แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การฟังธรรมนี้ ก็ให้เป็นส่วนประกอบ กับการปฏิบัติ ซึ่งพวกเรามีหัวใจอันเดียวกัน มาที่นี่ก็คือมาปฏิบัติ ไม่ใช่มาหลบลี้ มาอยู่ป่าว่าโง่ ไม่สามารถอยู่กับสังคมได้ หรือขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ใช่อย่างนั้น พวกเรามาอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม อันเป็นหัวใจเดียวกัน และก็เชื่อว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด เมื่ออาศัยสาระนี้แล้วจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนี้
เหมือนเราสร้างวัดสร้างวา บวชลูกบวชหลาน ทำบุญให้ทาน ลงทุนลงแรงมาก เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา เพื่อพ้นจากทุกข์ทั้งปวง อันนี้ก็เป็นศูนย์รวมของชีวิตของเรา คนไทยทั้งชาติ พระรัตนตรัยอยู่นี่ พระรัตนรัยไม่ได้อยู่ที่ไหน คล้าย ๆ กับว่าเราเป็นอันหนึ่ง พระรัตนตรัยเป็นอันหนึ่ง อยู่นอกตัวเราไป อาศัยสิ่งที่นอกตัวเป็นอย่างนั้นก็มี บางทีก็ยังมีความทุกข์อยู่ มีความโกรธ โลภ หลงอยู่ เป็นการอ้อนวอน เหมือนกับไปอาศัยอันอื่น พึ่งพาอาศัยอันอื่น
พระรัตนตรัยนี้ เรามีกายมีใจ เข้าถึงพระรัตนตรัย ให้กายให้ใจเข้าถึง ไม่ใช่ถือ เวลาถือมันมีเวลาวาง เข้าให้ถึง ถึงพระรัตนตรัย มีกายมีใจ มีการศึกษา การศึกษาก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาได้ ต้องมีวิธีที่จะปฏิบัติลงไปที่กายที่ใจ การรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย จึงจะชื่อว่าศีล ไม่ใช่อยู่ที่อื่น เพราะว่า “ศีลสิกขา” นี่เป็นพระรัตนตรัย ที่เป็นคุณธรรม เป็นคุณค่า ที่สร้างให้บังเกิดขึ้นในกายในใจเรานี้ จึงมีวิธีปฏิบัติ ตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คือวิชากรรมฐาน มีสติไปในกายอยู่เป็นประจำ
วิธีปฏิบัติให้เกิดพระรัตนตรัย เข้าถึงพระรัตนตรัย เหมือนวิธีปฏิบัติ มีความเพียร มีฉันทะ วิริยะ มีจิตตะ วิมังสา ตามที่เราสาธยายพระสูตรเมื่อกี้นี้ สิ่งที่ทำให้ได้เกิดความสำเร็จ เรียกว่า “สัมมาวายาโม” เป็นข้อหนึ่งที่มีอยู่ในกายในใจเรานี้
หนึ่งล่ะ ต้องมี “ศรัทธา” เชื่อมั่น เมื่อมีความเชื่อต้องมีการกระทำลงไป ศรัทธาน่ะ คือเชื่อแบบมีการกระทำ ใส่ใจ ใส่ใจ มีความเพียร ศรัทธาคือเชื่อ
“วิริยะ” คือความพากเพียรลงไป ทำความดี ตามแบบของวิชากรรมฐาน มีสติไปในกายอยู่เป็นประจำ
