แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่ออีกเพื่อให้เป็นส่วนประกอบกับการปฏิบัติธรรม แล้วเราก็มีส่วนร่วมมือในการกระทำ สิ่งที่เรากระทำก็มี คือ กาย คือใจ คือสติ ถ้ามีแต่ส่วนประกอบไม่มีการกระทำมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่เป็นกรรม กรรม เมื่อกรรมไม่มี ผลของกรรมก็ไม่เกิด การกระทำสำคัญมาก โดยเฉพาะกรรมฐานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ทันทีทันใด เป็นกรรมขึ้นมาทันที สมมุติเราเอาเม็ดทราย มีสติเอามากำหนด มาทำดูก็เกิดขึ้นที่กาย สติเป็นธรรมที่เป็นกุศล มีสติเกิดขึ้นที่ใจ เวลาใจมันคิดมันก็เป็นกรรม เป็นกุศลที่จิตใจ เราใช้กายอย่างไร เราใช้จิตใจอย่างไรเป็นกรรมประเภทไหน บางทีใช้ไม่ถูก ใช้ผิดพลาด เราเปรอะเปื้อนมามากกลายเป็นกิเลส 1,500 ตัณหา 108 จะเป็นทุกข์เป็นโทษได้ ปฏิบัติธรรมเนี่ยมันกอบกู้ มันรื้อถอน มันลบล้าง เหมือนการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ซักเสื้อ ซักผ้าให้สะอาด เพราะเราใช้มามันเปรอะเปื้อน กายใจของเราเนี่ยก็เปรอะเปื้อนด้วยอกุศลความหลงมากกว่าความรู้ จิตใจก็เปรอะเปื้อนไปด้วยอกุศล ความหลงมากกว่าความรู้ เมื่อมีความหลงมากกว่าความรู้ก็ใช้ชีวิตที่ผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิดใช้ชีวิตที่ผิด กินเหล้าเมายา โทโส โมโหทะเลาะวิวาทกัน เข่นฆ่ากัน เบียดเบียนตนเองเบียดเบียนคนอื่น ถ้าใช้ไม่ถูกก็เป็นผลกระทบกระเทือนไปต่อทุกสรรพสิ่งต่อเพื่อนร่วมโลก เราจงมาทำอันเดียวกันมาทำกรรม มาปฏิบัติธรรม ถ้ามีสติไปในกาย 1 วันบ้าง 2 วันบ้าง 7 วันบ้าง 1 เดือนบ้าง 7 เดือนบ้าง ท้ายที่สุดถ้าไม่เกิดอะไรเลย 1 ปีถึง 7 ปีต้องเกิดอะไรขึ้นแน่นอน เพราะมันเป็นกรรม คือ โดยเฉพาะกรรมฐานตามรูปแบบของสติปัฏฐานนี่มันจัดเกณฑ์แม่นยำ มีกาย มีรูปแบบ สมัยก่อนพระพุทธเจ้าสมัยก่อนพระสิตธัตถะก็เพียงแต่ว่าคู้แขนเข้ารู้สึก เหยียดแขนออกรู้สึกในวันเพ็ญเดือน 6 นั่นหนะ คู้แขนเข้ารู้สึกเหยียดแขนออกรู้สึก ให้รู้ไปในกายว่ามันคิดไปที่ใดที่เป็นเรื่องของจิตก็กลับมาที่กายมาตั้งไว้ มาตั้งไว้ ถ้ามันก็คิดไปก็รู้ที่กายก็ถือว่าสอนจิต ฝึกหัดจิตโดยตรงอยู่แล้ว ดูกายอย่างเดียวก็มาเป็นห้วงเพราะมันก็มีอยู่นี่ เราเห็นกายก็พอมันหลงอะไรที่มันทุกข์มันโทษเลยกลับมาหาที่ตั้ง มันทำท่าจะเจ็บจะป่วยปวดเมื่อยง่วงเหงาหาวนอนกลับมาหาที่ตั้ง มารู้สึก คู้แขนเข้าเหยียดแขนออก ก็ต้องสู้พอสมควร หลงแล้วหลงอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีกไปกับความคิดไปกับตากับหูไปกับกายทำท่าชวนร้อนเป็นหนาวเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ไม่ท้อไม่แท้ ไม่ท้อแท้มารู้ที่สึกตัว ความรู้สึกตัวไม่ได้เมื่อยล้ากับอะไร ไม่ล้าสมัยยังรู้ได้อยู่ใช้ได้อยู่ จะเป็นจะตายยังไงก็ใช้ได้อยู่ ยังแจ๋วอยู่ มันเป็นอะไรก็รู้สึกตัวขึ้นมา จนมันชำนิชำนาญ เห็นเรื่องเก่าบ่อย ๆ เรื่องผิดก็เห็นบ่อย ๆ เรื่องถูก ก็เห็นบ่อย ๆ ก็มีบทเรียนเพิ่มขึ้น ในบทเรียนที่จากของเท็จของจริงที่มันเกิดกับกายกับใจเรานี้มีกันทุกคน ไม่มีใครไม่ผิด ไม่มีใครไม่มีถูก ไม่มีใครไม่เคยสุข ไม่มีใครไม่เคยทุกข์ แต่ว่าบัดนี้เรามารู้สึกตัว ทิ้งมันซะก่อน มารู้สึกที่กาย คู้แขนเข้าเหยียดแขนออก ยิ่งกรรมฐานแบบที่เราทำอยู่นี้จัดสรรมาล่าสุด 4 จังหวะ มาวินาทีละรู้ วินาทีละรู้ ยิ่งถี่ยิ่งแม่นยำชัดเจน ทำได้ทันใจ ทำได้ทุกชีวิต โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวก็ไม่สูญเสียอะไร ยิ่งสร้างเสริมสุขภาพร่างกาย ได้ประโยชน์ ยกแขนเข้า เหยียดแขนออก ยกมือขึ้น ยกมือลงมันการบริหารร่างกาย ส่วนหน้าอก ส่วนต้นคอ ส่วนหัวใจ ใบหน้าก็ด้วย แต่ก่อนอาจจะยากหัดไปหัดไปนะมันก็ง่ายขึ้น เบา ๆ มันก็เคยชินเหมือนเคยเดิน เหมือนเราเคยอยู่ที่ไหนคล่องแคล่วที่นั่น ใช้ชีวิตที่นั่นก็คล่องแคล่วที่นั่น แม้เราอยู่กุฏิ ที่บ้าน ห้องน้ำ ห้องส้วม ก็คล่องแคล่ว ไม่ต้องติดแสงสว่างก็ไปได้ ของใช้ไม้สอยเราอะไรอยู่ที่ไหน ไปจับได้เลย ถือได้เลย อยู่ที่ไหนก็บอกคนได้ มันชำนาญ ชำนาญในกาย ชำนาญในจิตใจ มีความรู้ชำนาญทุกพื้นที่ในกายในใจเรานี้ อะไรที่มันมีอยู่ที่นี่รู้หมด ต้นเหตุของเท็จของจริงรู้จักรูป รู้จักนาม แต่ก่อนนึกว่าตัวว่าตนพอมาเห็นเป็นรูปเป็นนามแล้วมันรื้อถอน เห็นรูป เห็นนาม เห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม มันทั้งดี ทั้งชั่ว สอนได้ สอนให้รูปทำดี สอนให้นามทำดี แต่ก่อนมันไม่มีใครสอน ไม่มีใครดูแลทิ้งขว้างแล้วแต่มันจะเกิดอะไรขึ้นมา สุขก็สุขไปเลย ทุกข์ก็ทุกข์ไปเลย หลงก็หลงไปเลย บัดนี้ ไม่เป็นเช่นนั้น ถูกสอนมามากแล้วก็เชื่องลง เห็นเป็นรูปธรรม เห็นเป็นนามธรรม
เห็นเป็นรูปเป็นนามเนี่ยมันไม่ใช่เห็นเฉย ๆ มันหลุดอะไรไปเยอะแยะ เหมือนการมั่นหมายสิ่งที่ทำกับรูป สิ่งที่ทำกับนาม พอเห็นตามความเป็นจริง เราก็ผ่าน เรียกว่า ผ่าน เห็นนี่ผ่าน ถ้าเป็นนี่ไม่ผ่าน การเห็นทางจิตวิญญาณมันผ่าน ไม่ใช่เหมือนเห็นทางตา ตาเห็นอาจจะไม่ผ่าน ถ้าผ่านทางจิตวิญญาณ ตาก็ผ่าน หูก็ผ่าน เป็นรูปธรรม นามธรรม ที่มันทำดีทำชั่วใช้ได้และก็ละความชั่วหันมาทำความดี เพราะมีสติเป็นคู่มือ ผิดถูกรู้จัก ไม่ใช่รู้สึกตัว สิ่งที่มันหลงไม่ใช่สิ่งที่มันรู้สึกตัว ก็เหมือนถูกต้องมันรู้ ทุกข์ไม่ถูก ไม่ทุกข์ถูก หลงไม่ถูก พอไม่หลงถูกต้อง พอรู้อย่างนี้มันเห็นอย่างนี้ สัมผัสมันเป็นการสัมผัส สัมผัสความหลง สัมผัสความรู้ สัมผัสความทุกข์ สัมผัสความไม่ทุกข์ ก็ได้บทเรียน เห็นรูป ทุกข์ เห็นนาม ทุกข์ ทุกข์ของรูป ทุกข์ของนาม ขุดคุ้ยออกหมดเลย เจ็บเห็นทุกข์ ไม่ใช่เห็นเฉย ๆ มันเจ็บ ใส่ใจที่สุดสนใจที่สุดคำว่าทุกข์เนี่ย กระตือรือร้นการยกพลช่วยตัวเองนี่มันสนุกทุกข์อยู่ที่ใด เกิดเมื่อใดเกิดได้ยังไง ทั้งป้องกัน ทั้งแก้ไข ทั้งเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกข์อันนั้นไม่ปล่อยทิ้งทันทีไว้คิดว่าทุกข์เนี่ยกระตือรือร้นมาก