แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อให้เป็นส่วนประกอบกับการศึกษาปฏิบัติที่เรากำลังทำอยู่ ศึกษาอยู่ เป็นการสะดวก ได้ยินผู้อื่นพูดว่า ได้เห็นสิ่งที่เราได้ยินว่า เราได้ทำในสิ่งที่เราได้เห็น เราได้ยินในสิ่งที่เราได้ทำ เป็นส่วนประกอบในการที่เราจะวิวัฒน์พัฒนาตนเอง ถ้าไม่ดีก็ทำให้มันดี อะไรที่ไม่ดีไม่ต้องไปถามใคร เราพบเห็นอะไรที่ไม่ตรง ทำให้มันตรง อะไรที่เป็นไปเพื่อเป็นทุกข์ให้มันออกจากทุกข์ ให้มันผ่านอะไรไปบ้าง ในการใช้ชีวิตของเราถ้ามันตึงมากเกินไปก็หย่อน ถ้ามันหย่อนมากเกินไปก็ตึง มันมีความพอดี ไม่ว่าอะไร เราก็ได้ศึกษาชีวิตของเราอยู่ แต่ไม่ค่อยได้ทำให้มันดีทำให้มันตรง เวลามันไม่ดีก็อยู่กับความไม่ดี เสียเวลา เช่น ความโกรธ ความหลง ก็ยังอยู่กับความหลง ความโกรธ ข้ามวันข้ามคืน เรียกว่าทำให้ไม่ดี ไปจุ่ม ไปติดเอา ถ้าทำให้มันดีก็เปลี่ยนได้ให้มีการกระทำตรงนี้ ให้มีความเพียรตรงนี้สักหน่อย เช่น เรายากจนก็มีความขยันสักหน่อย รู้จักใช้ รู้จักหา รู้จักรักษา รู้จักเก็บอะไรต่างๆไว้ มันก็มั่งมีเพราะความจน หลายชีวิตที่มั่งมีเพราะความจน หลายชีวิตที่จนเพราะความจน หลายชีวิตที่เคยมีแล้วจนเพราะไม่ทำให้ดี ไม่ทำให้ตรงต่อไป เราเคยทุกข์ เรื่องเก่าทุกข์แล้วทุกข์อีกก็มี เราเคยสุข ก็สุขแล้วสุขอีกก็มี เคยหลงเรื่องเก่า หลงแล้วก็หลงอีกก็มี เราจึงปฏิบัติมีความเพียร ให้มันหมดไป หมดไปได้ เช่นเรามาปฏิบัติธรรม มันหมดไปได้ มันล่วงข้ามไปได้ มีสติ อะไรที่มันเกิดจากสติหลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน ก็รับความชั่วไปพร้อมกัน ทำความดีไปพร้อมกันแล้ว พลังงานเพิ่มขึ้นเหมือนกับเราใช้เครื่องมือทำงาน ของหนักกลายเป็นของเบาได้ ถ้ามีสติ ผู้ใดมีสติผู้นั้นก็ชื่อว่าตามรอยพระพุทธเจ้า เห็นธรรมเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำอย่างนี้ ผู้ใดหลง เราก็เห็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าไม่หลงตรงนี้ เรียกว่า เห็นรอยอยู่ สัมผัสได้อยู่ เราจึงไม่ต้องมีคำถามในการปฏิบัติธรรมนี้ เมื่อมีสติ เมื่อรับความชั่วก็ทำความดี เมื่อรับความชั่วทำความดี มันก็เป็นศีล ไม่เปรอะเปื้อน ไม่เปรอะเปื้อน เหมือนกับรักนวลสงวนตัว เหมือนกับหนุ่มสาว ชอบสวย ชอบงาม งามของศีลนี่ มันก็ไม่ยอมให้เปรอะเปื้อนได้ แม้จะทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางตา ทางหู มันควบคุม ไม่เหมือนหนุ่มสาว ความสวยงามอยู่ในกาย ในใบหน้า เครื่องแต่งตัว เครื่องนุ่ง เครื่องห่ม แต่ไม่ได้รวมถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง แต่ถ้าศีลที่เกิดจากมีสติมันงามไป เมื่อมันงามอยู่ได้นาน มันก็มีสมาธิทรงอยู่กับความปกตินั้น ศีลก็คือความปกติ เมื่อมีความปกติอยู่ได้นาน มันก็เห็นความไม่ปกติ เรียกว่าสมาธิ มันเห็น มันตั้งอยู่นาน เหมือนกับน้ำที่มันนิ่ง มีอะไรมาสัมผัสนิดหน่อย ก็กระเพื่อม เห็นน้ำกระเพื่อม ถ้าน้ำนิ่ง ก็เห็นอะไรทุกอย่าง ถ้าไม่กระเพื่อมก็ไม่เห็น จึงพยายามที่จะ น้ำก็ปรับตัวของมัน