ต่อไปอีก มี “จิตตะ” เอาใจใส่อยู่เสมอ อย่าทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อยู่ที่กายที่ใจเรานี่ กายก็อยู่นี่ ใจก็อยู่นี่ สติก็อยู่นี่ โดยเฉพาะวิชากรรมฐาน เป็นวิชาที่สมบูรณ์แบบ ชั้นศึกษาที่สูงสุด จะว่าสมบูรณ์ เมื่อมีสติไปในกาย ไปเห็นความคิด ตามแบบกรรมฐาน มีสติรู้กายเคลื่อนไหวเห็นใจคิดนึก ก็ให้รู้สึกตัว คราวเดียวกันทั้งกายทั้งใจ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ
เมื่อมันคิด มันนึก เราก็รู้จักผิด รู้จักถูก สัมผัสดู เรียกว่า “วิมังสา” กลั่นกรองดู ได้วิจัยดู ได้ขบเขี้ยวดู สัมผัสได้ เอากายไปต่อเอา เอาใจไปต่อเอา สัมผัสความผิดความถูก รู้จักเลือก เมื่อเป็นอกุศลก็ละ เมื่อละอกุศล เพียงเพื่อไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เป็น ไม่ให้เกิดขึ้น เพื่อยังกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ในคราวเดียวกัน
เวลาเราปฏิบัติธรรม พระรัตนตรัยมาอยู่ที่กายที่ใจเราแล้ว ได้สัมผัสแบบมันพึ่งได้ เช่น ความรู้สึกตัว ได้ดูแลกาย ได้ดูแลจิตใจนี่ เรียกว่า กายมีที่พึ่ง ใจมีที่พึ่ง อะไรมาก็รู้ เปลี่ยนมาเป็นรู้ทั้งหมด สิ่งไหนที่จรเข้ามาสู่กายสู่ใจในขณะที่เรามีสติอยู่นี่ ได้เห็น ได้เปลี่ยนร้ายเป็นดี มากมายก่ายกอง บางอย่างเปลี่ยนไป ก็เบาบางลง ไม่หนัก มันก็มั่นคง ความตั้งอยู่ ความงอกงาม ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบ เมื่อทำอยู่ มันก็เจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ วิชากรรมฐาน วิชาปฏิบัติธรรม มันก่อให้เกิดเป็นคุณเป็นค่า
สตินี่เหมือนกับแม่ของธรรม ธรรมที่มีแม่ มารดาของกุศล ว่าแม่ เมื่อมีแม่ก็มีลูกเกิดขึ้น ลูกเกิดจากสติ เรียกว่าเกิดจากการปฏิบัติ มันเป็นอภิชาต มันดีขึ้น เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ศีลก็กำจัดสิ่งไม่ดี สมาธิกำจัดสิ่งไม่ดี ปัญญากำจัดสิ่งไม่ดี ไม่เหมือนลูกของคน ลูกของคนนี่ เป็นแบบหนึ่ง แต่กุศลที่เกิดขึ้นจากการกระทำทางกายทางใจ มันเกิดขึ้นเป็นความดี พาให้เกิดมรรคเกิดผล โดยการปฏิบัติ มันก็ได้สัมผัส กับสิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูกในคราวเดียวกัน มันก็ละสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นความดีขึ้นในคราวเดียวกัน จึงเรียกว่า “ปฏิบัติได้ให้ผลได้”