ทุกข์บางอย่างเกี่ยวข้องถูกต้อง ทุกข์บางอย่างเกี่ยวข้องก็ถูกต้อง ถ้าทุกข์ที่เกิดขึ้นกับรูปเนี่ยมากมาย สภาวะทุกข์ ทุกข์ตามสภาพเกี่ยวข้องกับความชัดเจน แยบคาย นิสรณทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ คือ ทุกข์ ไตรลักษณ์ นั่งอยู่นี่มันก็ไหลไปตามกาลเวลากลืนชีวิตเราไปด้วยไม่เที่ยง ไปลับ นี่มันเกิดจากรูป นี่ทุกข์เนืองนิตย์ ลมหายใจต้องเลื่อนต้องไหลมากับอาคันตุกะทุกข์ที่จรมา หิวข้าว หนักเบา ก็เป็นทุกข์แบบหนึ่งเกี่ยวข้องกันอย่างถูกต้อง ไม่เอามาร่วมเป็นทุกข์ที่เป็นที่ว่าทุกข์ทั้งหมดไม่ใช่ ทุกข์บางอย่างมันได้ปัญญา มันได้ปัญญา มันเห็น มันก็เป็นปัญญา การที่ทุกข์เป็นทุกข์กลายเป็นปัญญา ทุกข์ คือการปรุงแต่ง แต่นี่มีความแสดงถึงศักดิ์สิทธิ์ว่าทุกข์ คือ การปรุงแต่ง ไม่ให้เกิดมานิดหน่อย เหมือนกับไฟตกใส่ขาปัดออกทันที กายใจ ต้องนิ่ง ขยันการทุกข์จากการปรุงแต่ง กระตือรือร้นไม่ปล่อยให้หมกมุ่นครุ่นคิด ทุกข์บางอย่างทุกข์ที่เราไม่รู้จัก บางทีก็ทุกข์เพราะความคิด ความคิดขึ้นมา ความคิดตัวเองก็หยุดไม่เป็น หยุดความคิดไม่เป็นก็ต้องยอมมัน นอนไม่หลับ กินไม่ได้ ไหนทุกข์ขึ้นมาเป็นทุกข์ คิดขึ้นมาเป็นทุกข์ พวกเนี่ย ทุกข์แบบเนี่ยถ้าผู้ที่ไม่รู้จักก็เกี่ยวข้องไม่เป็น ถ้าเราเห็นแจ้งตามความเป็นจริงของทุกข์ทั้งปวงแล้ว มันมีแต่เรื่องที่สะดวก ความทุกข์มันทำให้สะดวกในความไม่ทุกข์ ความผิดทำให้สะดวกในความไม่ผิด เหมือนเราเรียนวิชาอะไรต่าง ๆ ทำงานทำการอะไรต่าง ๆ มันจะเป็นศาสตร์เป็นศิลป์ตรงนี้ มีฝีมือ มีปริญญาชำนิชำนาญ ได้บทเรียน ได้ปัญญา ได้รับความสะดวก เหมือนสิ่งสกปรกแล้วมันเกิดความสะอาดขึ้นมา ถ้าไม่มีสิ่งสกปรกความสะอาดก็ไม่มี ถ้าไม่มีผิด ถูกก็ไม่มี ถ้าไม่มีทุกข์ เหนือทุกข์ก็ไม่มี เป็นไปเพราะความดับทุกข์ เป็นไปเพราะความสงบ เป็นไปเพื่อนิพพาน หยุด เย็นได้ นี่มาเห็นทุกข์หรอก ขนส่ง ขนส่งสนุกตรงนี้มาก สนุกขนส่งตัวเอง หลุดอะไร พ้นอะไร พ้นจากภาวะอะไรบ้าง มองตนออก อืม เห็นทุกข์นะ แล้วก็รากเหง้า มันก็รื้อถอน เห็นสมมุติ เห็นบัญญัติ พอเห็นสมมุติ เห็นบัญญัตินี่หายโง่ โง่หลงงมงาย เชื่อโน่น เชื่อนี่ ไม่มีแล้วบัดเนี่ย จืดแล้วบัดเนี่ย คือการกระทำเนี่ยต้องเชื่อกรรมอย่างเดียวไม่เชื่อวิธีใดทั้งสิ้น อยู่ที่กรรม คือ การกระทำ กรรมเป็นใหญ่ มั่นใจในชีวิต เมื่อเห็นสมมุติ เห็นบัญญัติ เห็นวัตถุอาการต่าง ๆ เชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง ทำดีมันก็ดี พูดดีก็ดี คิดดีก็ดี เป็นกอบเป็นกำ เมื่อเห็นสมมุติเห็นบัญญัตินี้หายโง่ โง่หลงงมงายเชื่อโน่นเชื่อนี่ไม่มี มั่นใจในการใช้ชีวิต เพียงพอ มั่นใจในการทำ การกระทำ กระทำอย่างนี้ไม่ทำอย่างโน้น จะคิดอย่างนี้ไม่คิดอย่างโน้น จะพูดอย่างนี้ไม่พูดอย่างโน้น คือ เชื่อกรรม กรรมเนี้ย บัดเนี่ยเป็นกรรมที่เป็น มีผล ถ้าทำดีมันก็ดีไปเลย พูดดีก็ดีไปเลย ไม่มีการผิดพลาด โอ้กรรมฐานนี่มันพาไปหลายอย่างที่พาไป ศีลก็ช่วย สมาธิก็ช่วย ปัญญา ก็ช่วย การกระทำก็ช่วย ไม่ตกไปในที่ชั่ว มีแต่เรื่องที่ช่วย เพียงพอกับการใช้ชีวิต ช่วยไปแค่ไหน ช่วยไม่ให้มีทุกข์ ไม่ให้หลง ไม่ให้โกรธ ไม่โลภ ช่วยไม่ให้เกิดปัญหา มีแต่ปัญญา ถ้าคิดถึงคนอื่น
