แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้หลวงพ่อก็มีโอกาส มาร่วมปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าโสมพนัสนี้ แล้วพวกเราก็มีการปฏิบัติบูชา อาจาริยบูชา ๑๒ ปีที่ผ่านมาด้วย หลวงพ่อก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แม้นว่าหลวงพ่อไม่เคยมาที่นี่เลย เพิ่งมาเป็นครั้งแรก ก็ยังมีศรัทธาต่อที่นี่ ได้ทราบข่าว ได้รู้กันอยู่ ก็หวังว่าเป็นที่พึ่งของชาวพุทธทั้งหลายได้ เมื่อมาเห็นแล้วก็ชื่นใจ ไม่ได้ยกย่อง (หัวเราะ) เป็นความจริง ญาติโยมทุกคนก็สมบูรณ์แบบ มาย้อมเอาคำสอนนิสัยปัจจัยต่าง ๆ ไปอยู่ที่ญาติที่โยมแล้ว ถ้าจะว่าก็ศาสนาไปบรรจุลงที่กายวาจาใจของญาติโยมแล้ว นั่งให้ดู เดินให้ดู กิริยามารยาทต่าง ๆ ก็ใช่แล้ว ก็อบอุ่นใจดี เสียงหลวงพ่อเนี่ย มันเพี้ยนไปแล้ว ลิ้นแข็ง คอแห้ง หูก็หนวก มันตายคืน มันจะคืนได้กี่วันก็ไม่รู้ รู้สึกว่าเป็นหนี้ประเทศชาติมากเวลานี้เพราะว่าหลังจากการเจ็บไข้ได้ป่วย พวกเราทุกคนก็สร้างสิ่งแวดล้อม มีกัลยาณมิตรให้กับหลวงพ่อได้พอสมควร แต่ว่าอาจารย์ยังช่วยรักษาหลวงพ่อด้วย คุณหมอที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้พูดให้ฟังว่า “อาจารย์สุริยา ทราบว่าหลวงพ่อมาอยู่โรงพยาบาล บอกให้หนูมาดูแลหลวงพ่อ” โอ้ย! ชื่นใจ ก็เรียกว่า จากน้ำใจของพวกเราที่นี่ ไปถึงหลวงพ่อที่อยู่โรงพยาบาลจุฬาฯ หรือหลาย ๆ คนในคนไทยทั้งชาติ วันนี้อาจารย์ให้หลวงพ่อมาพูดธรรมะให้ญาติให้โยมฟัง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากดอก เพราะว่าอาจารย์ก็สอนอยู่แล้ว จะพูดบ้างเล็กน้อย ก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติบ้างพอสมควร 40 กว่าปีมาแล้ว ก็เป็นลูกพ่อเดียวกันกับอาจารย์สุริยา ถือว่าอุ่นใจ สบายใจ แม้แต่พวกเราทุกคนด้วย
การปฏิบัติธรรมนี้ เราไม่ต้องลังเลสงสัยหรอก โดยเฉพาะการเจริญสติปัฏฐานเนี่ย มันเป็นสูตรมาตั้งแต่สมัยครั้งพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แม้วันนี้ เราจะมีการปฏิบัติบูชาพระอาจารย์ก็ตาม มันไปไกลกว่านั้น ก็ปลายแถวมาถึงอาจารย์สุริยา กว่าจะมาถึงอาจารย์สุริยานี่ มันก็มาเป็นทอด ๆ มา มายุคหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ อาจารย์สุริยาก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เห็นภาพประดิษฐานอยู่ที่ตรงโน้น ในครึ่งศตวรรษมาแล้ว 50 กว่าปี ถ้าเรานับไปอีก ก็นู้นถึงพระพุทธเจ้าโน่น 2,000 , 3,000 ปีมาแล้ว