ช่างเหมาะสมเหลือเกิน กายของเราใจของเรา วิธีปฏิบัติ ให้ละความชั่วทำความดี เป็นการสะดวกกว่าทำอย่างอื่น สร้างมรรคสร้างผลเนี่ย ไม่ได้เสี่ยง เหมือนกับการทำนาทำไร่ เป็นอาชีพ ต้องเสี่ยง ต้องลงทุน นอกเรื่องนอกราว ต้องซื้อนา ต้องซื้อรถไถ ต้องซื้อยา ซื้อปุ๋ย ต้องลงแรง พึ่งพาอาศัยอย่างอื่น แรงงานอย่างอื่น ดินฟ้าอากาศ เหมือนข้าวได้น้ำมา ได้ข้าวมาแล้วก็ต้องมา กว่าจะได้มาเป็นชีวิตเป็นเลือดเนื้อ ผ่านวิธีการหลายอย่าง ได้ข้าวมากิน ได้มีชีวิต ชีวิตที่ได้จากกินข้าว มีเลือดมีเนื้อไปทำความชั่วก็มี ทำความดีก็มี แต่ว่าการอาชีพ...สิกขาและธรรมนี่ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
สิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตนี่ ได้ชีวิต ได้มีศีล ได้มีสมาธิ ได้มีปัญญา มันไม่เป็นเช่นนั้น มันเป็นไปทางเดียว มีสติก็ละความชั่ว มีสติก็ทำความดี มีสติจิตก็บริสุทธิ์ ไปแบบนี้ มีอยู่แล้วในกายในใจเรานี่ สะดวก ชีวิตทั้งหมดเป็นการสะดวกในการทำความดี กาลเวลาก็สะดวก ยิ่ง...พิธีกรรม มีพิธี มีรูปแบบ ตีสามตีสี่ พากันตื่นขึ้นมา มีวัตรปฏิบัติ กิจวัตร พิธีวัด ตีระฆัง มาทำวัตร สาธยายพระสูตร พระสูตรที่เราสาธยาย สัมผัสได้ รู้เรื่องรู้ราว รู้ความหมาย เราก็มีวิธีทำ น้อมประนมมือ กราบ สะดวก เพื่อให้ฝึก ได้ฝึกหลาย ๆ อย่าง ทั้งวาจา ทั้งกาย ทั้งใจ ไปในคราวเดียวกัน จนมาถึงปฏิบัติธรรม
บางทีมันก็เป็นไปเอง แตกฉานในการ “สุตมยปัญญา” ได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังมามาก ได้มาคิด มาขบมาเคี่ยว ได้มาการกระทำ บางทีได้ยินได้ฟังมามาก ได้ศึกษา ได้เล่าเรียนมามาก ก็อาจจะถึงมรรคถึงผลได้ ได้ขบได้เคี่ยว แยกแยะ ดูแล้วก็ทำให้เกิดมรรคเกิดผลได้ ได้สัมผัส ตามแบบกรรมฐาน ก็ได้เกิดมรรคเกิดผลได้ ถ้าศึกษาเล่าเรียนก็เป็น สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษา ให้เกิดมรรคเกิดผล “จินตามยปัญญา” ปัญญาเกิดจากการขบเคี่ยวก่อทำให้เกิดมรรคเกิดผล
“ภาวนามยปัญญา” โดยวิชากรรมฐานไม่ต้องได้อ่านได้คิดอะไรมาก หาเหตุหาผล ไม่ต้องคิด ก็เกิดมรรคเกิดผล เป็นพระอรหันต์ ในสาขาสุกขวิปัสสโก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน ๆ ล้วน ๆ ลัดเข้าไปเลย ถึงเนื้อถึงตัว สัมผัสกับความผิดความถูกเข้าไป ไม่มีการเสี่ยง ไม่ได้ใช้สมอง ไม่ได้ใช้วิธีการอย่างอื่น เอาของจริงว่ากันไปเลย มีสติไปในกาย กายก็มีอยู่ เวลามีสติเห็นกายตามกรรมฐาน คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก อะไรต่าง ๆ ที่มันเกิดกับกายขึ้นมา ให้เอากายเป็นนิมิต นั่งคู้แขนเข้าเหยียดแขนออก มันก็เห็นความคิดที่มันเกิดขึ้นมา เราก็ได้รู้ ได้สอนทั้งกาย ได้สอนทั้งจิตใจ เมื่อกายถูกสอนบ่อย ๆ ใจถูกสอนบ่อย ๆ ธรรมดา ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ธรรมชาติ เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ กายมันสอนได้ ใจมันสอนได้ ยิ่งกว่าสัตว์อื่น เรียกมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เมื่อถูกสอนเนี่ยนะ ให้ความผิดความถูกได้แก้ในคราวเดียวกัน สัมผัสในคราวเดียวกัน มีสติเป็นครู กายใจนี้ เรียนจากภาวะที่รู้ คือครูของกายของใจ คือรู้สึกตัวนี่ เป็นครูของกายของใจ เมื่อกายใจมีครู ก็เกิดผลขึ้นมา ไม่ว่าอะไร ศิษย์ที่มีครู ย่อมได้ประโยชน์ หลายอย่าง คนอื่นสอนให้ไม่ได้ ความเห็นของเท็จของจริงที่เกิดการสัมผัสนี่ คนอื่นสอนให้ไม่ได้ อ่านตำรับตำราไม่ได้ คิดไม่ได้ ว่ากันเข้าไปเลย สัมผัสเข้าไปเลย เรียกว่าวิชากรรมฐานล้วน ๆ เรียกว่า “ภาวนา”
พวกเราจึงเห็นว่าเรื่องนี้มันสะดวก แล้วก็สะดวกหลายอย่าง ที่ศึกษาให้เกิดมรรคเกิดผล มันมีพร้อมแล้ว ในกายในใจเรานี้ ภาวะที่รู้ก็มีอยู่ในนี้ ความรู้สึกตัว มีอยู่กับกายกับใจอยู่แล้ว แต่เราไม่ค่อยประกอบ มันจึงไม่ได้สำเร็จประโยชน์ สติมันจะเกิดขึ้น ก็เพราะการประกอบขึ้นมา มันจึงมี ถ้าไม่ประกอบมันก็ไม่มีให้ใช้ เราก็เคยให้อย่างอื่นมาครองมันแล้ว กายใจของเรานี่ นานเท่าไหร่ อันอื่นมันใช้กายใช้ใจเราเท่าไหร่ บางทีก็เป็นนิสัยไปเสียแล้ว ไปมากแล้ว กว่าจะเอาคืนมาได้ ก็ต้องทวนกระแสพอสมควร คนเคยมีอะไร ที่คิดอะไรไป ก็คิดแต่เรื่องนั้นเรื่องนั้นไป บัดนี้มามีความรู้สึกตัวเนี่ย มันก็ให้ ได้ภพใหม่ขึ้นมา เป็นชาติใหม่ขึ้นมา เมื่อได้นิสัยได้ปัจจัยขึ้นมา ก็เกิดความสะดวกได้บทเรียนเยอะแยะ ประสบการณ์เยอะแยะ อาจจะดีดได้ดี ตื่นได้ดี กว่าคนที่ไม่เคยมีอะไร ได้ประสบการณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ เช่น องคุลิมาล ที่เป็นโจรผู้ร้ายใหญ่ ฆ่าคนมามาก ได้สัมผัสกับความผิดความถูกที่เกิดกับกายกับใจเรานี่ มันกระโดดได้ดีที่สุดเลย
แต่บางคนไม่ค่อยเป็นอย่างนั้น เรียบง่ายมา ก็อยู่สบายๆ ไม่เคยเห็นทุกข์ที่ไหน ไม่เคยมีทุกข์ แค่บางทีบางคนก็พูดออกมาได้ ทว่าไม่มี ไม่เคยได้ยินในบ้านนี้ สิ่งที่ไม่มีไม่เคยได้ยิน อะไรก็มี อะไรก็มี ก็เลยเป็นคนสะดวกในความสุข สุขแบบอาศัยอามิส ถึงคราวที่เจ็บป่วย ตายไปก็ ไม่มีทางที่จะเห็นได้ รู้ได้ มืดแปดด้านไปเลย ขนาดนั้นนะ ถ้าได้ลุยสุข ลุยทุกข์ผ่านมาบ้าง มันอาจจะง่ายดีกว่าคนที่มีแต่ความสุข เช่น สวรรค์เนี่ย ได้บรรลุธรรมยากเหลือเกิน ตั้งนานกว่ามนุษย์ที่เกิดมาได้สัมผัสกับความสุขความทุกข์ ได้บรรลุธรรมง่ายกว่า ได้สอนตัวเอง ได้เห็นตัวเอง ที่มันเกิดขึ้นอะไรมา ได้บทเรียนเยอะแยะ เป็นการสนุก เห็นตัวเราก็เห็นคนอื่น ไม่เห็นคนอื่นก็ไม่เห็นตัวเรา เมื่อเห็นคนอื่นก็เกิดการงานขึ้นมา ขยันขันแข็ง กระตือรือร้น เช่น เวลาเรากินข้าวอิ่ม เราคิดถึงคนที่ยังหิว บางทีเรามีครอบครัว ได้กินข้าวอิ่ม คิดถึงวัวถึงควายที่อยู่ในคอก คิดถึงหมูถึงหมาถึงเป็ดถึงไก่ที่ยังไม่ได้กิน หมาก็ยืนอยู่รอที่บันได บางทีพ่อแม่ต้องสอน เอาข้าวให้หมา เอาอาหารไปเลี้ยงหมู เอาไป เอาไปเลี้ยง บางทีก็แม่บอกสอน กินข้าวอิ่มก็อย่าขี้เกียจขี้คร้าน ทำงานทำการ เกิดการขยัน เกิดเห็นอันอื่น สิ่งอื่น ได้ทำ ได้ให้อันอื่นไป คนผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อเห็นตัวเองในทุกแง่ทุกมุม ได้เปลี่ยนร้ายเป็นดีทุกแง่ทุกมุม มันก็เกิดการงานขึ้นมา หลาย ๆ อย่าง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเนี่ย เรียกว่า “ภาวนา” นี่ มันเป็นสุดยอดของการศึกษาสูงสุด ชั้นอุดมสูงสุด และเราก็สะดวกที่สุดแล้ว มีกายมีใจ มีวิชากรรมฐาน มีผู้พูด มีผู้ฟัง มีผู้.. มีพากันกระทำอยู่ มันก็สะดวกแล้ว ได้เห็นของเท็จของจริง จริง ๆ เมื่อเรามีสติ ดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด เห็นกายอยู่เป็นประจำ สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกาย ความพอใจไม่พอใจ ถอนออกมา คือมีสติ กายในกาย กายธรรมดาเป็นรูปเป็นนาม กายในกายอีกมันเป็นนามรูป รูปนามมีธรรมชาติมหาภูตรูป มีดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนกายในกายที่มันเกิดขึ้นมา เรียกว่า “นามรูป” เกิดจากอายตนะ เป็นภพเป็นชาติ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นกิเลสตัณหา นั่นล่ะ “กายในกาย” ทำชั่วทำดี มีสุขมีทุกข์ได้ ก็เรียกว่ามีขันธ์
มีขันธ์ 4 ขันธ์นับตั้งแต่เวทนาไป รูปไม่มี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็ยิ่งใหญ่ เป็นภพเป็นชาติอันหนึ่ง แต่รูปมันเป็นนามรูป ที่สัมผัสเจ็บปวดได้ เวทนาในเวทนา อันร้อน อันหนาว อันหิว อันยืน เดิน นั่ง นอน เป็นเวทนาตามธรรมชาติ หายใจเข้า หายใจออก ลุกเคลื่อนไหวไปมา นั่งนิ่ง ๆ อยู่นานไม่ได้ ยืนนานไม่ได้ นอนนานไม่ได้ นั่งนานไม่ได้ เพราะมันมีเวทนา อิริยาบถเป็นการบังเวทนาไว้ ไม่มีคนเห็น ถ้าเรามีสติจะเห็น เวทนาที่มันมีอยู่ในเวทนา อีกหลาย ๆ อย่าง เวทนาในเวทนา เป็นตัวเป็นตน อยู่ในเวทนานั้น ในกายก็เป็นตัวเป็นตน ที่มันเกิดอยู่กับกายซ่อนไปอีก ในสุขในทุกข์ก็เป็นตัวเป็นตน ในความคิดในจิตก็เป็นตัวเป็นตน ในธรรมก็เป็นตัวเป็นตน มากกว่าที่มันเป็นธรรมชาติ มันกลายไป มันกลายพันธุ์ไป กาย เวทนา จิต ธรรม มันพาไปไกล ถ้าไม่รู้
