แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาเป็นปากเป็นเสียงแทนพระพุทธเจ้า แล้วก็สาธยายพระสูตร ฟังมาทุกคนก็คงได้ยินทำในใจ เป็นปากเป็นเสียงแทนพระพุทธเจ้า เป็นขา เป็นแขนเป็นสติปัญญาแทนพระพุทธเจ้า เราสวดพระสูตร พระพุทธเจ้าแสดงพระสูตรนี้ที่เราสวด สาธยายมา เมื่อวันเพ็ญเดือน 8 ก่อน ปรินิพพาน 45 ปี นับจากวันนั้นถึงวันนี้ 2597 ปี ก็เอามาสาธยายเรียกว่า ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร จัตุอริสัจ 4 สามสูตร สุดท้ายมาสวดปรินิพานสูตร สูตรปรินิพพานสูตรนี้นับจากวันแสดงพระสูตรนี้มา 2552 ปี เท็จจริงยังไง ทำในใจศึกษาดู โดยเฉพาะวิชากรรมฐาน ที่จะตอบสูตรนี้ได้ เห็นสูตรนี้ ไม่ใช่ตะโกนเป็นปากเป็นเสียง แต่ก็มีบ้าง แต่ว่าจะต้องเห็นสิ่งที่แสดง เป็นการทำให้แจ้ง ทำให้เห็นรู้แจ้ง ที่จะเป็นของเราเรียกว่ารู้เห็น พบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น เรียกว่ารู้แจ้ง ไม่ใช่รู้จำ จำมา
เดี๋ยวนี้เราก็รู้จำกันมา เปิดตำราสวดกัน จำเอา เมื่อดูไปดูมาก็วางตำรา ไม่ต้องดู มันก็ติดได้ ติดคำพูดการสวด แต่การติดการสวดนี้เมื่อไม่ได้สวดนานๆ ก็ลืม อย่างสวดธรรมจักรเคยสวดได้ติดปาก เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครพาสวดก็เลยลืมไปแล้ว อันนี้รู้จำมันลืมได้ แต่รู้แจ้งไม่ลืม เห็นความไม่เที่ยง มันเห็นแจ้งในความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ก็เห็นแจ้ง เห็นความไม่ใช่ตัวตนก็เห็นแจ้ง เห็นรูปเห็นนามเห็นแจ้ง รูปธรรมนามธรรมเห็นด้วยแจ้ง รูปทุกข์ นามทุกข์ รูปโลก นามโลก สมมุติ บัญญัติ วัตถุ อาการ เห็นแจ้ง อันนี้ว่ารู้แจ้ง ไม่ใช่รู้แบบไปเปิดตำรา เอาตำราคือกายคือใจเรานี่ ให้มันเห็น ให้มีความรู้สึกตัว เราเปิดตำรานวโกวาท หลักสูตรนักธรรมชั้นตรี ธรรมวิภาค ปริเฉทที่ 1 ธรรมมีอุปการะมาก 2 อย่าง สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ท่องจำเอาติดปาก ไปสอบนักธรรม สอบได้ ได้ใบประกาศมาติดฝา แขวนห้อยฝาไว้ แต่นั้นเป็นการรู้จำ แต่การรู้แจ้งไม่ต้องมีอันนั้น มันอยู่ในชีวิตจิตใจของเรา
เห็น ก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด ขณะที่พูดที่ทำขณะที่คิด มันมีสติมันมีสัมปชัญญะ มันเลยไม่ค่อยผิดพลาดไม่ค่อยมีทุกข์มีโทษ ถ้าเรารู้จำก็ยังมีทุกข์มีโทษ เวลาพูดก็พูดผิด เวลาทำก็ทำผิด เวลาคิดก็คิดผิด คิดจนนอนไม่หลับ คิดจนเกิดกิเลสตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ฟังเสียงก็ฟังผิด โดนนินทาก็มาเป็นทุกข์ เขาสรรเสริญก็มาเป็นสุข มันคิดมันเห็นผิดมันฟังผิด มันเอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับเสียงกับรูป ไม่มีสติสัมปชัญญะ เพราะไม่ได้ฝึกหัด บางทีได้ยินเสียงเฉยๆก็ไปกันแล้ว หลงไปแล้ว เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ ความสุข ความทุกข์ เกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง ถ้ามีรูป มีรส มีกลิ่น มีเสียง ที่สมมุติว่าดีว่าชอบก็ติดเอา บริโภคเอา ซื้อเอา ขโมยเอา ข่มขืนเอา ถ้ามันต้องการ ถ้ามันติดแล้ว เมื่อนั้นจึงไม่มีสติสัมปชัญญะ ให้มีใบประกาศห้อยฝาก็ไม่ใช่ ต้องมาฝึกหัดอย่างนี้ ทำบ่อยๆ รู้มากๆ รู้สึกตัวมากๆ ที่ว่าภาวนา ภาวนาขยันรู้ มันหลงน่ะเป็นตัวรู้ เอาอะไรทั้งหมดที่เกิดกับกายกับใจมาเป็นตัวรู้ มาเป็นสภาวะที่รู้ ให้หมดเลย อย่าเอาเป็นพอใจไม่พอใจ มันก็อาจจะมีบ้าง มีสุขมีทุกข์ก็จะมี แม้พอใจไม่พอใจเป็นสุขเป็นทุกข์ก็มาเป็นสภาวะที่รู้ บุกเบิกไปก่อน ทวนกระแสไปก่อน มันเคยอ่อนแอไปทางนั้น ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ บัดนี้กลับมาซะ มารู้สึกตัว อย่างนี้ เรียกว่าหัด การหัดอย่างนี้หัดให้เป็น การเป็นอย่างนี้ไม่มีใครช่วยเราได้ เราต้องช่วยตัวเอง สอนตัวเอง ฝึกหัดตัวเอง แก้ไขตัวเอง เตือนตัวเอง เราต้องเตือนตัวเราด้วยตัวเรา แก้ไขตัวเราด้วยตัวเรา เราต้องมีสติ ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเตือนตนด้วยตน แก้ไขตนด้วยตน มีสติทุกเมื่อ จะอยู่เป็นสุขนะ ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตะโกนบอก สมัยพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ ไม่ใช่สถานที่ อยู่ที่ไหนก็มีสติ
ในสังสารสูตร โมคลา สารีบุตร พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นไปในป่า สังสารสูตร ป่าร่มรื่น น้ำใสไหลเย็น เงียบสงบ ภิกษุทั้งหลายก็สรรเสริญกันว่าป่านี้ดีจริงๆ เหมาะสำหรับพหุสูตอยู่ อานนท์ก็พูดขึ้น สารีบุตรก็พูดขึ้นว่า ไม่ใช่ เหมาะแก่ผู้ที่มีปัญญา ไม่ใช่ อะ โมคลาก็พูดขึ้น เหมาะแก่ผู้ที่มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ก็ไม่ใช่ อนุรุทธะพูดขึ้น เหมาะที่จะผู้มีฌาณอันแน่วแน่ ฌาณสมบัติอันแน่วแน่ดี วาริก็มาต่อว่า ไม่ใช่ เหมาะสำหรับทีมีทรงธรรมทรงวินัยมีระเบียบเรียบร้อย ไม่ลงกัน ทะเลาะกันอยู่ ไม่ใช่ทะเลาะกัน โต้กันเฉยๆ สนุกสนาน เล่นๆกัน พระพทุธเจ้าก็เดินไปหา ภิกษุพวกเธอพูดอะไรกัน ก็เลยเล่าให้ฟัง อานนท์ก็เล่าให้ฟัง เรื่องป่า เหมาะแก่พระอานนท์อยู่ ให้ผมอยู่นี่ สารีบุตรก็เหมาะแก่สารีบุตร บอกว่าเนี่ยให้ผมเนี่ยอยู่ ต่างองค์ต่างพูดกันอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายป่านี้ดีสำหรับผู้ที่ฉันบิณฑบาตแล้ว ถือบาตรวางลง นั่งตั้งกายให้ตรง มีสติให้มั่น เหมาะสำหรับผู้มีสติ สัมปชัญญะ ที่ทั้งหลายก็ยกเลิก ไม่ถียงกันเลย สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ ก็หึ่มขึ้นในป่าสังสารสูตรเลย เรียกว่าลงตัว มันดีอยู่ที่การมีสติสัมปชัญญะ