ไม่ต้องสงสัย ทุกคนไม่ต้องสงสัย พิสูจน์ดูเป็นเช่นนั้นเอง ความรู้สึกตัว กับความหลงตัวเนี่ย สัมผัสดู เป็นอย่างไร มีคำถามไหม เวลาใดที่เรามีความรู้สึกตัว เวลาใดที่เรามีความหลงนะ มันต่างกันไหม ต้องถามอาจารย์สุริยาหรือ เช่น เราเอามือวางไว้บนเข่าเนี่ย ต้องถามอาจารย์รึว่ามือของฉันอยู่ตรงไหน ต้องถามหรือ ไม่ต้องถามเลย สัจธรรมไม่มีคำถาม เป็นการสัมผัสเอาด้วยตนเอง เอากายไปต่อเอา ไปจุ่มเอา กับความรู้สึกตัว เอาจิตใจไปจุ่มเอากับความรู้สึกตัว ให้มันติดกัน ลองดู ชีวิตเราตั้งแต่เกิดมาถึงบัดนี้ มันติดอะไรมา บางคนก็ติดมาก เป็นรอย เป็นแผลมา ถ้าเรามารู้สึกตัว รู้สึกตัว มันรักษาแผล หรือเหมือนกับรถที่ถูกชนมา ถ้าชีวิตของเราทั้งหมดนี้ เหมือนกับรถมือสองก็ว่าได้ ถูกชนมากันมากแล้ว รอยรัก รอยแค้น รอยได้ รอยเสีย รอยสุข รอยทุกข์ เยอะแยะไปหมดเลย พอมามีสตินี้ เหมือนกับมาเข้าอู่ เข้าอู่ซ่อม มีความรู้สึกตัวเท่าไหร่ ๆ ลบได้ ลบแผลได้ บาปก็ลบได้ อกุศลธรรมทั้งหลายลบได้ เพราะความรู้สึกตัวนี้ เป็นธรรมที่เหมือนกับผู้ดูแลเรา เหมือนกับอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ก็ว่าได้ เราจึงไม่มีคำถาม มีแต่คำตอบ
มันหลงเป็นยังไง มันรู้เป็นยังไง ความหลงเป็นธรรมต่อกายต่อใจเราไหม ต่างกันกับความรู้ไหม ความรู้สึกตัวเป็นธรรมต่อกายต่อใจเราไหม เราสัมผัสเอา เรียกว่าเห็น ไม่ใช่รู้ ถ้ารู้ก็รู้เห็น พบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น การคิดเห็นมันไกล โน้นอยู่โน่น เมื่อวานนี้ ปีก่อนโน้น ผ่านมาแล้ว คิดเห็น ที่ยังไม่มาถึงก็คิดเห็น แต่นี่ “เป็นปัจจุบัน” “เป็นปัจจัตตัง” ของผู้ที่ปฏิบัติ มันเกิดการพบเห็นเข้า มันขนาดนั้น
การปฏิบัติธรรม ไม่ฟรีเลย ไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องขออะไร เป็นการสัมผัสเอา ปัจจัตตัง รู้เดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ เห็นได้เดี๋ยวนี้ สัมผัสได้เดี๋ยวนี้ เฉพาะผู้ปฏิบัติ ให้กันไม่ได้ บอกกันไม่ได้ ตัวใครตัวมัน จึงจำเป็นต้องมาทำอย่างนี้กัน รอไม่ได้ ถ้าเราจะรอดูแล้ว ตกใจ เวลาใดที่เราหลง โธ่! เรา ๒๐ , ๓๐ ปี ไม่เคยมารู้เรื่องนี้เลย กระตือรือร้น โดยเฉพาะสร้างจังหวะ 14 จังหวะ รู้หนึ่ง รู้หนึ่ง รู้หนึ่ง มันเก็บเอา เก็บเอา เก็บเอา เหมือนเราเก็บเงิน เก็บของ ก็ได้มากขึ้นจริง ๆ รู้แต่ละครั้ง การยกมือสร้างจังหวะเนี่ย ประมาณวินาทีหนึ่ง หรือช้ากว่านั้นไม่นาน ฟรีไหม ไม่เหมือนทำอันอื่น ไปทำนาก็เสี่ยง ทำไร่ก็เสี่ยง ไปหาอะไรก็เสี่ยง แต่ว่าการเจริญสตินี้ ไม่ต้องเสี่ยงเลย เดี๋ยวนี้ ของจริงต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นปัจจัตตังอย่างนี้ ไม่ต้องเสี่ยง รู้เดี๋ยวนี้เลย ถ้ารู้ทุกวินาที จังหวะหนึ่งวินาที หรือช้ากว่านั้นนิดหน่อย ชั่วโมงหนึ่ง 3,600 วินาที ชั่วโมงหนึ่งมันจะได้กี่รู้ ลองดู พิสูจน์กันดู ไม่ต้องมาเชื่อพวกเรา ไม่ต้องไปเชื่อหลวงพ่อเทียนดอก ผู้ใดมีความรู้สึกตัว รู้สึกตัว เขาก็ไปกันเองแล้ว เขาสอนตัวเขา ไม่ได้นั่งสอนกัน นอนเฝ้ากัน ยืนหน้าห้อง หน้ากระดาน