แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันเด้อ หลวงตาจะพูดให้ฟังเพื่อให้เป็นส่วนประกอบกับการปฎิบัติธรรม ที่เรากำลังทำกันอยู่ในเวลานี้ ไม่ใช่สอนให้ท่านรู้ การสอนให้รู้ ท่านรู้มามากแล้ว ล่วงรู้ จนได้ปริญญาจบการศึกษาเป็นข้าราชการสาธารณสุข เพราะฉะนั้นสอนธรรมะให้บอก บอกให้เอาไปทำ ทำกับไม้กับมือ ทำกับกายกับวาจากับใจของเรา เอากายมาทำ เอาวาจามาพูด เอาใจมาทำ คือทำ คือการกระทำ การกระทำที่ตรงไปที่กาย ที่วาจา ที่ใจ ท่านเรียกว่ากรรมฐาน
กรรมฐานนี่ มันทำได้ทันที ไม่เหมือนการทำอันอื่น มันเข้าไปตรงๆ ผู้สายตรง ตรงต่อกาย ตรงต่อวาจา ตรงต่อจิตเข้าไปเลย เราก็มีเท่านี้ มีกายก็อยู่นี่ มีวาจาก็อยู่นี่ มีใจก็อยู่นี่ เป็นทวาร เป็นปลายของชีวิตเรา ก่อนที่มันจะผิดจะถูกจะสุขจะทุกข์ มันก็ลง มันก็มีอยู่ที่กาย ที่วาจา ที่ใจ มันไม่ใช่ความรู้ ความรู้ใครก็รู้ แต่ยังทำผิดยังทุกข์ ยังโกรธอยู่ รู้โกรธไม่ดี ทุกข์ไม่ดี แต่เรายังทุกข์ ยังโกรธอยู่ นั่นมันไม่ใช่ปัญญา ปัญญาอันอื่น
ปัญญาที่พระพุทธเจ้ารู้แจ้งเรียกว่า ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ความรอบรู้ในกองสังขารชื่อว่าปัญญา สังขารคือกาย คือวาจา คือใจเราเนี่ย ที่มันใช้อยู่ทุกวัน ทุกเวลาเนี่ย มันกระทำกระทำตรงนี้ มันไม่กระทำก็ไม่กระทำตรงนี้ เมื่อกี้เราว่าพระสูตร สาธยายพระสูตร ความเพียร ความเพียรคือทำยังไง มีความพยายาม มีสติประคองตั้งจิตไว้ มีสติ มีสติมันก็คลุมไปทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจแล้ว จับตัวเดียว สติ เป็นเจ้าของทันที สติเป็นเจ้าของกาย เป็นเจ้าของวาจา เป็นเจ้าของใจทันทีเลย มันจะไปไหนล่ะ มันก็ตั้งไว้แล้ว อยู่ที่กายเนี่ยที่มันรู้สึกเคลื่อนไหวไปมาที่กายเนี่ย มันก็ไม่ทำอะไรกาย ก็นั่งอยู่นี่ทำอยู่นี่ ทำดีอยู่นี่ ความเพียรแล้ว ความเพียรแล้ว ถ้าทำแล้วลงไปสู่กายแล้ว ทำลงไปแล้ว ประคับประคองตั้งจิตไว้ มันก็ถอนความพอใจ ความไม่พอใจ ไม่มีแล้ว มันรู้แล้วเข้าไปถึงสภาวะที่รู้ เมื่อถึงสภาวะที่รู้ สภาวะที่รู้เป็นเจ้าของครองกาย ครองวาจา ครองใจ มันก็เป็นการละอกุศลที่มีอยู่ให้หมดไป แต่ก่อนเคยหมกมุ่นครุ่นคิด ไหลเรื่อย เมื่อมีสติมันก็หยุด มันก็มารู้สึกได้ รู้สึกตัวนี่ซะ มันก็ถอนไปแล้ว ยังกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น กุศลคือทำ คือมันรู้แล้ว รู้แล้วเข้าถึงตัวรู้แล้ว ภาวะกุศลคือภาวะรู้สึกตัวนี่ รู้แล้ว กุศลอื่นที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดขึ้นเรื่อย ละความชั่ว ทำความดี จิตบริสุทธิ์ไปเรื่อยเหมือนเราซักผ้า