้งแล้วทำให้แจ้งแล้ว เหตุให้เกิดทุกข์คือสมุทัย นิโรธทำให้แจ้งแล้ว ไม่ใช่ทุกข์เป็นเครื่องกำหนดรู้ เห็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ พ้นจากทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ละได้แล้วไม่ใช่ทำให้แจ้ง ละได้แล้ว เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนคือทำไง ปฏิบัติ มันหลงไปรู้ขึ้นมานั่นล่ะทำให้ทำได้แล้ว หลงที่ใดรู้ได้ที่ตรงที่มันหลง ทำได้แล้ว เรียกว่าสมุทัยทำได้แล้ว เหมือนนั่นเหมือนกันเหตุมันเกิดขึ้นทำได้แล้ว ไม่ทำเหตุขึ้นอีก เกิดขึ้นที่ไร มันหลงไม่หลง มันโกรธไม่โกรธ มันทุกข์ไม่ทุกข์ ทำได้แล้ว นิโรธแจ้งแล้ว ทำได้แจ้งแล้ว รู้จริง รู้พร้อม ต้องทำอย่างนี้ ความโกรธไม่จริง ความไม่โกรธมันจริง ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง แจ้งแล้ว
วิธีที่ทำให้เกิดการดำเนินชีวิตในลักษณะทั้ง 3 อย่างนี้มีวิธีมีหนทางเรียกว่า อริมรรค มรรคคือดูสิแล้วว่าแน่ไม่ใช่มรรคคือไปท่องไปจำ มรรคคือดู เห็นให้เป็น ดู ดูเป็นทาง เห็น มรรคคือทางคือดูไม่มีอะไรที่จะปิดบังได้ ดำเนินอยู่เสมอดูอยู่เสมอ มีสติเป็นเอกาอยู่เป็นประจำ มีสติเห็นเวทนาอยู่เป็นประจำ มีสติเห็นจิตอยู่เป็นประจำ มีสติเห็นธรรมอยู่เป็นประจำ มันออกมาเมื่อไหร่ก็เห็น เห็นก็ไม่เป็นก็สักแต่ว่า สิ่งที่มันทำให้เราเป็นรู้ ทำให้เรารู้จัก ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว เหมือนผ่านมันไปแล้ว เอาไว้ข้างหลังแล้ว ไม่มีอะไรขวางหน้าขวางกั้นได้ อะไรที่มันเกิดขึ้นระหว่าง เรามีสติเอาไว้หลังหมด ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าสติ นี่วิธีดำเนินชีวิตเรียกว่าอริยมรรค คือดู คือเห็น เป็นผู้ดูซะ เป็นผู้เห็นซะ ไม่เป็นผู้เป็นซะ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นคือมีภาวะที่เห็นไม่เป็น เป็นผู้ดู เป็นผู้เห็น ไม่เป็นผู้เป็น ทำอย่างนี้ทั้งหมดเรียกว่ามรรครวมลงมา เหมือนกับช้างกินอ้อยว่าอย่างนั้น ง่ายนิดเดียว ช้างมันกินอ้อย มันม้วนอ้อยเข้าปากกั๊บเดียว เห็นไม่เป็น มันก็ไม่ยากดอกมรรค รวมลงอยู่ที่มรรค เป็นหนทางดำเนินชีวิต เราจึงทำได้กับมือเรา ให้เข้มแข็ง ให้รู้แจ้ง รู้พร้อมตรงนี้ มันมีงานมีการที่ตรงนี้ งานชีวิตมันคือตรงนี้ เมื่อมันชำนิชำนาญแล้วมันก็ได้ชีวิตขึ้นมา มันพอใจไม่พอใจไม่ใช่ชีวิต สุขสุขทุกข์ทุกข์ไม่ใช่ชีวิต ชีวิตจริงๆมันไม่เป็นอะไร เป็นไปเพื่อพระนิพพาน
