แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ เพื่อให้มันทันสมัยสักหน่อย อย่าปล่อยเวลาทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ควรที่จะให้มอง ให้เห็น ให้ทำ อะไรที่มันจะเป็นความถูกต้อง ความชอบ
ในการที่เรามีชีวิตอยู่นี่ คือธรรมชาติ คือธรรมะ ต้องให้ถึง ไม่ว่าอะไร ธรรมชาติมันยิ่งใหญ่ ธรรมะก็ยิ่งใหญ่ ธรรมะมาจากคำว่าธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ แผ่นดิน แม่น้ำ อากาศ ยิ่งใหญ่ อยู่ที่ไหน อากาศ ก็ต้องเป็นอากาศ แม้จะมีการปนเปื้อนไปกับสิ่งแวดล้อม ก็ยังขอเป็นอากาศอยู่ แผ่นดิน แม่น้ำ เหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ขอเป็นแผ่นดิน ที่เป็นเม็ดดิน เม็ดทรายเล็กน้อย ก็ยังเป็นดินอยู่ เกลือ แม้เม็ดแต่น้อยยังเค็มอยู่ น้ำอ้อย น้ำตาล แม้จะถูกเครื่องยนต์กลไก อยู่ในความร้อน ความเย็น ความหนาว ก็ยังเป็นรสหวานอยู่ คือธรรมชาติ ไม้จันทน์ ที่มันไม่หอม แม้จะแห้ง ไปอยู่ที่ไหนก็ยังมีกลิ่นไม้จันทน์อยู่ นี่คือธรรมชาติ
ชิวิตเราเมื่อเข้าสู่ธรรมชาติ มันไม่เปลี่ยนแปลง คือไม่เป็นอะไร ดินก็เป็นดิน น้ำก็เป็นน้ำ ไม่เป็นอะไร เป็นอื่นไป ชีวิตเรานี้ก็ เมื่อถึงธรรมชาติแล้ว แม้จะมีความแก่ มันก็ไม่เป็นอะไรกับความแก่ เมื่อมีความตาย มันก็ไม่เป็นอะไรกับความตาย แม้มีความไม่เที่ยง มันก็ไม่เป็นอะไรกับความไม่เที่ยง ถ้าจะได้ไปอยู่ที่ใด ชีวิตของเรา เหมือนกับดิน ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นดิน ไม่เกี่ยวกับใครจะยก จะเอาไปที่ไหน
ฉันใดชีวิตเรา เมื่อเข้าถึงความไม่เป็นอะไร คือธรรมะอันสูงสุดของชีวิตของมนุษย์ เนี่ยมันเป็นของยิ่งใหญ่ มันเป็นธรรมชาติ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่ากับธรรมชาตินี้ คืออยู่ในชีวิตของเราเนี่ย ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มันก็ธรรมชาติของมัน แต่ชีวิตเราไม่เป็นเช่นนั้น จะพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ มันก็ไม่ใช่ธรรมชาติ อันนั้นเป็นของที่พลัดพราก ดินที่นี่อาจจะไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ดินที่ประเทศอื่นอาจจะไปอยู่ประเทศไทยก็ได้ ดินในประเทศไทย จะไปอยู่ประเทศอื่นก็ได้ ก้อนดิน ก้อนหิน เหมือนกัน บางทีมันก็มีค่า มีคนเอาแร่มาให้ เอามาให้ มาทำเป็นเหรียญใส่กรอบสวยงาม เอามาใส่ฝ่ามือ เอามาจับดู ทีแรกก็ไม่มีฝ่ามือ ก็ไม่มีอะไร ก็เอาลองมาวัดคืบดู มาวัดทีนี้ มันก็ได้ พอจับแร่ไปวัดนี่ ศอกมันยาวออกไป (หัวเราะ) มันเป็นอะไร มันก็เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่มันเกิดจากธรรมชาติ เช่น เราเคี้ยวก้อนดินก้อนหิน มันไปอยู่ในปาก มันก็ยังไม่เป็นอาหาร เราพยายามคายออกไม่ได้ คือธรรมชาติของเขา แม้จะมีการแก่ การเจ็บ การตาย มันก็เป็นอันของเขา แต่ความเป็น ไม่เป็นอะไร มันก็เป็นอยู่เช่นนั้น อันนี้ น่าจะเป็นสมบัติของเรา