เหมือนครูสอนนักเรียน ว่าแต่ใครมายกมือสร้างจังหวะให้รู้สึกตัว ไม่มีใครไม่รู้นั่งเนี่ย เอามือวางไว้บนเข่าก็รู้อยู่ ยกตะแคงมือขึ้นก็รู้ ยกมือขึ้นก็รู้เนี่ย มันรู้เอง เวลาใดที่เขารู้สึกตัว เขาก็สอนตัวเขาแล้ว เขาหลง ก็ได้บทเรียนจากความหลง เขาจะสอนให้เขารู้ ความหลงสอนให้เขารู้ ไม่เสียหาย เหมือนกับทำอันอื่น เราไปทำอันอื่น ถ้าหลงก็หายไปเลย เช่น หลงเงิน หลงนาฬิกา หลงอะไรต่าง ๆ หายไปเลย แต่ว่าความหลงตัวเนี่ย ถ้ารู้สึกตัว มันเอาคืนมาได้ ยิ่งดี ประสบการณ์กับความหลงเนี่ย มันดี อะไรก็ตาม มันเป็นสากล ความรู้สึกตัวเนี่ย จะเป็นความทุกข์ก็รู้สึกตัวนี้ จะเป็นความสุขก็รู้สึกตัวนี้ จะเป็นความพอใจความไม่พอใจก็รู้สึกตัวนี้ เป็นความรู้สึกตัว เฉลยได้ทั้งหมดเลยเนี่ยะ เราจะเอายังไงกัน ไม่ต้องมาเชื่อ หาเหตุหาผล อย่าหาคำตอบจากความคิด
ปฏิบัติเนี่ย หาความคิด เหตุผลมาตอบ ไม่ถูกต้อง เป็นการสัมผัส เป็นการชิมเอา มันทุกข์ก็รู้ มันสุขก็รู้ มันรู้ก็รู้ มันไม่รู้ก็รู้ ที่เราว่ามีปัญหา ปัญหาต่าง ๆ ไม่ใช่เลย ถ้าเราเจริญสติจริง ๆ ไม่ใช่ปัญหา มันเป็นปัญญาด้วย ปัญญาเกิดจากสิ่งเหล่านี้ นัตถิ เรียกว่าปัญญาเกิดจากกองสังขาร สังขารทั้งหลาย ศีลรักษากายวาจาเรียบร้อย สมาธิตั้งใจมั่น ปัญญาความรอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือ กายสังขาร จิตสังขาร มันมีเยอะแยะมากมาย เรารู้มัน ปัญญาเกิดตรงนี้ ไม่ใช่ไปทัศนาจร ทัศนศึกษาที่ไหน แหล่งปัญญา ถ้าจะเรียกว่าตู้พระไตรปิฎกก็ได้ เอากายเอาใจเป็นตำรา เอาสติเป็นนักศึกษา ดูเข้าไป ดูเข้าไปให้มันเห็น ให้มันเห็นนะ ไม่ใช่รู้นะ การสอนให้เห็นนี้ ไม่มีใครสอนเราได้ นอกจากเราสอนตัวเราเอง อาจารย์พระไพศาลสอนอยู่แล้ว การสอนให้รู้สอนง่าย มีอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย การสอนให้เห็นนี่ เนี่ยในกายของเรา ในใจของเราเนี่ย มันแสดงมาท่าไหน แบบใด เราเห็นมัน เรียกว่า “พบเห็น” ต่อหน้าต่อตากันไป ถ้าดูให้ชัดนะ ความรู้สึกตัวกับความหลงน่ะมันต่างกัน มันไม่มีใครเอาความหลง ถ้าเขารู้สึกตัวแล้ว ดี ให้มันหลงลงไป มันจะหลงแบบไหน ทางใด ได้ทั้งนั้น ความรู้สึกตัวเนี่ย
เราจึงมาศึกษากัน มาลืมตาดู ตาในของเรา คือสติสัมปชัญญะ ให้รู้สึก สร้างความรู้สึก ขยัน ภาวนาคือ ขยันรู้ ไม่ใช่ไปท่องบ่น กรรมฐานคือตั้งไว้ มีการกระทำ วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่ลิขิตชีวิตของเรา ไม่ต้องไปคิดหาคำตอบ มันเป็นไปเอง เราเห็นเอง อย่างที่เราสวดเมื่อกี้นี้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นพระตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร คือมันเนื่องด้วยกัน เกิดขึ้นอยู่ที่กายที่ใจเรา ไม่ใช่อยู่ที่นอกจากกายจากใจเราไป เราจึงกระตือรือร้น กระตือรือร้นมาก เหมือนกับรีบด่วน มันได้ดังใจ ๆ ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ตัวรู้สึกตัวเนี่ย ไม่เป็นของคนหนุ่ม ไม่เป็นของคนแก่ ไม่เป็นของพระของฆราวาส ไม่ใช่ลัทธินิกายใด ไม่ใช่เพศวัย ไม่ใช่ศาสนาลัทธิอะไรชาติใด ไม่เกี่ยว
หลวงพ่อเคยไปสอนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา หลายชาติหลายภาษาอยู่ที่นั่น ใครก็ตาม ถ้ามีความรู้สึกตัว เป็นอันเดียวกัน เป็นความรู้สึกตัวอันเดียวกัน อ้าว! ฝรั่งก็รู้สึกตัว คนไทยก็รู้สึกตัว ฝรั่งนับถือศาสนาคริสต์ หลวงพ่อก็นับถือศาสนาพุทธ เอ้า!เป็นความรู้สึกตัวเหมือนกัน ไม่ใช่ของคริสต์อันหนึ่งของพุทธอันหนึ่ง ความรู้สึกตัวเป็นสากล เป็นของใครละ เป็นของทุกคน เคยไปถูกเขาข่มขู่อยู่ที่บอสตัน มหาวิทยาลัยบอสตัน หลวงพ่อก็นั่งสอนธรรมะอยู่ในห้อง มันหนาว ฝรั่งเดินมาประตู มาชี้หน้าหลวงพ่อ “คุณรู้อะไรมา คุณมาสอนที่นี่ทำไม ขอสัมภาษณ์ได้ไหม” หลวงพ่อก็บอกให้เขาเข้ามา เขาก็เข้ามา เข้ามา มายืนอยู่ 4, 5 คน เขามาชี้หน้า “คุณรู้อะไรมา คุณมาสอนที่นี่ทำไม” (หัวเราะ) เหมือนกับเขาอิจฉาเรา เราก็สบาย เราคนเดียวนะ ไม่ใช่มีหมู่มาด้วย ถ้าหมู่มาด้วยก็อุ่นใจอยู่ เราคนเดียว มีแต่ฝรั่งตัวใหญ่เท่านี้
ก็บอกเขานั่งลง “นั่งลงก่อน”
เขาก็นั่ง นั่งนะเขานั่งขัดสมาธิไม่เป็นเหมือนเรา ไปบังคับให้มันนั่งขัดสมาธิ ไปกดหัวเข่ามัน มันก็โอ้ย โอ้ย โอ้ย ขามันแข็ง มันนั่งแต่เก้าอี้
หลวงพ่อบอกว่า “เรารู้จักตัวเอง”
“คนรู้จักตัวเองเขารู้ยังไง” เขาชี้เรา
ก็บอกให้เขายกมือ สร้างจังหวะ “เอามือวางไว้บนเข่าดูสิ ตะแคงมือข้างขวาขึ้น รู้ไหม” ภาษาฝรั่งว่า aware ๑๔ จังหวะ รู้ ๑๔ ครั้ง ภาษาไทยเรียกว่า รู้สึกตัว ภาษาบาลีเรียกว่า สติ-ความระลึกได้ สัมปชัญญะ-ความรู้ตัว ภาษาของเราคือ รู้สึกตัว ก็ให้เขาทำอยู่ 2 รอบ 3 รอบ ก็ถามว่า “คุณเคยรู้อย่างนี้ไหม”
“No no no”
“อ้าว! คุณไม่รู้อะไรล่ะ คุณก็รู้อยู่นี้” “คุณไปถึงโลกพระจันทร์แล้วคุณไม่รู้สึกตัวหรือ”
“No no”
“เจ็ดวัน รู้สึกตัวสักทีไหม หนึ่งวันรู้สึกตัวไหม”
“No”
“ชั่วโมงหนึ่งรู้สึกตัวไหม”
“No”
“ตายแล้ว! คุณนะ” (หัวเราะ) “เนี่ย คนเอเชียเขารู้สึกตัวอย่างนี้ คุณไปรู้โลกพระจันทร์มาแล้ว ไปเที่ยวพระจันทร์มาแล้ว ศาสดาทั้งหลายเกิดอยู่ที่เอเชีย ไม่เกิดอยู่ที่ยุโรปอเมริกาเลย เพราะคนเอเชียเขารู้สึกตัวอย่างนี้” ก็ขู่มันเลย เพราะถ้ามันมาขู่เรา เราก็ขู่มัน ก็ถามว่า “คุณจะพิสูจน์ไหม”
เขามาขอจับมือเลย “เช็คแฮนด์ ๆ”
“เช็คแฮนด์อะไร”
“ขอจับมือ”
“จับทำไม”
เขาบอกว่าเขาได้พบกับบุคคลที่เขาคิดอยากจะพบ “เมื่อคุณพบแล้ว คุณจะทำยังไง”
เขาถามว่า “คุณอยู่นี่กี่วัน”
“เราจะอยู่นี่อาทิตย์หนึ่ง”
“อย่าหนีไปไหนนะ พรุ่งนี้เราจะพาพ่อเรามา” แล้วก็มาเป็นเพื่อนกัน พาพ่อมาปฏิบัติยกมือเหมือนกับพวกเราเลย
