แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีร้อน มีหนาว มีหิว มีปวด มีเมื่อยเหมือนกัน สำหรับนาม คือ ใจก็เป็นความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง ความสุข ความทุกข์เกิดแก่ใจเหมือนกัน วันเวลาก็เหมือนกัน โลกอันเดียวกัน สำหรับประเทศไทย เอเชีย เวลานี้ก็ตีสี่สามสิบห้านาที วันนี้ก็วันแรมแปดค่ำ เดือนห้า ตรงกับวันจันทร์เหมือนกัน เราก็นั่งสวดมนต์ไหว้พระอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนก็สนุกสาธยายสวด บางคนอาจจะเบื่อง่วงเหงาหาวนอน อาจจะไม่เหมือนกัน วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้ เราทำอะไรอยู่ อาจจะต่างกัน บางคนบางชีวิต รูปนามก็อาจจะหลง บางชีวิตที่มีรูปนามก็อาจจะไม่หลง ในวันหนึ่ง ๆ ถ้าเราหลงวันเวลาก็กลืนกินเรา เสียฟรีไปแล้ว มันกินไปแล้ว เป็นสุขเป็นทุกข์เวลากินไป มันหลงตัวลืมตนเราก็พลัดพรากไป ตายไปเกิดไปตายไป เวียนว่ายตายเกิดอยู่กับสมมุติบัญญัติ อาการต่าง ๆ บางคนก็ไม่หลง วันคืนล่วงไปไม่หลง ก็กินเวลา โตวันโตคืนในมรรคในผลขึ้นมา ไกลภัย ไกลปัญหา ไกลไปเรื่อย ๆ ไกลจากข้าศึก ไกลจากกิเลสไปเรื่อย ๆ เพราะตัวไม่หลงพาไปจนถึงมรรคถึงผลได้ มันก็ต่างกัน เราจึงมาชวนกัน ธรรมะนี่เหมือนสะพานที่ให้เราข้ามถ้าเราไปจากฝั่งหนึ่งไปสู่ฝั่งหนึ่ง ไปจากที่มีน้ำไปสู่ที่ไม่มีน้ำ ไปจากภัยไปสู่ความไม่มีภัย ถ้าเป็นสะพานก็คือเหมือนสะพานวัดป่าสุคะโตข้ามฝั่ง ฝั่งหนึ่งก็เป็นฝั่งอรัญวาสี อรัญวาสีเป็นฝั่งที่เจริญสติสัมปชัญญะ เป็นฝั่งที่ปลีกวิเวก ไม่ปลิโพธกังวล ไม่มั่ว เรียกว่า ปลีกวิเวก สงบกาย สงบวาจา สงบใจ ฝั่งหนึ่งก็ฝั่งคามวาสี เรียกว่าทั่ว ๆ ไป ชาวบ้าน ชุมชน ใครไปใครมา เรียกรถเสียงรา อะไรก็หลายอย่าง เรียกว่า คามวาสี เขตคาม เขตหมู่บ้าน เป็นศาลาหน้า เรียกว่า เขตคาม ถ้าข้ามสะพานมา อรัญวาสี ปลีกวิเวก เราก็หาวิธีเลือกอยู่ได้ ถ้าเรายังให้โลกมันทับถม ก็ออกไปอรัญวาสี เช่น พวกเรามีคติ มีที่อยู่ อยู่คนเดียวก็เหมือนกับอยู่กับหมู่ อยู่กับหมู่ก็เหมือนอยู่คนเดียว ถ้าเราปลีกวิเวกไม่ได้ ก็ปลีกวิเวกในทางรูปทางนามของเรา ไม่ใช่สถานที่ สถานที่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบ ทำให้เราได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ถ้าเราไม่เคยฝึกหัดตัวเองก็ไม่รู้แล้วว่า อรัญวาสี คือ ที่ไหน คามวาสี คือ ที่ใด ไม่รู้ เลือกไม่เป็น ถ้าเราฝึกหัดแล้ว เราจะอยู่ที่ใดก็ตาม แม้อยู่บนรถเมล์ อยู่ที่ทำงาน เหมือนกันหมด เราก็ปลีกวิเวกของเราไป อยู่กับหมู่ก็เหมือนอยู่คนเดียว เรื่องนี้มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเราฝึกหัด เราไม่ฝึกหัดนะ ชีวิตของเรามันจะมีค่าอะไร ชีวิตของเรามันเลือกได้ มันเป็นมรรค เป็นผล ชีวิตของเรามันเลือกไม่ได้ มันก็เป็นหลาย ๆ อย่าง ระคนปนเปกันไปหมด ไม่รู้จักเลือก เราทุกข์แล้วทุกข์อีก ก็ไม่รู้จักเลือก ความไม่ทุกข์ก็มี เราโกรธแล้วโกรธอีก เราก็ไม่รู้จักเลือก เราก็โง่ไปแล้ว ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่ผู้มีพัฒนาได้ ไม่พัฒนาตัวเองให้มันดีกว่าเก่า
ให้พ้นภาวะเดิม ๆ ไป ให้มันโตวันโตคืนขึ้นมา เรียกว่าศึกษาคือหลงดู เมื่อมันโกรธ มีสิทธิ์ที่จะไม่โกรธ เราก็ใช้สิทธิ์ของเรา เมื่อมันทุกข์ เรามีสิทธิ์ที่ไม่ทุกข์ เราก็ใช้สิทธิ์ของเรา เราก็รู้จักเลือกนั่นแหละ เพราะสิทธิของเราเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่สิทธิเรียกร้องทางการเมือง อย่างเวลานี้ ชาวหลังเขาสองสามตำบลที่กั้นเขื่อนน้ำท่วมที่ ก็พากันไปนั่งตั้งแท่นอยู่บนหลังเขื่อน เพื่อเรียกร้องสิทธิ คือ อยากได้เงิน สองเดือน สามเดือนแล้ว ว่าจะไปเยี่ยมอยู่ก็ไม่มีเวลาไป นอนอยู่ที่นั่น เรียกร้องให้รัฐบาลเอาเงินมาให้ค่าน้ำท่วมที่ แต่บางคนก็ได้ไปแล้ว ก็ยังไปร่วมกันอยู่ เสียงานเสียการ แต่บางคนก็ไม่ได้ ผู้ที่น้ำท่วมอยู่ในท้องน้ำก็ไม่ได้ ผู้ที่น้ำไม่ท่วมเลยยังทำไร่ ทำนาได้อยู่ก็ได้ ก็ทำให้เกิดการเรียกร้องขึ้นมา เพราะว่ามันไม่เป็นธรรม คนที่น้ำท่วมจริง ๆ ไม่ได้ คนที่ไม่ได้มีน้ำไม่ท่วมเลย ยังดีกว่าเขา ก็ยังได้เงินได้ทอง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมันก็เป็นอย่างนี้โลกหน่ะ ก็เลยทำให้มีการเรียกร้องกันไป อันนั้นเรียกว่าสิทธิของเขา เพราะฉะนั้นก็อาศัยอันอื่นจะได้หรือไม่ได้ก็ให้คนอื่นตัดสินใจ แต่ว่าอันชีวิตเรามันเลือกได้ ไม่มีใครมาตัดสินให้เรา มันหลง เราก็เลือกเอาทางรู้ทันที มันทุกข์เราก็เลือกเอาทางไม่ทุกข์ทันที นี่เป็นธรรมาธิปไตย มันอยู่ในชีวิตเรา เอาไว้ก่อน ส่วนอื่น ก็เป็นเรื่องของอันอื่นไป เรียกว่า สิทธิของเรา อธิปไตยของเรา เพราะมีส่วนตัวอยู่ เราจึงมาอย่าจนเรื่องนี้กัน จะพาศึกษาจะพาปฏิบัติ ว่าแต่มีกายมีใจ มีรูปมีนาม มีธาตุสี่ขันธ์ห้า ธาตุสี่ขันธ์หก เคยได้ยินมั๊ยขันธ์หกหน่ะ ปฐวีธาตุ คือ ธาตุดิน อาโปธาตุ คือ ธาตุน้ำ เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ วาโยธาตุ คือ ธาตุลม อากาสธาตุ คือ ช่องว่างมีในกาย วิญญาณธาตุ คือ ความรู้อะไรได้ เรียกว่า ธาตุ 6 มันเหมือนกันเราทุกวันนี้ รู้อะไรได้ ความทุกข์มันก็รู้ ความไม่ทุกข์มันก็รู้ได้ ความโกรธก็รู้ ความไม่โกรธก็รู้ได้ แต่เราไม่ใช้ ไม่ใช้วิญญาณธาตุในทางที่พัฒนา เอาวิญญาณธาตุไปใช้ในทางรับใช้ ยอม ยอมทำตามความทุกข์ ยอมทำตามความโกรธ ยอมทำตามความรัก ความชัง เป็นขี้ข้าของความชั่วร้าย เมื่อวานนี้ ก็มีคนอำเภอแวงใหญ่ เป็นครูทั้งสองคน มาหาครูคนหนึ่งมาหลายปีแล้ว เลิกเหล้าได้ มากับเมีย ก็เห็นว่าที่นี่ พอที่จะเป็นที่หลักใจได้บ้างก็เลยช่วยกันมา เคยไปเลิกเหล้าที่สุคะโต ก็พาครูคนหนึ่งติดเหล้ามอมแมม เวลาติดเหล้ามา เอารถเก๋งขี่ไปโรงเรียน เอารถเก๋งมัดจำน้ำเมามา เอามัดจำ เมียก็ไปไถ่ให้ เมียก็เป็นทุกข์ชวนมา ว่าจะมาเลิก ก็มาพูดให้ฟัง แต่ก่อนนี้ก็ใช้ยา เดี๋ยวนี้ไม่ใช้ยา ยาการเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ก็เอามะเฟืองตัวผู้เอามาเอาแก่นนาต้ม ฟันแหลก ๆ เอากำมือ ไปต้ม ใส่น้ำสามแก้ว เอาแก้วเดียว กินลงไป จะอาเจียนออก จะเบื่อบุหรี่ จะเบื่อเหล้า คิดถึงเหล้าเวลาใด อาเจียนออก คิดถึงบุหรี่ ก็อาเจียนออก เอาไปเอามา เมื่อมันหมดพิษอาเจียนแล้ว ก็หิวบุหรี่หิวเหล้าได้ จึงไม่ใช่ยาอันนั้น แต่ว่าถ้าคนน่ะต้องชั่งน้ำหนัก ต้องตรวจความดันสูงความดันต่ำ ถ้าไปให้ยาอย่างนั้นก็อาจจะเป็นอันตรายได้ เราก็ไม่ใช่หมอ เราเป็นหมอสมุนไพร เรียนมาก็เลยไม่ค่อยใช้ เอาหักดิบเลย พอถามหายาไม่เอา หยุด คือ วัฏฏะ เพราะกินมันจึงติด เพราะติดมันจึงอยาก เพราะอยากมันจึงกิน เพราะกินมันจึงติด เพราะติดมันจึงอยาก เป็นวัฏฏะ เราก็ไม่กิน พอไม่กิน มันก็ไม่ติด พอไม่ติด มันก็ไม่อยาก ต้องสู้สักหน่อย ตัดสินใจตั้งแต่วันนี้ หลวงพ่อเป็นสักขีพยานไม่ตายแน่นอน ทำได้ ตกลงมั๊ย สัญญากับหลวงตา หลวงตาเป็นพระนะเนี่ย มีคำพูด มีตัวมีตน มีผู้มีคน มาพร้อมกันที่นี่ทั้งผัวเมีย สองผู้ สองคน ครอบครัวมากล้า ตกลงกัน สาธุพร้อมกัน สาธุ เอ้ามันเบาเกินไป สาธุดังกว่านี้ สาธุอีก ก็เลยพากันกลับบ้านไป บางทีก็อาศัยกำลังใจก็มี เป็นเพราะการปฏิบัตินี่ที่เรากำลังมาทำอยู่นี่ ก็ต้องไม่มีอะไรเลย พอแล้ว พร้อมแล้ว พวกเราชีวิตเรา มันหลงก็รู้ ให้เรารู้ไป ใครจะมาจากไหน จะไปยังไง จะเป็นอะไรก็ตาม ต้องมีอันรู้เหมือนกัน มามีความรู้สึกตัว สร้างความรู้สึกตัว ไม่ใช่ไประมัดระวังความหลง เหมือนกับเราเป็นยามเฝ้าบ้าน เป็นยามเฝ้าบริษัท ระวังจับปืน จับมีด จ้อง ถ้าใครมาลักมาขโมยพร้อมที่จะป้องกันไม่ให้เกิดนั้นขึ้นมา นั้นเป็นยาม มันก็ลำบาก อาจจะเบื่อหน่าย เป็นธุระเกินไป
การเจริญสติไม่ใช่ทำแบบนั้น มันมีอยู่แล้ว มันไม่เสียไปไหน ไม่มีใครมาลัก แม้เป็นความหลงมันก็ไม่เสียเพราะความหลง มันเป็นความรู้ด้วย ความหลงเนี่ยมันเป็นความรู้ตรงนั้น ไม่เสียอะไร แทนที่จะระวังไม่ให้มันหลง มันก็เกิดประโยชน์ อย่างนี้การเจริญสติ ไม่ใช่ว่าหลง เอ๊ยมันหลงไปแล้ว อื้ม ไม่น่าจะหลง ทำไมมันหลง อันนั้นมันเหมือนยามรักษาสิ่งของ เราก็อยู่ มันเดี๋ยวหลง มันก็รู้ได้ มันไปทางไหนก็รู้ได้ มันง่าย ๆ มันเบา ๆ ฐานมันอยู่ตรงนี้ ใครก็หลงเหมือนกัน ใครก็ไม่หลงเหมือนกัน ความหลงมันเสียหายเหรอ ความหลงมันไม่เสียหาย มันรู้ได้ แม้ความทุกข์ ความอะไรต่าง ๆ มันไม่เสียหาย มันรู้ได้ ยิ่งดียิ่งดี ใครจะมีอะไรมา ถ้ามีความรู้มันยิ่งดี จะได้เห็น จะได้รู้ตรงที่มันเคยชิน เคยเปรอะเปื้อนมา ตามกรรมของตน ตามการกระทำของตนที่มันติดมา มันจะได้รู้ มันง่าย ๆ อย่าเอาไปทำยาก แต่ทำให้มันเป็น หัดให้มันเป็น เอาอันที่มันง่าย ๆ เอาอันที่มันเบา ๆ อันมันหนักก็ต้องหาสิ่งที่ช่วย มันง่วงเหรอ มันง่วงเหรอ มันหนักเหรอ หาอุปกรณ์ช่วย เหมือนเรายกของ ถ้ามันหนักก็หาวัตถุอุปกรณ์ช่วย การช่วยความง่วงไม่มีใครช่วยเรา การช่วยของหนักที่เป็นวัตถุ อาจจะมีวัตถุอื่นหรือสิ่งอื่นมายก มางัดขึ้นมา ถ้ามันง่วง ก็ออกแรง แรง ๆ เคลื่อนไหว ถ้านั่งอยู่มันง่วง ก็เอาท่าใหม่ อย่าไปนั่งคอตก อย่าไปนั่งอ่อนแอ เหมือนคนขับรถ บางทีเค้าง่วง เค้าขับช้าเกินไป ก็บึ่งแรง ๆ สัก ก็หายง่วงได้ใช่มั๊ย บางทีเค้าก็มันง่วงเหรอ ขับช้ามันง่วง งั้นเอาแรง ๆ บื้น ๆๆ ไป มันก็หายง่วงได้ นี้เราก็ออกแรงสักหน่อย ยกมือ ทุบเข่า ยิ้ม ๆ ปลุกตัวเองขึ้นมา เอ้าลุกขึ้นมา ถ้ามันนั่งอยู่มันง่วง ลุกขึ้นเดิน ไม่ใช่ย่อง เดินตบเท้าเลย โอ้ มันดี มันไม่ง่วง เพราะมันง่วง ทำไป ไม่ยอมมัน บางคนง่วง หลับตาปี๋ คอตก สัปหงกอยู่สองรอบ สามรอบ ก็ยังนั่งสัปหงกอยู่ ไม่แก้ มันก็เป็นอย่างนั้น แทนที่มันจะมีไม่กี่ครั้ง มันก็ผ่านได้ ถ้าเราหัดน่ะ นี่ก็มีวัตถุอุปกรณ์ อยู่ที่ไหน อยู่ที่เรา หามา มาช่วยตัวเอง มีเยอะแยะ ในชีวิตเรา พร้อมแล้ว พร้อมที่จะละความชั่ว พร้อมที่จะทำความดีอยู่แล้ว ไม่จนในเรื่องนี้แน่นอน เรียกว่า ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ตามสมควรแก่ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ ควรเห็น เป็นอัศจรรย์ชีวิตเราหน่ะ ไม่มีอะไรจะสร้างสรรค์ชีวิตเราเท่ากับธรรมชาติสร้างมาในชีวิตเราทั้งหมด ถ้าโรงงาน Recycle เขาอยู่ที่นี่ ของเสียทำให้เป็นของดีได้ กินเหล้า ตับต่อต้านใช่มั๊ย แอลกอฮอล์เป็นออกซิเจน เพราะแอลกอฮอล์มันอันตราย ตับจะต้องต่อสู้ เป็นทหารแนวหน้า เพื่อให้มันดีขึ้นมา เมื่อกินบ่อย ๆ มันก็รบบ่อย ๆ ถูกกระทบบ่อย ๆ มันก็เกิดตับแข็ง มันเหมือนมือเหมือนเท้าเรานั่นแหละ เหยียบดินบ่อย ๆ มันก็แข็งด้านไปเลย แต่ตับแข็งนี่มันไม่เหมือนฝ่าเท้าเรา กลายเป็นของอันตราย ไม่มีพลังงานมาล้าง ก็เกิดโรคได้ มัน Recycle ไม่ไหว สูบบุหรี่ กินเหล้า หรือจะโกรธกันเนี่ย กระทบอยู่เรื่อย จิตใจเนี่ย มันก็ไม่ไหว ผลที่สุดก็เป็นโรคกระเพาะอาหารได้ สุขภาพเสื่อมโทรม จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นเหรอชีวิตเรา มาเถอะ มาฝึกหัดตัวเอง ฝึกฝนตัวเอง อยู่ที่ไหน อยู่ที่เรา เรามานี่ทำไม มาเป็นกัลยาณมิตรกัน ว่ามันดีอย่างดี ทำอย่างนี้ ใครจะเป็นคริสต์ เป็นพุทธ เป็นอิสลามมา อันเดียวกัน แม้ประเทศชาตินี้อย่างหลวงพ่อพูดวันนั้น ถ้าพวกเราเสื่อมกันหมด อิสลามมันสิเอ ถ้าหลวงพ่อยังไม่ตาย หลวงพ่อเป็นอิสลาม ถ้าคริสต์มา บังคับให้เป็นคริสต์ นุ่งชุดใหญ่ ๆ ก็จะเป็นคริสต์ แต่ว่าจะสอนเรื่องนี้ หรือตายไปมีผีมีเปรต ถ้ายังมีรูปมีนามจะสอนเรื่องนี้ ไม่สอนเรื่องอื่น จะพูดเรื่องนี้ จะบอกเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างนี้ชีวิตเรา มีรูปธรรม มีนามธรรม เอารูปเอาธรรม เอารูปเอานามเพื่อทำความดี ไม่ใช่เอารูปเอานามเพื่อทำความชั่ว จะมีอยู่เท่าไหร่ ก็จะทำความดี ไม่ทำความชั่ว มีกายเป็นรูป มีนามคือใจ มันรู้อะไรได้ เป็นธาตรู้ เรียกว่า วิญญาณธาตุเนี่ย เอามาทำ มันใช้ได้ เอามาทำดีมันก็ดีทันที ทำชั่วมันก็ชั่วทันที ไม่น่าจะทำความชั่ว เพราะมันชั่วทันที มันไม่ได้ได้ เหมือนเราไปทำงานได้เงิน ไปปลูกข้าวได้ข้าว อันนั้นมันได้ เอาเงินมาเป็นเรื่องได้ แต่ว่ากรรมเนี่ย มันได้ทันทีเลย ไม่ใช่วัตถุ ถ้าทำดีมันก็ดีทันที ไม่ได้อะไร ทำชั่วก็ชั่วทันที ขณะนั้น ก็ เราก็ปล่อย แม้ถึงขณะนั้นเราก็ยังปล่อยอยู่ มันโกรธ เอ๊า มันเป็นกรรมชั่วแล้ว ก็อย่าปล่อยให้มันโกรธ มันทุกข์ ถอนออกมา เหมือนช้างตกหล่ม ช้างตกหล่มนี่มันไม่ยอมจมลงไป มันถอนขึ้นมา ชีวิตเราตกหล่ม มันหลง มันทุกข์ มันสุข มันรัก มันชัง มันตกหล่มไป ก็ถอนขึ้นมา มันถอนได้ บางคนไม่ยอมถอน เขาว่าเราทำไม ทำไมเขาจึงทำอย่างนั้น ทำไมจึงพูดอย่างนี้ ไม่น่าจะพูดอย่างนั้น ไม่น่าจะพูดอย่างนี้ มันหนักลงไป มันจมลงไป เป็นโทสะจริต เป็นนิสัยไปเลย เพราะฉะนั้น เราจึงมาหัดให้มันรู้ มันรู้เนี่ย ให้ได้นิสัยใหม่ อะหังภันเต นิสสะยัง ยาจามิ ขอนิสัยแบบพิมพ์แบบฉบับของพระพุทธเจ้า มาเข้าพิมพ์ มาเข้าแบบ มันหลงก็รู้นี่เข้าแบบ ถ้ามันหลงหลงไปไม่เข้าแบบเป็นขยะไปเลย เหมือนหล่อเสา หล่อปูน จะเอาเสากลม ต้องเอาแบบกลม ๆ อาจารย์ตุ้ม ทำกุฏิซื้อท่อใยหินมาขนาดไหนก็เอาเทปูนลงไป ก็เป็นรูปกลม ถ้าเอารูปเหลี่ยมก็ซื้อไม้มาสามสี่แผ่น ตีเป็นแบบ ตีใส่ลงไป ถ้าปูนแบบไหน ไม่เข้าพิมพ์ก็เป็นเศษขยะไป ชีวิตของเรานี่ นิสัยที่เราหัดนี่ ขอให้มันเข้าพิมพ์ พิมพ์ คือ อะไร คือ รู้สึกตัว คือ สติ สัมปชัญญะ นี่พิมพ์เป็นแบบฉบับ แบบฉบับที่เป็นแบบพระ รูปพระ มันอยู่ที่ความรู้สึกตัว หล่อเข้าไป เข้าไปในพิมพ์ให้ได้ อย่าออกไป มันหลงก็อย่าออกไปเป็นผู้หลง ให้เห็นมันหลง เข้าพิมพ์แล้ว มันทุกข์ก็อย่าออกไปเป็นทุกข์ ให้เห็นมันทุกข์ เข้าพิมพ์แล้ว มาหล่อตัวเอง มาสอนตัวเอง มาตกแต่ง อย่าเอาแบบเปรต แบบอสุรกาย แบบสัตว์เดรัจฉาน แบบสัตว์นรก แบบดี ๆ แบบพระ รู้สึกตัว ๆ ผู้ใดมีสติเป็นหน้ารอบ ผู้นั้นเป็นพระขีณาสพ พระขีณาสพ คือ พระอรหันต์ มีสติเป็นหน้ารอบ ไม่ใช่นุ่งกางเกงสีนั่นสีนี่ อยู่โน่นอยู่นี่ ไม่ใช่ อันนั้นเป็นสมมุติบัญญัติ ถ้าปรมัตถสัจจะ มันอยู่ที่เรา อยู่ที่การกระทำของเรา เข้าแบบให้ได้ เนี่ยจะเป็นคริตส์ก็จะสอนเรื่องนี้ จะเป็นใครก็จะสอนเรื่องนี้ จะอยู่ที่ไหนก็สอนเรื่องนี้ เคยไปกับคริสต์สมัยหนึ่ง เป็นเพื่อนกันกับบาทหลวง เขาไม่มีภาวนา เขาให้เราไปสอนภาวนา
บางคนก็เอาแล้ว หลวงพ่อคำเขียนเนี่ยไปเข้าคริสต์แล้ว เราไม่ได้ไปเข้า เราก็ไปสอนกัน เอาธรรมะเนี่ย มันก็ดี ไปสอนพวกคริสต์ก็เคยไป ไปสอนบาทหลวงเคยไป โรงเรียนบาทหลวงที่มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ ไปสอนโรงเรียนบาทหลวง มีบาทหลวง เขามีคอร์สของเขา เขามีสายของเขา ก็ไปสอน ไปฟิลิปปินส์ ไปดูงานก็ไปอยู่กับบาทหลวงเขา ไปดูของเขา การพระศาสนาของเขา คือ ทำงาน วิธีการสอนเขาก็ดี เขาเรียกว่า ยาปัก ยาปัก คืออะไร ถ้าจะไปดูชุมชนยากจน ต้องไปอยู่กับเขา ไปดูชุมชนที่ฐานะดี ก็ไปอยู่กับเขา ไปจุ่มดูมันจะขนาดไหนความจน ให้ไปอยู่กับพวกซาไกหรืออะไร เตี๊ย ๆ เท่าเนี่ย ซาไก ชุมชนซาไก ชุมชนชาวเขาก็ไปอยู่กับเขาดู เขาอยู่ยังไง พวกชาวเขา เรียกว่า ซาไก เงาะมีอ่ะ เป็นชุมชนใหญ่มากพวกเงาะซาไก ก็ไปอยู่กับเขา เราสมัครไปอยู่กับชุมชนยากจน เขาให้ไปอยู่กับสลัม บ้านสลัมของเขา ใครเคยไปอยู่กับพวกสลัมที่นี่ หลวงพ่อเคยไปประเทศฟิลิปปินส์นะ เขาให้เราไปอยู่กับสลัมไปด้วยกันสามรูป พระผู้มีอายุเหมือนกัน เขาก็ให้ที่พักน้อย ๆ หลังเดียว ฝาก็เป็นไม้ขยะขาดบ้าง ไม้อัดทะลุทะลวงบ้าง ตีฝา หลังคาก็ปะแล้วปะอีก ไม้อัดก็ทำหลังคาได้ โหว่ ๆ เหว่ ๆ ไป กระถังใส่ห้องน้ำก็ฟาก ๆ แหว่ง ๆ ขาด ๆ เขาเก็บมาจากถังขยะ ห้องน้ำก็พอใช้ได้ กระถังมันใหญ่แต่ว่ามันขาดลงไป มันก็อยู่เหลือนิดหน่อย ที่นอนผ้าพรมขาด ๆ ที่เอาไปทิ้ง เขาเอามาปูนอน เหม็นสาบ ก็ไปอยู่ 3 รูป ไปดูที่แล้วก็ เอ้า วันนี้ คืนนี้เราอยู่นี่คืนหนึ่งวันหนึ่ง วางแผนในใจ ไม่ใช่เรียกร้อง โอ๊ยอยู่ไม่ได้ ไม่ต้องวางแผนในใจ แล้วจะนอนยังไง เราเข้าห้องน้ำยังไง เราอยู่นี่คืนหนึ่ง เราล้างหน้าแปรงฟัน แต่เราก็มีน้ำดื่มในขวดน้ำเรา เพราะเตรียมไป วางแผนใช้ห้องน้ำ เหงื่อไหลไคลย้อยนั่งรถไป มันก็อยู่ในหุบเขาบ้าง อยู่ในห่วงเหวต่ำ ๆ เดินขึ้น เดินลง ไม่ใช่มีใครไปทำถนนหนทางให้ ปีนขึ้นมา เดินขึ้นไป แล้วก็วางแผนเข้าห้องน้ำดู โอ๊ย เหงื่อไหลไคลย้อย จะอาบน้ำยังไงหนอ ไม่อาบน้ำไม่ได้ มันร้อนเหลือเกิน โอ้ยอย่าอาบน้ำพวกเรา น้ำมีน้อย ๆ สำหรับใช้ห้องน้ำซะ ถ้าอาบน้ำขนาดเนี่ย ผ้าน้อยปูลงไป เอาฝาบาตรเป็นหมอน เอาสังฆาฏิวางบนฝาบาตร นอนตะแคง หนีจากผ้าผืนนี้ไม่ได้ให้บรรจงที่สุด ถ้าเราไปสอนเสื่อพรมเขา มันนอนไม่ได้ มันเหม็นสาบ เป็นเชื้อโรคด้วย เวลานอนมันก็นอนไม่ได้มันเหงื่อไหล เลยไปขโมยอาบน้ำ พอเพื่อนนอนแล้ว โอยกระดุกกระดิก เราไม่กระดุกกระดิก เพราะเราขโมยไปอาบน้ำ เราก็มีแก้วน้ำสแตนเลสมีหู ไปวางแผนอาบน้ำ ตั้งสติดี ๆ เอ้าเราจะอาบน้ำห้ากระป๋องน้อย ๆ เท่านี้ ลองดูทำได้มั๊ย ทำได้ เราจะพยายามไม่ให้กระทบกระเทือน น้ำห้ากระป๋องหน่ะ ลองดูในชีวิตนี้ พอนั่งลงก็ เอาน้ำตักมาเทใส่หัว ถูสบู่ไปถูสบู่ไป เอามือลูบน้ำพาไป กระป๋องหนึ่งเกือบทั่วแล้ว ลูบสบู่ไป ก็นั่งถูสบู่ นั่งถูตัวเล่นไป พอมันเปียกไปถูสบู่ไป แก้วที่สอง มาราดเสร็จ ก็ลูบไป ยังลื่น ๆ สบู่ยังไม่ออก ค่อยลูบไปลูบไป หมดสองแก้ว ถูสบู่เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว เกือบเสร็จแล้ว แก้วที่สอง ถูสบู่ฝืดแล้ว ทีนี้ ถูสบู่ไป สี่แก้ว ต้องได้แน่นอน พอห้าแก้วเรียบร้อยหมดทุกอย่างเลย มานอนไม่บอกเพื่อน มันก็ไม่กระทบกระเทือน ไปจุ่มแบบนี้เค้า เรียก ยาปัก ภาษาคริสต์เขา ไม่ใช่เราไปดูเขาเฉย ๆ ไม่ได้สัมผัสอะไร มันยากแบบไหน มันลำบากยังไง ไปจุ่มเรียกว่า ยาปัก การมาปฏิบัติธรรมนี่ มาจุ่ม ไม่ใช่รู้แล้วล่ะ ยกมือสร้างจังหวะ 14 จังหวะ ทำเป็นแล้ว เดินจงกรม ไม่ต้องแกว่งแขน กอดหน้าอก หรือขัดหลัง หรือจับหน้าท้องไขว้กันไว้ ทำเป็นแล้ว สุคะโตสอนอย่างนี้ ไม่ใช่จุ่ม การมาจุ่มนี้ต้องมารู้ มาหลง จุ่มดูความรู้ จุ่มดูความหลง มันมีความหลงก็มี ความรู้ก็มี ความทุกข์ก็มี ความไม่ทุกข์ก็มี จุ่มลองดู ทำได้ไหม
เหมือนเราอาบน้ำแก้วที่หนึ่งอ่ะ ลองดูมันจะทั่วมั๊ย มันทำได้มั๊ย จุ่มลองดู มันหลงก็รู้ได้ เสียหายหรือมันหลง ไม่เสียหาย อาบน้ำได้หรืออาบได้ อาบไม่ได้หรืออาบไม่ได้ ไม่เอาตรงนั้น เราทำลองดู ไปจุ่มลองดู ก็เรียกว่า จุ่มลองดู เอากายเอาใจมาจุ่ม มันมีสิ่งให้จุ่มอยู่ มันมีแล้วเห็น มันเห็นอยู่ ไม่ใช่หา มันแสดงออกมาดี๊ดี การศึกษาธรรมะนี่ มันฉายออกมาเหมือนจอ ชีวิตเรา ร่างกาย ใจ เหมือนการแสดงของอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นกับกายกับใจ ตัวสติเหมือนกับเราดูหนัง ดูละคร เคยดูหนังดูละครมั๊ย เวลาพระเอกออกมา ชอบ เวลาศัตรูออกมา ไม่ชอบ ไปแสดง บทเขาโศกก็โศกกับเขา บทเขาหัวเราะก็หัวเราะกับเขา ไม่ได้ดูเลย ไปแสดงกับเขา มันทุกข์ก็แสดงไปกับความทุกข์ มันหลงก็แสดงไปกับความหลง มันโกรธก็แสดงไปกับความโกรธ ไม่ได้ดู เราต้องไปดูสิ มันแสดงออกมาให้เราเห็น อันรูปธรรมนามธรรม เพราะมันอยู่นิ่งไม่ได้ มันไม่จริง ชีวิตมันไม่จริง ความตายเป็นของจริง การเกิด การดับมันเกิดอยู่เรื่อย มันผ่านอยู่เรื่อย มันหลง มันรู้อยู่เรื่อย มันแสดงให้เราดู เราอย่าไปแสดงไปร่วมกับมัน เรียกว่าดู หลวงพ่อเคยพูดว่าจงมาดู เอ้าเป็นผู้ดู มันไม่มีอะไรดู ก็เป็นสมมุติบัญญัติ ถ้าจะพูดธรรมะที่พูดสัจจะจริง ๆ ปรมัตถ์จริง ๆ ไม่ต้องพูดอะไรเลย นิ่งไปเลย ปิดปาก อันนี้จำเป็นต้องพูด เพราะพระพุทธเจ้าเคยพูดเคยสอน ไม่ต้องไปนิ่งให้กันดู เป็นก้อนอิฐก้อนหิน เวลาปฏิบัติธรรมทำเป็นนิ่ง ๆๆ อาจารย์ก็นั่งนิ่งสัปหงกอยู่ ลูกศิษย์ก็นั่งนิ่งสัปหงกอยู่ อดทน ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง เนี่ย ก็ไปทำแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าเรานี้มาไม่ต้องไปนิ่งแบบนั้น รูปกายก็เคลื่อนไหว ลืมตา อย่าไปหลับให้มันธรรมชาติ อย่าปิดหู ปิดตา ให้มันเห็นให้มันรู้ งูมาค่อยมาเห็น ก็อย่าไปนิ่ง ฉะนั้น เราจึงมาดู อย่าเข้าไปอยู่อย่าไปเป็น เหมือนเราดูหนังดูละคร บางคนก็ไม่ใช่ไปดู ไปแสดง หมอลำเรื่องพระเวสสันดรอยู่ที่หนองคาย กัณหาชาลีก็เป็นเด็กน้อยจริง ๆ พราหมณ์ชูชกก็เป็นแต่งตัวเหมือนพราหมณ์ เรียกว่า คือ พราหมณ์ แต่ก็ไม่รู้พราหมณ์ที่ไหน คือ ไปขอกัณหาชาลี ขอได้ก็ พอหลุดจากมือพระเวสสันดร ก็ตีเลย ตบลงไป กัณหาชาลีก็ร้องไห้ พระเวสสันดรก็นั่งอยู่ ถ้าปล่อยให้เขาตีลูกตัวเองต่อหน้าต่อตา พระเวสสันดรคิดยังไง ต้องไปช่วยใช่มั๊ย ต้องไปช่วย พระเวสสันดรนั่งดูเฉย จะทำได้ไงพวกเรา กัณหาชาลีก็เป็นเด็กหน่ะ พราหมณ์จับไปแล้วยังไม่ไปถึงไหน กัณหาชาลีก็กลัวร้องไห้ พราหมณ์ชูชกตีเลย เฆี่ยนตีเลย พระเวสสันดรนั่งดู พระเวสสันดรคิดยังไง ถ้าปริทรรศน์ลองดู พระเวสสันดรลองมองดู โอ้ พราหมณ์ เมื่อมอบกัณหาชาลีให้เขาไปแล้ว มันต้องอยู่ในอำนาจของพราหมณ์มันจึงจะปลอดภัย ถ้ามันไม่กลัวพราหมณ์ มันก็ลักหนีกลางดงกลางป่า จะไม่ถึงกรุงสีพี ดีแล้วเขาจะได้เชื่อฟังพราหมณ์ มองแบบนี้ใช่มั๊ย ไม่ใช่มองแบบโกรธ ไม่พอใจ ถ้ากัณหาชาลี เชื่อพราหมณ์ กลัวพราหมณ์ ที่ไม่ให้หนีไปไหน อยู่ในอำนาจ ก็จะไปถึงเมืองสีพี ไปถึงเมืองปู่ ปู่ก็จะได้เอาหลานน้อยไว้ พระเวสสันดรก็วางแผนจะต้องมาตรค่าราคาแพงมาก พราหมณ์ชูชกจะเอาเด็กไปใช้หรือ ไปให้อมิตตาใช้หรือ มันใช้ไม่ได้ เด็กน้อย ชูชกก็ต้องมีปัญญาเอาไปขายให้ปู่ เอาเงินไปจ้างคนมาสร้างอะไรก็ได้ สร้างร้อย วัวร้อย ม้าร้อย เงินร้อย ทำร้อย อะไรมีแต่ร้อยห้าร้อย เป็นเศรษฐีทันที เอาไปขาย ใครจะซื้อได้ มีแต่พระเจ้ากรุงสญชัย ที่ซื้อกัณหาชาลีได้ ก็ต้องไปที่นั่น พราหมณ์ก็เอาไปที่นั่นจริง วางแผนไว้จะต้องเอาไปขายให้เจ้ากรุงสญชัย เมื่อเราได้เงิน จะเอาเงินไปสู่อมิตตา หอบเงินไป ก็รวยแล้วเร พระเวสสันดรวางแผนไปจริง ๆ ไม่ได้ทอดทิ้งนะ ถ้าอยู่ในป่าในดงน่ะ กัณหาชาลีเป็นลิงเป็นค่าง เอาอย่างลิงบ้าง เอาอย่างกวางป่าไม่มีใครสอน พิมพามัทรีก็ไปหาแต่หมากไม้ ปล่อยกัณหาชาลีเล่นกับพระเวสสันดรอยู่ในอาศรม ฝากเอาไว้
พระเวสสันดรก็เอาแต่นั่งบำเพ็ญภาวนา กัณหาชาลีก็เอาอย่างลิงบ้าง เอาอย่างเก้ง เอาอย่างกวาง ได้นิสัยไป โอ้ย ไม่ได้เล่าเรียน ก็โชคดีพราหมณ์มาเอาไป วางแผนทันทีเลย จะให้ไปศึกษาเล่าเรียน ก็ถึงกรุงสีพี พระเจ้ากรุงสญชัยก็ไถ่หลานไว้เลย พอไถ่หลานได้พราหมณ์ชูชกก็รวย พวกบริวาร พวกไพร่ฟ้าประชาชนก็เลี้ยงพราหมณ์มากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ก็กินเอา ๆ ท้องแตกตาย ท้องแตกตาย พระเจ้ากรุงสญชัยประกาศให้ญาติพราหมณ์ชูชกมารับเอาสมบัติทั้งหลาย ประกาศไปมาทางไหนก็ไม่มีใครมารับ อมิตตาไปไหน อมิตตาก็วางแผนให้ชูชก อมิตตา คือ ใคร อมิต แปลว่า ไม่ใช่ หนีไปหาผัวใหม่ ก็ไปแล้ว อมิตตาไม่มาเอาทรัพย์สมบัติเลย สมบัติทั้งหลายก็กลับคืนสู่พระคลังได้ นี่เรียกว่า ปริทรรศน์ลองดูมันเป็นอย่างนี้ ที่นี่คนดูหมอลำเนี่ย เห็นเขาตีกัณหาชาลีน้อย ๆ โกรธ มันไม่น่าจะตีขนาดนี้เลย จับมาตีจริง ๆ นะ กัณหาชาลีตัวเล็กก็ร้องไห้ คนดูก็สงสารกัณหาชาลี แม่เฒ่าคนหนึ่งขายถั่วอบอยู่หน้าเวที จับไม้คานขึ้นไปตีพราหมณ์ชูชก นี่ไปแสดงเหรอ จนพราหมณ์ชูชกกลับนั่นวิ่งเข้าหลัง โอ๊ย คุณยาย ๆ เค้าแสดงเฉย ๆ ดอก เค้าไม่ได้ตีจริง ๆ ลงไป ๆ มันแสดงไม่ได้ ยายโกรธชูชก นั่นไปแสดงกับเขา ไปสงสารจนน้ำตาไหล ไปหัวเราะจนอะไรต่าง ๆ มันแสดง ชีวิตเรามันแสดงให้ดู ใครเคยแสดงกับรูปธรรม นามธรรมบ้าง มันปวดก็แสดงเป็นความปวด มันสุขก็แสดงเป็นความสุข มันทุกข์ก็แสดงเป็นความทุกข์ มันโกรธก็แสดงเป็นความโกรธ ดูมัน เรียกว่า มาดูให้มันเห็น ให้มันเห็น พระพุทธเจ้าสอนให้เราเห็น มันทุกข์ก็เห็นทุกข์ อันนี้เป็นของประเสริฐอย่างนี้ พูดให้ฟังเรื่องของเรานี่แหละ ใครมาจากไหนเหาะเหินเดินฟ้ามา ใครดำดิน บินวนมา ก็สอนเรื่องนี้ จะอยู่ที่ไหนก็พูดเรื่องนี้ ฉะนั้นเราก็มาศึกษาดู อย่ามาเชื่อเรา ทำดูมันรู้จริงมั๊ย มันหลงจริงมั๊ย อันรู้ อันหลงอะไรมันเป็นธรรม มันเลือกได้มั๊ย เรามีสิทธิ์เลือกได้มั๊ย ต้องรู้จัก ไม่ใช่เราโง่ มีปัญญาไปในตัว มีศีลไปในตัว มีสมาธิไปในตัว ถ้าเรามีสตินะ ก็พูดให้ฟัง ดีใจ นึกว่าจะไม่มีใครแล้ววันนี้ พวกหมอก็กลับไป โอ๊ย ที่นี่ก็เห็นแต่รอยพวกเรานะ พวกเราอยู่นี่เป็นภารโรง เป็นกรรมกรเฝ้าให้ มาเถอะพวกเรา คงไม่เดือดร้อนอะไรมากมาย ถึงเคยสะดวกสบายก็มาลองทุกข์ ๆ ยาก ๆ ลองดู ถ้าไม่ไหวหรอกสุคะโตนี่แย่ที่สุดเลย ไม่ต้องแย่ ไม่เป็นไรว่าอย่างนี้ หิวข้าวบ้างก็ไม่เป็นไร ลำบากบ้างก็ไม่เป็นไร เอาไม่เป็นไร ผิดบ้างไม่เป็นไร รู้บ้างไม่เป็นไร อย่าไปเอาดี เอาไม่ดี มันผิดก็หัวเราะความผิด มันทุกข์ก็หัวเราะความทุกข์ ไม่เป็นไร ๆ การปฏิบัติธรรมมันเป็นอย่างนี้ คำว่าไม่เป็นไรเนี่ย มันดีแล้ว มันหลุดพ้นแล้ว มันหลงก็ไม่เป็นไร มันผิดบ้างหลงบ้างไม่เป็นไร ทำไปอย่างนี้เรียกว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว อย่าไปเอาผิด เอาถูก อย่าไปเอาสุขเอาทุกข์ อย่าไปเอาชอบไม่ชอบ ไม่ต้องใช้เหตุใช้ผล มาทำกรรมฐานให้มันเป็นกรรมจริง ๆ เป็นจิตจำแนกไป สร้างตัวรู้ สร้างตัวรู้ อย่าไปประเมินมันได้อะไร หนึ่งวันไม่ได้อะไร สองวันไม่ได้อะไร อย่าไปคิดแบบนั้น มันรู้ ก็รู้อยู่แล้ว จะไปเอาอะไร มันรู้สึกตัวก็รู้สึกอยู่ทันทีอยู่แล้ว ไม่ใช่มีอะไร มันก็รู้อยู่แล้วทันทีความรู้สึกตัวเนี่ย เป็นอย่างนี้จริง ๆ นะ