เราจึงพยายามที่จะให้มีสถานที่ มาศึกษาเรื่องนี้ให้จนได้ ตามที่เรามีชีวิต มีกำลัง เหมือนเรารักษาธรรมชาติภายนอก ป่าไม้ แม่น้ำ เพียรพยายามเต็มที่ ที่จะให้ธรรมชาติ อันนี้มันยังไม่เป็นวัตถุ แต่ว่าขอให้มันอยู่กับชีวิตของคน เราทำทุกอย่าง ไม่จำเป็นก็อย่าไปตัดไม้ ต้นไม้ อะไรอย่าไปอ้าง อันโน่นนี่ ถ้าไม่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปขุดดิน ให้มันเป็นอื่นไป แม้มันจะเสียหายเพราะถูกทำลาย พยายามรักษาป้องกันมัน ให้เป็นธรรมชาติอยู่ตรงนั้น พอที่จะสร้างเสริมธรรมชาติได้ ก็เสริมลงไป รักษาลงไป สร้างกำแพงเอาไว้ อะไรที่มันเป็นภัยต่อธรรมชาติ พยายามช่วย
อันนั้นเป็นวัตถุภายนอกของชีวิตเรา ส่วนวัตถุภายในชีวิตเรา คือ “ธรรมชาติ” คือ “ไม่เป็นอะไร” เนี่ย ไม่มีใครช่วยเราได้ แล้วมันก็ทำเองได้อยู่ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วย ทำได้อยู่ อย่าสละสิทธิ์ตรงนี้ เวลามันหลง ไม่หลงได้ เวลามันทุกข์ ไม่ทุกข์ได้ เวลามันโกรธ ไม่โกรธได้ มันจะดีใจเสียใจ พอใจไม่พอใจ ไม่เป็นอะไร ง่าย ๆ ง่าย ๆ ไม่ยุ่งไม่ยาก ถ้าไปเป็นอะไร กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม มันยากกว่า ความหลงเป็นความหลง มันยาก ความทุกข์เป็นความทุกข์ มันยากแสนยาก ความโกรธเป็นความโกรธ มันยากแสนยาก ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ
เอากายมาเป็นเรื่องสบาย เอากายมาเป็นเรื่องไม่สบาย เอาใจมาเป็นเรื่องสุขทุกข์ มันไม่ใช่ธรรมชาติ มันเป็นความเพี้ยนไปของการใช้ธรรมชาติไป เป็นจริงขนาดไหน มันไม่ได้ ไปเอากายเป็นสุข เอากายเป็นทุกข์ เอาใจเป็นสุข เอาใจเป็นทุกข์ แสวงหากันเหลือเกิน ... เรียกร้องการบริการเพื่อให้มันเกิดสุขเกิดทุกข์ มันไม่จริง อันนั้นเป็นส่วนประกอบ แต่สิ่งที่มันเป็นจริง ๆ ไม่เป็นอะไรเนี่ย
เอานี่เป็นหลักไปก่อน มันง่าย ๆ วิธีทำก็มีอยู่แล้ว มีสติ เห็น ให้เห็น ๆ อย่าเป็น การเห็นไม่เป็นเนี่ย มันไม่ยาก การเป็นมันยากกว่า จึงเป็นเรื่องที่น่าบอกกันในเรื่องนี้ ไม่ใช่ไปบอกกัน อย่าเบียดเบียนกันนะ อย่าอิจฉากัน ไม่ใช่เลย อย่าไปพูดก็ได้ ให้เขาปฏิบัติลงไป เมื่อเขาเข้าสู่ธรรมชาติ “ไม่เป็นไร” เขาไม่เบียดเบียนเราเอง ไม่ใช่คำสอน เป็นการตัวกระทำ
ถ้าเราไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าไปพูดให้มันเสียเวลา อย่าเบียดเบียนกัน อย่าอิจฉากัน อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน อย่าทำคนอื่นเป็นทุกข์ ไม่มีประโยชน์ พวกเราอย่าไปพูดมันเลย มาทำอย่างนี้ มาเลย มานี่ก็ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร มีสิทธิ ๑๐๐% ที่นี่ประเทศไทย ถ้าประเทศอื่นมาก็ต้องขอวีซ่า ทำพาสปอร์ต นี่เขาก็นิมนต์ อาจารย์ตุ้ม อาจารย์โน้ส หลวงพ่อ ไปญี่ปุ่น ให้ไปพูดธรรมชาติ ธรรมชาติมีที่ไหน เขาให้ไปพูดที่บ้านเขา ให้พูด ธรรมชาติ มันไม่มีเขียนอยู่แล้ว