การช่วยเหลือคนอื่นเป็นเรื่องที่ ที่เบื้องหน้าที่ทิ้งไว้ได้ สิ่งอื่นก็ช่วย ที่ทิ้งไม่ได้ เกิดยิ่งใหญ่ในชีวิตจิตใจขึ้นมา มองอะไรก็มองถึงว่าต้องได้ ต้องได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่ได้ อาจจะบอกก่อน เวลาท่านโกรธไม่โกรธก็ได้ เวลาท่านทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ เวลาท่านเจ็บไม่เจ็บก็ได้ เวลาท่านแก่ไม่แก่ก็ได้ อย่าทุกข์กับความเจ็บ อย่าทุกข์กับความแก่ อย่าทุกข์กับความตาย บอกอย่างนี้ เรื่องความแก่ความเจ็บความตายไม่ใช่ชีวิต ชีวิตมัน ไม่เป็นอะไร สนุกกับมันนะ ปฏิบัติธรรมนะ มันเป็นกอบเป็นกำ เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาจากการกระทำของเรา ไม่ท้อถอย ไม่ถอยหลัง ก้าวหน้า ถ้าเป็นศรัทธาก็ศรัทธาก้าวหน้า ไม่ใช่ศรัทธาแบบถอยออกถอยเข้า เวลาเกียจคร้านก็หยุด เวลาขยัน ก็ทำไม่ใช่แบบนั้น ในความถูกต้องนี่ ไม่มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ถูกตลอดไป ความผิดก็ไม่ผิดตลอดไป มันจึงเป็นชีวิตล้วน ๆ เห็นความเท็จความจริงที่เกิดอยู่กับรูปกับนามตามความเป็นจริง ความเท็จความจริงที่มันบอกเนี้ยทำให้เรานี่ผ่านพ้นมันไป ในที่สุดก็จบได้ มันจบได้ เรื่องของรูปเรื่องของนามมันเรียนจบได้โดยวิชากรรมฐานเป็นสูตรอันเดียวกัน ทุกชีวิตไม่ต่างกันเลย ก็มีแต่การพูดที่ว่าเห็น ไม่ได้เป็นกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดกับรูปกับนาม บางสิ่งเกิดขึ้นกับรูปกับนามจะหลอกไม่ได้เด็ดขาดเพราะมันเห็นความเท็จ ความจริง ของรูปของนามตามความเป็นจริง แล้วก็ไม่มีอะไรงอกงามแปลกขึ้นมาแบบใหม่ อันรูปอันนามนี่อันเดียวเป็นสูตรเดียว ความหลงก็เหมือนกัน ความโกรธก็เหมือนกัน ความทุกข์ก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรอีกมีเท่านี้ เราจึงสามารถที่จะทำได้ ปฏิบัติได้ อย่างเช่น เราหลงอะไรบ้าง ไม่รีบไม่รับ เห็นกันทุกคนถ้ามีสติ สิ่งที่ถูกก็ไม่รีบไม่รับเห็นกันทุกคนถ้ามีสติ ถ้าไม่มีสติก็ไม่เห็น มีสติก็มีได้ ไม่ได้ขอใคร เช่นเราเอามือวางไว้บนตักหัวเข่าให้รู้สึกตัวว่ารู้ได้ทุกคน ถ้าเอามือวางไว้บนเข่าไม่รู้สึกตัวก็มีเหมือนกันทุกคนถ้าไม่ฝึกหัด ก็หายใจเข้าก็หายใจออกก็รู้ได้ทุกคนถ้าฝึกหัด ถ้าหายใจเข้าหายใจออกไม่ฝึกหัด ไม่มีสติก็ไม่รู้เหมือนกันทุกคนแล้วแต่เราจะฝึกหัด เวลามันหลงเราเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงก็ฝึกได้ทุกคนถ้าฝึก แต่ถ้าไม่ฝึกความหลงก็เป็นความหลงอยู่เช่นนั้น ความทุกข์ก็เป็นความทุกข์อยู่เช่นนั้น ความโกรธก็เป็นความโกรธอยู่เช่นนั้น