แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่อกันอีก ย้ำกัน ลำดับลำนำ ท่องจำ กลางคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ความแก่เฒ่านำเข้าไม่ยั่งยืน จงมีสติไปในกาย ปลูกเอาไว้ ฝังเอาไว้ เหมือนเผือกเหมือนมันอยู่ในดิน ถ้าเผือกถ้ามัน หัวเผือกหัวมัน หรือต้นไม้อยู่ในดิน มีรากปักลงบนดิน ต้นไม้ก็เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ เผือกมันที่มันอยู่ในดิน ก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตของเราก็เช่นกัน ถ้ามีสติไปในกายไปในใจ ก็เกิดมรรคเกิดผล ไปได้พ้นจากบาปอกุศล ถ้าไม่มีสติไปในกายไปในใจ เหือดแห้ง เกิดบาปเกิดผลแห้งแล้ง เหี่ยวแห้งไป มรรคผลเหี่ยวแห้งไป เหมือนต้นไม้อยู่ในดิน นับวันจะเหี่ยวเฉาตายไปในที่สุด
ชีวิตเราต้องเป็นมรรคเป็นผล ศาสนานี่เป็นศาสนาแห่งมรรคผล ไม่ใช่เรื่องบุญธรรมดา ศาสนานี่เขาสอนเรื่องบุญ แต่พุทธศาสนาสมณโคดมนี้ สอนเรื่องมรรคเรื่องผล ที่สุดแห่งชีวิตมาตรฐานแห่งชีวิต จึงเพื่อการนี้โดยตรง ผู้ที่เห็นภัยแห่งการเหี่ยวแห้งแห่งมรรคผล จงเพียรพยายาม เรียกว่าบรรพชิตผู้เห็นภัย ใครก็ตามเห็นภัย เรียกว่าผู้นั้นเป็นบรรพชิต ภัยของเราคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความแก่เฒ่านำเข้าไม่ยั่งยืน ย่อมพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น เรามีกรรมเป็นของๆตน เราทำดีจะได้ดี ทำชั่วจะได้ชั่ว
ไปทำอะไรกันอยู่ หลงหรือว่ารู้ ถ้าหลงก็ชีวิตฟรีไปแล้ว ถ้ารู้ก็พอจะมีประโยชน์ เป็นกรรมดี ถ้าหลงก็เป็นกรรมชั่วไป เอาหอบหิ้วไป เหมือนน้ำแข็งที่เกิดนับวันจะเสื่อมไปเรื่อยๆ ชีวิตของเราต้องหลัก มีสติไปในกายไปในจิต ก็จะเห็นมรรคเห็นผล เห็นกายตามความเป็นจริงเห็นจิตใจตามความเป็นจริง เป็นเห็นบ่อยๆเป็นรูปธรรมนามธรรม สิ่งที่ขึ้นกับรูปเป็นอาการ สิ่งที่เกิดขึ้นกับนามเป็นอาการ อาการต่างๆก็มีเหตุเกิดขึ้น หูฟังได้ยินเสียง ก็มีเสียงเกิดขึ้น ถ้าไม่ชำนาญก็จะหลงพลัดไปในเสียง เป็นวัตถุต่อวัตถุ สัมผัสกันเข้าก็มีอาการเกิดขึ้น ถ้าไม่มีสติ
ก็มี สมมุติบัญญัติ บัญญัติลงไปไม่จบง่าย หูได้ยินเสียงแล้วไปไกล เป็นนรกเป็นเปรตเป็นอสุรกายก็ได้ เพราะเกิดจากเสียง เกิดจากรูป เกิดจากกลิ่น เกิดจากรส อันมีรสชาติ โลกนี้มันมีรสชาติ ตากับรูปก็มีรสชาติ หูกับเสียงก็มีรสชาติ จมูกกับกลิ่นก็มีรสชาติ ตลอดถึงใจมีอารมณ์ก็มีรสชาติ สัตว์โลกย่อมติดรสชาติ เหมือนปลาติดเบ็ด ก็เป็นทุกข์เป็นโทษ ความทุกข์ก็ติดได้ ความโกรธก็ติดได้ สัตว์โลกเนี่ย ความทุกข์นอนอยู่กับชีวิตข้ามวันข้ามคืนไม่รู้จักปลดปล่อย เพราะไม่รู้ทาง จนต่อความทุกข์ จนต่อความโกรธ จนต่อความหลง ไม่เป็นอิสระ
ชีวิตเราต้องเป็นอิสระ ชีวิตไม่มีภัย อย่างนี้เราจึงมาดูให้เกิดมรรคเกิดผล มรรคคือดูเห็น ดูแล้วก็ต้องเห็น เห็นแล้วก็ไม่เป็น จบไปแล้ว เห็นสุขไม่เป็นผู้สุขจบไปแล้ว ไม่ไปไกล ทำเอาเองไม่ใครช่วยเรา ถ้าเราผิดตรงนี้ก็พลาดไปเสียแล้ว ไปหวังให้คนอื่นมาช่วย เช่น พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราบางคนเห็นหน้าลูกหน้าหลาน สั่งไว้ ให้มันบวชหากูด้วยทำบุญให้กูด้วย มาแต่งนี่เงินก้อนนี่เอาไว้เป็นเงินเบี้ยเผาผี เอาไว้ทำบุญ เอาไว้เผาผี จนตั้งฌาปนกิจวุ่นวายไปกันใหญ่ หวังรวยเมื่อตายไปแล้ว เกิดเป็นๆอยู่ทำไมถึงไม่ทำเอา เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้อาศัยใคร ไปผิดศีลอะไร ข้อไหนจึงจะต้องเป็นให้ผู้คนอื่นทำบุญให้อุทิศให้ มีแต่พวกปรทัตตูปชีวีจากคนอื่น พวกปรทัตตูปชีวีเป็นคนบาป เป็นคนไม่มีความสามารถที่จะทำความดีได้ มันหลงก็ปล่อยให้หลง มันโกรธก็ปล่อยให้โกรธ พวกนี้มีหวังไปสู่ปรทัตตูปชีวี ต้องเสวยวิบากกรรม จนกว่าจะพ้นโทษพ้นภัย สรรหาที่เกิดแสวงบุญเพราะบาปกรรมของตนเอง ทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเอง จะต้องเป็นอย่างนั้นหรือ ต้องเสี่ยงอย่างนั้นหรือชีวิตเรา ไม่สมกับการเป็นมุนษย์
ให้เราชำนิชำนาญเรื่องนี้ไม่ต้องอาศัยใคร มันหลงเอง เปลี่ยนหลงเป็นรู้เอง มันโกรธเปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธเอง มันทุกข์เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์เอง นี่พวกนี้ไม่เป็นปรทัตตูปชีวีแน่ ขีดทางให้เราเส้นทางให้เราเดินไปได้ มันหลงไม่หลง ตรงกันข้าม ไม่ไปทางหลง ไม่ไปทางทุกข์ไม่ไปทางโกรธ ไปคนละทาง จนชำนาญในเส้นทาง เป็นมรรคเป็นผล ถ้าเป็นปรทัตตูปชีวีนี่แสดงว่าไม่คุ้มค่าที่เราเกิดมาเป็นมุนษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ต้องรอให้คนอื่นทำบุญอุทิศให้ ไม่ใช่ ชีวิตเราต้องแม่นยำชัดเจน หัดทำได้ปฏิบัติได้ให้ผลได้ มันโกรธไม่โกรธได้ มันทุกข์ไม่ทุกข์ได้ มันหลงไม่หลงได้ ด้วยฝีมือของเราด้วยการกระทำของเรา ถ้าเราไม่ทำ มันก็ไม่สำเร็จ ความหลงไม่สำเร็จซักทียังหลงอยู่ ความโกรธก็ไม่สำเร็จ ความทุกข์ไม่สำเร็จ มีกายก็ใช้กายไม่เป็น มีใจก็ใช้ใจไม่เป็น เอากายเอาใจไปห้อยไปแขวนไว้กับสุขกับทุกข์ สุขทุกข์อันอื่นยื่นให้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ อันเป็นโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา ได้เสีย ชีวิตไม่ไปห้อยไปแขวนไว้อย่างนั้นน่ะ มันก็ไม่ใช่ชีวิต
ชีวิตจริงๆมันไม่เป็นอะไร ความมีอิสระ มีอิสระคือไม่เป็นอะไร เราจะเป็นผู้ที่ละความชั่วทำความดี ไปมันเลย ออกบวชจากเรือนไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์นี้ จะปรากฏชัดแก่เรา นี้งานของเรา การทำตามรอยอุทิศแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำอย่างไรจึงได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า เราก็มาทำอยู่นี่ มีสติไปในกายเนี่ย มีกายไหม มีสติไหม สร้างได้ไหมความรู้เนี่ยประกอบได้ไหม ต้องไปยืมไปกู้ใครมา หาใครมาเอามายืมมาจากใคร เรามีมุนษย์สมบัติพร้อมที่จะใช้ได้ เพียงแต่หายใจเข้าก็รู้ได้ กายเป็นวัสดุอุปกรณ์ผลิตความรู้ ใจเป็นวัสดุอุปกรณ์ผลิตความรู้ได้ อย่าไปใช้ให้ผิดประเภท อย่าเอากายไปผลิตความหลง ผลิตความทุกข์ อย่าเอาใจไปใช้ผลิตความหลงไปใช้ ผลิตความทุกข์เป็นโทษ มันก็ผิด เราจึงเอามาใช้เกิดความรู้เนี่ย
เหมือนมือห้านิ้วสิบนิ้วของเราสร้างปัจจัย 4 ให้เกิดขึ้น เพื่ออาศัยได้ มีที่อยู่อาศัย มีเครื่องนุ่งห่ม มียารักษาโรค มีอาหารการกิน เราสร้างได้ชีวิตของเราเนี่ย ปฏิบัติได้ให้ผลได้ กายของเรามันผลิตความรู้ขึ้นมาเป็นทรัพย์ภายใน มาผลิตทรัพย์ภายนอกก็มีได้ ทรัพย์ภายในไม่มีใครรับมรดกจากใครมา ต้องทำเอาเองส่วนตัวของใครของมัน เรียกว่าทำบุญเอาทำดีเอา ไม่ใช่ทำบุญหาให้คนอื่น ทำบุญหา คำว่าหามันคืออะไร หามันเสียไปแล้ว หาได้คืนได้ไหม อะไรที่มันเสียไปหามัน นั่นมันแหละวิธีที่โลกกำลังทำกันอยู่ ทำบุญหา ทำบุญให้ยังพอได้อยู่ พ่อแม่เรานั่งอยู่นี้ อะไรที่ทำจะให้พ่อแม่มีความสุข จากการใช้ชีวิต อันนี้ทำให้ ให้กินอะไร ให้อยู่อย่างไง ตื่นขึ้นมาดูที่นั่งที่นอนของพ่อของแม่ อะไรมันไม่ดีทำให้มันดี อันนี้ทำบุญให้ ให้ได้ทันที จะไปรอให้เขาขายนาขายไร่ทำบุญหา มันไม่สมควร เราต้องทำบุญเอา มันดีที่สุด
อยากได้ดีก็ต้องทำดี อยากได้ดีไม่ทำดีมีอยู่มาก ดีแต่อยากหากไม่ทำน่าขำหนอ อยากได้ดีต้องทำดีอย่ารีรอ ดีแต่ขอรอแต่ดี มันก็ไม่ดี รอแต่ดีนู้นตายไปแล้วให้ลูกให้หลานทำบุญให้ มันไม่ใช่ นี่ทำบุญเอา มันหลงรู้ เอาแล้ว ได้รู้จากหลงแล้ว มันโกรธรู้ ได้รู้จากโกรธแล้ว มันทุกข์รู้ ได้รู้จากทุกข์แล้ว ทำบุญดีกว่า ความโกรธไม่ดี ความไม่โกรธมันดีกว่า ความทุกข์มันไม่ดี ความไม่ทุกข์มันดีกว่า จริงไหมเรื่องเนี้ย อย่ามาเชื่อ ไปสัมผัสเอา เคยสัมผัสไหม หรือว่าโกรธฟรีๆ หลงฟรีๆ ทุกข์ฟรีๆ ไม่เคยสัมผัสความไม่โกรธในขณะที่มันโกรธ มันก็ไม่เอาซักที พลาดไปเสียแล้ว พลาดไปเสียแล้ว ความโกรธไปกินฟรี ความทุกข์ก็ไปกินฟรี ความหลงก็ไปกินฟรี หน้าด้านที่สุดเลย เลือกไม่เป็น ไม่สมกับความเป็นมุนษย์
จะคิดจะกินยังไงให้ทำดูสัมผัสดู ไม่ได้สอนให้คิด ไม่ได้บอกให้คิด บอกให้ไปทำ ถ้าสอนให้คิดสอนให้รู้ ใครก็สอนได้ เรามีความรู้กันทั้งนั้น รู้ว่าทุกข์ไม่ดี โกรธไม่ดี มันก็ยังทุกข์กันอยู่ ยังโกรธกันอยู่ อันนั่นไม่ใช่ความรู้ ต้องทำให้มันเป็น หัดให้มันเป็น มีสติไปในกาย จนเป็นอันเดียวกันน่ะ ความรู้เนี่ย ชีวิตทั้งหมดเป็นความรู้สึกตัวไปทั้งหมดเลยทีเดียว มันมีส่วนไหนที่อันอื่นไป ถ้ามันเป็นแล้ว ปฎิบัติได้แล้ว มันเป็นแล้ว
ถ้าหายใจก็คือความรู้สึกตัว จะกลืนน้ำลาย จะกระพริบตา จะเคลื่อนไหว คือความรู้สึกตัว มันเป็นแล้ว มันเป็นไปแล้ว มันเป็นทั้งหมดแล้ว ชีวิตทั้งหมดเป็นมรรคเป็นผลแล้ว ทีแรกก็หลงเปลี่ยนหลงเป็นรู้ ต่อไปไม่ต้องเปลี่ยน มันจะเป็นไปเอง เรียกว่า ปริญญาชำนาญ ญาตปริญญา รู้แล้ว อัญญาสิ อัญญาสิ รู้แล้ว อัญญาคือรู้แล้ว อะไรที่ไม่รู้ ไม่มีในกายในใจเรานี้ ไม่มีตรงไหนปิดบังอำพราง มันเกิดตรงไหนก็รู้ที่นั่น สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ จะเป็นกิเลส 1500 ตัณหา 108 ไม่มีตรงไหนที่มันปิดบังอำพราง เรียกว่ารู้แจ้ง รู้แจ้งเรื่องนี้ ที่สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจนี่เรียก วิปัสสนา วิปัสสนา คือรู้แจ้ง ไม่สงสัยเลย ความหลงเป็นยังไง ความไม่หลงเป็นยังไง ความทุกข์เป็นยังไง ความไม่ทุกข์เป็นยังไง ความโกรธเป็นยังไง ความไม่โกรธเป็นยังไง รู้แจ้งจริงๆ ไม่รีรอ ทำลงไป ดีแต่ขอรอแต่ดี มันไม่ได้ รอไม่ได้ มันหลงก็รู้ทันที หัดอย่างนี้ ถ้าหัดเป็นแล้ว ก็ไม่ต้องหัดอีก มีแต่มรรค มีแต่ผล ชีวิตเรานี้ ก็จบไปซะ
ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่มซะ อย่ารอให้เฒ่าให้แก่ พายแต่พ่ออย่านั่งรอพาย ตะวันอย่าสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า ถ้ามันแก่มันเฒ่า มันก็ อะไรมันก็ยาก เป็นคนตั้งตนให้เป็น ก่อเพียรก่อไว้วันละเล็กวันละน้อย ยังสิใด๋ใหญ่สูง เพื่อนร่วมกินหาง่าย เพื่อร่วมตายหายาก หลานเด้อ เราไม่มีพ่อ มีพ่อใหญ่พิม พ่อใหญ่พิม สอนลูกสอนหลานดี๊ดี และแม่ตอนเย็นวันไหนที่ว่างๆ ก็พันกอกยาให้ ไปให้พ่อใหญ่พิมสอน บางทีก็เล่านิทาน ชวนกันไป พริกอยู่เฮือนเหนือ เกลืออยู่เฮือนใต้ หัวขิงไคร่(ตะไคร้) อยู่เฮือนเพิ่นหลานเอ๊ย (หัวเราะ) พริกอยู่บ้านเฮือนเหนือเขา เกลืออยู่บ้านใต้ หัวตะไคร้อยู่บ้านคนอื่น มันไม่ดี ต้องให้อยู่บ้านเรา นี่อยากได้บุญ ก็ไปเอาบุญอาจารย์องค์นั้น อาจารย์องค์นี้ เลือกพริกอยู่บ้านคนอื่น เกลืออยู่บ้านคนอื่น ตะไคร้อยู่บ้านคนอื่น อยู่ในเราทำไมไม่มี อาศัยอาจารย์องค์นั้นดี สำนักนั้นดี สำนักนี้ดี สำนักนั้นไม่ดี ให้คนอื่นมีหรือ ให้คนอื่นดีหรือ ทำไมเราไม่ชี้มาหาตัวเองเนี่ย เราคนหนึ่ง ลูกพ่อนี่แม่นี่ เราคนหนึ่งจะต้องทำดี ลองชี้ออกมาดูสิ มั่นใจดูสิ เราก็ทำได้นี่ สติเราก็มีได้นี่ ไปหาบ้านใครอยู่ที่ไหน อาจารย์อะไร อาจารย์อะไรที่ไหน ถ้าไม่สอนเรื่องกายเรื่องใจนะมันก็ไม่ใช่แล้ว ถ้าจะมีสอนกายสอนใจก็มีสติอันเดียวเท่านี้ ให้เห็นว่าไม่ใช่ตาแล้ว
สติมันเป็นตาในเป็นหน้ารอบ มันจะเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี้ เราไปอยู่ไหนมันก็อยู่ที่นั่น กายกับใจก็อยู่กับเรา สติก็อยู่กับเรานั่นแล้ว ไป ไปอยู่ที่ไหนก็ไป ไปเป็นผัวคน เมียคน พ่อคน แม่คน เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นหมอ เป็นกรรมกร ได้ทั้งนั้น ถ้าจะทำนะ แต่หมู่หลวงตานี่ไม่ไปอะ จะนั่งสอนอยู่เนี่ย จะบอกอยู่เนี่ย ขอใช้ชีวิตแบบนี้ มันสนุกนะ การบอกความเท็จความจริงแก่ผู้แก่คนน่ะ มันมีชีวิตชีวาจริงๆน่ะ ขอกินข้าววันละมื้อสองมื้อไม่ต้องการอะไร อยากให้คนมาฟังอยากให้คนมาศึกษาเรื่องนี้จริงๆ เพราะว่ามัน มันด่วนที่สุดแล้ว อยากจะบอกว่ามันหลงไม่หลงก็ได้เนี่ย มันโกรธไม่โกรธก็ได้ มันทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ เนี่ย อยากจะบอกอย่างเนี้ย และเอาไปทำดู ไม่ทำวันนี้พรุ่งนี้หรือจะตาย มันใจจะขาด ไม่เอาไปทำก็ได้ เวลามันดีๆมันไม่มา เวลานี้อยากจะไปอยู่ในห้องไอซียูไปเยี่ยมคนป่วย จะไปบอกตอนที่มันหายใจล่อแล่ๆ (หัวเราะ) ไปบอกมาแล้วมันก็ช่วยได้บางทีนะ อะไรจะรอวันนั้นโอ้ย มันเสี่ยงเกินไป ให้ไปสอนในห้องไอซียูมันจะได้อะไร บางคนมันสอนไม่ได้นะ
มีคนให้ไปสอนแม่ให้ ลูกสาวให้ไปสอนแม่ ลูกเขยให้ไปสอนแม่ เศรษฐีแถวสามเสน ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาลัย บางเขน ขายที่ขายทางรวยเงินเป็นหลายร้อยล้าน แล้วก็ใช้เงินสะเปะสะปะ แม่ ลูกสาวลูกเขยบอกก็ไม่อยู่ ไปสร้างพระใหญ่ที่นู่นที่นี่ ไปสร้างโบสถ์ร้อยล้านที่นู่นที่นี่ ไปทอดผ้าป่าไปทอดกฐิน เป็นประธานเอารูปเอาภาพมาอวด เป็นประธานที่โน่นเป็นประธานที่นี่ ทอดกฐินเท่านั้นล้านเท่านี้ล้าน มีพระ มาสร้างพระพุทธรูปจะไปสร้างให้เสร็จ หมดไปแล้วสามสิบล้านยังไม่เสร็จ เจ้าอาวาสก็มาเอาเงินไปเรื่อย ว่าเที่ยวนี่ซักสิบล้านก็เสร็จก็ให้ไป แต่ยังไม่เสร็จมาเอาไปอีก บ่นอยู่นั่งบ่นอยู่ เราไปสอนไม่ฟังเลย มีแต่เอาเรื่องนี้มาพูด บอกว่า วางมือมาพลิกมือดูซิ พลิกมือไม่รู้อะไรเลย บอกให้พลิกมือไป ไปจับเอา ตะกร้าหมาก พลิกมือไม่รู้เลย ทำไมได้เลย (หัวเราะ) มันเอาไม่ได้จริงๆบางทีนะ เป็นๆอยู่นี่ยังเอาไม่ได้นะ อะไรคือบุญไป ทำอย่างนั้นหรือบุญ บุญคือทำให้มันไม่ทุกข์เนี่ย คำว่าทุกข์มันเป็นบาป ไม่ทุกข์คือเป็นบุญ ไม่โกรธเป็นบุญถ้าโกรธเป็นบาป ถ้าทุกข์เนี่ยมันเป็นยังไง ถ้าโกรธมันเป็นยังไง ความไม่โกรธเป็นยังไง ความไม่ทุกข์เป็นยังไง คนเป็นบาปอย่างนี้ แล้วจะไปเอาอะไรอีก เอาอะไรเป็นที่หวังเนี่ย สร้างโบสถ์สร้างพระประธานใหญ่ๆอันนั้นหรือบุญน่ะ บางทีก็ทุกข์น่ะบ่นแล้วเดี๋ยวนี้บ่นแล้ว อะไรก็ไม่เสร็จซักที ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ลูกสาวก็บอกว่าอย่าไปเชื่อ บางทีเขามาหลอกแม่ ไม่ฟังก็ไม่เชื่อลูกสาว เอาเดี๋ยวนี้เอาอีกสักหน่อยก็เสร็จ เดี๋ยวเสร็จละ เอาไปอีกซักหน่อยนะลูกนะ เบิกกันใหม่ ลูกสาวลูกเขยก็ช่วยไม่ได้ แล้วสร้างวัดให้หลวงตาอยู่ ระยอง แกลง ไปทางอำเภอบ้านอาจารย์ทรงศิลป์น่ะ ศาลาหลังหนึ่ง กุฎิหลังหนึ่ง เป็นแสนๆ บอกว่าไม่ต้องทำก็ได้นี่ ไม่ต้องทำก็ได้ เอ้า ไปทำๆให้เสร็จจะได้อยู่สบายๆ เราสร้างเราก็ไม่ได้ไปอยู่ อำเภอแกลง ไม่ได้ไปอยู่เลย ผลที่สุด มีพระวัดหนึ่งเขาสุกิม อยากได้ มันสวยดี ก็เลยมาพาเจ้าภาพมาที่ถวายที่ให้มาหา มาหาแล้วบอกว่า ผมอยากได้ ถ้าอาจารย์ไม่สร้างดำเนินต่อไป ผมจะขอสร้าง มันจะดี มันเป็นวิวดี มันเป็นหลังเนินเขามองลงไปเห็นชายทะเล แถวนั้น ก็บอก โยมเจ้าภาพไม่พูด มีแต่นั่งน้ำตาซึมอยู่ เจ้าภาพที่ถวายที่ให้มาด้วย เจ้าอาวาสวัดเขาสุกิมมาด้วย เจ้าคุณจังหวัดมาด้วย เอาหลักฐานมาด้วย ก็เลยไม่รู้จะพูดยังไง ถามเจ้าภาพก็ไม่พูดซักคำ จะให้ใคร หลวงตาก็หมดสภาพแล้ว ไม่สามารถที่จะสร้างให้เป็นวัด สำนักปฎิบัติธรรมสาขาหลวงพ่อเทียนได้ตามวัตถุประสงค์ ไม่มีโอกาสไปเลย ไม่สำเร็จเพื่อให้เจ้าภาพได้สร้างตามวัตถุประสงค์ แล้วแต่เจ้าภาพจะคิดยังไง สำหรับหลวงพ่อเนี่ยทำไม่ได้แล้ว มันมีหลายที่ ถ้าอยู่แถวนี้ก็ตั้ง 3 ที่ แล้วใช่ไหม ภูเขาทอง สุคะโต มหาวัน ใช่ไหมวิ (หัวเราะ) ก็เลยไม่ได้มีโอกาสไป เอาอย่างนี้ซะ ถามเจ้าภาพก็ไม่พูด ก็เลยเอาโฉนดที่ดินน่ะ มาเซ็นต์ข้างหลังว่า ขอมอบโฉนดที่ดินคืนให้เจ้าของ ไม่สามารถที่จะสร้างวัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์เจ้าภาพได้ แล้วแต่เจ้าภาพจะให้ใคร เจ้าอาวาสวัดเขาสุกิมก็ไม่พูดเลย เพราะเราพูดตัดไปหมดเลย ถ้าเราจะไปให้ก็ไม่ถูกต้อง จึงขอมอบโฉนดที่ดินใบนี้ให้แก่เจ้าของคืนไป เจ้าอาวาสกลับมาอีก มาถามว่าเป็นไง สร้างวัดสำเร็จหรือยัง ถามเจ้าของ ไม่สำเร็จเลย พระไม่ดี เอาซะแล้ว พระไม่ดีไม่สำเร็จเลย พระไม่ดี คงจะให้กันไป เดี๋ยวนี้มีใครเสนอที่วัดให้ ไม่เอาแล้ว อาจารย์ทรงศิลป์บอกว่าเชียงรายจะให้ที่นั่นที่นี่ เอ้า แล้วแต่อาจารย์ทรงศิลป์จะเอา
เวลานี้อะไรที่มันเป็นบุญไปลงอันนั้น บางทีเราไปสอนคนแก่นี่ นั่งอยู่เป็นชั่วโมงไม่รู้เลยเลย มีแต่พูดเรื่องพระปรางค์นี้ พระประธานเอารูปพระต่างๆมา ให้ดูนู่น ว่าเป็นประธานที่นู่น เอาผ้าอะไรมามัดให้พะรุงพะรังกันหมดเลย ทอดผ้าป่าทอดกฐิน นั่นน่ะบุญอะไร บุญอะไร บุญนะให้มันรู้เนี่ย ตัวรู้ ภาวะที่รู้ดูแลกายใจให้มันดีเนี่ย อย่าให้มีทุกข์มีโทษเกิดขึ้นจากกายจากใจเรา ถ้าเราดูแลตัวเองปลอดภัยดีแล้วคนอื่นก็ปลอดภัย เราก็มีหน้าที่เป็นสัตว์สังคม มีพ่อ มีแม่ มีลูก มีเมีย มีพี่ มีน้อง มีงานมีการ ยิ่งเป็นหมอ ยิ่งเป็นพยาบาลนี่ ที่ว่างาน งานของพระ งานบุญ ทำลงไปด้วยใจบริสทุธิ์ ด้วยใจบริสุทธิ์ งานบุญเหมือนกันน่ะ สนุก ใครก็ตามมีหน้าที่ทุกคนอยู่ ถ้าไม่ทำ เป็นคนอื่นก็มาทำอยู่เนี่ย เป็นคนอื่นไปบอกคนอื่น อย่างน้อยเราต้องเริ่มต้นจากตัวเรา สงบสักคนหนึ่งนะ ไม่มีปัญหา ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนคนอื่น แน่นอนที่สุดไม่เบียดเบียนตัวเองไม่เบียดเบียนคนอื่น ในชีวิตนี้ในชาตินี้จะมีชาติอีกกี่ชาติก็จะอยู่อย่างเนี่ย แล้วก็จะบอกคนแล้วจะอยู่ ถ้าตายไปแล้วไปอยู่นรกจะมีโอกาสสอน ก็จะสอนพวกสัตว์นรกแบบเนี่ย ถ้าจะไปอยู่สวรรค์ก็จะสอนแบบเนี่ย ไปอยู่ที่ไหน ก็จะสอนถ้ามีคนนะ ถ้าสัตว์เดรัจฉานนี่อาจจะสอนไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ใช่มนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ได้ ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ นี่คือมันมีมรรคมีผล มันหลงเปลี่ยนหลงเป็นรู้ เนี่ย มันเป็นมรรคเป็นผลแล้ว จากหลงเป็นรู้แล้ว จากโกรธเป็นไม่โกรธแล้ว จากทุกข์เป็นไม่ทุกข์แล้ว ก้าวแรกต้องไปจากนี่ก่อน ไขกุญแจแก้โซ่ตรงนี้ก่อน ถ้าหลุดไปจากนี้ก็ไปแล้ว ไม่มีด่านกักแล้ว
เริ่มต้นก็มีหลัก กายยานุปัสสนาสติปัฏฐาน อะไรที่เกิดกับกาย หลักก็เฉลยไปแล้ว กายสักว่ากาย กายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เอาพระพุทธเจ้าเฉลยไป สร้างแนวทางไปก่อน ให้กระแสไปก่อน แม้ยังไม่ลงตัวก็ดำเนินไปก่อน เช่นทางมันบอกตรงนั้น เหมือนทาง สองศูนย์อะไร ถ้าจะไปกรุงเทพไปแก้งคร้อเนี่ย อะไร หนึ่งสองศูนย์อะไร ตัดไปก่อน ถึงกรุงเทพแน่นอน หมายเลขมันไปอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อ เราไม่เคยไป แต่ตามไปก่อน ตามเส้นไปก่อน สองศูนย์สี่อะไร (หัวเราะ)มีหมายเลขนะ ทางหลวงประเทศไทยเนี่ย ถึงไหนถึงไหน แผนที่ไปสู่มรรคสู่ผล
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อะไรที่เกิดกับกาย อย่าเอามาเป็นตัวเป็นตน เป็นสุขเป็นทุกข์ สุขทุกข์ไม่ได้ สักว่าๆ เวทนาที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์ สักว่า อย่าไปเอามาเสวยทุกข์ จิตที่มันคิดก็อย่าเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ สักว่าจิต ธรรมที่มันเกิดอะไรขึ้นมา ความง่วงหงาวหาวนอน เป็นกุศลเป็นอกุศล ก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไปก่อนๆ ต่อไปเมื่อชำนาญจะได้เห็น เมื่อมันถึงแล้วมันจึงจะได้เห็น มีแล้วจึงเห็น เป็นแล้วจึงรู้ เหมือนพวกเรามาสุคะโต นี่แหละสุคะโต บรรยากาศแบบนี้ แต่ก่อนยังไม่มา แต่ว่าก็รู้นะ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เมื่อมาถึงแล้วจึงรู้ว่า ดี สุคะโต บรรยากาศสุคะโตเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปคิด มันสัมผัสแล้ว สัมผัสอย่างนี้อยู่ที่ไหนก็ได้บัดนี้ อยู่ในโลกไหนก็ได้ ถ้าสุคะโตก็อยู่ที่นี่ นี่มันสัมผัส เห็น มีแล้วจึงเห็นเป็นแล้วจึงรู้ เราอยู่ที่นี่แล้ว
มรรคผล นิพาน ก็เช่นกัน ศีลก็เหมือนกัน มีศีลแล้วจึงรู้ว่าตัวเองมีศีลนะ ไม่ใช่ศีล สมาทาน ศีลสมาทานไปขอเอา อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 สะมาทิยามิ สมาทาน 10 ข้อ 5 ข้อ 8 ข้อ เป็นศีลสมาทานแบบนั้น ไม่จริง อันนั้นศีลสิกขา ศีลที่ไปสู่มรรคสู่ผล มีแล้วจึงเห็น เป็นแล้วจึงรู้ มีศีลแล้วจึงเห็น โอ้ย ศีลรักษาเรามาแล้ว สมาธิช่วยเรา ปัญญาช่วยเรามา หลุดมาได้ อะไรเป็นทุกข์ไม่เป็นทุกข์ศีลมาช่วย หนักแน่นมีสติ ปัญญามาช่วย นี่เรียกว่า สิกขา ศีลสิกขาไม่ต้องมาขอ สร้างเอาได้ ให้มันรู้ไปเนี่ย สัมผัสไป มันหลงรู้ มันโกรธรู้ มันอะไรต่างๆ
จากหลักสูตรเนี่ย กายสักว่ากาย เวทนาสักว่าเวทนา จิตสักว่าจิต ธรรมสักว่าธรรม หลุดไปเลย เมื่อหลุดแล้วจึงเห็น โอ้ มันหลุดมาแล้ว ทีแรกมีศีลแล้ว มีสติก็ละความชั่วแล้ว มีสติก็ทำความดีแล้ว มีสติก็เกิดจิตบริสุทธิ์แล้ว มีสติก็เป็นศีลแล้ว มีสติก็เป็นสมาธิแล้ว มีสติก็เป็นปัญญาแล้ว ไปเป็นพวงเลย ง่าย ไม่ใช่ยาก แต่ว่าลึกซึ้งไม่ใช่ลึกลับ ลึกซึ้ง ศาสนานี่คำสอนของศาสนาลึกซึ้ง สัมผัสได้เลย ยิ้มในเวลาที่มันยิ้มไม่ออก เวลาใดที่มันโกรธนี่ มันทำให้เห็นลึกซึ้ง โอ๊ยนี่หัวเราะความโกรธแค่นี้ก็โกรธหรือ เรานี่ เป็นพ่อแม่คนแล้ว เป็นผัวคนเป็นเมียคนแล้ว แค่นี้ก็โกรธแล้ว จะอยู่ด้วยกันได้หรือ เพียงตาเห็นหูได้ยิน โกรธแล้ว ให้อะไรเป็นใหญ่ ให้เขาเขาซัดไป อารมณ์มันเหมือนคลื่น คลื่นมันอยู่ในน้ำ ไม่ใช่น้ำ มันเป็นคลื่น มันเป็นคลื่นเพราะอะไรเพราะมีลมมาพัด อย่าไปเอาคลื่นเป็นน้ำ อารมณ์อย่าเอามาเป็นใจ ความโกรธจะเอามาเป็นใจ เป็นอารมณ์เป็นอาการที่เกิดขึ้น มันไม่มี แต่เดิมอยู่แล้ว แต่มันยกคลื่นขึ้นมา เป็นความโกรธ ความรัก ความเกลียดชัง อย่าทำตามมัน ให้เห็นมันสักแต่ว่าอย่างเนี่ย โอ๊ยได้ยินบ่