มาเป็นเสียงแทนกันบ้าง มาเป็นขา มาเป็นสติปัญญา มาแทนกันบ้าง ให้พูดเรื่อง “ไม่เป็นไร” ให้มาก ๆ มันจึงจะทันสมัย ทุกวันนี้ ธรรมชาติเท่านี้
แม้แต่เดี๋ยวนี้ทั่วโลก มีปัญหาเรื่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เดี๋ยวนี้ก็พึ่งกลับมา สายเกินไปบ้าง บางทีก็แก้ไม่ได้แล้ว จนเกิดวิบัติทางทะเล มหาสมุทร ทางอากาศ มันแก้ไม่ได้ ถ้าเราไปดูหลังโลก มันน่าเสียดาย มันก็แก้ไม่ได้แล้ว โลกเนี่ยมันร้าวไปแล้ว รอยตะเข็บของโลก ร้าวมากเสียแล้ว อันโลกร้าว ไม่เหมือนแผ่นดินร้าว มันเหมือนกับน้ำ มันร้าวไม่ได้ เราไปตักน้ำออก มันก็จะให้มันเป็นหลุมไม่ได้ อันโลกใบนี้ เอามีดกรีดบนน้ำ มันยังดีได้ง่าย แต่โลกเนี่ย มันมีอะไรยิ่งใหญ่กว่าน้ำ มันไม่เหมือนแผ่นดิน แผ่นดินเอาจอบไปขุดยังเป็นรอยจอบ หินเอามีดไปกรีดยังเป็นรอยหิน อันโลกเนี่ย มันไม่ใช่อย่างนั้น มันร้าว มันก็ช่วยไม่ได้แล้ว เพราะมือคนเราไปทำ ที่ไม่รู้จัก
ในชีวิตเรานี้ก็เหมือนกัน ไปทำให้มันผิดพลาด เพราะสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้สูญเสียกับธรรมชาติในตัวเรา บางโอกาส เราไม่รู้ วิ่งไปตามอะไรต่าง ๆ แต่ก่อนมันดีอยู่ พอเข้าสู่ความไม่เป็นอะไร คือธรรมชาติตรงนี้แล้ว มันไม่ต้องไปบอกกัน ศีลก็จะมีขึ้น ความหนักแน่น ความไม่เป็นอะไร มันหนักแน่น ยิ่งกว่าศิลาแท่งทึบ มันก็มีสมาธิ มันก็ไม่หวั่นไหว ถ้ามีความหนักแน่นแล้วมันก็ไม่หวั่นไหว มันก็มี สิ่งใดที่ทำให้เกิดเพี้ยนไป มันเข้าสู่ธรรมชาติ ถ้าจะอยู่กับคน ก็เป็นปัญญา เป็นปัญญา
เหมือนธรรมชาติ เนี่ย! ป่าทางทิศเหนือทิศใต้ศาลาเราเนี่ย มันเป็นธรรมชาติอยู่นี่ จะมีไฟไหม้ ก็ไม่ไหม้ ไฟไหม้มาก็เข้าสู่ธรรมชาติ มอดลง แถวที่อยู่ของอุบาสิกาเหมือนกัน อาจารย์ทรงศิลป์ชวนให้ออก ขนของออกจาก ไปอยู่ศาลาน้ำ มีแม่ชีแอ๊ดเหมารถมอเตอร์ไซด์ไปหาหลวงตาที่วัดภูเขาทอง เราจะอยู่ยังไง ไฟไหม้ป่าหมดแล้วแถบนี้ อาจารย์ทรงศิลป์บอกให้ขนของไปศาลาน้ำ หลวงตาบอกว่าไม่ต้องขน มันไม่เข้ามาถึงนั่นได้ ธรรมชาติมันยิ่งใหญ่ มันไม่ไหม้มาหรอก พอไหม้เข้าไป มอด เนี่ยคือธรรมชาติ
คนเราเมื่อเข้าถึงความไม่เป็นอะไรแล้ว มันก็เกิดปกติ เกิดไม่หวั่นไหว ประสาอะไรความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถ้าเข้าถึงความไม่เป็นไร คือธรรมชาติตัวนี้ จะให้ไปจับมือจับเท้า มันจับกันไม่ได้ ต้องทำขึ้นมา เริ่มต้นจากความรู้สึกตัวเนี่ย ให้มีความรู้สึกตัว มันไปได้ กลับมา กลับมา
อันธรรมชาติในตัวเรา ไม่เหมือนแผ่นดิน ไม่เหมือนโลกภายนอก มันประเสริฐ ไม่ใช่แบบนั้น มันดับได้ ไม่ต้องอ้างว่าแก่ ว่าหนุ่ม ว่าสาว ว่าสุข ว่าทุกข์ อย่าเอามาขวางกั้น จริตนิสัยมันเพี้ยนเฉย ๆ นิสัยมันก็มีอยู่ มันหลงก็รู้ได้อยู่ นี่คือของจริงในชีวิตเรา มนุษย์มันประเสริฐตรงนี้
ไม่ใช่เพศ ไม่ใช่วัย ไม่ใช่ลัทธินิกาย ทำลงไป ให้ทำ ไม่ใช่ไปสอนให้รู้ ใครก็รู้ นั่งอยู่นี่มีแต่คนรู้ทั้งนั้น แม่ชีหมู่นี้จบปริญญาก็มี พระนี่จบปริญญาก็มี ญาติโยมก็จบปริญญาก็มี หลายคนก็มีอะไรที่เป็นสิ่งดี ๆ พอตัวบ้าง แต่ความอันนั้น ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่เป็นไร ต้องประกอบขึ้นมา มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เป็นสุข เห็นมันสุข ไม่เป็นผู้สุข ไม่ยาก มันทุกข์ เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ มันหลง เห็นมันหลง มันก็มีเท่านี้ เอาจริง ๆ มีความหลง ศึกษาเรื่องนี้ มีความหลง พอมีความรู้ เห็นความหลง ง่าย ๆ ถ้าเห็นความหลง เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ก็ง่าย ๆ ถ้าเปลี่ยนหลงเป็นรู้ ไม่ต้องทำไง มันก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน
เอามือมาวาง พลิกมือ เคลื่อนมือ ให้รู้สึก ความรู้สึกอยู่กับกาย มีฐาน มีที่ตั้ง มันจะยากอะไรทุกคนมีกาย ทุกคนมีความรู้สึกตัว ทุกคนมีความหลง มีตาเห็นรูป มีหูได้ยินเสียง อาจจะเป็นหลวงตาผู้เดียวที่มีหูไม่ได้ยินเสียง หลายท่านที่อยู่ที่นี่ได้ยินไหม ได้ยินไหมหลวงตาพูดนี่ (หัวเราะ) มันมีอะไร มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว อันหลวงตาไม่ได้ยินนะ ที่พูดอยู่นี่ เสียงตัวเอง ก็ไม่ค่อยได้ยินนะ ไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ไม่รู้พูดดัง.. แต่อันสิ่งที่ไม่เป็นไร ไม่ได้ยินก็ไม่เป็นอะไร ได้ยินก็ไม่เป็นอะไร ไม่เสียหาย แม้แต่ตาจะบอดก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นก็ไม่เป็นอะไร หูหนวกก็ไม่เป็นอะไร แม้มันจะตายมันก็ไม่เป็นไร ไม่ตายกับความตาย มันก็เป็นอะไร มันไม่เป็นอะไร ไม่เจ็บกับความเจ็บ มันก็ไม่เป็นอะไรอยู่ ความเจ็บก็ไม่ได้เป็นอะไร ความเจ็บ ไม่ใช่เป็นความเจ็บ
มันเป็นอะไร มันไม่เป็นอะไร ทันสมัยที่สุด ยอดเยี่ยม ชีวิตแบบนี้ ให้ถึง ให้มี ในชีวิตเราให้ได้ อย่าสละสิทธิ ขอเป็นมิตรเป็นเพื่อน ขอเป็น ไม่ทอดไม่ทิ้งตรงนี้ ว่ายังมีสิ่งเหล่านี้ อยู่กับคู่โลก เมื่อมีมนุษย์คนอยู่ที่ใด ต้องมีเรื่องนี้ทั้งนั้น