ให้เป็นน้ำ ให้มันนิ่ง มันคลื่นไม่ใช่น้ำ ทางศีลไม่ใช่ฟูๆแฟ่บๆ มันก็รู้จักปรับตัว สมาธิก็ตั้งอยู่ได้นาน ไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน ทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งไว้ในกายที่เคลื่อนไหว เดินจงกรม ยกมือสร้างจังหวะ หายใจเข้า หายใจออก ตั้งอยู่เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง มันก็ติด มันก็ชิน เวลามันคิดไปปั๊บเนี่ย มันก็น้อยๆก็รู้ เห็นความหลง ที่มันไม่ใช่สมาธิ มันจะมากระเพื่อม มันจะปรุง จะแต่งไป มันก็เข้าไป ทำให้ดีตรงนั้น ทำให้ตรง ตรงนั้น ออกจากความไม่ดีได้ สิ่งที่มันไม่ตรง ให้มันตรงได้ ที่มีผลงานเกิดขึ้น จนเกิดปัญญา รอบรู้ ออกจากความไม่ดี ออกจากความไม่ตรง ทำให้มันดีแล้ว อยู่ด้วยความสมควร เหมือนกับเราทำงานเสร็จอะไรบางอย่าง ทำนาเสร็จก็มีสิทธินั่งได้ นอนได้ เกี่ยวข้าวเสร็จก็มีสิทธิพักผ่อนได้ ข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉางก็มีสิทธิที่จะครองทรัพย์สมบัติที่เรามีได้ มีอยู่มีกิน ไม่อดไม่อยาก มีศีลก็อาศัยได้ มีสมาธิก็อาศัยได้ มีปัญญาก็อาศัยได้ เป็นไปเพื่อออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อนิพพาน ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อน
นี่คือมันเป็นกอบ เป็นกำขึ้นมา เป็นผลงานขึ้นมาบ้าง ทำดีมันก็มีดีเกิดขึ้น ในความชั่วก็ความชั่วหมดไป ใจบริสุทธิ์ ก็สะอาด หมดจด ไม่ฟุ้งซ่าน ตาก็สงบ หูก็สงบ รูป รส กลิ่น เสียง ก็สงบ เหมือนมันแก่กล้า ไม่หวั่นไหว เถาไม้ที่มันแก่กล้า เดินคล่องขา คนที่คล่องเจอเครือเถาวัลย์ก็ต้องหกล้ม ถ้าอันไหนมันอ่อนมันก็ขาดง่าย ตาเห็นรูปไม่หลุดไปง่ายมั่นคงตรงนั้นได้ หูได้ยินเสียงไม่หลุดไปง่าย ไม่ได้ไปยินดีไม่ได้ไปยินร้าย มีปัญญาตรงนั้นด้วย ความไม่ง่อนแง่น คลอนแคลนก็ไม่หวั่นไหว ก็เป็นที่พึ่งของชีวิตได้ ชีวิตที่มั่นคงเกิดขึ้นได้ เป็น เห็นความทุกข์ก็ไม่หวั่นไหวในความทุกข์ เห็นความสุขก็ไม่หวั่นไหวในความสุข เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง แม้มันมีเกิดขึ้นก็ไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหวเพราะความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง แต่ก่อนนั้นเอาทุกอย่าง เอาวัตถุมากำหนดจิตใจของตนเอง เอารูปมากำหนด เอาเสียงมากำหนด เอากลิ่นมากำหนด เอารสมากำหนด เอาความยากความจนมากำหนด เอาคำนินทาสรรเสริญมากำหนด เอาการได้การเสียมากำหนด ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจได้หลายอย่าง พอมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีสติ มันไม่เหมือนก่อน ไม่ได้กระทบกระเทือน เพราะวัตถุ สมมุติบัญญัติ มันก็เข้มแข็ง เกิดอานิสงส์ เรียกว่าสมควร ปฏิบัติสมควรแล้ว จนเห็นอะไรทุกอย่างตามความเป็นจริงที่มีอยู่ในกายในใจของเรา เห็นหมด เห็นครบเห็นถ้วน ไม่ใช่มันไม่ได้บทเรียนจากอาการที่มันเกิดขึ้น ความสุขก็ได้บทเรียนจากความสุข ความทุกข์ได้บทเรียนจากความทุกข์