เหมือนพระองค์พุทธองค์แสดง จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา นิพพานเกิดขึ้นแล้วแก่เรา มันก็เป็นไปทำนองนั้น มันเป็นกระแสไป เอาไม่ได้ หลงเอาไม่ได้ เมื่อหลงทีไรก็มีไม่หลง ตรงกันข้ามไป ตรงกันข้ามไป เป็นทางไป เป็นทางไป เห็นไป เห็นเป็นทาง ดูนี่เห็น เห็นแล้วมีทางไป เป็นกระแสไป ทำได้แล้วทำได้แล้ว มันมีความรู้ตามความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ เรียกว่าปฏิบัติธรรม เห็นความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย เห็นความไม่เที่ยงเห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตน เป็นไปเพื่อพระนิพพานมั้ย เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตน มันก็เป็นไปเพื่อพระนิพพาน เหนือความไม่เที่ยง เหนือความเป็นทุกข์ เหนือความไม่ใช่ตัวตน ถ้าเห็นเนี่ยมันเป็นมรรค ต่างเก่าพ้นภาวะเดิม เข้าสู่วิปัสสนาญาณขึ้นมาสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย มีเป็นรูปเป็นนาม เป็นขันธ์เป็นธาตุ ไม่ใช่ตัวใช่ตน เป็นรูปเป็นมหาภูตรูป ที่มันเป็นทุกข์ตามสภาพของรูป รูปมันบอกทุกข์ของมันคือมันมีอะไรมากมาย
สภาวะทุกข์คือทุกข์ทั่วไป เห็นตามความเป็นจริง มันแจกแจง ถอนรากถอนโคนสภาวะทุกข์ ทุกข์ที่กำหนดรู้เฉยๆแก้ไม่ได้ เช่น หายใจเข้าหายใจออก เป็นสภาวะทุกข์ตามธรรมชาติ กระพริบตา กลืนน้ำลาย เป็นสภาวะทุกข์ตามธรรมชาติ เคลื่อนไหวเราไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ เรายืนเดินนั่งนอนมันคือมันแค่ทุกข์ของสภาพธรรมชาติ ไม่ต้องมีใครสอน ที่จริงมันเป็นการแก้ มันเป็นการบรรเทาของสภาวะทุกข์ธรรมชาตินิสสระทุกข์(ทุกข์ของรูป)ทุกข์เนืองนิตย์คือทุกข์ไตรลักษณ์ไม่เที่ยงไหลไปอยู่เรื่อย นั่งอยู่นี่มันก็ไหล ไหลไปสู่ความแก่ความเจ็บความตายนิสสระทุกข์ไม่มียกเว้นเลยทุกวินาทีไหลอยู่นี่ในรูปนี่ ไม่มีใครป้องกันได้ ในรูปนี่ไม่มีใครเป็นใหญ่ มันเป็นไปเองของนิสสระทุกข์อาคันตุกะทุกข์ ทุกข์จรจร หิวข้าว หนักเบา กินน้ำดื่มน้ำ นี่เรียกว่าอาคันตุกะ ปวดหนักปวดเบาจรมาเป็นครั้งเป็นคราว นี่เป็นทุกข์ นี่เป็นอาคันตุกะทุกข์ ของกองรูปกองนาม ไม่มีรูปไม่มีขันธ์ มันแสดงออก ยุงกัดก็เจ็บอะไรต่างๆ ก็ทำให้มันบอกสภาพของรูปของนาม มันรู้อะไรได้ มันมีวิญญาณธาตุ มันรู้อะไรได้ รู้จักร้อนรู้จักหนาว รู้จักหิวนี่เป็นสภาพของรูปของนาม ที่ทุกข์ที่มันเป็นทุกข์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเมื่อกี้นี่ เรียกว่าอริยสัจเนี่ย ทุกข์อย่างนี้ไม่ใช่บรรเทาไม่ใช่กำหนดรู้ มีแต่ละอย่างเดียว ถ้ามันโกรธ บรรเทา ถ้ากูไม่ได้ด่ามันกูไม่หายโกรธไม่ใช่แบบนั้น อดทนก็ไม่ได้ ทุกข์ที่เป็นความโกรธมีแต่ละวางปล่อยวาง อดทนมันยาก ปล่อยวางมันง่าย ปล่อยวางไม่เป็นไร ไหนความโกรธที่คนอื่นทำให้โกรธ คนอื่นทำให้ทุกข์ มันเป็นธรรมที่ตรงนั้นด้วย
ถ้าเขารู้เขาคงไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ เบียดเบียนเรา เขาไม่รู้ เขาจึงได้เบียดเบียนเรา ไม่ใช่ไปโกรธคน ไม่ใช่ไปโกรธการกระทำของเขา โกรธก็โกรธ เบื่อก็เบื่อความไม่รู้ มีอยู่ทุกคน เราก็มีเหมือนกัน ก็เลยเห็นเหตุ ไม่ต้องไปโกรธ เห็นเหตุที่เขาทำ เมื่อคนไม่รู้เขาก็ทำอะไรได้ที่มันผิดๆ ให้แก่เป็นทุกข์แก่คนอื่นสิ่งอื่นวัตถุอื่นได้ แทนที่เราจะโกรธก็คิดถึง สงสารเขา ควรให้อภัยเขา เขาไม่รู้ คนไม่รู้เป็นคนที่ควรให้อภัย ไม่ต้องไปโกรธ ถ้าโกรธเราก็เสียเปรียบเขา เสียเปรียบความโกรธ เสียเปรียบคนที่ทำให้โกรธ เดี๋ยวนี้เขามีสงครามจิตวิทยา อยากให้ใครตาย ง่ายๆก็ทำให้โกรธอยู่เสมอ โกรธทีไรก็เป็นเหมือนจุดไฟเผาตัวเอง เป็นทุกข์ สูญเสียชีวิต บั่นทอนชีวิตสั้นลง เราจึงมาเห็นเหตุเห็นปัจจัยอย่างนี้ ในอริยสัจ 4 มีความรู้ตามความเป็นจริง ละ บรรเทาไม่ได้ มีแต่ละอย่างเดียว ในลักษณะ 4 อย่าง ทุกข์ รู้แล้ว เห็นแล้ว ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากทุกข์ สมุทัย เห็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำได้แล้ว สมุทัย มันเคยหลงไม่หลงทุกที หลงทีไรไม่หลงทุกที ตรงกันข้ามทุกที โกรธทีไรไม่โกรธทุกที ทุกข์ทีไรไม่ทุกข์ทุกที นี่คือตัวสมุทัย ละ นิโรธแจ้งแล้ว ไม่เป็นธรรมไร ความหลงความทุกข์ไม่เป็นธรรมไร ความไม่หลงความไม่ทุกข์เป็นธรรม แจ้งที่สุดไม่ต้องถามใคร มรรค วิธีทางดำเนินคือดูคือเห็นอย่างเดียว ม้วนลงมา เป็นภาวะที่ดูแล้วตอนนี้ เป็นการดูแลตัวเองปลอดภัยได้ แล้วก็ไม่มีอะไร มีแต่รู้มีแต่หลง เอาจริงๆแล้ว ภาวะที่หลงภาวะที่รู้ หลงนี่ยาก รู้ง่าย เอาไปเอามา มีความชำนาญ ง่ายที่จะรู้ ฝึกใหม่ๆง่ายที่จะหลง เป็นไปได้ ฝึกไปฝึกไป หลงเนี่ยเป็นเรื่องยาก จะบังคับขับไสยังไงก็ไม่หลง เขานินทาก็ไม่หลง เขาสรรเสริญก็ไม่หลง แม้กระทั่งเจ็บปวดอะไรก็ไม่หลง สุขทุกข์อะไรก็ไม่หลง ง่ายๆความไม่หลงไปแก้ได้ทุกอย่างรอบรอบหมด เรียกว่ามีสติเป็นหน้ารอบหมด อยู่รอบรอบปลอดภัย ไม่ได้อยู่ตรงเดียว