เพราะนั้นความรู้สึกตัวนี้ ไม่เป็นของใครเลย เป็นสากล ผู้สอนก็สบาย ผู้ทำก็สบาย ไม่ต้องไปหลอกกันได้ หลอกกันไม่ได้ของจริงเนี่ย ถ้าเราเอามือวางไว้บนเข่าเนี่ย หลวงพ่อว่ามือของคุณอยู่ข้างหลัง พวกคุณเชื่อไหม คุณเชื่อใคร เขาเชื่อตัวเขา คุณเห็นไหม เขาบอกเขาเห็นมืออยู่เนี่ย ทำไมหลวงพ่อว่ามือฉันอยู่ข้างหลัง ฉันจะเชื่อได้ยังไง มันหลอกไม่ได้ ของจริงหลอกไม่ได้ ถ้าเรามีความรู้สึกตัวอยู่เนี่ย เป็นคน ๆ เดียวกัน ทันทีเลย ถ้าเรามีความหลง เป็นคนละคนกัน จะทำไงเรา ต้องมีความรู้สึกตัวตรงนี้ ตั้งต้นจากตรงนี้ ไปไกลเหลือเกิน เริ่มต้นจากความรู้สึกตัว ท่ามกลางคือความรู้สึกตัว ที่สุดคือความรู้สึกตัว
ที่สุดคือตรงไหน ที่สุดคือ ใช้ได้ คือความรู้สึกตัว ถ้าเราเรียกว่าญาณ ว่าฌานก็ได้ มีสติแล้วแลอยู่ มีสติแล้วแลอยู่ เช่นพระพุทธเจ้า บัดนี้ใกล้จะปรินิพพาน พระอนุรุทธะเป็นผู้เฉลย พระสงฆ์ทั้งหลายนั่งเฝ้าดูอยู่ ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหน เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ฌานที่ 1 ฌานที่ 2 ฌานที่ 3 ฌานที่ 4 ระหว่างฌานที่ 4 ฌานที่ 5 ต่อกันเนี่ย เรียกว่าที่สุดของฌาน ระหว่างต่อหัวกัน ปรินิพพานอยู่ตรงนั้น ถ้าเราตอบว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานอยู่ที่ไหน เราจะตอบว่าอยู่ที่กุสินารา ไม่ถูก ถ้าตามหลักธรรมะ อยู่ที่ฌานที่ 4 ฌานที่ 5 ต่อกัน เรียกว่า “เวทยิตนิโรธ” เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย เพราะอะไร มีสติแล้วแลอยู่ มีสติแล้วแลอยู่ มีสติแล้วแลอยู่ อยู่ตรงไหน อยู่ตรงมีสติ ไม่อยู่กับความเจ็บ ความตาย ไม่อยู่เลย อยู่กับสติ รู้อยู่
หลวงพ่อเคยประสบการณ์หลวงพ่อเทียน วันที่หลวงพ่อตายไป หายใจไม่ออก ควรที่จะพูดบ้างเพราะมันเป็นของจริงสำหรับเราทุกคน หายใจไม่ได้ หื้ม! ก็อย่างนี้เลย หายใจไม่เข้าเลย เพียรอีก สองก็ไม่ได้ เพียรอีก สามครั้งไม่ได้ เพียรอีก สี่ครั้งไม่ได้ หมดแรงแล้ว ตามันทำท่าจะเหลือกขึ้น น้ำลายฟูมปากออกมา เมื่อมันหายใจไม่ได้แล้ว เราก็เอามันทิ้งซะ เอารูปเนี่ยเอาทิ้งซะ เอาขันธ์ห้าทิ้งไปซะ อ้าว! เราทิ้ง เราจะอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่ไม่เป็นอะไร อันที่ไม่เป็นอะไรเนี่ย มีสติแล้วแลอยู่ เอาทิ้งไป มาอยู่กับความรู้สึกตัว จากนั้นก็เงียบไปเลย แล้วก็ ๓ วัน ๔ วัน ก็เห็นหมอเขาเอาท่อมาสอดใส่ปาก แต่ไม่รู้จักว่าเราหายใจนะ ห้องไอซียู โรงพยาบาลจุฬาฯ คุณหมอพรทิพย์เนี่ย มานี่ เป็นผู้ช่วยดูแลหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา
มีสติแล้วแลอยู่ มีหรือยังพวกเรา ความทุกข์ก็เป็นของเราหรือ อะไรเป็นเราทั้งหมดหรือ เรายกมือสร้างจังหวะ กายเป็นเราหรือกาย เราปวดเราเมื่อยเราอะไร เบื่อ เป็นเราหรือ ทุกข์ก็เราหรือ ก็พระพุทธเจ้าเฉลยให้แล้วว่า “กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา” เวทนา มันสุขมันทุกข์ มันปวดมันเมื่อย พระพุทธองค์ก็เฉลยไว้ให้แล้วว่า “เวทนาสักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา” จิตหรือที่มันคิดโน่นคิดนี่ เราหรือ เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะคิดหรือ เคยเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิดกันทั้งนั้น เอาความคิดมาเป็นเหตุเป็นผล เป็นคำตอบ อันที่ใจมันสุขก็ใจมันพาสุข มันทุกข์ก็ใจมันพาทุกข์ อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เราเคยมีทุกข์น้ำตาไหลเพราะความคิด เราเคยหัวเราะสนุกเฮฮาเพราะความคิด ใช่หรือไม่ อันนั้นหรือมันเป็นใหญ่ ไม่ใช่เลย เราจึงมาฝึกตัวนี้ ฝึกความรู้สึกตัวเนี่ย ธรรมก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา บางทีเราไปติดความสงบ ติดความรู้ ติดญาณ ติดสงบ ติดความสบาย ก็อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ เห็นมันสิ มันสุขก็เห็นมันสุข มันทุกข์ก็เห็นมันทุกข์ เห็นมัน เห็นมัน เป็นผู้เห็นมัน เป็นผู้ดูมัน เห็น เห็น เห็น การเห็นนี่หลุดพ้นแล้ว ถ้าเป็นหลุดพ้นไม่ได้เลย
ปฏิบัติเนี่ย ให้ตั้งหลักนี้ไว้ดี ๆ ถ้าไม่ตั้งหลักดี หลุดไปเรื่อย เสียเวลา เนิ่นช้า ถ้ารู้สึกตัวนี่ ไม่เนิ่นช้าเลย ทันที มันหลงก็เห็นทันที มันสุขมันทุกข์เห็นทันที รู้สึกตัว รู้สึกตัว ตัวรู้สึกตัวจริง ๆ มันเป็นภาวะที่เห็น ไม่ใช่ว่ารู้สึก รู้สึก รู้สึก ไม่ใช่บ่นอย่างนี้ มันเป็นการเห็น เห็นแจ้งด้วย มันสุขก็มันสุข สุขที่ต่างวาระกันไม่เหมือนกัน แต่รู้สึกตัวเหมือนกันเลย บางทีเราก็สุข บางทีคนอื่นทุกข์ ของเราเป็นทุกข์คนอื่นเป็นสุข ของเราเป็นสุข คนอื่นเป็นทุกข์ ก็มีเหมือนกัน อันนั้นไม่ใช่สากลแห่งธรรม ความรู้สึกตัวนี่เป็นของจริงอันประเสริฐ เราจึงมาปฏิบัติกัน เริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้ รื้อถอนไป ดูตั้งแต่เริ่มต้น กาย เวทนา จิต ธรรมไป ตั้งแต่นี้มันจะรื้อไป จนถึงเห็นรูปเห็นนามดังที่อาจารย์ท่านสอนอยู่
เห็นรูปเห็นนาม เห็นรูปธรรมนามธรรม เห็นรูปที่มันเป็นส่วนมหาภูตรูป เห็นนามรูปที่มันเกิดจากอายตนะ รูปนามกับนามรูปต่างกันนะ ใช่ไหม รูปนามเนี่ย เป็นมหาภูตรูป เป็นรูปอาศัย ถ้าไม่มีรูปนาม บรรลุธรรมไม่ได้ เราจึงอาศัยรูปนามมาทำความดี เกิดที่นี่ ที่รูปนี่ เอากายมาสร้างความรู้สึกตัว ถ้าเรามีความรู้สึกตัวก็ละความชั่วแล้ว ถ้าเรามีความรู้สึกตัวก็ทำความดีแล้ว ถ้าเรามีความรู้สึกตัวจิตของเราก็บริสุทธิ์แล้ว เนี่ยมันสรุปให้อย่างนี้ ไม่ต้องไปว่าอะไรเลย เห็นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม เห็นนามรูป