ถ้ามีศีล ถ้ามีสมาธิ ถ้ามีปัญญา แต่ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่มีสติ มันก็ไม่ค่อยเห็น อะไรเกิดขึ้นก็มีรส มีชาติ แต่ถ้าเราเห็นบ่อยๆ เรียกว่าแก่กล้า เคยเห็น เคยรู้ เมื่อเห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นดีชั่วรู้จักทิ้งความสุข เห็นแล้วความสุขมันคืออย่างไร แค่ไหน เพียงไร ความทุกข์มันคืออะไร แค่ไหน เพียงไร เกี่ยวข้องกับความสุข เกี่ยวข้องความทุกข์ถูกต้อง เวลามันสุขเป็นไปเพื่อเหนือความสุข เห็นมันสุขไม่เป็นผู้สุข มันก็ถูกต้อง เห็นอะไรมันถูกต้อง เรียกปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติออกจากทุกข์ ใครเห็นสุขเป็นสุข ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติดี ไม่ได้ปฏิบัติตรง ไม่ได้ปฏิบัติออกจากทุกข์ ไม่ได้เป็นนิพพานตรงนั้นด้วย ยังมีรส มีชาติ ครองจิตครองใจ ไม่เย็น ไม่ปกติ ก็เลยกระทบกระเทือนอยู่ตลอดเวลา อ่อนไหวตลอดเวลา อ่อนแอตลอดเวลา ไม่มั่นคง เราจึงเห็นอย่างที่หลวงตาพูดเมื่อวานนี้ อะไรก็เห็นหมด อะไรก็เห็นหมด เราไม่ต้องเป็นอะไรกับอะไร เหล่านี้เรียกว่าแก่กล้าเรียกว่าอินทรีย์ สติอินทรีย์ แต่ก่อนสติอินทรีย์ไม่มี เพราะไม่ได้ตั้งไว้นาน ไม่มีไปในกาย ไม่มีไปในเวทนา ไม่ตั้งไว้นาน เบาๆ ไม่ติด กายก็ไม่ติดสติ ใจก็ไม่ติดกับสติ อยู่คนละส่วน เหมือนต้นกล้าเอาไว้คนละส่วนไม่ฝังลงบนดิน ต้นกล้าก็ไม่ออกรากเมื่อไม่มีรากก็ไม่หยั่งลึก เมื่อไม่มีรากอยู่ในดินก็ไม่ออกดอกออกผล เหมือนเราปลูกต้นไม้ ปลูกข้าว นี่ก็มีกาลเวลา หนึ่งวัน เจ็ดวัน หนึ่งเดือน เจ็ดเดือน หนึ่งปี เจ็ดปี อย่างช้า ต้นไม้เมื่อมันอยู่ในดิน มีน้ำ มีปุ๋ยพอสมควร มันก็วิวัฒน์พัฒนาการของมันตามธรรมชาติ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ เช่น ฤดูนี้ปลูกข้าวตั้งแต่เดือนมิถุนา กรกฎา สิงหา สามเดือน แล้วก็เกิดตั้งครรภ์แล้ว ตั้งครรภ์ ทุ่งนาสีขาวๆจะเป็นสีเขียว มันงามขึ้นเหมือนคนตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นก็งามกว่าเก่า สีสันงามกว่าเก่า เปล่งปลั่งกว่าเก่า หน้าตาก็เปล่งปลั่งกว่าเก่า พร้อมที่จะเลี้ยงลูกได้ มีน้ำนม มีกำลัง เหมือนต้นข้าวตั้งครรภ์ก็เป็นธรรมชาติ ศีลเมื่อมันเต็มที่ สมาธิเต็มที่ ปัญญาเต็มที่ สติเต็มที่มันก็มีผล เป็นมรรค เป็นผล
พระพุทธเจ้าจึงว่าเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน จากต้นกล้ากลายเป็นเม็ดข้าว เป็นเลือด เป็นเนื้อ ของเราได้ สติมาอยู่ในกายแท้ๆ มาอยู่ในจิตใจแท้ๆ จะต้องเป็นมรรค เป็นผลแน่นอน สติมันตั้งอยู่ได้นาน อยู่อิริยาบถกาย เหมือนเราปลูกต้นไม้ ตั้งอยู่นานในท่าไหน เพียงไร ได้ที่ได้ทางไหม ไม่ใช่ปลูกข้าวใส่พระลานหิน สติมันมีอยู่กาย ไม่ใช่หิน กายมันก็มีศีลอยู่ที่นี่ด้วย มีสมาธิอยู่ที่กายด้วย มีปัญญาอยู่ที่กายด้วย ใช้ได้ด้วย มีศีลก็งดงาม ไม่เปรอะเปื้อน มีอานิสงส์ สีเลนะ สุคะติง ยันติ เมื่อมีศีล ก็เป็นสุขได้ สีเลนะ โภคะสัมปะทา ผู้มีศีลก็มีโภคทรัพย์ได้ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ผู้มีศีลก็มีนิพพานได้ ไม่ใช่ศีลเอาไปวางบนหิ้ง มันเป็นประโยชน์ต่อกาย มีความสุข มีทรัพย์ได้ ทรัพย์ภายนอก ภายในมีได้ อะไรเป็นอบายมุข ไม่ประกอบ คนมีศีลทำไม่ลง ความชั่วทำไม่ได้ คนสวยงามทำอะไรสกปรกมอมแมมไม่ได้ เหมือนเครื่องสกปรกติดผ้า ให้อยู่นานไม่ได้ต้องซักออก พอมีศีลก็รู้จักทำความร้ายเป็นความดีได้ ไม่ยาก ขยันตรงนี้ ถ้าคนไม่มีศีลก็ไม่รู้จักรักษาตัวเอง เช่น คนเมาเหล้านอนเกลือกขี้ฝุ่นก็ได้ เกลือกขี้หมูขี้หมาก็ได้ บางคนน่าเกียจมากๆ เอากระดูกขาวัว ขาควาย ขัดเอว แร้งแทะกินกระดูกเหมือนหมา คนไม่มีศีลก็ทำอะไรได้ ความจริงก็เหมือนสัตว์ ร้ายกว่าสัตว์ บางคนชอบเมา บางคนไม่เอาเลยคำว่าเมาเนี่ย บางคนก็เป็นชีวิตชีวาของเขา เป็นคนที่ไม่มีศีล มันก็มี สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา แทนที่เงินร้อยบาทกินข้าวหมดยี่สิบบาทถ้ามีศีลก็อิ่มได้ คนไม่มีศีลเงินร้อยบาท กินหมดยังไม่อิ่ม มันก็ไม่มี สีเลนะ โภคะสัมปะทา เกียจคร้านมากกว่าความขยัน คนไม่มีศีลก็หลงมากกว่าความรู้ ทุกข์มากกว่าความไม่ทุกข์ ทำไมทุกข์มีอยู่ ไม่เอา เอาความทุกข์ง่ายกว่าความไม่ทุกข์ ยาก ทำดีได้ยาก ทำชั่วได้ง่าย ถ้าเรามีสติ มีศีลแล้ว นิดหน่อยก็ไม่ให้อยู่ในหัวใจอันเชื่อว่าความทุกข์เนี่ย มันโชว์กว่าทุกอย่าง มีแต่ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป ขยันตรงนี้ ขยันเปลี่ยนร้ายเป็นดี ขยันเปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ ทำให้ความเพียรตรงนี้ อย่างยอดเยี่ยม ผู้ใดมีความเพียร วิริเยนะ ทุกขะมัดเจติ คนจะล่วงทุกข์ไปได้ด้วยความเพียร ถ้ามันทุกข์ต้องมีความเพียรที่สุดเลยและก็เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ง่ายๆ
ถ้าคนไม่มีความเพียรก็ยาก ในการเปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ยากมาก เปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธก็ยาก เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงก็ยาก คนไม่เคยฝึกตนสอนตน บางทียึดเอาเสียด้วย ยึดเอาความทุกข์ ยึดเอาความโกรธ นึกว่าตัวว่าตนเลย ถ้าเกิดความโกรธเกิดขึ้น สามีภรรยาก็ไม่ไว้หน้ากัน เพราะยึดเอาความโกรธ ความทุกข์ เป็นตัวเป็นตนเต็มที่ ทำชั่วสุดๆก็มี ฆ่ากันได้ก็มี ถ้าเรามาเห็นมันแล้ว โอย แม้มันหลงคิดไปก็ปัดหน้าอกตัวเอง ถ้าคนมีสมาธินาน หนึ่งวัน เจ็ดวัน อยู่กับสตินาน เวลามันหลงไปในความคิด เอามือลูบอก จริงๆนะ มันรู้สึกว่ามันเข็ดหลาบ กับความคิดที่มันหลง ไม่ได้ตั้งใจ แต่บางคนก็หน้าด้านตรงนี้ ด้านที่สุด ปล่อยให้หมกมุ่น ครุ่นคิดไปจนไม่รู้จักอะไรต่ออะไร ไม่รู้จักอาย ไม่มีความละอาย ความละอายมันต้องละอายตัวเอง ไม่ใช่ละอายคนอื่น ความลับไม่ใช่ตา ใช่หู เราพูดคนไม่ได้ยิน ตาคนไม่เห็นเราคิดว่าความลับ มันไม่ใช่ ความลับคือไม่มีใครรู้ความลับในตัวเรา ไม่มีเลยความลับ เวลามันคิดอะไรที่ไม่ดี อาย อายตัวเอง อายความดี ถ้ามีสตินะ ถ้ามีสติ มันอายสติ ไม่กล้าคิด มือลูบหน้าอก เวลามันคิดไปที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ความคิดที่ตั้งใจ มันใช้ความคิด ไม่ใช่ให้ความคิดใช้เรา มันใช้ตา ไม่ใช่ตาใช้เรา มันใช้หู ไม่ใช่หูใช้เรา ถ้าตามาใช้เรา ไม่เป็นธรรม หู มาใช้เรา ไม่เป็นธรรม เป็นทาส กว่าจะหมดโอกาส มันก็เปรอะเปื้อนมากแล้ว เสียเวลามาก มันไม่ใช่มีรสชาติตลอดไป อันหูเนี่ย ตาเนี่ย จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มีรสชาติเสมอไป ใจก็ไม่มีรสชาติเสมอไป ถ้าใช้ผิด ก็เกเรไปหมดเลย ถ้าใช้ ถูกก็เป็นประโยชน์ ดังโบราณท่านว่า สิบปีอาบน้ำบ่หนาว ซาวปีเล่นสาวเล่นบ่าวไม่เบื่อ สามสิบปีลาเมียก่อนไก่ สี่สิบปีไปไร่นามาทอดหุ่ย ห้าสิบปี เป่าขลุ่ย เป่าฆ้อง ตีกลองบ่ดัง ตีระฆังบ่ม่วน ห้าสิบปีแล้วสู้เสือทุกท่า ลืมไป หกสิบปี เป่าขลุ่ย เป่าฆ้อง ตีกลองบ่ดัง ตีระฆังบ่ม่วน เก้าสิบปีไข้ก็ตายบ่ไข้ก็ตาย เก้าสิบปีป่วยก็ตาย ไม่ป่วยก็ตาย ถ้าเก้าสิบปีไปแล้ว อย่างหลวงตาเนี่ย
เมื่อวันพระก่อนไปดูหนัง มิตรชัยเอาหนังมาฉายให้ดู เอาวีซีดีมาฉายให้ดู มาฉายเรื่องข่าวต่างๆ มาฉายเรื่องหนังสัตว์ หลวงตาก็ไม่เคยดู มาตั้งหลาย นานมาแล้ว ไปดูกับเขา ไปดูสัตว์ ประมาณชั่วโมงกว่าๆ มันไม่ได้เลย ก็ตามันเพ่ง ตามันเพ่ง มันไม่ชอบ มันไม่เคยเพ่งไปดู หน้าทีวีแบบนั้น พอมาดูไป ดูไป เห็นท่าไม่ไหว มันวิงๆเวียนๆ ลุกออก พอลุกออก วิงเวียนเลย ให้นอนก็วิงเวียน โอ้ย เข็ดหลาบแล้ว มันไม่เอา เป่าขลุ่ย เป่าฆ้อง ตีกลองบ่ดัง ตีระฆังบ่ม่วน ไม่เคยเปิดเทป ไม่เคยฟังข่าว ไม่เคยไปนั่งจ่อต่อหน้าทีวี โทรทัศน์ นานมาแล้ว มันไม่เอา จะให้ไปนั่งจ้องโทรทัศน์อย่างนี้มันไม่เอา ข่าวก็ไม่เอา เดี๋ยวนี้เทปคาสเซทอยู่ เก็บไว้พิพิธภัณฑ์ อยู่ในกุฏิภูเขาทอง เขียนไปแล้วว่าพิพิธภัณฑ์ มีเทปเครื่องใหญ่ๆ ตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นย่า ยังอยู่ ยังใช้ได้อยู่ ไปเปิดกดวิทยุ มันก็ดังอยู่ ไปเปิดเสียงก็ดังอยู่แต่ไม่ใช้ คาสเซทเล็กๆเท่านี้ ก็ไม่ใช้อยู่ในตู้ อยู่ในตู้เก็บไว้ ถ้าหลวงตาตายไป ก็เก็บไว้นั่นแหละ มีค้อน มีสิ่ว มีวิทยุกระดูกหมา ขนาดนี้ เอาว่าวิทยุกระดูกหมารุ่นเก่าที่สุด รุ่นแรกที่สุด มีวิทยุสื่อสารด้วย สมัยหนึ่งเขาใช้กันนะก็มีเหมือนกัน มีเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่เก็บไว้อยู่ ต่อไปจะเป็นของมีค่า ของโบราณ นานที่สุด มีค้อน มีสิ่ว มีเลื่อย มีมีด เครื่องใช้ไม้สอย มีบาตรเก่าๆ สี่สิบปีเก็บไว้ เพิ่งเปลี่ยนแปลงเมื่อวันสองวันนี้ ตอนนี้หามบาตรใหม่แล้ว ยังงามนะ งามบาตร งามเชิงบาตร งามถลกบาตร ไม่งามสาวงามหนุ่มเหมือนเมื่อหนุ่มนะ อย่ามาอวดกันก็ได้ งามวัตถุ งามบาตรตัวเอง งามจีวร จะเอาเสื้อเอาผ้าอะไรมาอ้างไม่หวั่นไหว ผ้าอังสะแขนเดียวก็ยังงามนะ ไม่เหมือนชุดยีนส์ ชุดสากลของท่าน อังสะแขนเดียวยังนุ่งงาม จีวรห่มงาม ใครจะนุ่งอะไรก็นุ่งไป แต่งามที่เป็นส่วนรวม ศาลาพอได้นั่งกันได้ กุฏิพอได้รับแขกได้ มีที่เป็นส่วนรวมงามอยู่ งามส่วนรวม ไม่ใช่งามส่วนตัว มีกันแค่ส่วนรวม งามแบบนั้น ก็มันก็หมดลงไปแล้ว อันรูป รส กลิ่น เสียงเนี่ย มันไม่ใช่ที่เราจะไปหลงหรอก รู้ล่วงหน้าไว้ก็ดี ทำนายมันไว้ก็ดี อะไรที่เราชอบมันก็ไม่ชอบสักวันหนึ่ง อะไรที่เราเกลียดก็ไม่เกลียดสักวันหนึ่ง อะไรที่เราชอบเป็นของเรา มันจะไม่ใช่ของเรา แม้แต่หน้าตา ขา แขน หู เสียง ฟัน นี่อยากจะไปทำฟันอยู่ ฉันข้าวไม่ทันหลวงพ่อคมเลย
อาจารย์ตุ้มกับหมูไปทำฟันกรุงเทพฯ ฉันอยู่สุคะโตก็พอไหว มีเพื่อนนั่งเป็นหมู่ด้วย ไปฉันวัดอื่นเขาว่า ได้ครึ่งเดียว เขาอิ่มไปแล้ว อายเขา ไปฉันข้าววัดอื่นไม่อิ่มเลย แม้แต่ไปฉันข้าววัดภูเขาทองก็ไม่อิ่มสักวันเลย ต้องรีบกลับสุคะโต เพราะมันไม่ทันเขา แต่ก่อนเคี้ยวสิบครั้งกลืนได้ เดี๋ยวนี้ต้องสามสิบครั้งจึงกลืนได้ ครึ่งต่อครึ่งกับคนมีฟันดี ฟันมันก็ ฟันบดมันออกไป ถอนทิ้ง ไม่ได้หล่นนะ ถอนทิ้งไป มันปวด ก็อยากไปทำฟันอยู่ ถ้าอยู่สุคะโตก็ไม่ต้องทำ มีเพื่อนฉัน อิ่มได้ อาหารก็ข้าวต้ม ไปฉันข้าวสวยเนี่ย ยิ่งไม่ไหวเลย ฟัน ตาก็เหมือนกัน มันก็หมดไปแล้ว หูก็หมดไปแล้ว ลิ้นก็หมดไปแล้ว หลวงพ่อคมบอกว่าญาติโยมมานิมนต์ให้ไปแสดงธรรมวันพระหน้า อำเภอบ้านเขว้า มันแสดงไม่ได้ไม่มีเสียง ถ้าหลวงพ่อคมแสดง ผมไปด้วยได้อยู่นิดหน่อย ถ้าจะให้ไปนำหน้านำตา ทำไม่ได้แล้ว ไม่กล้าไป มีคนนิมนต์ไปโน่นไปนี่ก็ไม่อยากไป มันหมด ของที่เราเคยรัก ก็เป็นของเมตตากรุณาไป ของที่เราเคยเกลียดก็เป็นเมตตากรุณา มันมั่นคง คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้มีเอาไว้ ถ้าไม่มีตัวนี้ก็หลงทิศหลงทางนะ ไม่มีสติ มีกรุยทางเอาไว้บ้าง ถ้าเวลามันหลง มันต้องไม่หลง เวลามันสุข มันต้องไม่สุข เวลามันทุกข์ มันก็ต้องไม่ทุกข์ เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์ เห็นมันหลง เห็นมันรู้ เห็นมันผิด เห็นมันถูก เห็นมันชอบ เห็นมันชัง เรื่อยไป เห็นมัน เห็นมัน เห็นมัน ภาวะที่เห็น มันเจริญ นี่แหละความถูกต้อง ไปตามรอยพระองค์ พระพุทธบาท พระพุทธเจ้า อย่างที่หลวงตาพูดให้ฟังว่า ถ้าเห็นไม่เป็นแล้ว สุดยอดแล้ว นี่คือ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ตรงนี้ มันเป็นธรรม มันเป็นมรรค มันเป็นผล เห็นมัน ไม่เป็นอะไรกับอะไร ในกายในใจเรานี้ ในโลกใบนี้ กายกว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ ไม่ต้องเป็นไรกับมัน เห็นหมดแล้ว อย่ามาอวดกัน จนแค่ไหนก็เคยจนมาแล้ว สุขขนาดไหนก็เคยสุขมาแล้ว ทุกข์ขนาดไหนก็เคยทุกข์มาแล้ว ทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์ไม่มีเสื้อผ้า ยังมีฝาบ้านพอได้ลี้อยู่ เคยลี้ในบ้านตัวเอง ไม่มีเครื่องนุ่ง ที่มันพอที่จะไปเดินสลอนกับชาวบ้านได้ ผ้าไม่มีนุ่ง นอนลี้อยู่ในบ้านก็มีใช่ไหม หลายคนที่ไม่เคย หลวงตาเคยมาแล้วนะ เป็นลูกกำพร้า พ่อตาย ย่าจน
นั้นแหละ ขอบคุณความจน ทำเราเข้มแข็ง แต่ความจน ถ้าเราอ่อนแอ เกเรก็มี ความจนทำให้เราเข้มแข็ง ทำเราเป็นคนดีได้ เวลาไปเที่ยวกับหมู่ เป็นหมู่ เขาเกเร เขาก็มีพ่อ มีแม่ มีพ่อ ฐานะเขาดีกว่าเรา เราจะไปเกเรเหมือนเขาไม่ได้ พ่อเราก็ไม่มี แต่ความไม่มีพ่อก็ว่ารังเกียจแล้ว คนโบราณรังเกียจคนไม่มีพ่อนะ อยู่กับพระ ทุกวันนี้ ไม่มีพ่อ ก็เปรียบเหมือนไม่มีพ่อ มีแม่ก็เปรียบเหมือนไม่มีแม่ เป็นลูกของบริษัทไปหมดแล้วทุกชีวิตเลย แต่ก่อนเป็นลูกของพ่อของแม่จริงๆอายุยี่สิบปีนี่ยังไม่เคยออกจากบ้านเลย อยู่กับแม่ เดินก็เดินไปนาตัวเอง ไม่เคยไปที่ใด ขีดเส้นทางให้กับการใช้ชีวิต จนตั้งแต่เล็กจนเป็นหนุ่ม จนเป็นหนุ่ม จนเป็นอายุยี่สิบปี เดินไปแต่นาตัวเอง ไปหาฟืนก็ไปที่นาตัวเอง ไปเก็บเห็ดก็ไปนาตัวเอง ไปเก็บผัก ไปหาปลา หากิน ไปหาที่นาตัวเอง ไม่เคยเดินบนทางอื่นเลย ทางอื่นแม้จะดีก็ไม่ค่อยไป ทุกวันนี้ไปหมด ทั่วโลก ทุกทิศทุกทางเลย หนึ่งก็มีมอเตอร์ไซค์ แต่ก่อนไม่มี ขาสั้นเดินไปนาคล่องที่สุดเลย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเดินไปไร่ ไปนาตัวเอง ไปตลาด ไปเที่ยว ไม่ใช่เป็นลูกของพ่อของแม่แล้ว ทุกวันนี้แม้แต่เป็นสามีภรรยา ก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันนะ แต่ก่อนพี่น้องเห็นหน้ากันทุกวัน กินข้าวด้วยกันทุกวัน เดี๋ยวนี้มันไม่มีกันแล้ว มันไกลออกไป มันก็ยิ่งเถื่อนออกไป ถ้าเราไม่มีธรรมะแล้วนะ สิ่งแวดล้อมมันไม่ค่อยดีจึงไม่ควรประมาท ขอท้าทายไว้ มานี่เถอะ พวกเรา ให้มาศึกษาชีวิตจริงๆ มันจะเห็นหมดทุกอย่าง ถ้ามีสติ ดูกาย ดูจิต กายของเราจะหลอกไม่ได้ จิตก็หลอกไม่ได้ ตาก็หลอกไม่ได้ หูก็หลอกไม่ได้ จมูก ลิ้น กาย ใจ หลอกไม่ได้ รูป รส กลิ่น เสียง หลอกไม่ได้ เดี๋ยวนี้หลอกได้ดีที่สุดคือ ใจของคนเรา เป็นสุขก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ความรัก ความเกลียดก็เพราะใจ เพราะกาย เพราะใจ เสียเวลาอยู่กับความรัก ความสุข ความทุกข์ที่เกิดกับใจ สักวันหนึ่ง เราปฏิบัติเห็นกายสักว่ากาย เห็นเวทนาสักว่าเวทนา เห็นจิตสักว่าจิต เห็นธรรม สักว่าธรรม จนมันตายไป จากที่จะเกิดทุกข์ เกิดสุข จากกาย จากใจเนี่ย จากเวทนาเนี่ย หมดไปเลย เห็นแต่รูป แต่นาม สุข ทุกข์ ไม่ต้องเรียกเป็นอาการ อาการของกาย อาการของใจ เสียแล้ว ไม่เรียกว่าสุขว่าทุกข์เลย เป็นรูป เป็นนาม
ถ้ามีอะไร ก็เป็นสมมุติแน่นหนามาก สมมุติเนี่ย มีบัญญัติ มีวัตถุ มีอาการ บัญญัติสมมุติ บัญญัติเป็นรูปธรรม คิดขึ้นมาก็สมมุติว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าชอบ ว่าไม่ชอบ เป็นสมมุติบัญญัติในนามธรรม สมมุติบัญญัติในรูป ตาเห็น มีรส มีชาติ มีรูป รูป คือ สัมผัสได้ บัญญัติว่าชอบ ว่าไม่ชอบ ในบัญญัติที่เป็นรูปธรรม จนเสียหายเพราะบัญญัติเพราะสมมุติเอา ไม่ใช่ปรมัตถ์ บัญญัติลงไปในนามธรรม ความโกรธถือว่าเรา เราโกรธ สมมุติบัญญัติในนามธรรม เราพอใจ เราไม่พอใจ สมมุติบัญญัติในนามธรรม มันเป็นสมมุติบัญญัติเอา ไม่จริง เคยมีความพอใจ เคยมีความไม่พอใจ แต่ความพอใจ ไม่พอใจ มันไม่มีจริงๆ ชั่วครั้งชั่วคราว เราก็หลอกมัน เช่น ความโกรธ สมมุติว่าเราโกรธ จากกูโกรธเต็มที่ เป็นกูจริงๆเป็นตัวเป็นตนจริงๆ ใช้กายใช้ใจไปกับความโกรธ ถางทางความโกรธ เสียผู้เสียคน จนเกิดการเสียหาย เรียกว่าสมมุติบัญญัติที่เป็นนามธรรม สมมุติบัญญัติที่เป็นรูปธรรม แย่งกัน ข่มขื่น เข่นฆ่า ปล้น จี้กัน ลักขโมย อะไรที่เป็นทุกข์บัญญัติ ติดคุก ติดตะรางก็ยอม ประหารชีวิตก็ยอม ถ้าได้ทำไปตามสมมุติบัญญัติ มีเงินมีทองก็ไม่เหลือ หลงในสมมุติบัญญัติ ในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ไม่ใช่ปรมัตถ์สัจจะ ความโกรธเป็นสมมุติบัญญัติ ความไม่โกรธ เป็นปรมัตถ์สัจจะ ความหลงเป็นสมมุติบัญญัติ ความไม่หลง ความรู้สึกตัว เป็นปรมัตถ์ มันจริงอย่างนี้ มันไปไหนก็ไม่พ้น ความจริงในโลกนี้ แต่เราก็ท่องเที่ยวกับความไม่จริง ตลอดถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็เป็นธรรมชาติ เป็นอาการของรูป ไม่ใช่อาการของชีวิตจริง ชีวิตจริงๆ มันได้ คือไม่เป็นอะไร จากที่มันเห็นมา โชกโชน ที่เห็นๆมา มันก็ยังไม่เป็นไรเลยคือชีวิต ถ้าเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่ใช่ชีวิต
ถ้าเห็นมันสุขมันทุกข์ ก็ยังดี จนไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เป็นอะไรเลย จนอย่างนี้เรียกว่าชีวิต นี่คือเหนือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ พวกเรานี้ ไม่ได้ตรัสรู้อะไรที่ไหน ในกาย ในใจเรานี้ เห็นแล้วเรียกว่า ชาติสิ้นแล้ว ชาติที่เป็นความสุข ภพสิ้นแล้ว ภพที่เป็นความสุขของทุกข์สิ้นแล้ว มีแต่ไม่เป็นอะไร สิ้นภพ สิ้นชาติ แต่ว่าพรหมจรรย์ที่สุดแห่งชีวิต ไม่เปรอะเปื้อนกับอะไร เป็นสมบัติของทุกชีวิต อย่าให้พลาดไป มีสิทธิ ที่ต้องศึกษา ไม่ต้องทำไร ทำอย่างนี้แหละ ตามรอยพระพุทธเจ้านี่แหละ ตั้งแต่วันเพ็ญเดือนหกมา พระพุทธเจ้าเกิดตรงนี้ ไม่ใช่เกิดที่ไหน อันเกิดจากรูปจากกาย ที่เป็นรูปเรียกว่าสิทธัตถะ เกิดจากสวนลุมพินี เกิดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดในหัวใจนี่ การเกิดที่พุทธคยา ก็เป็นที่ เป็นที่อันหนึ่ง อันที่จริงๆ มันอยู่นี้ อยู่ในกับชีวิตเรานี่ เจริญสติ เห็นเนี่ย ไม่ต้องไปศึกษาวิธีอื่นใด มีอยู่ในเราแล้ว เป็นสูตรแล้ว เป็นพระสูตร เป็นตำรา เป็นตู้พระไตรปิฎก ในชีวิตของเราเนี่ย อย่าเอาเพศ เอาวัย มาขวางกั้น เอาความไม่เป็นไรเนี่ย เป็นสิ่งที่มาหลบของเรา ตัวนี้เราเอารูปมาขวางกั้น เอาเสียงมาขวางกั้น รส กลิ่น มาขวางกั้น เป็นสุข เป็นทุกข์ เพราะสิ่งเหล่านั้น แม้จะตายก็เอาลมหายใจ มาขวางกั้นเอาไว้ อันความไม่เป็นไร ไม่มีอยู่ ต้องเป็นผู้หายใจ ไม่ได้ เป็นผู้เจ็บ เป็นผู้ปวด ไม่ใช่ ความไม่เป็นอะไรมีอยู่ในทุกอย่าง มันเจ็บก็ไม่เป็นผู้เจ็บ มันหายใจไม่ได้ ก็เป็นผู้ไม่ต้องหายใจก็ได้ อยู่ตรงที่ไม่เป็นอะไร จนมันชำนิชำนาญ คล่องแคล่ว เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อใจจะขาด เมื่อมันเจ็บปวดมา เมื่อมันแก่ มันจะตาย จะทำไง ไม่ใช่ แน่นอนที่สุดคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ชีวิตของเรานะ ต้องมีความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เดี๋ยวนี้ เริ่มต้นจากเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เรื่อยไป นี่แหละ ทางไปตรงนี้แน่นอน ปฏิบัติดีตรงนี้ ปฏิบัติตรง ตรงนี้ ปฏิบัติออกจากทุกข์ตรงนี้ ปฏิบัติสมควรตรงนี้ นี้เรียกยกมือไหว้ตัวเองได้ คุ้มค่ากับชีวิตที่เกิดมา