สติมันเป็นหน้ารอบ พระขีณาสพคือพระอรหันต์ผู้มีสติเป็นวินัยรอบๆมีสติเป็นหน้ารอบ ดูแลไว้ ตายไปมันก็คุ้ม แล้วเกิดคือหลงนี่แหละ ตัวหลงเป็นเหตุทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา เมื่อมีตัวรู้เข้าไปดูแล มันก็ปลอดภัย เรียกว่ามรรคเสียแล้วบาดนี่เป็นมรรคง่ายๆไม่ยาก บางคนอดทนยาก ไม่โกรธไม่ได้ไม่โกรธไม่ได้
ที่จริงไม่ได้ทำ คนที่พูดอย่างนั้นไม่ได้ทำดู ไม่ได้ประกอบดู มันไม่ยาก ถ้าจะบังคบให้โกรธให้สุขให้ทุกข์ มันข่มขืนตัวเอง การข่มขืนตัวเองเนี่ยเป็นทุกข์มาก คนนี้น่ารัก คนนี้น่าเกลียด คนนี้น่าชอบอะไรต่างๆ สมมุติบัญญัติเกิดขึ้น จืดจางไป เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ จะให้หลง ให้โกรธ ให้สุข ให้ทุกข์ เป็นไปไม่ได้ คนไม่หลงไม่โกรธไม่ทุกข์มีอยู่ เป็นอยู่ เหมือนเรามีบ้าน นั่งอยู่ในร่ม เวลาฝนตกจะออกไปตากฝน ให้เปียก เวลาแดดอกจะออกไปตากแดด เรามีร่มอยู่ มีธรรมะก็เหมือนมีร่มในมือ เหมือนนอนในมุ้ง เวลามียุงบินอยู่ข้างนอก ยุงก็ไม่ได้กัด มีมันก็ไม่ได้กัดเรา มีธรรมะเหมือนมีมุ้งกางนอน มีธรรมะก็อยู่ในโลก ไม่เปรอะเปื้อนกับโลก เหมือนใบบัวที่อยู่ในน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนกับน้ำ มีอยู่สุขทุกข์นินทาสรรเสริญเกิดแก่เจ็บตายมีอยู่ แต่ไม่เปรอะเปื้อนกับสิ่งเหล่านั้น
เห็นธรรมะคือยังไงก็เห็นมัน เห็นมันแก่ เห็นมันเจ็บ เห็นมันตาย เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์เห็นมรรคไป ดำเนินไป ง่ายๆ เขาเรียกว่าได้ชีวิต ได้ชีวิต ชีวิตจริงๆมันไม่เป็นอะไร ไม่เอาไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งอื่น บางทีเราไม่ได้ชีวิตเอาไปห้อยไปแขวนไว้กับความรัก ความสุข กับสิ่งแวดล้อมได้อันนู้นได้อันนี้จะมีความสุข ถ้าไม่ได้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นความทุกข์ ไขว่คว้าหา ไปห้อยไปแขวนไว้กับสมมุติบัญญัติที่ว่าเอาเอง มันไม่ใช่ชีวิตไม่ใช่ไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งใด ละคือมันไม่เป็นอะไรนี่แหละ มันไม่เป็นอะไรนี่คือชีวิต ภาวะไม่เป็นอะไร สุขก็เห็นมันสุข ทุกข์ก็เห็นมันทุกข์ มีอยู่แต่ว่ามันไม่เป็น มันเจ็บก็เห็นมันเจ็บอยู่ ไม่เป็นผู้เจ็บ มันไม่เป็นอะไร มันตายก็เห็นมันตาย มันจะตายก็เห็นมันจะตาย มันไม่เป็นอะไรกับความตาย ไม่ได้ทุกข์เพราะความตาย ไม่ได้ทุกข์เพราะความเจ็บ ไม่ได้ทุกข์เพราะความแก่ มันเห็นตามความเป็นจริง เหมือนกับใบบัวในน้ำมันก็ไม่เปียกน้ำ ชีวิตที่มีธรรมะ อยู่กับโลกก็ไม่เปรอะเปื้อนกับโลก เป็นไปได้ ถ้ามีสตินะ จะได้ชีวิตแบบนี้ขึ้นมา ถ้าไม่มีสติ ก็ไม่ได้ชีวิตแบบนี้ ขอไม่ได้ ซื้อไม่ได้ แบ่งปันกันก็ไม่ได้ ต้องเป็นการกระทำเอา
เรามีกรรมเป็นของของเรา เราทำดีก็จะได้ดี เราทำชั่วจะได้ชั่ว เรามีกรรมเป็นของของตน เราจึงมามีการกระทำนี้เกิดขึ้นมา มันก็พร้อมแล้วชีวิตของเรานะมีรูปมีนาม มีรูปก็นั่งอยู่นี่เป็นรูป มหาภูตรูป มาทำความดีได้มาละความชั่วได้มีนาม มันมีวิญญาณธาตุ มีวิญญาณธาตุเอามาใช้รูปให้ทำความดี ห้ามไปทำความชั่วได้ ละชั่วได้ทำดีได้ รูปนามเนี่ย ถ้าทำความชั่วก็ไม่ปิดบัง ทำความดีก็ไม่ปิดบัง เพราะมันเห็นอยู่ด้วยกันนี่ ไม่ใช่ลี้ลับ เมื่อเรามีสติเห็นทันที มาก่อนไวกว่าอันอื่นสติเนี่ย มาไวกับรูปไวกับนาม ไม่ใช่อันอื่นไวกว่า สติมันมาไว สิ่งที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม ต้องหัดมีสติมันจะมาไวไว ถ้าหลงสติมาถึงก่อนเห็นหลง ถ้าสุขก็สติมาถึงก่อนเห็นสุข ถ้าทุกข์ก็สติมาถึงก่อนเห็นทุกข์ ถ้าไม่ฝึกหัดก็มาไม่เป็นนะ หลงก็หลงไปเลย หลงข้ามวันข้ามคืน หลงเป็นปีก็มีนะ มีสติมาไว เหมือนไม่มีพ่อแม่มาดูแลมาช่วย เป็นคนชีวิตที่เถื่อนเนี่ย เขาหอบหิ้วไปไหนก็ไป รูปนามนี้ กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลว ไหลไป กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด ไปตามอาการที่มันเกิดขึ้น แม้บางทีมีสมมุติบัญญัติ วัตถุอาการต่างๆ สมมุติบัญญัติก็มากมาย ไปเป็นสมสุติบัญญัติเป็นรูปก็มี สมมุติบัญญัติเป็นนามก็มี มีแต่สิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์เป็นโทษถ้าเราไม่ศึกษา
ประมาทไม่ได้แล้วพวกเรา กระตือรือร้นกัน มีแต่ภัยอันรูปอันนามเนี่ย นอกจากเกิดแก่เจ็บตายแล้ว อันอื่นมีเยอะแยะเลย สมมุติบัญญัติวัตถุอาการต่างๆมากมาย รสของโลกมีมาก สมมุติบัญญํติเป็นรูป ทำตามสมมุติบัญญัติว่าชอบ สมมุติบัญญัติเป็นนาม ทำตามสมมุติบัญญัติว่าไม่ชอบ คิดขึ้นมาก็เป็นทุกข์ เป็นสมมุติบัญญัติ นอกจากความแก่ความเจ็บความตายแล้วเป็นหลักอยู่แล้วยังเพิ่มเข้าไปอีก กินเหล้าสูบบุหรี่ เพิ่มเข้าไปอีกสมมุติบัญญัติว่าชอบ เที่ยวเตร่เร่ร่อน เพิ่มเข้าไปอีก น่าสงสารมันมีสมองคนเหล่าเนี้ย เป็นรูปเป็นนามเนี่ย มากอบกู้ชีวิตของเราซะ มีสติเนี่ย มีสติเป็นหน้ารอบเป็นเจ้าของมันซะเนี่ยปล่อยกันทิ้งทำไม มันเป็นโทษ ถ้าปล่อยให้ทำกับรูปกับนามมันทำอะไรมันก็เป็นทุกข์เป็นโทษได้ ถ้าเราไม่รู้หนา แม้เราเจ็บไข้ได้ป่วย มันเป็นการกระทำของรูปของนามเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน มีความไม่เป็นโรคเป็นภัยก็เป็นการกระทำของรูปของนามเอง บางทีธรรมชาติก็ช่วยมันเอง ธรรมชาติมันช่วยตัวมันเอง เราไม่เคยช่วยตัวเองให้ธรรมชาติช่วย บางทีก็ธรรมชาติก็ถูกกลบเกลื่อนอันรูปอันนามเนี่ย สำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเป็นตน มาเป็นสุขเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ ถ้าไม่มีเจ้าของมันเถื่อน เขาหอบหิ้วไปไหนก็ไป เขาเอาอะไรไปใช้ก็ไป ใช้ให้สุขก็สุข ใช้ให้ทุกข์ก็ทุกข์ ใช้ให้โกรธก็โกรธ ใช้ให้หลงก็หลง ใช้ให้รักก็รัก ใช้ให้เกลียดชังก็เกลียดชัง ตามทำตามความรักความโกรธความเกลียดความชังความสุขความทุกข์ มามากเท่าไหร่มันมีประโยชน์อะไร ขนหัวลุกเลย ขนหัวลุกมาก ถ้าพูดถึงเรื่องรูปรสของรูป ที่เราไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อน นอนไม่หลับเพราะความคิด กินไม่ได้เพราะความคิด บางครั้งก็เป็นความคิดเป็นนามธรรม มันก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนแต่มันเป็นอำนาจ ทำให้เป็นทุกข์ได้ เป็นความโกรธได้ เป็นอะไรเป็นกรรมได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์รูปธรรมนามธรรม
มันทำดีมันทำชั่วได้ ที่มันมีสติเนี่ย ถ้าปฏิเสธความรู้สึกตัวก็ต้องปฏิเสธตัวเอง ไม่รู้จักช่วยตัวเอง ให้คนอื่นช่วยไม่ได้ เช่นความโกรธ ห้ามไม่ให้โกรธเป็นไปไม่ได้ บางทีอาจทำลายคนที่ห้ามด้วย คนที่ดีๆไปช่วยคนที่กำลังถูกทำลายก็ถูกฆ่าตาย มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้จักห้ามตัวเอง ทุกคนต้องเริ่มต้นเริ่มต้นตัวเอง นับหนึ่งจากเรา การที่ยกพลช่วยตัวเองคือมีสตินี่แหละมาช่วยตัวเองกันเถอะพวกเรามามีเจ้าของซะ มีสติเป็นเจ้าของดูแลกายใจให้มันคุ้ม เรียกว่าปฏิบัติธรรม ถ้าดูแลกายยังไม่คุ้ม ก็ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม รูปแบบใดก็ตามถ้าไม่ได้ดูแลกายใจ ไม่ใช่ปฏิบัติจะแบบไหนก็ตาม ถ้าแบบไหนก็ตามถ้าดูแลกายใจถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เห็นกายเห็นใจ เห็นมันสุขเห็นมันทุกข์ไปช่วยมัน ในความทุกข์ก็ให้มันเป็นความไม่ทุกข์ ให้เห็นมัน ทุกข์บางอย่างทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทุกข์บางอย่างกำหนดรู้โดยการรู้ ทุกข์บางอย่างกำหนดรู้โดยการบรรเทา ทุกข์บางอย่างกำหนดรู้โดยการละไป ตามสภาพของทุกข์ มีระเบียบ มีระเบียบ ทุกข์ที่ต้องละ ไม่ใช่บรรเทาได้ต้องละเด็ดขาดเช่นความโกรธ ต้องหยุดทันที เด็ดขาดทันที ถ้ามันทุกข์ก็ต้องหยุดทันทีทุกข์ เด็ดขาดทันที เด็ดขาด เด็ดขาด เด็ดขาด ทางไปนิพพานคือเด็ดขาด ไม่สูบบุหรี่เด็ดขาดทันที ไม่กินหมากเด็ดขาดทันที ไม่คิดชั่วเด็ดขาด ไม่พูดชั่วเด็ดขาด ไม่ทำชั่วเด็ดขาด
มันจะไปไหน มีสิทธิร้อยเปอร์เซ็นต์ชีวิตของเราทำกับเราให้มันเด็ดขาดลองดูซิ อย่าอ่อนแอ บางทีความคิดขึ้นมาก็ยังคล้อยตาม เด็ดขาด อย่าปล่อยมันเด็ดขาด มีสติเนี่ย เวลานี้ไม่ใช่มาคิดเด็ดขาด เนี่ยในเดือนนี้ เดือนสัปดาห์แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเนี่ย พระองค์คิดยังไง เด็ดขาด คิดถึงนาง เด็ดขาด เราไม่ใช่มาช่างคิดถึงลูก มาหาโมกขธรรมเรารักคนทั้งโลก ไม่ใช่รักเฉพาะราหุล เด็ดขาด ยิ่งใหญ่กว่านี้ เรารักคนทั้งโลก ให้เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย เราจะหาเรื่องนี้มาช่วยมนุษย์ทั้งโลก เรารักพิมพา คิดถึงพิมพา ก็เด็ดขาดกลับมา เด็ดขาดแม้แต่ความคิด คิดถึงปราสาทสามฤดู เด็ดขาด แต่มาคิดให้อ่อนแอ เปรียบเทียบกับต้นศรีมหาโพธิ์นะ เด็ดขาด นั่นเป็นความคิด นี่เป็นการกระทำ นี่คือรู้ นั่นคือคิดไป เห็นความคิดลักษณะแบบนี้ เด็ดขาด เด็ดขาด เด็ดขาดไป ภาวะที่เห็น ภาวะที่ไม่เป็น ก็งอกงามขึ้นมา ได้ประโยชน์ มันผิดมันจึงมีการถูก ถ้าไม่ผิดมันก็ไม่ถูก ถ้าไม่ทุกข์มันก็พ้นจากทุกข์ไม่เป็น น่าจะขอบคุณมัน ขอบคุณความหลงขอบคุณมากๆ เคารพความหลง แต่ก่อนไม่รู้จักเคารพความหลง รู้จักหลบหลีก เราจึงปฏิบัติธรรมแบบเนี่ย มันงอกมันงามขึ้นมาจริงๆนะ ถ้าเป็นการสุขก็สูงขึ้นมาพ้นภาวะเก่า พ้นภาวะเก่าๆ คนละโลกกัน ถ้าจะพูดถึง บังคับข่มขืนให้เป็นเหมือนเดิมมันเป็นไปไม่ได้คนละภพละชาติมันสิ้นภพสิ้นชาติแบบเดิมๆ เคยสุขเคยทุกข์ เคยพอใจเคยไม่พอใจ ร่ำแล้วร่ำอีก เกิดแล้วเกิดอีก สิ้นไปเลย มันก็เลยเรียกว่าพ้นภาวะเก่า พ้นภาวะเก่า ต่างเก่า ชีวิตที่ต่างเก่า เป็นไปได้ การปฏิบัติ การเจริญสติเนี่ย เป็นไปเหมือนพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร นั่นแหละ ถ้าทำตามพระองค์สอน จับเข้าไปทีแรกเห็น 2 อย่าง