พอเรามีสติแล้วเห็นเนี่ย ได้เห็น ของเท็จของจริง ได้ตื่น สงสาร เกิดเห็นทุกข์ สงสารกายสงสารใจ ไม่เคยช่วยกายช่วยใจนานหลายปี จนมานึกอยากจะช่วย สงสารเอาคืนไม่ได้แล้ว ผิดพลาดไปแล้ว ทำกับตัวเองยังไม่พอ ทำให้กับคนอื่น สิ่งอื่น บังคับวัว บังคับควาย ดุด่า ร้อง ตี โกรธเคือง อะไรต่าง ๆ โอ! เสียใจ เสียใจ พอมาเห็นตัวเองตามความเป็นจริง ได้กระตือรือร้น ขนส่งตัวเองให้พ้นจากสิ่งต่าง ๆ มันเป็นบทเรียนที่มีค่า เจ็บปวดมาก ที่มันผิดพลาดมา ไม่เคยช่วยกายช่วยใจเนี่ย มันจะทำชั่วได้ยังไง เมื่อมันเห็นอย่างนี้ คิดชั่วได้ยังไง มันก็เห็นความดีขนาดนี้แล้ว เห็นธรรม โอย! อาศัยธรรม มีสติ อาศัยคุณธรรม อาศัยความเป็นพุทธเจ้า เป็นพระสงฆ์ มีพระรัตนตรัย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อยู่ในกายในใจนี้ ละความชั่ว ทำความดี ได้ประโยชน์จากกายจากใจนี่ มือห้านิ้วสิบนิ้วทำความดี มีมาจากที่พูดออกมาเป็นความดี บอกความผิดความถูก แต่ก่อนอาจจะบอกความไม่ถูกความผิดไม่เป็น มีแต่พูดพากันหลง ฟังกันหลง บัดนี้มันพูดไม่เป็น มันเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปอย่างนี้
เพราะฉะนั้นจะนานเท่าไหร่พวกเรา จะไม่รู้จักช่วยกายช่วยใจ ปล่อยกายปล่อยใจทิ้ง มันก็เสียข้าวเสียน้ำไปแล้ว เสียเวลาไปแล้ว เสียแรงที่พ่อแม่เลี้ยงเรามา หลาย ๆ อย่างที่เรามีชีวิตอยู่นี่ ไม่พากันศึกษาปฏิบัติธรรมกรรมฐานนี่ มันลัดจริง ๆ ลัดจริง ๆ ลัดนิ้วมือ กินง่าย ๆ เหมือนหลวงพ่อเทียนพูดว่า ไม่ต้อง เอ้ อะไรมากมาย จะกินอะไรก็ไม่ต้อง เอ้ มากมาย ...แล้วเอามากินเลย จับมากินเลย ให้มันอิ่ม อิ่มเดี๋ยวนี้ ไม่ต้อง เอ้ อะไรมากมาย ธรรมที่เป็นความง่าย ๆ มีอยู่ เรียกว่าตัวปฏิบัตินี่ ปฏิ คือเปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนร้ายเป็นดี ให้ความดีเกิดขึ้นมากมาย ไม่ต้องรีรอ อ้างโน่นอ้างนี่ มันเกิดขึ้นที่กายที่ใจเรานี่ เปลี่ยนได้ทุกเวลานาที เปลี่ยนได้ทุกรูปแบบ มาทางไหนก็เปลี่ยนได้ เราจึงให้มีโอกาสอันนี้ ไม่ได้ทำงานทำการไม่ได้อะไรทั้งสิ้น ให้มีหน้าที่ในชีวิตแบบนี้กัน ช่วยกัน เป็นสิ่งแวดล้อมต่อกันและกัน พึ่งพาอาศัยกัน อุ่นอกอุ่นใจ อยู่ด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน
ก็สมควรแก่เวลาแล้ววันนี้ กราบพระพร้อมกัน