ถ้าเราเปลี่ยนก็มาเปลี่ยนได้ทุกคน ถ้าไม่เปลี่ยนก็มีหลงเป็นหลงทุกข์เป็นทุกข์ ถ้าเปลี่ยนก็อะไรก็เป็นรู้ สิ่งที่เกิดกับตากับใจมาเป็นรู้ทั้งหมด ความแก่ก็รู้เห็น ความเจ็บก็รู้เห็น ความตายก็ได้รู้ได้เห็น ได้เป็นรู้ทั้งหมดนะ ภาวะที่รู้สึกตัวเนี้ยเหมือนมีสติเป็นหน้าล่อเหมือนพระขีณาสพผู้มีสติเป็นวินัยนำไปสู่อันวิเศษขีณาสพคือพระอรหันต์ผู้มีสติเป็นวินัย เนี่ย ทุกคนทำได้อยู่ในกำมือของเราแท้ ๆ ให้มั่นใจตัวเองและมั่นใจในการกระทำมากที่สุด ว่าดีมันก็ดีทันที มีสติก็มีทันที ละความชั่วทันที มีสติก็ทำความดีทันที มีสติจิตก็บริสุทธิ์ทันที จะเอายังไงจะไปขอใครที่ไหน อาศัยใคร วัน เดือน ปี อะไร ฤกษ์งามยามดีที่ไหน อยู่ที่การกระทำของเรานี่ พร้อมแล้ว ได้รูป มหาพระพุทธรูป รูปอาศัยทำดีทำชั่วได้ ถ้าทำดีก็ดีได้มหาพุทธรูปที่มันเกิดมาให้เราทำดี ดูดี ๆ มหาพุทธรูปนี้เป็นเครื่องมือทำดี ไม่ใช่มาทำชั่ว มีมือ 5 นิ้ว สำหรับจับ จับนิ้วเดียวไม่แน่น 2 นิ้วก็ไม่แน่น 3 นิ้ว 4 นิ้ว 5 นิ้วจึงแน่น เพื่อจับอะไร จับสิ่งที่ทำดีช่วยเหลือกันดึงกัน ยิ่ง 10 นิ้วยิ่งดีใหญ่ มีบ่ามีผู้แบกถ้ามันหนักก็แบกกัน มีที่เกาะ ที่วาง พักได้ เอาให้ออกยาวได้ บากให้สั้นได้เมื่อทำความดี สะดวกกว่าทำความชั่ว ทำชั่วต้องรีบต้องลับ ทำดีไม่รีบไม่ลับที่ไหนก็ได้ สะดวกในโลกธรรม มหาพระพุทธรูปเป็นรูปอาศัยให้ทำความดี ถ้าเราไปรู้ก็เป็นอุปทายรูปยึดมั่นถือมั่น เป็นทุกข์เป็นโทษกับรูปนี่ อุปทายรูป รูปที่มันเป็นทุกข์ รูปที่มันเป็นทุกข์เป็นโทษอะไรก็มาเป็นตัวเป็นตน เอามาเป็นตัวเป็นตนไม่ใช่เห็นแจ้งตามความเป็นจริงเรียกว่าอุปทายรูป มันซ่อนอยู่ที่รูปมหาพุทธรูป นั่นน่ะมันเป็นรูปก็เป็นซ่อนขึ้นมา แทนที่จะมีประโยชน์ก็เป็นโทษเป็นรูปทุกข์ไปซะไม่ใช่เป็นรูปธรรม เราจงมาเห็นเป็นรูปธรรม ทำดี รูปนี่มันมาทำดีมาละความชั่ว ไม่ใช่ไปยืดมั่นถือมั่น มหาพุทธรูปประกอบไปด้วย ธาตุ 4 ธาตุ 6 มันก็มีให้พอเหมาะพอดี เวลาร้อนเหงื่อมันก็ออก เวลาหนาวมันก็ผลิตเหงื่อผลิตน้ำไว้ มันเหมือนธรรมชาติ มันยอดเยี่ยม ธาตุ 4 ธาตุ 6 ธาตุ 6 ก็มีช่องว่างมีในกาย มีช่องว่าง มีที่เดินลม มีที่เดินเลือด เป็นญาณธาตุ คือ มันจะรู้อะไรได้ ไม่ใช่ 4 เป็น 6 เรียกว่า ขันธ์ 5 ทำดีได้ ทำชั่วได้ เวลาโกรธก็รู้ว่ามันเป็นทุกข์ ถ้าไม่โกรธก็ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ มันรู้อะไรได้ แต่เราไม่ช่วยรูปช่วยนามไม่ช่วยให้มหาพุทธรูปให้อยู่ในความเป็นธรรม ไม่เป็นธรรมต่อมหาพุทธรูปเพราะอุปทายรูปทำผิดผิด เมื่อไม่มีความเป็นธรรมในรูปความเป็นธรรมในนามก็ไม่มี รูปเบียดเบียนนาม นามเบียดเบียนรูป เอามาเป็นปัญหาเป็นพิษเป็นภัย ใช้ชีวิตผิดก็เป็นทุกข์เป็นโทษไป กินไม่ได้นอนไม่หลับเบียดเบียนกันไม่เป็นธรรมต่อกัน มีสติจะสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับรูปกับนาม เรื่องของรูปเป็นอันหนึ่งเรื่องของนามเป็นอันหนึ่ง เวลารูปหิว นามไม่ได้เป็นอะไร