บรรพชิตไม่ควรข้องแวะ บรรพชิตไม่ควรสืบ บรรพชิตคือผู้เห็นภัย เห็นภัยคือเห็นการเกิดแก่เจ็บตาย อย่าไปอ่อนแอ หลงเป็นหลง เป็นความอ่อนแอ โกรธเป็นโกรธ เป็นความอ่อนแอ เกิดกิเลสตันหาราคะคล้อยตามมัน น้อมใจไป เพ่งเล็งในใจ เป็นความอ่อนแอ เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค เอาผิดเอาถูกเกินไป ตึงเครียดเกิดไป อยากรู้อยากได้ ให้ความอยากพาทำ มันเป็นความลำบากไม่ต้องอยากรู้ ให้ทำลงไป ทำใจสบายๆ เป็นกลาง บางทีทำด้วยความอยาก จะเอาให้ได้ จะเอาให้ได้ ถ้าอยากแบบนั้นไม่ใช่ เพียงแต่ว่าเราคนหนึ่งละ ไม่ว่านี่ไม่เป็นไร เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะเอาให้ได้ หลวงพ่อเทียนสอน เลยคิดถึงหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนอายุเท่าไหร่ปฏิบัติธรรม 48 ปี เราก็หนุ่มกว่านั้น เราคนหนึ่ง คงเก่งเหมือนกัน แม้บางส่วนท้ายๆมานี่ หลวงพ่อเทียนบอกว่า ให้อาจารย์เขียนเลือกเอา 3 วัดนี่นะ วัดโมก วัดสนามใน วัดทับมิ่งขวัญ อย่าทิ้งสามวัดนี้เด็ดขาด ให้เลือกเอา เลือกใช้ตรงไหน ก็ดูแลตามที่หลวงพ่อบอก แต่ว่าใจลึกๆเราต้องเก่งกว่านี้ 3วัดนี้ใครอยู่ก็ได้ เป็นวัดในเมือง เป็นวัดที่มีความสะดวกสบาย ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนมีแค่ 3 วัดเท่านี้หรือ มันคิดอยู่ในใจ สวนทางกับหลวงพ่อเทียนอยู่ เราอยู่ก็ได้ 3 วัดนี้ แล้วจะเก่งกว่านี้หรอ ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนขอให้เราเป็นคนเก่งสักคนหนึ่ง ไปหนีออกไปเลยไม่ต้องอยู่ แต่ว่าต้องไม่ทิ้งวัด ก็หนีมาอยู่ที่นี่นะ หนีมาอยู่ที่นี่แหละ คิดว่าไม่มีใครจะอยู่ที่นี่ได้ เราต้องเก่งกว่าหมู่ล่ะ เป็นอย่างนั้น มันเคลียร์ตัวเองบ้าง บางโอกาส ประสาอะไรความโกรธ ประสาอะไรความทุกข์ ประสาอะไรความหลง ประสาอะไรความรักความชัง จิ๊บจ๊อยเหลือเกิน ต้องเก่งกว่านี้นะ ไปคิดถึงลูกถึงเมียนี่ทำไม ไม่ใช่แล้ว ใช่มั้ย เอ๊ะ! เคยด่าตัวเองไหม ชาติหมา มานั่งคิดถึงลูกคิดถึงเมียเลย เอาอะไรนะ คิดถึงเพื่อน คิดถึงความโกรธ บางทีก็คิดถึงความโกรธ บางทีก็คิดถึงความรัก มันอะไรกัน อันนี้มันไม่ต้องคิดถึงอะไรเลย มีสติไม่ได้อะไรเลย บัดที่นี่หนาปฏิบัติธรรม ก็ขอเคลียร์พวกท่านทั้งหลาย พวกเราทั้งหลาย ให้พึ่งตัวเองให้มากๆ มาปฏิบัติธรรม อย่าไปใช้ใคร โจทย์ตัวเอง พิพากษาตัวเอง ให้พ้นภัยพ้นโทษ อะไรมันพ้นไป พ้นไป พ้นไป พ้นจากความหลง พ้นจากความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นจากความรักความชัง พ้นไป๊ พ้นไป ก้าวข้ามเกิดแก่เจ็บตาย ง่ายนิดเดียวเหมือนช้างกินอ้อย แป๊บ!อันเดียวเห็นไม่เป็นนิดเดียว