ดังที่เราสรรเสริญ พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ทุกวัน งดงาม ไพเราะ ไม่ใช่ฟังเสียงเพลงเสียงดนตรี มันเสียงธรรมชาติ เรายังมีเสียงแบบพระพุทธเจ้า ได้พูด ได้ออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์อยู่ทุกวันนี้ ยอดเยี่ยมมาก บรรพบุรุษของเรา มันก็มีอันนี้ มันกระตือรือร้นกัน หลายชีวิตสมัยพระพุทธกาล ที่ประสบกับเรื่องนี้จริง ๆ หลายชีวิตหลังพุทธกาลมา หลายชีวิตในบรรพบุรุษของเรา ครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ของเรา หลายชีวิตที่เรานั่งอยู่นี่ มีธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่เป็นไรอยู่แล้ว พยายามทำให้มาก ให้มันมี ให้มันมากขึ้นมา
เริ่มต้นจากความรู้สึกตัวเนี่ย เริ่มต้นจากความรู้สึกตัว ไม่ได้ซื้อได้หาที่ไหน หายใจก็รู้สึกตัวได้ กระพริบตาก็รู้สึกตัวได้ เป็นอุปกรณ์ วัสดุอุปกรณ์ มาผลิตความรู้สึกตัว นี่ว่ามนุษย์สมบัติ ใช้ได้ อันที่มันไม่เป็นอะไร มันใหญ่กว่าความเป็นอะไร ความเป็นอะไรนิดหน่อย ความไม่เป็นอะไรยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบ
ไปเปรียบเทียบเหมือนช้างซะ ใหญ่กว่าสัตว์อื่นในโลก ไดโนเสาร์เราก็ไม่เห็นแล้ว เห็นทุกวันนี้คือช้าง เราเลยเปรียบเทียบเหมือนช้าง อีกสักไม่กี่วันนี้ อาจารย์สายหยุดจะไปเอาช้างมาไว้ที่นี่ ถ้าหมาเห่าช้าง กิเลสเหมือนหมา สติเหมือนช้าง สติ ถ้าเปรียบเหมือนนก ก็เหมือนอินทรีย์ใหญ่ กิเลส นิวรณธรรม ความขวางกั้น เหมือนแมลง... ไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบ เอาสัตว์ เอาวัตถุอื่น มาเปรียบเทียบ
พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบคำสอนทั้งหมด เหมือนรอยเท้าของช้าง คำสอนทั้งหมด เหมือนรอยเท้าของสัตว์หลายประเภท ไม่ใช่ช้าง คำสอนที่เป็นสัจจะนิดหน่อย คือเหมือนรอยเท้าของช้าง ความไม่เป็นอะไร เหมือนรอยเท้าของช้าง ความเป็นอะไรเหมือนรอยเท้าของสัตว์อื่น มีวัว มีควาย มีหมู หมา เป็ด ไก่ อะไรต่าง ๆ เยอะแยะ ภาวะที่มันเป็นอะไรนั่น เหมือนรอยเท้าของสัตว์อื่น แต่ความไม่เป็นไรเนี่ย เหมือนรอยเท้าของช้าง รอยเท้าของสัตว์อื่น มารวมลงรอยเท้าของช้างได้ ความรักมารวมลงนี้ ไม่เป็นไร เมื่อมาถึงรอยเท้าของช้าง เป็นรอยเท้าของช้างไปเลย ก็ไม่เป็นไร
ความสุขความทุกข์ เหมือนรอยเท้าของสัตว์อื่น เมื่อมาลงอยู่รอยเท้าของช้าง คือความไม่เป็นอะไร ความไม่เป็นอะไร เป็นรอยเท้าของช้างอยู่ มันขนาดนั้น ภูเขาศิลาแท่งทึบ ไม่สะเทือน เพราะลม เพราะสิ่งอื่น ความไม่เป็นไร เหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบ
หลวงตาไปประเทศอินโดนีเซีย ไปเห็นวัดหนึ่ง สมัยนานเท่าไหร่ไม่รู้ อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย คลื่นนี่ เท่าศาลานี่ มาทีละลูก ชนเปรี้ยง ๆ ยังเป็นหินศิลาบนวัดนั่นอยู่ มันทน อันนั้นเป็นวัตถุสิ่งของ
แต่ความไม่เป็นอะไร อยู่ในชีวิตเรา ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งเหล่านั้น จะมีนินทาสรรเสริญ จะมีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสียอะไร มันไม่เป็นไร นี่คือจุดหมายปลายทางของชีวิตเรา ถ้าถึงได้ ตั้งแต่บัดนี้ มีได้ทำได้ตั้งแต่บัดนี้ จะเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์แก่เรา ประโยชน์แก่โลกด้วย มันจะอยู่ไม่ได้ จะต้องบอกกัน เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา มีผลกระทบในทางที่ดีก็ว่าได้
อยู่ที่ไหนก็ดี ความไม่เป็นอะไร อยู่กับป่า ป่าก็ดี อยู่กับดิน ดินก็ดี อยู่กับน้ำ น้ำก็ดี อยู่กับอากาศ อากาศก็ดี อยู่กับคน คนก็ดี มีนิดหน่อย ๆ ก็ไม่เป็นไร มีอะไรนิดหน่อย ก็ไม่เป็นอะไร ความไม่เป็นอะไร อยู่กับคนเนี่ย มันไม่เหมือนกับก้อนหิน มันใช้ได้
พระพุทธองค์ จึงมาพูดออกมา มาแสดงออกมา มาดู มาดู มาดู ฟัง ฟัง สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยกล่าวมาก่อน ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราไม่เคยได้รู้เรื่องนี้ ชวนปัญจวัคคีย์ ถ้าจะพูดแบบไม่อาย มันกระตือรือร้น พอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว มาคำว่าตรัสรู้นี่ ไม่เคยได้ยินในโลกมาก่อน โกณฑัญญา ได้ยินก็ว่า เราได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่เคยได้ยิน ครูทั้ง 6 ไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย สัญชัย เวลัฏฐบุตร, อชิตะ เกสกัมพล, ปกุธะ กัจจายนะ, มักขลิ โคศาละ, ทิศาปาโมกข์ ไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ก่อนพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้า พระสิทธัตถะ มาพูดเป็นคนแรกที่อิสิปตนมฤคทายวัน ในวันเพ็ญเดือนแปด นับจากวันนั้นถึงวันนี้ นับแต่วันปรินิพพานถึงวันนี้ 2552 บวก 45 ปีเข้าไป เป็น 2597 ปี ใช่ไหม ไม่ได้พูดออกจากพระโอษฐ์
คำแรกที่สุด โกณฑัญญาสะดุ้งขึ้นมา เงี่ยหูฟัง พระองค์ก็เทศน์ไป บอกไป ตั้งแต่ทาง พูดเรื่องทาง ความหลงไม่ใช่ทาง ความรู้ ความไม่เป็นไร คือทาง ความทุกข์ไม่ใช่ทาง ความไม่เป็นอะไร เห็นมันทุกข์ เป็นทาง ถ้าพูดง่าย ๆ นะ ความสุข ไม่ใช่ทาง เห็นมันสุขนี่เป็นทาง ถ้าเป็นสุข เป็นทางสุดโต่ง ถ้ามันทุกข์ เป็นทางตัน อันทางสุดโต่ง อันทางตัน บรรพชิตผู้เห็นภัย ไม่ควรเสพ มีไหมความสุข มันตันไหม ความสุขมันสุดโต่ง ถึงที่ไหน อิ่ม รู้จักอิ่ม รู้จักพอไหม มันสุดโต่ง ไม่ถึงอะไรเลย เราก็เบื่อชีวิตที่มันสุข ๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เบื่อความสุข เป็นคุณนาย สมัยปี 2518 หลวงตาเดินธุดงค์ไปแถวอุดร ไปแสดงธรรมอยู่แถวนั้น ก็มาฟังเทศน์ แล้วก็ขอติดตาม เป็นผู้หญิงที่สุขุมาลชาติ เป็นคุณนาย ตื่นขึ้นมา เปิดประตูออกมา มานั่งโต๊ะ มีน้ำร้อน น้ำอุ่น มีน้ำเครื่องดื่มมาตั้งไว้ ดื่มน้ำร้อน น้ำอุ่น น้ำชา กาแฟ น้ำล้างหน้าก็เป็นน้ำอุ่น แปรงฟัน เอายาสีฟันใส่แปรงมาวางให้ ล้างหน้าน้ำอุ่น แปรงฟันน้ำอุ่น จากนั้นก็มีเครื่องกิน มีอาหารการกิน ที่หลับที่นอนหมอนมุ้ง ตกแต่งให้อย่างดี อยู่เช่นนั้นมานาน เขาก็เบื่อ อยากไปใช้ชีวิตแบบท่าน จะไปได้ยังไง มันหนาว นอนในป่าช้า สมัยนั้นนะ ธุดงค์ สมาทานอยู่ป่าช้า ไม่มีที่มุงที่บัง ไปอยู่ได้ไง ไป ไป ไป ห้ามก็ไม่อยู่ พอไปก็ บอกให้ไปซื้อกลด ซื้อมุ้ง ถือกาน้ำ มีที่นอน พอจะกันฝนได้บ้าง ยังเป็นฤดูฝน ฤดูฝนช่วงออกพรรษา เดือนพฤศจิกา ไปเขาก็อยู่ได้ นอนป่าช้า ปักกลด ตามมาอยู่ที่นี่ 2489 มาอยู่ที่นี่ อยู่นี่ก็ลำบาก มีน้ำเปล่าขวดเดียว อาหารการกินลำบาก ก็เลยคิดอยากไปตั้งสำนักแถวภาคตะวันออก แถวระยอง แถวจังหวัดจันท์ มีคนให้ข่าว เขาก็ชวนไปดู ไปดูเขาชะเมา บ้านอาจารย์ทรงศิลป์ ระยอง เดี๋ยวนี้ยังเป็นโรงช้างอยู่ เราว่าไปอยู่ไม่ได้ ไปอยู่ยังไง ผู้หญิงไปอยู่ที่อย่างนั้นไม่ได้ ห้ามเขา จะอยู่นี่ก็ไม่กล้าชวนเขา สะพานแต่ก่อนข้ามธรรมดา ไม้ลำเดียวเท่านี้ ไต่ไป เราก็ไต่ไปก่อน จะไปได้ไหม จะไปได้ไหม ก็ค่อย ๆ คลำมา ๆ ยังบอกเขาไต่ไม้ขอนเดียว มาคิดดู โอ๊ย! เราเนี่ยบ้า สมัยก่อน ตัวทำอะไรได้ นึกว่าคนอื่นจะทำได้ เราก็ลำบาก ออกไปสร้างวัด ไปดู ผลที่สุด ไม่กลับบ้าน ขายโรงงาน ขายบ้านขายช่องหมด ปันทรัพย์สินให้ลูกให้เต้าหมด ส่วนนี้ของแม่ ส่วนนี้ของลูกเอาไป ไม่ให้ใครเดือดร้อน มาสร้างวัด ต่อมาก็เลยมาบวชเป็นแม่ชีกับหลวงตา นี่อายุก็แก่แล้ว ๘๐ กว่าปีแล้ว หลวงตา พูดถึงใคร แม่ชีน้อย (หัวเราะ) ทำได้เลยนะ ขุนนางขนาดไหน สุขุมาลชาติขนาดไหน ถ้าฝึกตนเองมันทำได้นะ เคยอ่อนแอ มันเข้มแข็งได้ เคยรัก มันก็เห็น มีปัญญาเพราะความรัก เคยเกลียด มีปัญญาเพราะความเกลียด เคยทุกข์มีปัญญาเพราะความทุกข์
ความไม่เป็นไรเนี่ย นี่เมื่อ ๒ วัน หลวงตาได้รับจดหมาย จากคณะที่มาปฏิบัติธรรม คณะพยาบาลที่มา หลวงตาไม่อยู่ ไปภูเขาทอง กลับมาเห็นจดหมายวางอยู่บนโต๊ะ อ่านดู เขาว่าเขา ประสบในการปฏิบัติบ้าง ก็ทำให้ย้อนระลึกคิดถึงอดีตที่ผ่านมา 10 กว่าปี เคยโกรธ เพื่อนทะเลาะกัน ยังผูกโกรธกันอยู่ พอมาปฏิบัติธรรม พอได้ยินเสียงหลวงตาเทศน์ ได้ยินก็เลย จากความโกรธกลายเป็นความสงสาร เพราะตัวเองก็ผิด ไปโทรศัพท์ขอโทษไป ... โทรศัพท์โทร ต่างคนต่างมีความสุข เปลี่ยนได้ทั้งสองคน มันเปลี่ยนได้ จากความโกรธอิจฉากันมาเป็น 10 ปี คืนดีกันได้ เป็นมิตรภาพกันเลย ความโกรธเป็นความไม่โกรธ ว่าจะเอาจดหมายมาให้อ่านดู (หัวเราะ) นี่ก็มันก็ทำได้เนี่ย! หา! ความโกรธขนาดไหน มันไม่เป็นไรแล้ว มันก็ลึบไปเลย เรียบไปเลย
