แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่ออีก เราก็สวดมนต์ สาธยายพระสูตร อย่าสวดมนต์เพื่ออ้อนวอนขอร้อง อยากได้อันโน้น อยากได้อันนี้ ให้สวดมนต์เพื่อพัฒนาตัวเอง ให้เกิดสติปัญญา เหมือนกับนั่งฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรม เราก็ได้ยิน ยิ่งเราจิตใส่ใจตาม เอาคำสอนที่คัดออกมาจากพระสูตร ก็เป็นแต่เรื่องของเราทั้งสิ้น
“ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนัก” ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันจะมีทุกข์เพราะอุปาทานไปยึดเอา ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์ในโลก ถ้าไปยึดเอา เป็นภาระหนัก ภาระหนักเป็นทุกข์ในโลก ยึดเอาความสุข ยึดเอาความทุกข์ ยึดเอาความรัก ความชัง ยึดเอาความดีใจเสียใจ อะไรทุกอย่างเอามายึด ของที่ไม่เที่ยงก็ยึด ของที่เป็นทุกข์ก็ยึด ของที่ไม่เป็นตัวเป็นตนก็ยึดถือเอา ว่าเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นของเรา ก็เลยหนัก พระอริยเจ้าสลัดทิ้งแล้ว ไม่ยึดเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก วางลงแล้ว อะไรเป็นสุข วางลง อะไรเป็นทุกข์ วางลง อะไรเป็นความยึดไว้ในขันธ์ 5 ความโกรธ ความโลภ ความหลง เขาว่ากับเรา เขาทำกับเรา ยึดไว้ พอวางลงก็เบา ไม่มีภาระ
เราไม่ได้ยึดด้วยมือ แต่จิตไปเอามา แต่ว่ามันเป็นอารมณ์ อารมณ์มันร้ายกว่าเสือ มันทำให้คนเสียผู้เสียคน เสียความสมดุล จากหายใจปกติ จากเลือดวิ่งปกติ เลือดในร่างกายเราวิ่งตามปกติ ลมก็ไปตามปกติ หายใจก็ปกติ กลมกลืนกันไป ยิ่งเคลื่อนไหว อะไรต่าง ๆ กลมกลืนกับลมหายใจ มันเป็นการเยียวยาตัวเรา เมื่อเรามีอารมณ์ ไปยึดเอาอะไรต่าง ๆ มันก็ผิดเพี้ยนไป เช่น ความโกรธ หัวใจมันเต้นเร็ว เลือดทุกส่วนมาเลี้ยงหัวใจ ตรงไหนที่มันทำงานหนัก เลือดจะวิ่งไปช่วยตรงนั้นให้เยียวยา เช่น มือเราจับอะไรบ่อย ๆ มันก็แดงขึ้นมา ไม้เรียวตีลูกมันเจ็บ เนื้อมันเจ็บ เลือดก็มาหล่อเลี้ยง แดงขึ้นตรงที่รอยไม้เรียว จิตใจของเราก็เหมือนกัน ไปยึดอะไรตรงไหน โดยเฉพาะเรื่องใจ เรื่องหัวใจเนี่ย อันตราย ถ้าอารมณ์ครอบงำจิตใจ ส่วนอื่นก็เพี้ยนไปหมด หน้าซีด อาพาธเกิดขึ้นได้ มันจึงเป็นทุกข์
ในสิ่งที่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์น่ะ พระพุทธเจ้ามาเห็นเรื่องนี้เข้า ทุกข์เพราะการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไม่ใช่ทุกข์เพราะความโกรธ มันใหญ่กว่านี้ ต่อไปถ้าเราไม่แยกจากนี้ไป เห็นกายเป็นสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เห็นสุข เห็นทุกข์ ก็สักว่าสุข ว่าทุกข์ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เห็นจิตที่มันหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นสักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ เรียกว่า “ธรรมารมณ์” ยึดเอาความสุข ความรัก ความชัง ความโกรธ โลภ หลง ว่าเป็นตัวเป็นตน ให้เห็นเป็นสักแต่ว่าธรรม แยกไป ๆ แยกไป ๆ แยกไป ๆ ไม่ร่วมเดินไปทางนั้น คนละทาง
“เห็นแล้วไม่เป็น” มันสุข เห็นมันสุข ไม่เป็นผู้สุข มันทุกข์ เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ มันผิด เห็นมันผิด ไม่เป็นผู้ผิด
การ “เห็น” นี้เป็นการหลุดพ้นได้ เห็นผิด จึงพ้นจากผิด เห็นทุกข์ จึงพ้นจากทุกข์ ถ้าไป “เป็น” ล่ะมันก็ไม่พ้น แยกไป แยกไป ๆ คืนสภาพ ๆ จากจิตเดิม ๆ ที่เราใช้ผิดประเภท ค่อย ๆ คืนไป ค่อย ๆ คืนไป เข้าสู่ธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติ
ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎธรรมชาติ ทำอย่างนี้มันเกิดอย่างนี้ ไม่ทำมันก็ไม่เกิด เช่น เรากินข้าว ธรรมชาติมันก็ต้องอิ่ม การเคี้ยวทีละคำ การกลืนทีละนิดละหน่อย มันก็อิ่มขึ้นได้ การไม่เป็นอะไร การไม่เป็นอะไร มีแต่เห็นเนี่ย ส่วนที่มันดีก็ขึ้นเรื่อย ขึ้นเรื่อย ขึ้นมา ในความร้อนก็เย็นลง เย็นลง ๆ ๆ ในการมีพิษ ก็ถอนพิษ ๆ ออก คืนสู่สภาพเดิม เรียกว่าจิตเดิมแท้ ทุกคนมีอยู่
เดี๋ยวนี้มันพลัดถิ่น พลัดบ้าน กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด พอเรามาฝึกหัดมันก็เยียวยา ๆ มันก็เป็นปกติเฉพาะเรื่อง ถ้าจะนอน ก็หลับ ทำอะไรก็เฉพาะเรื่อง กวาดบ้านถูบ้าน ทำงานทำการ เฉพาะเรื่อง มันก็เหมาะแก่การงาน ถ้าเราฝึกดี เหมาะแก่การทำงานทำการ ใครจะทำอะไรก็เหมาะ เป็นพ่อคนก็เหมาะ เป็นแม่คนก็เหมาะ จะเป็นครูอาจารย์คนก็ได้ จะเป็นลูกศิษย์ก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้
กลับมาที่ มันมีหน้าที่ ให้มันถูกต้อง บางทีความเป็นแม่ไม่ถูก ความเป็นแม่โกรธ ตีลูก ตัดขาด ทะเลาะวิวาทกัน เต็มบ้านเต็มเมือง เพราะไม่เห็นตามสภาพความเป็นจริง เดี๋ยวนี้มีแต่เหตุแต่ผล เอาเหตุเอาผลมาแย่งกัน เอาผิดเอาถูกมาเข่นฆ่ากัน แทนที่จะ คนไหนผิดช่วยกัน ไม่ใช่ไปซ้ำเติมกัน คนไหนถูกก็ส่งเสริม ในตัวเรานี้ก็มีผิดมีถูกเหมือนกัน สิ่งไหนผิดก็ควรรู้สึกตัวแก้ไข สิ่งไหนถูกก็ทำไปเรื่อย ยอมละความชั่ว ละตะพึดตะพือ ความดีทำไปตะพึดตะพือ ถ้าทุกคนตั้งต้นตรงนี้ มันก็สงบร่มเย็นได้ ทำงานทำการเป็นประโยชน์
หน้าที่ของเราคือ ช่วยกัน ให้ความเป็นมนุษย์เสมอภาค ให้มองความเป็นมนุษย์ ใครก็ไม่ต้องการทุกข์ ใครก็ต้องการความสะดวก อยู่เป็นอิสรภาพ อย่าเบียดเบียน ก็เรียกว่า เมื่อเรามาศึกษาเรื่องตัวเราแล้ว มันก็ครบวงจร เช่น เรามาเจริญสติ เรามีสติดูกายดูใจของเรา ทุกคนมีกาย มีใจ ต่างคนต่างดูแลตัวเอง การมีสติ ดูกาย กายก็ไม่ทำชั่ว การมีสติดูจิตใจ จิตใจก็ไม่คิดชั่ว ขณะที่ดูไปก็ทำความดี มีสติว่าทำความดี ใครหลงก็รู้ขึ้นมา เปลี่ยนหลงเป็นรู้ เปลี่ยนตัวเอง หัดตัวเอง หัดให้มันเป็น เคยทุกข์ก็รู้ หัดให้เป็น บางทีมันจรมา ฉาย ครั้นมันจรมาเราก็รู้ ไม่ได้เอาโกรธเป็นโกรธ ไม่เอาทุกข์เป็นทุกข์ ไม่เอาหลงเป็นหลง เปลี่ยนมาเป็นรู้ เปลี่ยนมาเป็นรู้ ทำความดี เมื่อเปลี่ยนร้ายมาเป็นดี จิตมันก็บริสุทธิ์ แต่ก่อนทำตรงนี้กัน คนไทย 60 กว่าล้านคน เกิดดีแป๊บเดียว วินาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง เดี๋ยวนี้เราไปเกณฑ์ไม่ได้! พุทธศาสนาเป็นปัจเจกชน เริ่มต้นจากตัวคนเดียว ใคร ๆ ก็มีหลง ใคร ๆ ก็มีทุกข์ ไม่ต้องไปอวดอ้างกัน ทุกข์แบบไหนมีรสชาติกันทั้งนั้น ใครก็เคยมีสุข สุขแบบไหน สุขที่เป็นสมมติ สุขที่อิงอามิส สุขที่ไม่อิงอามิส ทุกข์มีอามิสทำให้เกิดทุกข์ แต่ถ้าเราฝึกดี ๆ แล้ว มันไม่หวั่นไหว อันทุกข์เนี่ย เด็ดขาด อย่างน้อยเราก็ฝึกตนสอนตนเนี่ย
- เราไม่เบียดเบียนเราเลย
- ไม่เบียดเบียนคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น เราทำได้เด็ดขาด ไม่ต้องไปเกณฑ์ใคร ไม่เบียดเบียนตัวเอง อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษ-ไม่ทำ ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์เป็นโทษ- ไม่ทำ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน-ไม่ทำ สิ่งอื่นเดือดร้อน-ไม่ทำ เกิดจากตัวเรา
ถ้าเราทุกคนตั้งต้นตรงนี้นะ ต่างคนต่างไม่เบียดเบียดตัวเอง ต่างคนต่างไม่เบียดเบียดคนอื่น เมื่อไม่เบียดเบียนตนเอง ก็ไม่เบียดเบียนคนอื่นได้ง่าย เห็นใจกัน ไม่เบียดเบียนคนอื่น ก็ไม่เบียดเบียนสิ่งอื่น ถ้าเรายังเบียดเบียนตัวเองอยู่ ก็ถือว่าเบียดเบียนคนอื่นได้ ไม่อาย แม้แต่ความหลงก็ไม่อาย ความโกรธก็ไม่อาย หน้าบูดหน้าบึ้งใส่กัน ไม่รู้จักอาย หน้าด้าน ความคิดก็ไม่อาย คิดอะไรก็คิดได้หรือ? รู้จักอายไหม? อายความคิดตัวเองไหม? นอนอยู่ดี ๆ คิดเรื่องอะไรขึ้นมา ทำให้นอนไม่หลับ ไม่เห็น ไม่รู้จักวาง ไม่รู้จักปล่อย คิดจนนอนไม่หลับ คิดจนน้ำตาไหล คิดจนโกรธขึ้นมา เป็นอารมณ์ เป็นความรัก ความเกลียดชัง เกิดจากความคิดของทุกคน
เราจึงมามีสติดูมันเนี่ย หัดดูมัน หัดดูมัน ไม่ควรคิดอย่าไปคิด โดยเฉพาะความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด-เก่งมาก รู้จักมีสติหรือเปล่า? หรือว่าปล่อยตาม ปล่อย สำส่อนตะพึดตะพือ ให้เหงาเอาไปคิด ให้จิตรับใช้ความคิด ความสุข ความทุกข์ ไม่สงวนตัวเอง ไม่รักนวลสงวนตัว มันสำส่อน เรียกว่า "โสเภณีจิต" จิตสำส่อน เขาหิ้วไปไหนก็ได้ แม้แต่พ่อแม่ มันก็ ถ้ามันคิดขึ้นมา โกรธได้ สามีภรรยา โกรธได้ ลูกเต้า โกรธได้ พระสงฆ์องค์เจ้า โกรธได้ ฆ่ากันได้ ความคิดน่ะ ถ้าคิดขึ้นมา กลายเป็นอารมณ์ ยึดต่อ
เราจึงมาดูเนี่ย กรรมฐานเป็นที่ตั้งของการกระทำ มาจำแนกไป มาจำแนกไป กรรมตรงนี้มันจำแนกไป ไม่ต้องอ้อนวอน ทำเอา มีสติดูกายเคลื่อนไหว ให้รู้อยู่นี้ รู้อยู่นี้ 1 วันถึง 7 วันมันจะเกิดอะไรขึ้น? ให้เราพิสูจน์กัน ตรงนี้ เราก็เห็นโจ้ง ๆ ต่อหน้าต่อตา เราก็เอาพระสูตรมาสาธยาย “พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกนี้...” เกิดขึ้นมาแล้ว 2,598 ปี ปีนี้ แต่นับปรินิพพาน 2,553 แต่นับจากวันตรัสรู้มาเป็นพระพุทธเจ้า 2,598 ปี เอา 45 ไปบวกกับ 53 53 บวกกับ 45 มันก็เป็น 90...เท่าไหร่ล่ะ? หา! นานมาแล้ว ถ้าเรายังหลงอยู่ มันล้าสมัย ถ้ายังทุกข์อยู่ ล้าสมัย ถ้ายังโกรธอยู่ เป็นคนล้าสมัย ถ้าผู้ใดไม่ฝึกตัวสอนตน เป็นคนล้าสมัย บ้านใด เมืองใด วัดใดไม่ฝึก ไม่สอนเรื่องนี้ ถือว่าล้าสมัย ไม่มีประโยชน์ต่อกันและกัน
เดี๋ยวนี้ ศาสนาเป็นศาสนาอ้อนวอน ไม่ใช่ศาสนาแห่งการกระทำ ต้องมีการกระทำเกิดขึ้นน่ะมารับผิดชอบรวมกัน นับหนึ่งจากตัวเรา คนดีอยู่ที่ไหน? บ้านใดเมืองใดคือคนดี? ชี้ไปหาใคร? ต้องชี้เข้ามาหาตัวเองนี่ "เรานี่แหละเป็นคนดี" ลองมาคิดอย่างนี้กันทุกคนดู ไม่ต้องชี้ไปหาคนอื่น เอ้า! เราเป็นลูกพ่อนี้แม่นี้ ลูกสาวลูกชายของพ่อแม่นี้ เราจะเป็นคนหนึ่งล่ะ ดำรงวงศ์ตระกูล เราเป็นสามีของภรรยา เรานี่แหละจะเป็นสามีที่ดี เรานี่แหละจะเป็นภรรยาที่ดี
เหมือนหลวงตาไปดู พวกฮินดูเขาแต่งงาน เขาจะขึ้นสู่เวที ระหว่างคู่บ่าวสาว แขกไปเต็มเป็นจำนวนมาก เขาจัดเวทีประดับประดาไปด้วยหมู่ดอกไม้ เขาขึ้นยืนบนเวที พอขึ้นยืนบนเวที เจ้าบ่าวขึ้นไป เจ้าสาวเอาผ้าปิดหน้าไว้ ห่อนิ้วมือนิ้วเท้า ฝ่าเท้าก็ไม่เห็น ปิดหน้าไว้ ผ้าดำ ๆ ปิดหน้าไว้ เจ้าบ่าวขึ้นไปก็เปิดหน้า เปิดหน้าออก พอจูบแก้มกันนิดหน่อย คนก็หว่านดอกไม้ ดอกมะลิซ้อน โปรยดอกไม้ใส่ เจ้าบ่าวก็มาจับไมค์พูด “ข้าพเจ้าจะเป็นสามีที่ดีของภรรยา ข้าพเจ้าจะมีภรรยาคนเดียวเท่านี้ ข้าพเจ้าจะเป็นพ่อที่ดีของลูก” พอพูดขึ้น ประชาชน แขกที่ไป หว่านดอกไม้โปรยปราย โปรยปราย โปรยปราย โปรยปราย พอออกมา เจ้าสาวไปจับไมค์พูดขึ้น “ข้าพเจ้าจะเป็นภรรยาที่ดีของสามี ข้าพเจ้าจะมีสามีคนเดียวเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าจะเป็นแม่ที่ดีของลูก” คนแขกไปก็หว่านดอกไม้ลงใส่ แล้วเขาก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขาไม่ทอดไม่ทิ้งกัน สัญญากันต่อหน้าต่อตา ประชาชนเต็มบ้านเต็มเมือง นี่คือสัจจะความจริงใจ ประพฤติสิ่งใดต้องทำได้จริง
มันก็มีอยู่ที่คนเราเนี่ย มันล้มเหลวทำไม? ปล่อยให้รัก ๆ เกลียด ๆ ชัง ๆ กันทำไม? ให้มันมั่นคงแล้ว แต่ก็มีประโยชน์ ถ้าเราเป็นคนดี มันก็มีความสุข เห็นหน้ากันนี่ ได้สวรรค์ ได้นิพพาน สามีเห็นหน้าภรรยา สามีได้นิพพาน เย็นใจ ภรรยาเห็นหน้าสามี แล้วเย็นใจ ภรรยาได้นิพพาน มันมีผล เราก็มีเป็นสัตว์สังคม มีสามี ภรรยา ลูกเต้า พ่อแม่ พี่น้อง บ้าน ประเทศชาติของเรา เป็นคนดีเนี่ย ก็จะไม่เบียดเบียนใคร เราจะไม่เบียดเบียนตัวเองเลย ทำลงไป ทำได้
ขอเป็นมิตรเป็นเพื่อน ที่สุคะโตเนี่ย มาร่วมกันเถอะพวกเรา แล้วก็ทำงาน แล้วก็พึ่งกันได้ ยิ่งพวกเราเป็นเจ้าหน้าที่ สาธารณสุขใช่ไหม? นี่เป็นหมอ หมอฟัน ทันตแพทย์? เนี่ย! มันมีประโยชน์นะ หลวงตารอดตายมาก็เพราะมีพวกหมอเนี่ย หลวงตาเห็นพยาบาลเหมือนเทพธิดาเลย เห็นหมอเหมือนเทพบุตรเลย เอาชีวิตเราคืนมา มันมีประโยชน์จริง ๆ ความรู้ที่ท่านเรียนมา สำเร็จประโยชน์ ได้ประโยชน์ หลวงตาได้ประโยชน์ พ่อแม่ส่งลูกสาวลูกชาย เรียนแพทย์เรียนหมอมา พวกเขาเอาสติปัญญามาช่วยเรา เราหายใจไม่ได้ โรคมะเร็งตันคอ หลอดลม ตายไปแล้ว หมอเอาคืนมา เขาก็รู้เรื่องหยูกเรื่องยา สั่งมาจากสหรัฐฯโน่นน่ะ ขณะที่อยู่ในห้องไอซียู เด็ดขาดไปเลย “หลวงพ่อคำเขียนป่วยเป็นโรคก้อนเนื้อในตับ ยังไม่มียารักษาเลย” พอเขาอ่านให้ฟัง เราก็ฟัง เราก็ไม่เดือดร้อน “โรคบางอย่างรักษาได้ โรคบางอย่างรักษาไม่ได้” รู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้ว ทำอย่างไม่ได้กลัวตาย แล้วเขาก็พา โรงพยาบาลจุฬาฯ แบกไปอีก ที่เป็น เป็นก้อนเนื้อในตับ มันขยายไปออก ก้อนเนื้อโตเร็วลำคอ มันเป็นโรคต่อมน้ำเหลือง ก้อนเนื้อโตเร็วในลำคอ มันตันคอ หายใจไม่ได้ ไปสู่ตับอ่อน “เอ้อ! ถ้าอย่างงั้น รักษาได้ ให้ฉีดคีโมตัวใหม่ให้หลวงพ่อโดยด่วน เพื่อสกัดก้อนเนื้อให้มันยุบ ให้หลวงพ่อหายใจได้ ข้าพเจ้าปฏิเสธวิธีการรักษาอื่นใดทั้งสิ้น ปฏิเสธทุกอย่าง ให้ฉีดคีโมเข้าไปโดยด่วน” เขาก็มีความรู้แบบนี้ รอดตายมา
มีประโยชน์จริง ๆ คนเราเนี่ย มีวิชาความรู้เป็นวิทยาศาสตร์ ใช้ได้ แล้วก็อยู่ในชีวิตเรา มีมือ 5 นิ้ว มือ 5 นิ้ว 10 นิ้ว เอามาทำอย่างนี้ มายกมือไหว้กัน อย่าไปทำอย่างนี้มันผิด ยกมือไหว้กัน จิตใจก็คิดไปด้วย โอ้! สิ่งใดเมตตาออกหน้า กรุณาออกหน้า ทำสิ่งใด พูดสิ่งใด คิดสิ่งใด อย่าไปคิดว่า คนนี้เราเกลียด คนนี้เราชัง มันผิด มองกันแบบเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายเนี่ย ไม่มีใครวิเศษ ใครก็ไม่เป็นใหญ่ในชีวิตเนี่ย ป้องกันมันไม่ได้ วันนี้ก็แก่ไปอีกแล้ว มันก็ไหลไปตามเรื่องของมัน มาช่วยกันน่ะ ให้เป็นรอยเอาไว้ รอยความดีของเรา
เหมือนวัดนี้ ไม่ใช่ของหลวงตา ไม่ใช่ของพระ เป็นมรดกของเรา บ้านพ่อของเรา พ่อเราคือ พระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีแบบนี้ ไม่มีเพศแบบนี้ ไม่มีแม่ชีแบบนี้ พ่อคือพระพุทธเจ้า มาบ้านพ่อเรา ให้มันเป็นของเรา มาอยู่ด้วยกัน ประเทศไทย ที่ไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ช่วยกันตามอัตภาพ มาฝึกหัด ลองดู มาพิสูจน์ลองดู อย่าไปเชื่อใคร อย่าไปเชื่อหลวงตา หลวงตามีแต่สอนให้ยกมือสร้างจังหวะ ตามแบบพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าสอนยังไง? ในวันพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทำแบบใด? ชาติกำเนิดหรือ? เป็นกษัตริย์หรือ? เป็นเจ้าฟ้าชายหรือ? ไม่ใช่ สามัญชน มีกิเลสตัณหา มีความโกรธ ความโลภ ความหลง ยังห่วงพิมพา ยังห่วงราหุล ยังคิดถึงปราสาท ๓ ฤดู ยังคิดถึงสาวสนมกำนัลใน ยังคิดถึงราชทรัพย์สินศฤงคารทั้งหลาย โกรธก็เป็น โกรธนี่ ปัญจวัคคีย์ก็เป็นขณะที่ออกบวชแล้ว นั่นไม่ใช่เรา ต้องมาเป็นเรื่องของจิต
วิธีฝึกจิตทำยังไง? จิตมันจับไม่ได้ คนฉลาด ไม่จนง่าย หาทาง เอ้า! ถ้าจะฝึกจิตจะทำยังไง? เอากายเป็นหลักซะก่อน เอากายเป็นฐาน มีพระสูตรเบื้องต้นว่า “การคู้แขนเข้า มีสติ การคู้แขนเข้า มีสติ การเหยียดแขนออก มีสติ” ให้รู้อยู่เนี่ย ทำอย่างนี้ ให้รู้ไป ระหว่างรู้การคู้แขนเข้า ระหว่างรู้การเหยียดแขนออก มันไม่ใช่สติธรรมดา มันค่อย ๆ เคยครุ่นคิด ก็หยุดลง หยุดลง หยุดลง มารวมกันที่นี่เข้า
มารวมกัน 1 ชั่วโมง โดยเฉพาะรูปแบบของกรรมฐานนะ ๑๔ จังหวะ จังหวะหนึ่งอาจจะวินาทีหนึ่ง วินาทีหนึ่งรู้ ไม่ใช่ไปคิดรู้นะ ให้สัมผัส สัมผัสเอา ไม่ใช่ไปคิดเอา ท่องจำเอา เอากายไปต่อ เอาความรู้สึกตัว มันเคลื่อนทีไร 1 รู้ 2 รู้ 3 รู้ 4 รู้ 5 รู้ 6 รู้ 7 รู้ 8 รู้ 9 รู้ 10 รู้ 11 รู้ 12 รู้ 13 รู้ 14 รู้ เอ้า! 14 วินาที ไม่หนีไปไหน ไม่ได้คิดถึงพิมพาแล้ว ไม่ได้คิดถึงราหุล มารู้ตัวเองนะ รู้ตัวเอง 14 วินาที รู้ไป รู้ไป รู้ไป ชั่วโมงหนึ่ง 3,600 วินาที อาจจะรู้ถึง 3,600 รู้ มันจึงมากรู้ มากรู้ มากรู้ มันก็มีภาวะที่รู้ ภาวะที่หลง เท่านี้เอง เริ่มต้น
ชีวิตเรามันหลงมากหรือมันรู้มาก ดูแลตัวเองดู สำรวจดู ชีวิตของเราที่มีมาถึงวันนี้ ระหว่างความรู้สึกตัว ระหว่างความหลงตัว อันไหนมันมากกว่ากัน? มีความเป็นธรรมต่อตัวเองไหม? ความหลงมันเป็นยังไง? ความโลภเป็นยังไง? สัมผัสดู ถ้าหลง ก็เป็นอย่างนี้ ถ้ารู้เป็นอย่างนี้ ถ้าหลงก็คว่ำไว้ ปิด ถ้ารู้ หงายออกรู้ เปิด มันจะเปิดตัวเองออกมา เป็นการสอนตัวเอง ขยันรู้ เรียกว่า “ภาวนา” ไมใช่มาท่องพุทโธ พุทโธ พุทโธ ไม่ใช่เป็นภาษาพูด เป็นภาษาสัมผัส รู้สึกตัว
อันภาวะที่รู้ ที่ตื่นเนี่ย มันออกจากความหลง หลงไม่ถูกต้อง รู้ถูกต้องกว่า เหมือนคนตื่น หลงไม่เป็นธรรม ความรู้เป็นธรรมต่อเรา ความโกรธไม่เป็นธรรม ความรู้เป็นธรรมที่สุดเลย ความทุกข์ไม่เป็นธรรม ความรู้สึกตัวเป็นธรรมกว่า มันก็รู้จักช่วยตัวเองออกมา ช่วยตัวเองออกมา เรียกว่า “ถอนออกมา วางออกมา” แต่ก่อนเรายึดไว้ บัดนี้วางลง เบาขึ้นมา ก็เห็นกระแส เห็นกระแสเหมือนเห็นทาง ทีแรกอาจจะริบหรี่ ริบหรี่อยู่ที่ไหน? หมกมุ่นครุ่นคิด อยู่ในดงแห่งความคิด พอรู้สักหน่อย ก็เป็นกระแสน้อย ๆ เหมือนแสงสว่าง ออกมา ออกมา แสงสว่างน้อย ๆ น่ะ มันจะเป็นทางออกไป จะพบทางออกไป ช่วยตัวเองอย่างนี้ แล้วมันหลงล่ะ? รู้ก็มีอยู่ ในความหลง ความรู้มีอยู่ ในความทุกข์ความรู้มีอยู่ ในความโกรธ ความรู้สึกตัวมีอยู่
อะไรก็ตาม ภาวะที่รู้เนี่ย เป็น “โพธิ” ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากพิษภัยต่าง ๆ จึงมาทำเอา มาทำเอา เรียกว่า “กรรมฐาน” มันมีอยู่อย่างนี้ มาพิสูจน์เอา เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ต้องรอ เอามือวางหัวเข่าดู อาจารย์ทรงศิลป์คงสอนแล้ว เดี๋ยวนี้มืออยู่ที่ไหน เราก็รู้ เอาวางดู วางดู ๆ มีหัวเข่าไหม? มีขาไหม? มีมือไหม (หัวเราะ) ไหนมือข้างขวา? ยกขึ้นดูซิข้างขวา กำมือดูซิ! มือข้างขวาอยู่ที่ไหน? หา! ถามใครไหม? มีคำถามไหม? มือขวาเราอยู่ที่ไหน? ถามไหม? ไม่มีคำถาม ใครเป็นคนรู้? เราเป็นคนรู้ ขอบคุณ วางลง ให้รู้แบบนี้นะ เอามือวางไว้บนเข่า มือของท่านอยู่ที่ไหน? ตอบเอาเองหรือว่าถามใคร? หลวงตา มือผมอยู่ที่ไหน? ต้องถามหลวงตาไหม? ถามใครล่ะ? ไม่มีคำถาม
สัจธรรม ไม่มีคำถาม มีแต่คำตอบ เราต้องตอบเอง เราต้องตอบเองนะ ตะแคงข้างขวาตั้งไว้ ตะแคงแล้วหรือยัง? เห็นไหม? หลวงตาว่ามือข้างขวาของท่านยังไม่ตะแคง มันคว่ำอยู่ เชื่อไหม? หา! ต้องเชื่อหลวงตาหรือเชื่อตัวเอง? นี่คือสัจธรรม ยกขึ้น รู้หนา เรารู้อยู่ที่มือเนี่ย วางลงหน้าท้องรู้อยู่ที่นี่ ตะแคงมือข้างซ้าย รู้ ยกขึ้น รู้ที่นี่ เอามากบมือข้างขวา เนี่ย! มันอยู่ไหนมือเรา? เลื่อนข้างขวาเหนือข้างซ้ายหน่อยหนึ่ง รู้หนา เคลื่อนที่ใดรู้ที่นั่น รู้ไปกับมือ เอามือเป็นนิมิต วางลง คว่ำลง ยกมือข้างซ้ายขึ้นมาหน่อยนึง ไม่ต้องยกถึงหน้าอก ผู้หญิงมันมีหน้าอก อย่าไปยกถึงหน้าอก เอามาข้าง ๆ ออกไป วางลง รู้สึก คว่ำลงรู้สึก เอ๊ะ! เมื่อกี้ไปอยู่ไหนล่ะ? ไปอยู่ที่ไหน? บ้านใดเมืองใด? อยู่ที่นี่? หรือว่ากลับไปอยู่บ้าน? อยู่นี่อยู่ที่มือ อยู่ ลองดู อยู่ที่นี่ อยู่ที่ อย่าหนีไปจากนี่ อย่าหนีไปจากนี่ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ “เราจะไม่หนีจากที่นี่ แม้เลือดเนื้อ เหงื่อ เอ็น กระดูก จะผุพังไปก็ตาม เราจะไม่หนีไปจากที่นี่ ไม่หนีจากโพธิ” นี่
โพธิ คือสติปัญญา รู้สึกตัว ไม่ต้องรอ พลิกขึ้น รู้ทันที ไม่ต้องรอเหมือนกับปลูกข้าว ปลูกข้าวต้องปีหนึ่ง ครึ่งปีจึงค่อยได้กิน ปลูกสติ รู้ทันที แว็บเดียว เป็นปัจจัตตัง “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ” เป็นวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อีก พิสูจน์ได้ ยกขึ้นก็รู้เนี่ย มือนี้ก็รู้ ไม่ต้องรอ ทำวันนี้ไปรู้พรุ่งนี้ ไม่ใช่ อันอื่นมันต้องเป็นเหตุเป็นปัจจัย เดี๋ยวนี้มันก็มีอยู่ที่นี่ มันทำได้ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ดีที่สุด ไม่ต่อไม่ได้ ตัดออกไม่ได้ ผู้ศึกษาปฏิบัติต้องทำด้วยตนเอง ใครก็ต้องเอามาทำด้วยตนเอง ให้ทำแทนกันไม่ได้ จะรักพ่อ รักแม่ รักลูก รักเมีย ช่วยกันไม่ได้ สัจธรรมเป็นอย่างนี้ ทำเอง
ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ความรู้สึกตัวไม่มีเวลา ไม่มีกาลเวลา อยากรู้เวลาไหนก็ได้ ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน ไม่จำกัดกาล รู้ขึ้นมา “เอหิปัสสิโก” น้อมมาใส่เรา “โอปะนะยิโก” ประกาศให้คนอื่นรู้บ้าง “มาทำนี่ มาทำนี่ มาดูนี่ มาดูนี่” ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ยิ่งเห็นจริง ในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ คนขยันรู้มากก็ได้รู้มาก คนไม่ขยันรู้ก็ไม่ได้รู้ จริงจังตรงนี้สักหน่อย
พิสูจน์ดู หลวงตาก็พูดให้ฟัง อย่ามาเชื่อหลวงตา ให้ทำดูก่อน มันเป็นยังไง? สัมผัสดู ความหลง ความรู้ มันต่างกันไหม? มันจะเจอ ระหว่างหลง ระหว่างรู้ ๒ ประตูนี่ มันหลง รู้ขึ้นมา มันหลงทีไร รู้ขึ้นมา หลงร้อยครั้งพันหน รู้มันร้อยครั้งพันหน มันจะเกิดอะไรขึ้น? พิสูจน์เรื่องนี้กัน นี่พูดให้ฟังเพื่อให้เป็นส่วนประกอบการกระทำของพวกเรา
พวกเราก็ยินดีมาก ๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรอยู่ที่นี่ ขอให้เป็นญาติเป็นมิตรกัน เป็นเพื่อนกัน ยินดีมาก ๆ เหมือนวัดนี้มีค่าขึ้นมา เพื่อมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ต้องหนีไปไหน บ้านเราเมืองเรา
หลวงตาไปสอนธรรมที่ประเทศจีน กับอาจารย์โน้ส เขานั่งรถไฟมา ปฏิบัติธรรม 4 วัน คนจีนนะ นั่งรถไฟมาปฏิบัติธรรม ไปอยู่เซี่ยงไฮ้ เขานั่งรถไฟมา จากนู่น เลยปักกิ่งไปนะ ทิศเหนือนู่น จากเซี่ยงไฮ้มันเป็นเมืองท่า ทางทิศเหนือตอนใต้ ตอนล่างของภาคตะวันออก เขาก็นั่งจากรถไฟมาจากเหนือสุด มาถึงเซี่ยงไฮ้นี่ 4 วัน ดูสิ มาปฏิบัติธรรม หนาว ๆ 0 (องศา) -6 องศา เขายังเดินจงกรมตากหนาวได้ แหม! น่าศรัทธาเหมือนกัน พวกเราคนไทย ถ้าคนไทยไม่บรรลุธรรม ไม่มีคนไหน นอกจากคนจีน เดี๋ยวนี้สุคะโตจะไปสอนธรรมะที่เมืองจีนแบบนี้ 3 เดือนไปครั้งหนึ่ง 3 เดือนไปครั้งหนึ่ง
หลายคนที่พูดเรื่องนี้กัน แม้แต่หลวงตาไปสอนธรรมที่สหรัฐฯนะ เขาก็ยังบอกว่า “อย่าสอนแบบอื่นนะ"” ฝรั่งมันบอก “ไม่ต้องสอนเรา พาเราทำ” เขาไม่เชื่อหรอก จะมาสอนแบบหลวงตาพูดอย่างนี้ พาทำเลย ให้สอนแบบหลวงพ่อเทียน แบบอื่นอย่าเอามาสอน เนี่ย! หลวงพ่อเทียนนั่ง สอนแบบนี้ หลวงพ่อเทียนสอนแบบนี้ เอาแบบเดิม ๆ พระพุทธเจ้าบอก “การคู้แขนเข้า มีสติ การคู้แขนเข้า มีสติ การเหยียดแขนออก มีสติ” เนี่ย! ทำอย่างเนี้ย ถ้าทำจริงน่ะ พระพุทธเจ้าทำคืนเดียว ถ้ารู้ต่อเนื่อง ต่อเนื่อง ต่อเนื่อง ต่อเนื่อง ต่อเนื่อง เราก็ทำได้
จะกินยังไง? จะนอนยังไง? ไม่ต้องคิด จะกินยังไงล่ะ? แม่ชีคิดให้ได้ไหม? จะให้กินอะไรวันนี้ มีไหม? หา? มีไหม? มีอาหารกินไหม? อิ่มไหม? รับรองนะ? (หัวเราะ) ถ้ากินไม่อิ่มเหรอ? ไม่ได้นะ ช่วยกันไหม? แม่ชี แม่โรงทาน ปรุงอาหาร มีน้ำใจนะ ใจดี ๆ อมยิ้มตำน้ำพริก อย่าหน้าบูดหน้าบึ้งนะ ปรุงอาหาร เหมือนกับแม่ปรุงอาหารให้ลูกกิน เราเนี่ยเป็นแม่ แม่ครัว แม่อาหาร เนี่ย
เอ้า! ก็สมควรแก่เวลา