เห็นมันหิวเกี่ยวข้องกับความหิวอย่างแยบคาย เห็นมันปวดมันเจ็บเกี่ยวข้องกับความเจ็บความปวดอย่างแยบคายไม่กระทบกระเทือนไม่หวั่นไหว เหมือนความนิ่งมันก็ถูกต้องแล้ว มันหิว เดินทางไกลก็เมื่อยล้าก็ถูกต้องแล้ว แต่นาม ไม่เป็นไร รู้จักแยกว่านามมันไม่เป็นอะไรกับอะไร ไม่ใช่เอารูปเนี่ยไปเป็นตัวเป็นตนเป็นไร เป็นไปกับรูปนาม นามรับใช้รูป บางทีก็รูปบางทีก็นามบังคับรูป อย่างที่เราศึกษาไตรพระสูตร จิตประเสริฐ จิตเป็นใหญ่สำเร็จแล้วที่จิตใจ ใหญ่ทางไหน ใหญ่ในทางใช่รูปที่ผิด ประเสริฐตรงไหนประเสริฐทำให้รูปที่เป็นความถูกต้องสำเร็จแล้ว ที่นาม ที่ใจ สำเร็จเป็นแบบไหน
ถ้าทำชั่วก็สำเร็จ ถ้าทำดี ก็สำเร็จ ทั้ง 2 อย่าง ถ้าไม่มีสติ เราใช้อย่างไร ใช้รูปยังไง ใช้นามยังไง น่าสนใจ ปล่อยตัวเองทิ้งไป ปฏิบัติธรรม คือ มาดูแลตัวเรานี้ ดูแลตัวเรา คือ ดูแลที่ไหน ดูแลที่กายที่ใจ อย่าปล่อยให้กายให้ใจเป็นทุกข์เป็นโทษมีสติดูแลแก้ได้ทั้งหมด ถ้าปล่อยทิ้งอย่าให้เวลามันคิดขึ้นมาก็ให้ดูแลมีสติถ้ามันคิดแบบอะไรคิดได้ทั้งหมดไม่ใช่ ให้มันคิดใน สิ่งที่ถูก ถ้าคิดอะไรทุกอย่าง ทำตามความคิดหมดทุกอย่างมันก็ไม่ถูกต้อง มีสติดูแลให้มีความคิดที่ถูกมาร้ายเป็นดีมันอยู่ในตัวมันเอง ความหลงมาพร้อมกันกับความไม่หลง ถ้าเกิดจากจิต ถ้าเกิดจากรูป ถ้าความทุกข์มาพร้อมกันกับความ ไม่ทุกข์ จิตช่วยเหลืออยู่ด้วยกันมาพร้อมกัน ความแก่มาพร้อมกันกับความไม่แก่ ความเจ็บมาพร้อมกันกับความไม่เจ็บ ความตายมาพร้อมกันกับความไม่ตาย อะไรตายอะไรไม่ตายทำให้มันเป็น อะไรเจ็บอะไรไม่เจ็บทำให้มันเป็น แต่ก็บอก ก็บอกได้แต่ให้ไปทำว่ามันแก่เห็นมันแก่ไม่ได้เป็นผู้แก่ มันเจ็บเห็นมันเจ็บไม่ได้เป็นผู้เจ็บ เพราะมันเห็นได้แต่รูปแต่นาม ไม่ไป มันจึงไปเป็นศาสตร์เป็นศิลป์ ที่โน่น เมื่อมีตายก็ไม่ตายเพราะตาย เห็นมันตายไม่ได้เป็นผู้ตายเห็นอะไรตายที่เห็นนี่ไม่ตายกับอะไร เห็นไม่เป็นไม่ตายกับอะไร เป็นชีวิตล้วน ๆ หรือมาเห็นกาย เห็นนาม เห็นรูปนะ มันก็ไปทางนั้นแหละ จุดหมายปลายทางถึงสุดยอดที่นั่นมงกุฎธรรมที่นั่นเหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปฏิบัติธรรมนี่ไม่ใช่มาทำเป็นพิธีรีตองให้มันเป็นชีวิตชีวาขึ้นมาให้เห็นนี่เห็นสติ ทั้ง ๆ ที่เห็นไม่ใช่รูป ฝึกใหม่ ๆ ก็คือรู้สึก ๆ ถ้ารู้เลยมันเห็นนะ รู้สึก ๆ สมมุติว่าถามว่ามืออยู่ไหน มืออยู่ที่เข่าอะไรรู้ว่ามืออยู่ที่เข่า ก็รู้สึกตัว ถ้าหลับตาดูเห็นไหมเห็นว่ามืออยู่เห็น ๆ ที่สูงสุด คือ สภาวะที่เห็น เนี่ยพระพุทธเจ้า คือ เห็น พระพุทธเจ้ามีแต่เห็นไม่ได้เป็น เห็นกายสักว่ากายเห็นเวทนาสักว่าเวทนา เห็นจิตสักว่าจิต เห็นธรรมสักว่าธรรม พร้อมเห็นนิพพานไปตลอด ถ้าเป็นอะผ่านไม่ได้ ถ้าทุกข์เป็นทุกข์นี่ผ่านไม่ได้ หลงเป็นหลงผ่านไม่ได้ ถ้าเห็นมันทุกข์ผ่านได้ เห็นมันหลงผ่านได้ เห็นทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรานี้ มันไม่ยาก