นามรูปเกิดจากอายตนะ อายตนะคืออะไร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ นามรูปเกิดที่นั่น เป็นขันธ์ห้าที่อุปาทานเหมือนกัน แต่นามรูปนี่ เราดับได้ตั้งแต่บัดนี้ ดับได้แล้ว หยุดแล้ว แต่รูปนามยังมีอยู่ ยังมีใช้อยู่ ยังใช้กันอยู่ ใช้ให้มันสำเร็จประโยชน์ เห็นไป เห็นไป เห็นไป เห็นรูปธรรมนามธรรม เห็นรูปทุกข์นามทุกข์ เห็นไตรลักษณ์ เห็น ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เห็นสามัญลักษณะของชีวิตมนุษย์ทั้งโลก ตกอยู่ในสามัญลักษณะเหมือนกัน จะเป็นใครก็เหมือนกัน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เราเห็น เรารู้ ใครก็รู้ ว่าความไม่เที่ยง เราเคยเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง เราเคยเป็นทุกข์เพราะความเป็นทุกข์ เราเคยเป็นทุกข์เพราะความไม่ใช่ตัวตน ใช่ไหม ใช่อยู่แล้ว แต่ถ้ามีสติ มันจะเอาสิ่งเหล่านั้น มาเป็นเครื่องเป็นปัญญา เห็นทุกข์มันเป็นปัญญา เห็นความไม่เที่ยงเป็นปัญญา เห็นความไม่ใช่ตัวตนเป็นปัญญา ผลที่สุด ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนนี่ เป็นที่พึ่งพาอาศัยได้จริง เราจะเหนือเกิดแก่เจ็บตาย แล้วก็เห็นเท่านี้ เห็นสามัญลักษณะ เห็นไตรลักษณ์นี่ เราไปกลัว เราไม่อยากรู้ ผลที่สุดเราก็ปิดบังตัวเอง ถ้ามันเห็นจริง ๆ นะ เห็นความไม่เที่ยง โอ้! เป็นปัญญา อะไรที่มันไม่เที่ยง หายใจได้อยู่ทุกวันบัดนี้หายใจไม่ได้แล้ว มันไม่เที่ยงหนอ อันนี้มันไม่เที่ยงจริง ๆ อ้าว! เห็นจริง ๆ หายใจไม่ได้เป็นทุกข์ไหม ลองดูสิ มันทุกข์ไหม หายใจออกไม่เข้าเลย เห็นความเป็นทุกข์เป็นทุกข์หรือ ไม่ใช่ เป็นของจริง โอ๊ย! เนี่ยเห็นความเป็นทุกข์เนี่ยมันจริง อ้าว! เราก็เลยไม่ทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตน หลวงพ่อคำเขียนหรือ หลวงพ่อพระครูหรือ เป็นอาจารย์ของคุณหรือ ไม่ใช่ ไม่ใช่ตัวใช่ตน วางเลย ๆ อาศัยได้ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนนี้ ยอดเยี่ยมที่สุดเลย เหมือนขยะหน้าบ้านเอาไปทิ้งใส่ เอาอะไรไปทิ้งใส่ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน เอาไปทิ้งตรงนั้นเลย สะอาดบริสุทธิ์เลย
ปฏิบัติธรรมแค่นี้แหละ ไป ตะพึดตะพือไป ถ้ารู้ทีหนึ่งก็ก้าวไปแล้ว ไปอย่างใด ไปจากความหลง ไปไหน ไปสู่ความรู้ ความรู้ไปไกล ความหลงมันอยู่ในวัฏฏะ ในโลก เป็นรสของโลกความหลง ถ้าความรู้มันออกจากโลกไป เห็นแล้วบัดนี้ เหนือโลกไปแล้ว เป็นอย่างนี้ปฏิบัติธรรม ตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ท้าทายพวกเรา สวากขาตธรรม เป็นบทวิทยาศาสตร์ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีตอนเช้าตอนเย็น อยู่กับพวกเรา อยู่บ้านก็อยู่กับตัวเรา
ปฏิบัติคือทำยังไง คือเปลี่ยนตัวหลงเป็นตัวรู้ เปลี่ยนความทุกข์เป็นตัวรู้ เปลี่ยนความอะไรเป็นตัวรู้ทั้งนั้น เรียกว่าปฏิบัติธรรม ไม่ใช่อยู่ที่นี่ อยู่กับเราทุกคน อยู่กับเราทุกคน เนี่ยมาสนับสนุนอาจารย์สุริยา หลวงพ่อก็ถือว่าได้ที่พึ่งแล้ว เห็นท่านยังหนุ่มยังแน่น หลวงพ่อก็หมดสภาพลงแล้ว อยู่ที่วัดเขาเอาทิ้งแล้ว ถามคนมาจากวัด (หัวเราะ) เขาไม่ใช้หลวงพ่อแล้ว อยู่อิสระมากเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากสอนก็ไปนั่งสอน มีให้สอนตลอดเวลาที่นั่นเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลานี้ คณะที่เข้ามามากที่สุดคือพยาบาล มากที่สุด อยู่นี่ก็มีทีมพยาบาล มากที่สุด น่าชื่นใจ เพราะอาชีพพยาบาลนี้ ใกล้ชิดกับสมณะ ใกล้ชิดกับพระสงฆ์ เหมือน ๆ กัน ถ้าพึ่งธรรมะเข้าไป จะได้บรรลุธรรมดีกว่าพระสงฆ์อีก เพราะเห็นของจริงตลอดเวลา วันหนึ่งเราพบกับสิ่งที่ไม่ดี คนเจ็บ คนป่วย อย่างหลวงพ่อนี่ โอ๊ย! พยาบาลเหมือนเทพธิดาหลวงพ่อเลย นายแพทย์ แพทย์หญิง เหมือนเทพบุตรหลวงพ่อเลย เพราะพวกนี้เอาชีวิตหลวงพ่อคืนมา คิดอยู่เสมอว่า หลวงพ่อเป็นลูกของจุฬาลงกรณ์เลยทีเดียว จริง ๆ น่ะ ไม่ใช่พูด ความรู้สึกของเราจริง ๆ ตอนนี้ เพราะฉะนั้นนะพวกเราเนี่ย สถาบันพยาบาลหมอเนี่ย ควรที่จะเป็นผู้ที่สำคัญในการกอบกู้พระพุทธศาสนา ทุกคนเป็นคนไทย เชื่อหมอ เชื่อพยาบาล อาศัยเขา เพราะนั้นเนี่ยจึงถูกต้องแล้ว แต่ทุกคนด้วย ไม่ใช่มอบให้พยาบาลให้กับหมอฝ่ายเดียว พวกเราทุกคน ยิ่งฆราวาสผู้ครองเรือน ยิ่งจำเป็นต้องปฏิบัติธรรม ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม อย่ารอให้เฒ่าให้แก่ ถ้าเฒ่าถ้าแก่แล้ว มันทำอะไรไม่ได้หรอก ขณะนี้กำลังบรรลุธรรมดี 40, 50 ปีเนี่ย ถ้าแก่ไปแล้ว มันไม่ได้หรอก รีบสักหน่อยเถอะพวกเรา
อยู่เนี่ย วัดป่าโสมพนัส สกลนคร อีสานเหนือของเรานี้ เป็นที่น่าภูมิใจ หลวงพ่อเคยมาที่นี่สมัย 40 กว่าปี มาหาอาจารย์สมัยบวชใหม่ ๆ ถ้ำขามก็เคยไปอยู่ แถบนี้มาหมด พระอาจารย์กรรมฐานดัง ๆ มาหมดเลย หลังจากศึกษาหลวงพ่อเทียนแล้ว พระกรรมฐานทั้งหลายเขาสอนกันอย่างไร ไปดูสิ ผ่านไป มาอยู่คืนหนึ่ง สองคืนผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป ไปติดอยู่กับหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เออ! ไปอยู่นั่นหลายวัน ก็กลับไป เอา ยึดหนึ่งหลวงพ่อเทียน หนึ่งครึ่งศตวรรษแล้ว หนึ่งเดียวเท่านั้น อาจารย์คนสุดท้าย ไม่สรรหาใครอีก พวกเราเนี่ย อาจารย์สุริยาเนี่ย มาอยู่ที่นี่เป็นคนที่นี่ด้วย หลวงพ่อเป็นคนชัยภูมิ ออกจากเมืองเลยเดียวกัน มาอยู่ชัยภูมิ อาจารย์สุริยาก็อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปไหนหรอก ถ้าจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้พวกเรา ไปอยู่ที่ไม่เหยียบดินเลยก็ได้ แต่เราไม่เอา เราจะอยู่กับประชาชน