ก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด เวลามันพูด มันทำ มันคิด ก็รู้จักแก้ไขในการพูด แก้ไขในความผิด สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสติสัมปชัญญะ หัดไปก็ไม่หวั่นไหวต่อนินทาสรรเสริญได้ ถ้าชีวิตเราเปราะบางเกินไป หูเบาเกินไป อะไรก็เชื่อ ถ้าเชื่อแล้วก็เข้าถึงจิตใจ พอใจไม่พอใจ อันนั้นไม่ใช่ อย่าไปห้ามตรงนั้นห้ามไม่ได้ ป้องกันไว้ งั้นเราไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ค่อยปลอดภัยต้องป้องกันดีกว่า กินร้อนช้อนกลางล้างมือให้ดีๆ อย่ากินสุรุยสุร่าย สำรวมระมัดระวังการใช้ชีวิตอย่าสุรุ่ยสุร่าย ใช้กายใช้ใจก็สาธารณะเกินไป สำส่อนเกินไป คิดอะไรก็ได้ สำรวมลงบ้าง มีสติ พูดจาปราศัยสำรวมลงบ้าง อย่าเป็นไก่โจ๊กเกินไป ไปทางไหนก็สโหลสเหลกไปเลยไม่ดี ดูหน้าดูหลัง
พระพุทธเจ้าเคยเอา บอกพระสงฆ์ให้เอาอย่างกวาง กวางป่าเวลาอยู่ป่า กวางเวลาไปหากินมันมองข้างหน้ามองข้างหลัง ไม่ใช่เดินรุดๆไป เดินไปแล้วก็ไปหยุดมอง แล้วก็ไปอีก แล้วก็หยุดมอง บางทีพระพุทธเจ้าก็สอนให้เอาอย่างแย้ รู้จักแย้ไหม แย้ เขาเรียกอะไร (หัวเราะ) หา รู้จักแย้ไหม คล้ายๆกับจิ้งโก๋จิ้งเหลนเนี่ย กิ้งก่าเวลามันอยู่ในรูเวลาออกหากินมันขึ้นมาจากรู มันชูคอขึ้นให้น้อย สักนิ้วเดียวพอมีดวงตาเห็น มันก็มองรอบๆ เห็นไหม เห็นแย้ไหมอยู่ในวัดอะ มีอยู่นะแถวนี้ หลวงตามาปล่อยไว้ ชูคอขึ้นมาก็มองหันหน้าหันหลังดู พองฟูขึ้นมาสูงขาหน้ามองไป ยืดคอขึ้นเห็นที่ไกลๆซักหน่อย ตรงที่มันจะไปกินตรงนั้น ถ้ำมองหาเหยื่อ พอเห็นแล้วก็วิ่งไปกินแล้วก็วิ่งเข้ามาหา ไปทีละนิดหน่อย มีอะไรเกิดขึ้นก็วิ่งเข้ามาหารู สัตว์ตัวใดที่โง่ มันก็อยู่ไม่รอด ชีวิตของเราถ้าไม่สำรวมก็โง่ ถูกมารเอาไปกิน ไปเป็นความรักความชัง จนเสียชีวิตไป เอาความรักไปเป็นชีวิต เอาความชังเป็นชีวิต ไม่ใช่ ชีวิตเรามันต้องไม่เป็นอะไร
หัดตัวเองเราไม่ใช่อยู่คนเดียวหรืออยู่ในโลก กับรูปกับรสกับกลิ่น กับเสียง มันมีรสมีชาติ ถ้าสำรวมไม่ดีมันจะติดรสติดชาติ ในโลกนี้มีการหลอกกัน รสก็ทำให้เราติด เสียงก็ทำให้เรา รูปก็ทำให้เราติดได้ ก่อสร้างบริษัทขึ้นมาเพื่อหลอกกันได้ เฉพาะใบหน้านะ ก่อสร้างบริษัทเป็นร้อย ๆ พัน ๆ บริษัท หากินกับใบหน้าของคน เม็ดสิวเม็ดเดียวก็หากินได้ ถ้าคนยังไม่รู้นะ เสียเงินเสียทอง จิตใจก็มีสำคัญ กระทบกระเทือนเรื่องใด อ่อนแอเรื่องใด ก็อาจจะเจ็บปวดตรงนั้น เหมือนแผลเปราะบางที่ใจไม่ได้ เราอยู่ในโลกอย่าหวั่นไหวง่ายเกินไป ทำตัวเหมือนน้ำ ถ้าจะอ่อนอะไรกระทบนิดหน่อยก็ดีขึ้น ทำตัวเหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบไม่สะเทือนเพราะลม ความเข้มแข็งอะ ไม่สะเทือนเพราะลมนินทาสรรเสริญ อันลมปากของคน เหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบไม่หวั่นไหว ผู้มีสติสัมปชัญญะจะเป็นเช่นนั้น ไม่หวั่นไหวให้โลกนี้ แม้เกิดแก่เจ็บตายก็ไม่หวั่นไหว เพราะฝึกมาดี พร้อมที่จะวางมีสติสัมปชัญญะวางกายวางใจลงได้ เหมือนเรานั่งแพขี่แพ พร้อมที่จะวางแพลงให้มันจมลงไปในน้ำ ขึ้นฝั่งได้ ไม่ต้องไปจมไปกับแพ ไม่ต้องไปแบกแพขึ้นไปด้วย ถึงคราววางก็วาง ถึงเราหยุดก็หยุด ชีวิตนี้มันเพื่อหยุด อะไรก็จะต้องหยุดให้เป็น วางให้เป็นเย็นให้ได้ ถ้าเอาก็หนัก ถ้าวางก็เบา ถ้าเอาก็หนัก หัดตัวเอง จนไม่มีไม่เป็นอะไรกับอะไร สติเท่านี้แหละไปไกลนะ ถึงมรรคถึงผลน่ะ ความหลงเท่านี้ไปไกล ไปถึงอบายภูมิเป็นภูมิอันต่ำไม่เจริญเปรต อสุรกาย สัตว์นรก เดรัจฉาน อย่าประมาท
พระพุทธเจ้าก่อนปรินิพานสั่งนักสั่งหนา หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว ดูก่อนท่านทั้งหลายสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์เสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท โอวาทของเราตถาคตเจ้าเป็นคำสั่ง สังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ ให้เห็นแจ้ง อย่าเอาความไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ อย่าเอาความเป็นทุกข์มาเป็นทุกข์ อย่าเอาความหลง มาเป็นความหลง อย่าเอาความโกรธ มาเป็นความโกรธ ให้มีสติปัญญา ไม่ขอมีส่วนร่วมด้วย อะไรทุกข์ให้มีส่วนร่วมว่าไปดูด้วย มันสุขมันทุกข์ไม่ต้องทุกข์ก็ได้ อย่าตัดสินใจด้วยตนเอง ช่วยกันบ้าง ช่วยเราบ้าง ขอมีส่วนในหัวใจด้วย เวลามันหลงไม่หลงก็ได้นะ ให้ได้ยินเอาไว้ เวลามันโกรธไม่โกรธก็ได้ เวลามันทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ มันมีอยู่ในนั้น พระพุทธเจ้าสอนพวกเราอย่างนี้ มองเห็นความไม่เที่ยงแทนที่จะเป็นทุกข์ เป็นนิพพานได้เลย มองเห็นความไม่ทุกข์แทนที่เป็นทุกข์เป็นนิพพานได้เลย ถ้ามองเป็น ถ้ามองไม่เป็นก็เป็นทุกข์เป็นโทษ ปัญหามันเกิดปัญญาได้ ถ้าคนทำอะไรไม่ผิด ไม่ได้ทำงาน ถ้าคนทำอะไรผิดถือว่าคนทำงานแล้ว อย่าทำผิดซ้ำ อันนี้เรียกว่าคนทำงาน อย่าไปเจ็บอกเจ็บใจเวลามันผิดมันพลาด เป็นบทเรียนที่มีค่า เยอะแยะ ชีวิตที่เราอยู่ร่วมกันเราอยู่คนเดียว เราอยู่กับงานกับการด้วย อย่าหลง
ให้ศึกษาชีวิตเรื่องนี้บ้าง มันมีอยู่สูตรเนี่ย สูตรชีวิต สูตรของคนเนี่ย กาย เวทนา จิต ธรรม เปิดตำราเข้าไปเห็นเข้าไป เห็นเข้าไป ได้หลัก ได้หลักแล้ว กาย เวทนา จิต ธรรม ได้หลักเข้าไป ไม่ติดตรงนี้ แต่ก่อนตรงนี้มันกักขังเรา เหมือนด่าน เป็นด่านที่เราผ่านไม่ได้ ไปที่ใดก็เจอ กายแล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ เจอเวทนาก็เป็นสุขเป็นทุกข์ เจอความคิดก็เป็นสุขเป็นทุกข์ เจอธรรมมารมณ์ที่เกิดขึ้นมาก็เป็นสุขเป็นทุกข์ หวั่นไหวไปตามกาย ตามเวทนา ตามจิต ตามธรรม บัดนี้เราเห็นแล้ว สักว่า สักว่าไปเลย ทีแรกก็อาศัยพระพุทธเจ้าสอนไว้ สักว่ากาย สักว่าเวทนา สักว่าจิต สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา เป็นพูดเป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า ออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เมื่อเราดูไปๆจะเป็นคำพูดของเรา เราจะพูดคำนี้ออกมาได้อย่างองค์อาจ ทักท้วงได้จนเห็นรูปเห็นนาม มีหลักฐานได้ รูปมันบอกนามมันบอก ไม่ต้องไปค้นหามันแสดงให้เห็น อะไรที่เป็นรูปเป็นนาม อะไรที่เป็นนามรูป นามเป็นยังไง มันเป็นรูปธรรมนามธรรมยังไง เป็นรูปทุกข์ นามทุกข์อย่างไร มันเป็นรูปโลก นามโลกอย่างไร เป็นสมมุติยังไง มันเป็นบัญญัติอย่างไร มันเป็นวัตถุอาการอย่างไร มันบอก เราก็ได้หลักฐานเข้าไป มันเป็นสูตร สูตรของชีวิต เป็นสูตรที่สร้างเป็นสูตรที่รื้อ เหมือนกับสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างขึ้นมาก็รื้อได้ ถ้าอันไหนรื้อไม่ได้ไม่ใช่ก่อสร้าง ประตูก็เปิดได้ปิดได้ หน้าต่างก็เปิดได้ปิดได้ เดินได้ก็หยุดได้ วิ่งได้ก็หยุดได้ ถ้ามันมีแต่วิ่งไม่มีหยุดมันก็ไม่ไหว
ชีวิตคนเรามันประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานมีปัญญาด้วย รอบรู้ รู้หมด รู้จักรูปจักนามนี่ เป็นแห่งความรู้ 84000 อย่างอยู่ในกองรูปกองนามนี่ ไม่ต้องไปค้นตำราเล่มใด พระไตรปิฎกเขียนออกมาเป็นภาษาไทย 80 เล่ม เป็นภาษาบาลี 45 เล่ม 80 เล่ม เอาจากพระชนมายุของพระพุทธเจ้า 80 พรรษา 45 เล่ม นับจากอายุพรรษาของพระองค์ 45 พรรษา เลยเอาพระไตรปิฎกให้ได้สัดได้ส่วนแบบนี้ เขียนเป็นหนังสือขึ้นมาตำราเล่มใหญ่ เหมือนถ้าไปเปิดดูก็เห็น มีประวัติเท็จจริงยังไงสมบูรณ์แบบ เมื่ออ่านตำราได้แล้วมีแผนที่แล้วไปค้นหาก็ยังเห็น หลวงตาพูดอยู่เนี่ย ก็เอาจากตำราเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่พูดเอาเอง เห็นตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้สอนอย่างนี้ ก็ทำให้เห็นตามธรรม ให้เห็นตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้เห็นแล้วก็ทำให้เป็นด้วยทำให้ได้ด้วย
ว่าเช่น ตระกูลที่จะมั่งคั่งอยู่นานได้ เพราะเหตุ 4 ประการ 1.รู้จักซ่อมแซมพระสูตรที่ล้ำค่า 2.รู้จักแสวงหาพระสูตรที่หายไปแล้วให้คืนมา 3.แสวงหาพระสูตรที่ยังไม่มีให้มีขึ้น 4.บุรุษสตรีที่เป็นพ่อบ้านแม่เรือนให้เป็นคนมีศีล เนี่ย ให้มั่งคั่ง ตระกูลที่เสื่อมทรามตั้งอยู่นานไม่ได้เพราะไม่ซ่อมแซมพระสูตรที่ล้ำค่า ไม่แสวงหาพระสูตรที่หายไป ไม่แสวงหาพระสูตรที่ยังไม่มีให้มีขึ้น บุรุษสตรีผู้เป็นพ่อบ้านแม่เรือนขี้เกียจขี้คร้านแร้งคาบมา กาคาบหนีก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่ต้องไปอ้อนวอนอยู่ที่การกระทำของเราอย่างนี้ นี่พระพุทธเจ้าสอน
เราไม่มีพ่อ พ่อตายเสียจาก อาศัยการเล่าเรียนแบบนี้มาสอนตัวเรา บวชเป็นเณรน้อยก็ดีนะมีประโยชน์นะ ลักษณะของความเกลียดคร้านมีลักษณะ 5 ประการ 1.อ้างว่าร้อนนักไม่ทำงานทำการ 2.อ้างว่าหนาวนักไม่ทำงานทำการ 3.มักอ้างว่ายังเศร้าอยู่ไม่ทำการทำงาน 4.มักอ้างว่าหิวนักไม่ทำการทำงาน 5.อะไรอะหา (หัวเราะ) เนี่ยเอามาสอนตัวเรา ถ้าเวลาใดอ้างว่าเช้าอยู่ไม่ลุก อูย ไอ้เกลียดคร้านตัวเนี่ยไม่ได้ อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาอ้าง นี่ทำมาหากิน อย่าทำไปคลางแคลงไปเอาข้อวัตรปฎิบัติคำสอนของพ่อของแม่ ของครูอาจารย์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เยอะแยะเลย ก็ยังใช้ได้
ปีนี้ก็ไม่เหมือนปีกลายนะเดินนี่ยึกยัก ยึกยักนะ ขาไม่คล่องนะ ต้องใส่ไม้เท้า ไปไม่กลับ อยากจะเป็นไก่แก่ โคแก่ อยากดีดดิ้นอยู่คนเดียวไปไหนอยากไปคนเดียว กลัวเขาจะรังเกียจ เดินไปก็อยากไปคนเดียว แต่มันจำเป็นต้องอาศัย ทิ้งผู้ที่พึ่งพาอาศัยไม่ได้ ต้องอาศัยถ้าใจจริงๆอยากไปอย่างนั้นแต่มันไปไม่ได้ อย่างนี้ยังกินยาจะกินข้าว แต่นี่ตอนเช้าไปฉันที่ศาลาหน้า เขาหาให้กินที่นั่น เหมือนโคแก่เคยกินที่นั่นก็ไป ตอนกลางวันมาฉันที่กุฏิหลวงพ่อกรม ตอนเย็นไปฉันที่กุฏิโน่นไม่ใช่ฉันข้าวนะ ฉันน้ำปานะ มันจะต้องกินยาทุกเวลาวันละ 3 มื้อ วันละ 3 ครั้ง ตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น ต้องกินอาหารพอได้กลืนข้าวรองท้อง เราวางแบบที่จะต้องมีอาหารรอง หมอเขาสั่ง สั่งอาหารให้ถูกต้องตามหมอสั่ง ให้ถูกต้องตามเวลา จึงจะมีประโยชน์ ต้องเชื่อหมอ เนี่ยนั่งอยู่เนี่ย เราก็รอดมาเพราะหมอเนี่ย เป็นเทพธิดา เทพบุตรของเรา มีปัญญาช่วยเรา อย่างนี้ก็อาศัยพวกเหล่าเพื่อนๆ อยากจะหนีไปอยู่คนเดียว ก็ไม่ได้ ไปไม่ได้ จึงต้องเป็นผู้อาศัย เป็นผู้อาศัย
อย่าลืมว่า อยู่นี่ก็ยังมีผู้อาศัยเราอยู่ อย่านึกว่าเราตัวคนเดียว มีตัวที่คนทำให้เป็นผู้อาศัยคนอื่นได้ ตัวเองหมดความสามารถต้องอาศัยคนอื่น มีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ต้องมีที่บ้านเรา มีพ่อ มีแม่ พ่อแม่พูดในใจ หลวงตาไปถ่ายธรรมจักรประเทศอินเดียได้ภาพมา ที่นี่ไม่มีนะ ภูเขาทองมีนะ มีแม่อุ้มลูก แม่ป่วยลูกไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล พอเห็นลูกแล้ว ลุกขึ้นมาเลยมีกำลังใจ กอดลูก พูดในใจว่ายามแก่เฒ่าหวังเจ้าเฝ้ารับใช้ ยามเจ็บไข้หวังเจ้าเฝ้ารักษา ยามต้องสิ้นใจวายชีวา หวังให้เจ้าปิดตาเวลาตาย นี่ยังมีพึ่งที่พึ่งอยู่ พ่อแม่พี่น้องหวังพึ่งลูกพึ่งเต้า ทุกคนมีพ่อมีแม่ เราไม่ห่วงพ่อห่วงแม่ อาจต้องคิดว่าแม่ต้องห่วงเราพ่อต้องห่วงเรา กลับบ้านเสียบ้างให้ให้ข่าวให้คราวบ้าง อย่าถึงกับว่าเราเนี่ยไม่มีพ่อมีแม่เลย เวลานี้ เรามาปฎิบัติธรรมมีคนอาศัยเราอยู่อย่างน้อยพ่อแม่อยู่บ้าน ลูกชายลูกสาวของฉันไปปฏิบัติธรรมอยู่ คงจะดีขึ้นเยอะแยะ มีความหวัง พ่อแม่ทุกคนหวังเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี แล้วลูกเป็นคนดีก็มีความสุขใจ ถ้าลูกเป็นคนชั่วก็ทุกข์ใจ มันแยกไม่ได้ ใครมีสามี สามีก็อยากให้เมียเป็นคนดี ใครมีเมียก็อยากให้สามีเป็นคนดี ใครมีพี่มีน้องก็อยากให้พี่น้องเป็นคนดี จนถึงพราหมณ์เห็นพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต กำลังกวาดอยู่ กำลังปัดกวาดอยู่หน้าบ้าน พระพุทธเจ้าโคจรบิณฑบาตตอนเช้า พราหมณ์เห็นพระพุทธเจ้าเดินบิณฑบาต ยืนมองยืนไม่ปัดกวาดเลย ปัดโท่ ปาดโท่ ป๊าดโท่ (หัวเราะ) พราหมณ์ทำไมจึงตื่นเต้นเห็นพระพุทธเจ้าบิณฑบาต แล้วก็พูดออกมาว่าใครมีลูกชายอย่างนี้พ่อแม่ได้นิพพาน เห็นแล้วเย็นใจ ใครมีสามีอย่างนี้ภรรยาได้นิพพาน ใครมีพี่ชายอย่างนี้น้องได้นิพพาน ใครมีน้องอย่างนี้พี่ได้นิพพาน อะไรอ่ะ มันเย็น ของคนดี กิริยามารยาทไม่หุนหันพลันแล่น กลับไปบ้านเย็นใจ ให้คนเห็นเย็นใจดีกว่าเก่า เพื่อนร่วมงานเย็นใจ เรามีทำให้สามีเย็นใจ ทำให้ภรรยาเย็นใจ ทำให้พี่น้องเย็นใจ อย่าทำให้กันร้อนใจ เห็นหน้าแล้วร้อนใจ มีไหม มันต้องเย็นบ้าง เห็นหน้าภรรยาเย็นใจ ทำงานมาเหนื่อยๆพอเห็นหน้าภรรยาอยู่บ้านแล้ว หายเหนื่อยเลย มีไหม หา เอ่อ ทำงานเหนื่อยๆกลับมาบ้านเห็นหน้าสามีเย็นใจ หายเหนื่อยเลย มีกำลังใจนะ คนมีกำลังใจอย่างนี้อ่ะ ไม่ทุกข์ไม่จน มีอะไรก็สู้ตะพึดตะพืด ถ้าเดือดร้อนไม่มีกำลังอะไร ข้าวราดแกงแรงคาดหม้อ ไม่มีกำลังใจจะทำอะไร ทุกข์จนนะใจไม่ดี ต้องทำให้ใจมันดี นะ อันนี้ต้องฝึกหัดตัวเองแล้ว เรื่องนี้วิธีใดก็ได้
กดอีเมล สุคะโตก็มีนะ ประเทศต่างประเทศเขากดปั๊ป ยกมือสร้างจังหวะ เอ่อนี่ หลวงพ่อเทียน (หัวเราะ) สมัยนี้ มันมีอยู่นะ เป็นมือเป็นแขนหลวงพ่อเทียนเลย กดแล้วก็เห็นล่ะสุคะโตมาได้เลย คิดว่าเดียวนี้อาจารย์ตุ้ม อาจารย์โน๊ส อาจารย์ทรงศิลป์กำลังจะให้เป็นนานาชาติ อยากจะมีแคมป์อยากทำแคมป์ พระสงฆ์เดี๋ยวนี้ตามหลังญาติโยม เนี่ยที่สาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ชวนกันมานัดกันมา ทำไมพระสงฆ์ไม่ทำอย่างนี้ ถ้าจะไปเสนอเจ้าคณะอำเภอให้จัดการคณะสงฆ์เรื่องนี้ว่า ให้อาจารย์ทรงศิลป์เทปูนไว้ในที่ต่างๆเป็นแคมป์ คิดว่าพออยู่ได้นะสุคะโต อยู่ได้ไหม โรงทานพออยู่ได้ไหม ทำห่อข้าววันละห่อซัก 7 วัน ได้ไหม ห่อข้าวให้ เวลาใครมาปฏิบัติห่อข้าวให้ ข้าวห่อหนึ่งขวดน้ำขวดหนึ่งได้ไหม 7 วัน 100 ห่อ 7 11 700 ห่อ 7วัน น้ำ 700 อยู่ได้ไหม อยากจะนัดแบบนี้นะ
ในช่วงที่มีชีวิตอยู่เนี่ยเอากันบ้าง อย่าทิ้งกัน เห็นใครไม่ดีขอที่ว่าเป็นความผิดของเรา อย่าไปเกลียดเขา ทำไมถึงว่าเป็นความผิดของเรา เรายังไม่ได้สอนเขา ถ้าสอนเขาแล้วเขายังไม่ดี พรุ่งนี้มีอยู่เขาอาจจะดี ถ้าพรุ่งนี้เขายังไม่ดี เดือนหน้ายังดี เขาจะดีเดือนหน้า ถ้าเดือนหน้าไม่ดีปีหน้าคงจะดีได้ ถ้าปีหน้าไม่ดีชาติหน้าคงจะดีได้ ให้คิดแบบนี้ พอเห็นกันปั๊ป รักกันเลย ชังกันเลย ใช้ไม่ได้เลย มันสั้นเกินไป ให้เหนียวแน่นสักหน่อย เราอยู่ร่วมกันในโลก อย่ารังเกียจกันจนเกินไป สงสารคนที่ไม่ดีให้มาก ถ้าหลวงตาไม่ใส่ชุดนี้นะ จะอุ้มเด็กนะ เคยสอนเด็กนักเรียน เด็กทำท่าจะไปจะมา แต่มันไม่เหมาะ ในเพศนี้มันก็ไม่เหมาะ อยากอุ้มเด็กอยากเล่นกับเด็กน้อย รักเด็ก เห็นพ่อแม่บางคนลูกร้องไห้ตามมา ซุกหัวลูกมึงดีแต่ร้องไห้ตามกูทำไม (หัวเราะ) มันก็รักแม่มัน มันก็ต้องวิ่งตาม พ่อแม่รังเกียจเวลาลูกร้องไห้ตาม ซุกหัวล้ม โอ้ยอยากไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา สงสารมันไม่เดียงสาอะไรมันซื่อๆ แต่พ่อแม่ไม่ค่อยมองมันแบบเป็นเด็ก มองมันแบบแต่เรา แม่คิดยังไงคิดว่าลูกคิดอย่างงั้น มึงอย่ามากับกู แต่ไม่ได้ ลูกมันคิดถึงแม่มันใจจะขาด ให้ร้องไห้ไปจนใจจะขาด แม่ยังเอามือซุกหัวล้มลงไป ใช่ไหม เห็นไหม เนี่ยมันทำไม่ลง ให้มีน้ำใจสักหน่อยรักกัน
ชีวิตของเราบางทีก็อยากจะทำอะไร มันทำไม่ค่อยได้ เหมือนหลวงพ่อเทียนบอก ผมจะไปต่างประเทศ ผมจะนุ่งเสื้อใหญ่ ผมก็จะนุ่งเสื้อใหญ่ จะไปนั่งสอน หลวงพ่อเทียนก็ไปใส่ชุดใส่กางเกง จริงๆอะที่สิงคโปร์ ห้ามไม่อยู่ ปี 26 ห้ามไม่อยู่ หลวงพ่อเทียนป่วยหนัก จะไปสิงคโปร์ พวกเราสมัยก่อนหลวงตาอยู่วัดโมกนะ ไปบริหารวัดโมก ไปประชุมกันบอกว่าตอนนี้หลวงพ่อเทียนอาพาธมากแล้ว พวกเราต้องอุปัฏฐากให้ดีที่สุด แบ่งภาระกันสร้างกุฏิให้ใหม่ วางแผนออกแบบกุฏิเราออกแบบไป ไปพูดกับหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ต้องไปสอนธรรมผมสอนเอง ผมจะเป็นปากเป็นเสียงแทนหลวงพ่อเอง หลวงพ่อไม่ต้องไป หลวงพ่อก็ฟังเฉย ถึงคราว ผมจะไปสิงคโปร์ เขานิมนต์ให้ไป มันไม่เท่านี้ ยังมีคนอีกเยอะที่ยังไม่รู้ หลวงพ่อก็ป่วยหนักตอนนี้ เดินจงกรมยังอุ้มท้องอยู่ ไปก็ได้ไม่เป็นไรหรอก ไปกับคุณชูศรีเป็นล่ามไป ห้ามก็ไม่อยู่ เวลาประชุมก็ หลวงพ่อเทียนไม่อยู่กับเราหรอก หลวงพ่อไม่อยู่กับเรา เวลาส่งหลวงพ่อขึ้นรถ หลวงพ่อเทียนไม่เชื่อพวกเรา หลวงพ่อไม่เชื่อเรา คอยไปรับศพหลวงพ่อที่สนามบินนะ (หัวเราะ) โกรธนะ (หัวเราะ) ปีนั้นนะ มันวันที่ 13 ที่ผ่านมา ไปวันอายุหลวงพ่อเทียน ก็เลยแสดงให้เพื่อนฟังว่า ยังพูดกับหลวงพ่อเรื่องนี้นะ ไม่ใช่พูดเพราะความเกลียดชัง ห่วงหลวงพ่อมาก ก็ หลวงพ่อก็ไป พูดออกมาได้ไหม หลวงพ่อไม่อยู่กับเรา หลวงพ่อไปสิงคโปร์แล้ว พวกเราคอยไปรับศพหลวงพ่อที่สนามบินโน่น (หัวเราะ) หลวงพ่อเทียนก็หัวเรานะ (หัวเราะ) หัวเราะ ไป ไม่ถึงอาทิตย์เดียวนะ หลวงพ่อกลับมาแล้ว อยู่โรงพยาบาลศิริราชเกือบได้ไปรับศพ เลย ที่โรงพยาบาลศิริราชนอนน้ำลายฟูมปาก น้ำลายฟูมปากอยู่บนเตียงไม่รู้อะไร อาจารย์ชูศรีที่เป็นล่ามไป เอาผ้าเช็ดน้ำลายหลวงพ่อเทียน แล้วมาเช็ดหน้าน้ำตาตัวเอง ทั้งเช็ดตาน้ำตา ทั้งเช็ดปากหลวงพ่อเทียนผ้าผืนเดียว เต็มทีแล้วนะ แล้วก็เอาไงพวกเราบางทีก็นอนอยู่ หลายวันไม่เห็นทำอะไรก็เลย หมอวัฒนาโรงพยาบาลสมิติเวช ขอย้ายโรงพยาบาลไปสมิติเวช ไปตัดกระเพาะออกมาชั่งดู 7 กิโล กระเพาะนี่ไม่มีถุงเลย เต็มไปด้วยก้อนเนื้อตัดทิ้งไปเลย หลวงพ่อเทียนอยู่ได้ไม่เกิน 2- 3 เดือน หลวงพ่อก็พยายาม ใช้ชีวิตอยู่ถึง 7 ปี มาหมดชีวิตลงเมื่อปี 2531 แล้วเราก็ไปปฏิบัติบูชาหลวงพ่อในคืนวันที่ 13 ที่ผ่านมา ไม่หลับไม่นอนกันเลย โดยเฉพาะพวกผู้หญิงเก่งกว่าพระ พระไม่เห็นมีที่ไหน พระเงียบหมดเลย มีโยมผู้หญิง 20 คนนะ ปฏิบัติกัน เดินจงกรม นั่งนะ เราก็ไปนั่งอยู่ด้วยกับหลวงพ่อกรม ไปแสดงธรรมไปพูดอยู่