ทำไม๊ทำไมมันจึงทำไม่ได้น่าจะง่ายที่สุดนะ น่าจะง่ายที่สุด การเป็นนี่มันยากกว่าการเห็นไม่เป็นนี่มันง่าย ๆ ทำให้ตัวเองง่าย อย่าทำให้ตัวเองยาก อย่าทำให้ตัวเองมีปัญหา ทำให้ตัวเองมีปัญญาช่วย อะไรที่มันไม่เข้าอกเข้าใจก็อย่าไปหมกมุ่นมัน ให้ง่าย ๆ อย่าไปดัน อย่าไปสู้ เช่น ความง่วงเหงาหาวนอนอย่าเชื่อว่ามันยากมันง่าย ๆ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ผิดก็ว่ายาก ฟุ้งซ่านก็ยาก ง่วงเหงาหาวนอนก็ยาก อันนั้นไม่ใช่ เป็นความสะดวกนะ ดีบอกเลย ดีแล้ว เห็นแล้ว นี่คือ ความง่วงนี่ คือ ความฟุ้งซ่านนี่ คือ ความโลเลสงสัย เห็นแล้ว มาดีก็ตกในแหล่งวิตกวิจารณ์หมกมุ่นครุ่นคิดเอาเหตุเอาผลมากมายมันก็มีรสชาติ แต่บางทีมันก็ตกแหล่งความรู้ ตกแหล่งความรู้ ตกแหล่งความรู้ก็เพลินอะไรก็รู้ไปหมดเลย อย่าไปหลง ตกแหล่งความสุขก็อย่าไปหลง ตกแหล่งปิติก็อย่าไปหลง ตกแหล่งความสงบก็อย่าไปหลง ตกแหล่งความว่างก็อย่าไปหลง มันมีทางผ่าน ตกแหล่งความรู้ เขาเรียกว่า จินตญาณ จินตญาณ นะไม่กลับมาดูก็กลายเป็นวิปัสสนูได้ ตกแหล่งความว่างก็กลายเป็นหยุด อย่าไปหลงความว่าง ถ้ามันว่างอะไรก็ไม่รู้ให้มาลำดับอารมณ์ อันนี้เป็นรูป ว่านี่เป็นรูป ว่านี่เป็นนาม อะไรเป็นรูปธรรมนามธรรม มันเข้าเกียร์ว่างมันไม่ไป ลากกลับเข้าเกียร์ไปนี่คือรูปนี่คือนาม ลำดับ ลำดับดู เหมือนกับรถที่มันถูกเกียร์ว่างเข้าเกียร์หนักเข้าไปขึ้นต้นใหม่ ออกใหม่ หัดตัวเองอย่างนี้ไม่มีใครสอน ต้อง ต้อง จัดเกณฑ์ด้วยตัวเอง ว่าจะไม่เป็นเหมือนกันทุกคน บางคนเกิดนิมิต บางคนก็ไม่เกิด ก็ไม่เหมือนกัน มันก็ไม่จริง อันนิมิตก็ไม่ใช่ของจริง เป็นของที่เกิดขึ้นได้ทางตา ทางหู ทางจิตใจ ทางรสก็มี เคยเกิดรส นิมิตทางรส เมื่อมีปิติในธรรมก็เกิดนิมิตทางรสขึ้นมาอิ๊มอิ่ม กลืนน้ำลายตัวเองแล้วอิ่ม ไม่อยากจะกินข้าวกินน้ำ หลังจากปฏิบัติธรรม กลืนน้ำลายนั่งสร้างจังหวะอิ่ม 1 วันก็ไม่หิว 2 วันก็ไม่หิว แต่ไปฉันข้าวถ้าไม่ไปเพื่อนจะเป็นห่วงคิดถึงเพื่อน กลัวเพื่อนจะเป็นห่วง แต่ตัวเองไม่หิวเลยไปฉันก็ไม่ได้ยื้อไปที่ใด ถ้วยใดที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เยี่ยมถ้วยนั้น ข้าวในบาตรมันว่าง มันอิ่ม เณรก็ฉันไปไม่ได้มีความกระตือรือร้นอันนี้ดีอันนี้ไม่ดีไม่ได้คิด กินไปมันอิ่ม
เราก็อย่าไปหลงมันมีสติ สิ่งที่ทำให้หลงก็มีเยอะ หลงในความสุข หลงในความสงบ หลงในความว่าง นึกว่าตัวเองนี่หมดกิเลสตัณหานั่นก็อย่าไปหลง ให้มันเป็นเช่นนั้นนะ ชีวิตต้องเป็นปกติ มีตาเห็น มีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นได้รส เป็นปกติธรรมดา ไม่อย่าท้อถอยอย่าหยุดเมื่อไม่ถึงที่หมายมันจะบอกเอง ตัวเองจะบอกเอง จบ ไม่มีอะไรแค่นี้ หมดเนื้อหมดตัว หมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอะไรที่เป็นสุข ไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์ ใช้ชีวิตอย่างอิสรภาพ มีแต่เมตตา กรุณา คิดจะช่วยสิ่งอื่น