การซักผ้าไม่ต้องการให้มันสะอาดหรอก แต่การกระทำนั่นมันเป็นไปเอง เอาน้ำยาใส่น้ำลงไป พอประมาณเอาผ้าชุบลงไป เราไม่ต้องโอ้ยเมื่อไหร่มันสะอาด เมื่อไหร่จะสะอาดหนอ ไม่ต้องไปคิดให้มันเปลืองสมอง มีแต่การกระทำ มือที่กระทำลงไป เอาผ้าใส่น้ำยา เอาน้ำยาใส่น้ำ รดลงไป ตรงไปผ้าที่เปรอะเปื้อน พอประมาณมันก็สะอาดทันทีเลย ไม่ต้องไปคิดอะไร ทำอะไรที่มันยุ่งไปอีก เป็นการกระทำโดยตรง การซักผ้าเป็นการกระทำ ไม่ใช้เหตุใช้ผล ไม่ใช้ความคิดผิดถูก มันมีสูตร อันนี้ก็มีสูตร สูตรสร้างกุศล สูตรละกุศลคือความเพียร คือสติสัมปชัญญะ นี่เรียกว่าเรามาทำกรรมฐาน ให้มันตรงเข้าไป
วันก่อนหลวงตาพูดสายตรง ตรงเข้าไปต่อกาย ต่อวาจา ต่อใจ ตรงกันข้าม อ้าวมันอาจจะมีความหลง เกิดขึ้นตรงเข้าไปสู่ความหลง รู้สึกตัวอ้าวความหลงก็หมดไปเอง เมื่อมีความทุกข์ ความคิดฟุ้งซ่านอะไรเกิดขึ้นสารพัดอย่าง แปดหมื่นสี่พันอย่าง เกิดขึ้นที่กาย วาจา ใจ มีสติเข้าไป ตรงเข้าไปเหมือนคนเฝ้าบ้าน เขาเฝ้าประตู มันมีประตูแค่นี้ จะมาทางไหนก็รู้ ประตูบ้านก็มีเท่านี้ ทวารบ้าน นายทวารบ้าน มีเจ้าของ มีสติ มาทางใดก็รู้ เมื่อรู้ ตัวรู้สึกตัวนี่ เมื่อเป็นเจ้าของบ้านแล้วมันก็ปลอดภัยไปเรื่อยๆไป ตรงอะไรที่มันเป็นพิษเป็นภัยรู้ เห็น เห็นแล้วไม่ใช่เห็นเฉยๆ เห็น แปลว่าเห็นสภาพภาวะที่เห็น ไม่ใช่ตาเห็น
สติสัมปชัญญะเป็นดวงตาภายใน หรือตาเหมือนตาเนื้อ ตาเนื้อมันเห็นงู มันก็ไม่ให้งูกัด ตาเนื้อมันเห็นหนามมันก็ไม่เหยียบหนาม ตาเนื้อมันเห็นหลุมเห็นบ่อมันก็ไม่ตกหลุมตกบ่อ ตาเนื้อมันเห็นป่ารกรุงรัง เห็นทาง มันก็ไม่เข้าป่า มันก็เข้าทาง อันนั้นตาเนื้อ ไม่ควบคุมทั้งหมดเลย แต่ตาในคือความรู้สึกตัวนะ เมื่อมันเห็น มันก็หลุดพ้นแล้ว เห็น หลง พ้นจากความหลง เห็นทุกข์พ้นจากความทุกข์ เห็นผิดพ้นจากความผิด เห็นความพอใจความ ไม่พอใจ พ้นจากความพอใจ มันไม่ใช่ไปถอนมันไม่ใช่ไปกระทำอะไร มันง่ายๆ ว่าแต่เรามีสติให้ดี ให้มันตรงกันข้าม เมื่อมันหลงมันก็รู้อย่างเนี่ย เมื่อมันทุกข์มันก็รู้อย่างเนี่ย เมื่อมันผิดมันก็รู้ เมื่อมันถูกมันก็รู้ มันก็รู้อย่างเนี่ย ถ้าความทุกข์มันรู้อย่างนี้ความทุกข์ก็จืดไปเลย ถ้ามันสุขรู้สึกตัวความสุขมันก็จืดไปเลย มันมีแต่ตัวรู้ สภาวะที่รู้ สภาวะที่รู้เนี่ย มันเป็นพรรมจรรย์ไม่เปรอะไม่เปื้อน ไม่ซึมไม่ซับ มันสุขมันทุกข์มันผิดมันถูก ก็รู้เข้าไป มันก็เริ่มเข้าทางไป เห็นกาย แต่ก่อนเห็นกายเป็นตัวเป็นตน มันก็รู้เข้าไป เห็นกายเป็นกาย สักว่ากาย แยกไปแล้ว เคยมีความสุขความทุกข์เพราะกาย ก็แยกออกไปแล้ว ไม่เอาสุขเอาทุกข์เพราะกาย เห็นเวทนามันก็แยกไปแล้ว เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเวทนา เห็นจิตมันก็แยกไปแล้ว แต่ก่อนจิตมันเป็นใหญ่ อะไรมาก็จิต สุขๆทุกข์ๆก็จิต พอเห็นมันก็แยกไปแล้ว ไม่ใช่เอาจิตเป็นใหญ่เป็นโต จิตนี้ สติเป็นใหญ่กว่า ถ้าจิตเป็นอารมณ์ จิตมันมีอารมณ์ มารอาศัย เหมือนศาลาหอไตรมีอาคันตุกะมา มาพักอาศัย ศาลาหอไตรหลังนี้ไม่ว่าอะไร อะไรมาพักก็ได้ พระมาอยู่ คนมาอยู่ ให้ชีมาอยู่ ใครมาอยู่ ศาลาก็ไม่ว่า บางทีหมามันดันขึ้นมานี่ ศาลาหลังนี้ก็ไม่ว่า แต่ว่าสิ่งที่มาอยู่อะไรเป็นประโยชน์เป็นโทษ ถ้าศาลาหลังนี้พระมาอยู่ก็สะอาดสะอ้าน พวกเรามาอยู่ก็สะอาดสะอ้าน จิตของเราก็เหมือนกัน อารมณ์มันจรมา ถ้ามีสติมันก็รู้ สตินี่มันเหมือนไม้กวาด สติรู้ตรงไหนสะอาดตรงนั้น เหมือนเจ้าของบ้านดูอะไรก็เรียบร้อย ไม่รุงรัง
เราจึงมา ประกอบอันนี้ให้ได้ ให้มันตรงกันเข้า มันตรงกันเข้า มันแยกไป มันแยกไป ไปสุขก็ไม่สุข ไปทุกข์ไม่ทุกข์ มีแต่รู้เข้าไป มีแต่รู้เข้าไป ลองสัมผัสกับภาวะที่รู้ ลองดูมันเป็นรสพระธรรมแท้ๆ สัมผัสความสุข สัมผัสความทุกข์ มันไม่ใช่รสพระธรรมรสของโลก สุขเป็นรสของโลก ทุกข์เป็นรสของโลก พอใจไม่พอใจเป็นรสของโลก ยินดียินร้ายเป็นรสของโลก อะไรต่างๆ โลกมันมีรสชาติ รสชาตินี่ก็มีรูป มีรส มีกลิ่น มีเสียง ทำให้เกิดรสของโลก มีสติรู้เข้าไป รู้สึกตัวเข้าไป มันก็ไปเห็นรสพระธรรม แข่งขันกัน ตรงกันข้ามกัน คำว่ารู้สึกตัวกับความสุขความทุกข์มันต่างกัน ความหลงกับความรู้สึกตัวมันก็ต่างกันอยู่ ความโกรธความรู้สึกตัวมันก็ต่างกันอยู่ ความทุกข์ความรู้สึกตัวมันก็ต่างกันอยู่ ให้สัมผัสกับรสพระธรรมอันนี้ ให้ดื่มด่ำลองดู รู้สึกตัวเข้าไป รู้สึกตัวเข้าไป
อย่างที่เราสาธยาย ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ พยาติปิทุกขา ความเจ็บเป็นทุกข์ มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความไม่สบายกายความไม่สบายใจเป็นทุกข์ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ มันถูกความทุกข์หยั่งไว้แล้ว มันมีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว เราจะต้องยอมรับอยู่เช่นนี้เหรอ ชาติปิทุกขา การเกิด เกิดยังไง ทางอารมณ์ มาย้อมจิตย้อมใจ เกิดรัก เกิดรักมันก็เกิดขึ้นเป็นชาติ อันหนึ่ง เกิดชังมันก็เกิดเป็นชาติอันหนึ่ง เกิดพอใจเกิดไม่พอใจ เกิดความคับแค้นใจ ไม่สบายกายไม่สบายใจ ปรารถนาสิ่งใดมันเกิด เกิด การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป มาเห็นอาการอย่างนี้ สติมันไปคุมกำเนิดของการเกิดในลักษณะนี้ แต่ก่อนมันเกิดอย่างนี้มันเป็นทุกข์เป็นสุขได้ บัดนี้มันไม่เกิด ความเกิดไม่เป็นทุกข์ หรือไม่ ไม่หลงไปกับสภาวะที่มันเกิดในสภาพภพภูมิต่างๆ ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เกิดรสชาติของโลกน่ะ มันไม่เป็นทุกข์
อ้าวความเกิดไม่เป็นทุกข์ ความแก่ไม่เป็นทุกข์ เกิดรักมันแก่ เกิดชังก็แก่ มันไม่จริง ความโกรธอย่างนี้ มันเกิดขึ้นแล้วก็แก่ มันก็หมดไปได้ มันตายไป มันเกิดมันดับ มันเกิดมันดับ การเกิดแบบนี้เรียกว่าการเกิด ประกอบไปด้วยอุปทานความหลง ยึดมั่นถือมั่น ทำตามความเกิดเช่นนี้ เกิดอะไรก็ทำ เกิดภพภูมิต่างๆ การเกิดลักษณะนี้ มีหลายภพหลายภูมิเป็นเปรตเป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉาน ไม่รู้จักถอนตัวออกมา โง่ไปเลย เดรัจฉานคือโง่ไปเลย พอใจในความโกรธ นอนอยู่กับความโกรธข้ามวันข้ามคืน ทั้งๆที่มันทุกข์อยู่ ก็เป็นภูมิของเดรัจฉาน ความโกรธก็เร่าร้อน ไฟร้อน กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะว่าเป็นสัตว์นรก ความโกรธเป็นความขี้ขลาด กลัวแม้กระทั่งความโกรธทำตามความโกรธจะดุ จะด่า จะว่าอะไรก็ทำตามความโกรธ บางทีตัดสินใจทำตามความโกรธ ฆ่าตัวตายเพราะคนอื่น มันเป็นความโง่ ผูกคอตาย ยิงตัวตาย โดดน้ำตาย เป็นอสูรกายไปเลย นั่นแหละเกิดทางนี้ มันเป็นภพภูมิต่างๆ เกิดดับ เกิดดับ
พระพุทธเจ้ามาเห็น พุทโธ่ ปัดโถ่ เห็นภพภูมิที่เกิดขึ้นกับอาการต่างๆที่เกิดกับกายกับใจเรา ไม่เป็นทุกข์ ไม่ไปหลงกับมัน มีสติ สติมันก็เป็นญาน เป็นฌาน เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาไป มันมีพลัง การเกิดเป็นทุกข์ การแก่เป็นทุกข์ แก่อาจจะไม่ใช่แก่หลังคดหลังโก่ง อันนั้นก็เป็นการเกิดการแก่นี่ก็เป็นอันหนึ่ง อันนี้ก็ไม่ทุกข์เลย ไม่ใช่ว่าแก่แล้วเป็นทุกข์ ไม่ใช่
ความแก่อาจจะเป็น เป็นของดีอันหนึ่ง หลวงตาก็ได้เสียงมาใช่มั้ย เสียงดีกว่าเก่า(หัวเราะ) ได้หุ่นใหม่ หุ่นดีกว่าเก่า หลังกดหลังโกง ได้เลือดใหม่ ได้ลมใหม่ ได้ตับใหม่ ถูกเปลี่ยนแปลงมา มะเร็งกินตับบ้าง มะเร็งกินเลือดบ้าง มะเร็งกินน้ำเหลืองบ้าง มะเร็งกินเสียงคอ มันก็เลยหุ่นใหม่ ไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ โอ้ย...เจ็บยังแสนยากเป็นก้อนเนื้อตับอ่อน หายใจไม่ได้ อ้าวมันไม่เห็นเป็นทุกข์ตรงไหน โยมทำไมยืนร้องไห้เกาะกระจกอยู่ข้างนอก ก็เรานอนอยู่ในห้องไอซียู คนมานั่งเกาะกระจกข้างนอกน้ำตาไหลเป็นแถว อ้าวมายืนร้องไห้กับคนไม่เป็นทุกข์ยังไง เราไม่เห็นเป็นทุกข์ตรงไหน น่าจะไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าจะบอกเค้าก็ไม่ออก เพราอมท่ออะไรไม่รู้ หายใจไม่ออกเพราะว่าท่อสอดเข้าไปเนี่ย หมอ เลยเอาปากกามาเขียน ญาติโยมที่นั่งยืนอยู่ข้างนอก เกาะกระจกอยู่ ไม่ต้องห่วงหลวงตาเลย หลวงตามีชีวิตส่วนตัว พากันกลับบ้านได้ เขียนให้ไปแล้ว หมอก็ไปยื่นให้แล้ว ก็ยังพากันยืนรอข้างหน้า เราไม่เห็นเป็นทุกข์ตรงไหน ไม่ทุกข์ตรงไหนความเจ็บเนี่ย มันไม่มีความทุกข์ตรงไหนหาไม่เจอเลย อ้าวเค้าก็ว่าความป่วยเป็นทุกข์ความเจ็บเป็นทุกข์ เอ๊ะ มันมีทุกข์ตรงไหน พยาบาลที่ยืนอยู่ข้างๆก็มีแต่เทพธิดา คุณหมอยืนอยู่ข้างๆก็เป็นเทพบุตร ที่นั่งที่นอนเค้าปูให้ โอ๊ยห้องแอร์อย่างดี ฟูกที่นอนนอนมันยึกยักนี่ใช่มั้ย มันเคลื่อนไหวนอนตายอยู่ตั้งสองอาทิตย์ (หัวเราะ) มันเคลื่อนไหวตลอดเวลา เหมือนมีคนมานวดหลังให้อ้าวมันสบายแท้หนอ คนป่วยนอนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องทำอะไร ขี้เยี่ยวเขามาเทให้ อ้าวมันสบาย สวรรค์ของเราแล้วอันนี้ เป็นทุกข์อะไร ทำไมไม่เป็นทุกข์ล่ะ รอวันทุกข์แค่นั้นหรือ ไม่ใช่ ความแก่ไม่เป็นทุกข์ได้ไหม ความเจ็บไม่เป็นทุกข์ได้ไหม ความตายไม่เป็นทุกข์ได้ไหม ได้ นี่คือตรงกันข้าม ทำให้มันเป็น ถ้ารอที่เจ็บปวดอยู่เช่นนั้น มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่มีพุทธศาสนา
อ้าวพุทธศาสนาเนี่ย ถ้ายังมีทุกข์อยู่ไม่ใช่ศาสนาเลย พุทธัง พุทโธทุกขัสสะ ฆาตาจะ วิธาตาจะ หิตัสสะเม พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ นั่นเห็นมั้ย ธัมโมทุกขัสสะ ฆาตาจะ วิธาตาจะ หิตัสสะเม พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ สังโฆทุกขัสสะ ฆาตาจะ วิธาตาจะ หิตัสสะเม พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ พุทธศาสนาอยู่ตรงไหน ไม่ใช่พุทธังสรณังคัจฉามิ ว่าแต่ปาก ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ข้าพเจ้าถือพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ข้าพเจ้าถือพระธรรมแล้ว ข้าพเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ว่าแต่ปาก ไม่ใช่ เข้าถึง ไม่ใช่ถือ เข้าถึงชีวิตจิตใจ เข้าถึงกายเข้าถึงใจ วิธีเข้าถึง สภาพเช่นนี้ ไม่มีวิธีใด มาทำกรรมฐานตามรอยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ดูซินั่น วันพระองค์ตรัสรู้นั่นท่านทำยังไง พระองค์ทำยังไง ก็ทำกรรมฐานนี่ อย่างที่เราทำนี่ มีสติเห็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนของเขา บางทีมันคิดไป อ้าว..มาคิดถึงพิมพาทำไม คิดถึงราหุลทำไม คิดถึงพระราชสมบัติยังไง คิดถึงพระราชทรัพย์สินศฤงคารยังไง คิดถึงปราสาทสามฤดูมาเปรียบเทียบกับต้นศรีมหาโพธิ์ยังไง ไม่ใช่เรามานั่งคิดถึงบ้านถึงช่องถึงลูกถึงเมีย เรามาทำกรรมฐาน ท่านทั้งหลายมาอยู่ที่นี่นั่งอยู่ที่นี่ โอ๊ยคิดถึงห้องแอร์ คิดถึงที่ทำงาน คิดถึงเพื่อน อ้าวมาคิดไปทำไม เรามาทำกรรมฐาน กลับมากายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนของเขา เห็นเวทนา บางทีมันสุขมันทุกข์มีไหม มีเหมือนกัน ปวดหลังปวดเอว เมื่อยล้าง่วงหงาวหาวนอนมีเหมือนกัน
เคยถามนักปฎิบัติเห็นหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ เป็นไงหนู แย่เลยตอนนี้ ทำไมหละ มันเครียด มันง่วง คิดมาก หน้าบูดๆ กรรมฐานหน้าบูด นักปฎิบัติธรรมเค้าไม่พูดอย่างนี้ หลวงตาบอกให้ดูมัน อย่าเข้าไปเป็นกับมัน เห็นมัน เห็นมัน เห็นผู้เครียดซิเห็นมันเครียด ไม่ใช่เป็นผู้เครียด เห็นมันง่วง หรือเป็นผู้ง่วง ต้องไม่ตอบอย่างนั้นไม่เอา แล้วก็ค่อยๆเบิกบาน หนูเห็นมันเครียด เอ้ออย่างนี้ซิ เห็นมันเครียด ไม่ใช่เป็นผู้เครียด ปรากฎว่าหนูเห็นมันเครียด หน้าตาก็ไม่บูดแล้ว อ้า อ้อ เห็นมันเครียดกับเป็นผู้เครียดมันรสชาติต่างกัน เรียกว่า เห็น เห็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่ตัวบุคคล ไม่เอากายมาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่เอาเวทนามาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่เอาจิตมาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่เอาธรรมมาเป็นสุขเป็นทุกข์ เห็นมัน อะไรที่มันแสดงมาทางกาย ทางวาจา ทางใจ มันแสดงออกเหมือนเราดูละคร ดูละครนี่เขาแสดงบทโศกก็โศกน้ำตาไหลไปกับเขา เขาแสดงบทรักก็รักไปกับเขา เขาแสดงบทอะไรสนุกก็สนุกไปกับเขา หัวเราะร้องไห้ไปกับเขา มันไม่ใช่ไปดู มันไปแสดงกับเขา
ชีวิตของเรา เราแสดงหรือว่าเราเห็นมัน มันแสดงให้เราเห็นหลายฉากน่ะ ในชีวิตเรา จึงพึงมีสติเป็นเจ้าของดู ปฎิบัติธรรมเพื่อดูแลตัวเองให้มันคุ้ม อย่าให้มัน ไปเป็นอะไรมากมาย ภาวะที่ไม่เป็นอะไรเนี่ย มันเป็นการดูแลตัวเองคุ้มครองตัวเอง นั่นหลวงตาพูดไว้ ไม่เป็นอะไรกับอะไรเลย ยืนอยู่ที่นั่น ไม่เป็นไรกับอะไรเลย (หัวเราะ)คุ้มแล้ว ดูแลตัวเองคุ้มแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ดูแลตัวเองคุ้มแล้ว ถ้าเป็นไรอยู่ไม่คุ้มเลย ปล่อยปะละเลยตัวเอง ปล่อยให้เป็นสุขเป็นทุกข์ ปล่อยให้หัวเราะร้องไห้ ปล่อยให้รักให้ชัง ปล่อยให้เศร้าโศกเสียใจ คร่ำเครียดอยู่ ไม่ใช่เลย ลองดูดีๆนะ
ดูไป ดูไป ให้รู้สึกตัว ให้รู้สึกตัวไป ประคองตั้งจิตไว้ให้มีความเพียร มันก็ละอกุศล มันก็เพิ่มกุศล กุศลที่เกิดมันก็ละไป มันก็หมดไป กุศลที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็เจริญมากขึ้นๆๆเป็นกุศล เป็นปัญญา ปัญญาพุทธะ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร เห็นทุกอย่าง มันหลอกเราไม่ได้ แต่ก่อนชีวิตเรามันหลอกเรา คุ้มร้ายคุ้มดี ฟูๆแฟบๆ ไม่รู้จะเป็นยังไง มีจิตใจก็ พึ่งใจไม่ได้ เอาไว้ เอาใจไว้ ให้สุขให้ทุกข์ให้รักให้ชัง มันจริงมั้ย มันจริงมั้ยทำตามมันได้ทุกอย่างเนี่ย ไม่ได้ เราจะทำตามความคิดทุกอย่างไม่ถูกต้อง เราต้องดู
ความคิดบางทีมันมีสองลักษณะ มันลักคิด ไม่อยากคิดมันก็คิด ตั้งใจคิด อันนี้ ก็มีเหมือนกัน อันภาวะ สภาวะที่ลักคิดไม่อยากคิดมันคิด นั่นเรียกว่าสังขาร สังขารที่มันคิดไม่ตั้งใจหนะเปลี่ยนเป็นวิสังขาร หยุดได้ สังขารเป็นวิสังขาร วิสังขาร มันหยุด สังขารมันไป วิสังขารมันหยุด มันหยุด เธอมันหยุดตรงไหนอ่ะ มันหลงรู้ หยุดแล้ว มันโกรธรู้ หยุดแล้ว มันทุกข์รู้ หยุดแล้ว มันจะไปความรักความชัง พอใจไม่พอใจ รู้สึกตัว หยุดแล้ว เปลี่ยนสังขารเป็นวิสังขาร เป็นนิพพาน เป็นกระแสแห่งพระนิพพาน วิสังขารเนี่ยเป็นกระแสแห่งพระนิพพาน ไม่ใช่ปรารถนา ขออนาคตกาลเบื้องหน้าโน่นเทอญ นิพพานัง ปัจจโย โหนตุ ขอให้ถึงพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ไกลเท่าไหร่ไม่ทราบ กี่ร้อยกี่ปี กี่ภพกี่ชาติ เดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือ มันทุกข์เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเดี๋ยวนี้ไม่ได้เหรอ เหมือนหน้ามือ เปลี่ยนเป็นหลังมือ มันทุกข์ไม่ทุกข์ ได้มั้ยแม่ชีน้อย เป็นวิสังขาร เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีกระแสเดี๋ยวนี้ ไม่มีทางเลย เห็นกระแสนะ มันหลงรูป มันโกรธ อ้าวมันก็ยิ่งเปลี่ยนเอา
ปฎิบัติคือเปลี่ยนได้ เนี่ยให้มาทำเอา ไม่มีใครช่วยกันได้ มีแต่ตัวเองทำเอาเอง ก็เลยว่ายืนยัน ท้าทายซะหน่อย มันนานเกินไปแล้ว ชาวพุทธเรา เมื่อไหร่จะเข้าถึงสายตรงๆแบบนี้ ไปอะไรกันอยู่ มาตรงนั่น มันหลงรู้ มันหลงรู้ เข้าไปน่ะ สายตรงจริงๆ มันหลงอยู่ที่ใด ไม่ใช่อยู่ที่สุคะโต มันหลงอยู่ที่กาย ที่วาจา ที่ใจของเรานี่ มันมีทวาร มีตา มีหู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็รู้อยู่ที่นี่แหละ มันก็ไม่อยู่ที่ไหน มันเป็นสูตร มันเป็นพระสูตร ชีวิตคนเราเนี่ยมันเป็นพระสูตร พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก พระวินัยปิฎก ความเป็นระเบียบเรียบร้อย พระสูตรที่ต่างๆก็อยู่นี่ครบถ้วนทั้งหมดเลย
พระอภิธรรมก็มีธรรมอยู่ที่นี่ ทำแต่ความดี ธรรมคือความเป็นธรรม ความหลงมันไม่เป็นธรรม ความรู้สึกตัวเป็นธรรม ความโกรธไม่เป็นธรรม ความรู้สึกตัวเป็นธรรม ความทุกข์ไม่เป็นธรรม ความไม่ทุกข์เป็นธรรม ความรู้สึกตัวน่ะ นี่พระอภิธรรม เราจะไปขอจากใคร ให้ใครมาสวดให้ กุสะลาธัมมา อะกุสะลาธัมมา เมื่อนอนอยู่ในโลงแล้ว ไม่ใช่ เปลี่ยนมันเลย ให้พระมาแสดงอนิจจาให้เลย อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปฺปัชชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสัง วูปสโม สุโข เค้าว่าอะไร พระว่าอะไร อนิจจาวตสังขารา สังขาราเกิดขึ้นแล้วแก่เรา สังขารเป็นการปรุงการแต่ง มันแต่งให้รักแต่งให้ชัง แต่งให้สุขให้ทุกข์ สังขารเกิดขึ้นแล้วแก่เรา อุปปาทวยธัมมิโน โหอุปทานไปยึดมั่นเราว่าของเราว่าตัวตนของเรา เป็นอุปทาน ไปยึดเอาความทุกข์ ก็มี ไปยึดเอาความสุข ก็มี บางทีความสุขไปซื้อเอา ไปปล้นเอา ไปข่มขื่นเอา นึกว่าเรา อุปทาน อุปฺปัชชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ แก้ได้อยู่ แก้ได้อยู่ เปลี่ยนได้อยู่ เมื่อมันหลงไม่หลงก็ได้ เมื่อมันทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ เมื่อมันโกรธไม่โกรธก็ได้ มันแก้ได้อยู่ อย่าทำตามมัน เตสัง วูปสโม สุโข เมื่อเปลี่ยนได้แล้ว เตสัง วูปสโม สุโข ก็เกิดความสุข ไม่ปรุงไม่แต่งได้ หยุดแล้ว เราหยุดแล้ว เราหยุดแล้ว ไม่ปรุงแล้วเนี่ย เรียกว่าบังสุกุล ไม่ใช่ให้พระมาชักบังสุกุล แล้วก็ได้ซองไป ไม่ใช่แบบนั้น บังสุกุลตัวเอง เวลาอะไรมันเกิดขึ้น ปรุงๆแต่งๆ ไม่ใช่ รู้สึกตัวนี่แหละ รู้สึกตัวนี่บังสุกุล เตสัง วูปสโม สุโข เปลี่ยนได้ เปลี่ยนได้ ปฎิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ผู้ปฎิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ตามสมควรแก่ผู้ปฎิบัติ มันหลงกิเลส ให้รู้สติ สมควรแล้วควรทำอย่างนี้ ผู้รู้อย่างนี้ ผู้ทำอย่างนี้สมควรแก่การปฎิบัติ ไม่ใช่ นั่งๆนอนๆ ปล่อยจิตปล่อยใจ หมกมุ่นครุ่นคิด ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วนี่ มันหลง เปลี่ยนมัน รู้สึกตัวเอากายเป็นกรรมฐาน เป็นที่ตั้ง เคลื่อนไหวไปมา รู้สึกตัวมันไปก็รู้สึกตัว เรียกว่าผู้ปฎิบัติ ต้องรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่ผู้ปฎิบัติ นี่คือวิทยาศาสตร์ ยอดของวิทยาศาสตร์ ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ชีวิตคนเรานี่ทำดีได้ ละความชั่วได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นอะไร อ้าว เราหละลูกพ่อนี่แม่นี่เราคนหนึ่ง จะละความชั่วให้ได้ จะทำความดีให้ได้ ให้มั่นใจตรงนี้ซิ ลูกสาวของพ่อของแม่ ลูกชายของพ่อของแม่คนนี้จะละความชั่ว ทำความดีให้ได้ มันก็ทำได้จริงๆ