นี่คือ มันเรียบ ไม่มีคลื่น ความไม่เป็นไร มันไม่มีคลื่นในชีวิตของเรา พยายามตรงนี้พวกเรา ไม่ได้ไปอ้อนวอนขอร้อง...ง่าย ๆ เพียงแต่ความรู้สึกตัวนี่ไป ให้มีความรู้สึกตัวไป มันจะเห็นอะไรที่มันไม่ใช่ความรู้สึกตัวในชีวิตเราเยอะแยะเลย ก็มารู้สึกตัวซะ โดยที่เหงื่อไม่ออก ไม่ยากเหมือนไล่ยุงด้วยซ้ำไป เดี๋ยวนี้กำลังมีริ้นใช่ไหม แถว... ริ้นตัวเล็ก ๆ เจาะหู หลวงตาเดินอยู่ก็กัดได้ ไล่ริ้นยังยากกว่าความรู้สึกตัว อะไรก็ไล่ไป ตัวเล็ก ๆ ก็ไล่ไป ไล่ไป มันกัดก็ไล่ไป อันความรู้สึกตัวเนี่ย พอมันทุกข์ก็รู้สึกตัวมันเลย นิ่ง ๆ ก็ได้ นอนอยู่ก็ได้ นั่งอยู่ก็ได้ เดินอยู่ก็ได้ ยืนอยู่ก็ได้ ความรู้สึกตัว มีเยอะแยะ หายใจเข้ารู้สึกตัว ไม่หาย.. ไม่ทำอะไรก็รู้สึกตัวได้ รู้สึกตัว เมื่อยุงกัดมันเจ็บ รู้สึกตัว รู้สึกตัวเมื่อมันหนาว รู้สึกตัว มันร้อน รู้สึกตัว มันหิว รู้สึกตัว มันปวด มันเมื่อย รู้สึกตัว เยอะแยะเลย วัตถุเกิดแห่งความรู้สึกตัว เต็มไปหมด
พระสูตร พระสุตตันตปิฎก 24,000 เรื่อง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย 24,000 เรื่อง ความที่เป็นสิ่งที่วัตรปฏิบัติลงไป เป็นศีล เป็นสมาธิปัญญา 44,000 เรื่อง รวมแล้วเป็น 80,000 (หัวเราะ)มันก็พูดผิดนะ คิดไม่ทัน ทั้งหมดมัน 84,000 เรื่อง 3 ตะกร้า เอามารวมกัน ก็เป็นสูตร กายก็เป็นสูตร จิตก็เป็นสูตร เป็นพระสูตร สติก็เป็นสูตร ความผิด ความถูก เป็นสูตร มันก็จบลงที่สูตรนั่นน่ะ
ความหลงก็ไม่หลงตรงนั้น ไม่ได้ไปหา ณ ที่ใด ความทุกข์ก็ไม่ทุกข์ตรงนั้น เกิดที่ใด รู้ที่นั่น เหตุเกิดที่ใดดับตรงนั้น เท่านี้ก็พอแล้ว
พระสารีบุตรได้ฟังคาถาพระอัสสชิ เหตุเกิดที่ใด ดับตรงนั้น พระสมณโคดมเป็นครูของเรา ครูของเราสอนดังนี้ เรารู้เรื่องนี้ เท่านี้เอง พระสารีบุตรบรรลุธรรมเลย ได้ดวงตาเห็นธรรม พระสมณโคดมอยู่ ณ ที่ใด พระสารีบุตรจะกราบพระอัสสชิ เป็นครูอาจารย์ พระอัสสชิ บอกว่า ไม่ อย่ามากราบเรา ถ้าจะกราบไปกราบพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าโน่น พระพุทธเจ้าอยู่ ณ ที่ใด อยู่กรุงราชคฤห์ เมืองพระเจ้าพิมพิสารโน่น พระสารีบุตรไปเลย ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ไปเป็นพระอรหันต์ กับพระโมคคัลลานะ เพื่อนเจ้าสำราญ หนุ่มเจ้าสำราญ เป็นเสนาบดี ซ้าย ขวา ยืนอยู่นี่ เห็นไหม โมคคัลลาอยู่ขวามือ สารีบุตรอยู่ซ้ายมือพระพุทธเจ้า เรียกว่า เสนาบดี ตอนนั้นสารีบุตรเนี่ยได้ยินว่า อัสสชิอยู่ที่ใด เวลานอนหันหัวไปเลย ตอนนี้สารีบุตรอยู่สุคะโต ติดตามอัสสชิ อยู่โน่น อยู่เชียงคอง หันหัวไปทางนั้น เคยหันหัวไปทางนี้ เปลี่ยนทิศทางเลย (หัวเราะ) ได้ยินสารีบุตรอยู่ทางไหน หันหัวไป อยู่ทางนี้ก็ได้ มีความเคารพ มันจะยากอะไร
เหตุเกิดที่ใด ดับที่ตรงนั้น มันหลง รู้ตรงนั้น มันทุกข์ รู้ตรงนั้น มันสุข รู้ตรงนั้น มันโกรธ รู้ตรงนั้น มันรัก มันชัง อยู่ที่นั่น มันยากมันง่าย อยู่ที่นั่น รู้ลงไป หลง รู้ลงไป เปลี่ยน รู้ลงไป มันหลงรู้ลงไป