วัตถุอื่น คนอื่น เต็มเลย เต็มอยู่ตลอดเวลาไม่มีทางที่ไปเป็นพิษเป็นภัยกับใคร ไม่มีทางที่เป็นพิษเป็นภัยกับสิ่งใดทั้งสิ้น แม้แต่เม็ดดิน แม้แต่เม็ดทราย ดินฟ้าอากาศ ไม่เฉพาะผู้คน ผู้คนแท้ ๆ ไปโกรธกันทำไมเป็นเบียดเบียนกันทำไม มาช่วยกันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันนี่แล้วมันก็น่าสงส๊ารน่าสงสารต้องหายใจเข้าหายใจออก ต้องกิน ต้องถ่าย ต้องหลับ ต้องนอน ก็ยังต้องขวนขวายช่วยตัวเองอยู่ เต็มที่อยู่แล้วไปเบียดเบียนกันทำไม เห็นคนนี่น่าสงสารที่สุดนะ วันหนึ่งนั่งรถมากับหลวงพ่อกลม เห็นคนผัวเมีย 2 คน นั่งมอเตอร์ไซต์มาจอดลงมาใกล้ ๆ กันกับรถหลวงพ่อจอดอยู่ ผู้สามีเขาไปเปิดดูน้ำมัน น้ำมันคงไม่มีหล่ะ มันเคาะ ๆ รถ มองหน้ากัน อาจจะคิดในใจว่าถึงบ้านไหมเนี่ยน้ำมันเหลือน้อย อาจจะไม่มีเงินหล่ะมั้ง เราไปบ้าคิดไปเองนะ เราเป็นบ้าคิดไปเอง บ้าแบบนี้นะ คิดอยากจะเอาเงินไปให้เขาก็กลัวว่ามันจะให้แบบไหนดี ถ้าไปให้เขาอาจจะเขาดูถูกหาว่าเราดูถูกเขาหรือเปล่า คิดไป ก็บอกหลวงพ่อกลม หลวงกลมเอาเงินไปให้ 2 คนนั่นเติมน้ำมันนะ หลวงพ่อกลมไปยืนดูเฉย ๆ ก็ไม่ให้เงินเขาแล้วก็เลย เลยคนขับรถก็มาขับรถออก ก็เลยบอกเขามีเครื่องดื่มอยู่นี่คุณหมูซื้อมา มีเครื่องดื่มอยู่นี่ 3 - 4 ขวด เอ้า เอาไปให้เขาด้วย เห็นเด็กน้อยมันไม่มีไรกิน ถ้ามันหิวถ้ามันมีเงินคงไปกินนะ ถ้าจอดเนี่ยมันจอดทำไม นี่มันไปกินที่ไหนมันยืนมองหน้ากันอยู่ นี่เราก็สงส๊าร สงสารเนี่ยเอาน่ะเราช่วยกันนะพวกเรา ช่วยกันที่ดีที่สุด คือ บอกยังไง อย่าหลงนะ ให้รู้สึกตัว เวลามันหลงเปลี่ยนเป็นตัวรู้ เวลามันทุกข์เปลี่ยนเป็นไม่ทุกข์ เวลามันโกรธเปลี่ยนไม่โกรธ นี่ให้ไปตรงนี้ไปอย่างนี้แล้วก็รู้จักช่วยตัวเองไม่มีใครช่วยเราได้ แม้เราจะช่วยขนาดไหนมันก็ช่วยไม่ได้ แล้วยังมีการเกิดแก่เจ็บตาย เราเจ็บคนเดียว เราจะตายคนเดียว บางทีตายห้อง ICU ด้วย เคยตายอยู่แล้วหลวงตาเคยตายในห้อง ICU ไม่มีใครช่วยเลย มีแต่หมอยืนเคียงข้างเพียงคนสองคน หมอก็ไม่พูดอะไรเงี๊ยบเงียบไม่มีใครช่วยเราได้ หายใจไม่ได้หมอก็ช่วยไม่ได้ เจ็บตับปวดอย่างแรงก็ช่วยไม่ได้ เจ็บคนเดียว นี่เรามีธรรมะเห็นมันเจ็บ โอ้นี่คือของเท็จของจริงไม่ได้เป็นผู้เจ็บ ไม่ได้เจ็บเพราะความเจ็บมันหายเจ็บไม่ได้ก็ไม่ได้หายไม่ได้เอาลมหายใจมาเป็นความตายชีวิตเราไม่ตายเพราะลมหายใจ ภาษาอะไรลมหายใจ เราอยู่เฉย ๆ เราอยู่ซื่อ ๆ นี้ จิตของเราไม่ใช่จิตเหมือนของชีวิตที่ไม่ต้องอาศัยอะไรไม่เห็นกับอะไร ปฏิบัติธรรมนะเป็นสมบัติของเราแท้ ๆ อย่าให้พลาดในชาตินี้ พร้อมแล้วมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ เป็นชีวิตสิทธิของเรา 100% นะ ก็ขอเชียร์ท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติธรรมเถอะไม่มีวิธีอื่นนะ เหมือนกับพระพุทธเจ้าสอนคู้แขนเข้ารู้สึกเหยียดแขนออกรู้สึกเนี่ย เอ๊าสมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน