แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่ออีก เพื่อรับเตือนกัน เพื่อจะได้ไม่ประมาท ชีวิตของเราประมาทไม่ได้ ทดลองไม่ได้ บางทีเราอาจจะใช้ชีวิตผิดๆมา ไม่รู้จักวิธีการใช้ชีวิต ปล่อยให้หลง ปล่อยให้โกรธ ปล่อยให้ทุกข์ ปล่อยให้โศก ปล่อยให้โลภ ปล่อยให้วิตกกังวลเศร้าหมอง มันผิด มันก็เลยเป็นกรรม หลงจนตาย โกรธจนตาย ทุกข์จนตาย มันก็เป็นทุกข์ ก็ยังไม่เปลี่ยน ไม่แก้ไข บางทีอาจจะพอใจในความทุกข์ ความโกรธ ความหลง หาเรื่องที่จะหลงโดยความคิดบ้าง ปัจจัยต่างๆบ้าง หมู่นี้มันใช้ผิด จงมาศึกษาดูว่าอะไรมันผิดมันถูก ชีวิตของเรานี้ ความหลงมันถูกไหม ความไม่หลงมันถูกไหม ความทุกข์มันถูกไหม ความไม่ทุกข์มันถูกไหม สัมผัสดู เรียกว่าปฏิบัติธรรม เอากายไปสัมผัส เอาใจไปสัมผัส ได้คำตอบเอาเอง ให้เราเป็น เราก็เป็นโจทก์ตัวเอง เป็นจำเลยตัวเอง และควรที่เป็นพิพากษาตัวเองบ้าง ให้มันพ้นปัญหา พ้นโจทก์ พ้นเป็นจำเลยซะ หลงทีไรก็เป็นหลง เรียกว่าเป็นจำเลยความหลง ทุกข์ทีไร ก็เป็นทุกข์ เป็นจำเลยของความทุกข์ โจทก์ตัวเอง หาความทุกข์ใส่ตัวเอง หาเหาใส่ตัวเอง พิพากษาเรียกว่าปฏิบัติธรรม เจริญสติ เปลี่ยนนี่ ปฏิบัติคือเปลี่ยนนี่ เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงนี่ พิพากษา สัมผัสดู มันจะต่างกันไหม โดยพิพากษาตุลาการสติปัฏฐานกับปฏิบัติตามอริยมรรค ดังที่ได้แสดงไปเมื่อเช้านี้ วิถีการดำเนินชีวิต ทฤษฎีดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ มันมีทางอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว อุบัติขึ้นแล้วในโลกนานมาแล้ว พร้อมทั้งพระธรรม คำสอน อันเป็นไปเพื่อทางออกจากปัญหาต่างๆ แล้วก็มีปัญหา ถูกปัญหาครอบงำ มีปัญหาเป็นหน้าๆ มีความทุกข์เป็นหน้าๆ มีความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เกิดแก่เจ็บตาย เห็นใครก็มีแต่ร้องไห้เสียใจในความแก่ความเจ็บความตายเป็นทุกข์ เราจะต้องยอมรับหรือ นี่พิพากษาแหละ มันมี เมื่อเกิดมีไม่เกิด เมื่อแก่มีไม่แก่ เมื่อเจ็บมีไม่เจ็บ เมื่อตายมีไม่ตาย อันมีอยู่อย่างนี้ สิทธัตถะ เราเป็นโจทก์ตัวเองและเป็นจำเลยตัวเอง พิพากษาตัวเองจนพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย ชาติ ชรา มรณะ ได้ มีพระอริยสงฆ์เกิดขึ้น ตรัสรู้ รู้ตามพระพุทธเจ้าจำนวนมาก จนเกิดธรรมวินัยขึ้นมา มาถึงพวกเรานี้ สติที่เราสร้างเดี๋ยวนี้กับสติที่พระพุทธเจ้าสร้างก็อันเดียวกัน ไม่ใช่หนีไปไหน อยู่ที่ตัวเรานี้ ก็เริ่มซะ ที่จะเหนือสิ่งเหล่านี้ เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย คือตั้งแต่เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงนี่ไป มีไหม มันมีหลงไหม ถ้าไม่มีหลง ก็ไปสอนให้คนอื่นให้เขาไม่หลงด้วย อย่าอยู่คนเดียว ถ้าตัวเองยังมีหลงอยู่ก็ลองดู หัดตัวเองลองดู ถ้ามีหลงอยู่ ก็นั่นแหละ จะได้มีงานทำ จะได้ไม่หลง
โดยเฉพาะกรรมฐานจะเจอต่อหน้าทันที สติ เวลามีสติจะเจอความหลง ไม่หลงอย่างใดก็หลงอย่างหนึ่ง นั่นแหละกระตือรือร้นสักหน่อย เปลี่ยนมันซะ ให้มันรู้ อาศัยรูปแบบกรรมฐาน กายานุปัสสนามีสติไปในกาย เอากายเป็นนิมิตเสียก่อน ตั้งไว้เสียก่อน อาศัยบรรทัดเสียก่อน อาศัยเครื่องหมายเสียก่อน เหมือนเราเดินไต่สะพานไม้ท่อนเดียว ต้องจับราวไปก่อน ถ้าไม่จับมันจะเซลงไปตกสะพาน หลง เราจึงมีกาย แล้วกายมันก็ทำให้หลง ไม่หลงเรื่องกาย อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายเรียกว่าอาการต่างๆ มีมาก อย่าหลง บางทีมันร้อน มันหนาว มันปวด มันเมื่อย ก็อย่าหลง มันหิว มันอะไร มันสุข มันทุกข์ ก็อย่าหลง อะไรที่เกิดกับกาย อย่าหลง ตั้งต้นให้ได้อย่างนี้ก่อน หัดเรียน หัดฝึก อย่างนี้ก่อน มันถึงจะเลื่อนชั้นได้ มันจะชำนาญแตกฉานเหมือนเราเรียนประถม ก ไก่ ข ไข่ เราก็แตกฉานจนเป็นครูอาจารย์ของคน รู้เรื่อง ตัวหนังสือเขียนมีความหมายให้เราปฏิบัติตามตัวหนังสือ แล้วก็เราก็ใช้มาถูกต้อง ใช้ได้ สองห้าก็เป็นสิบ ถูกต้อง สองห้าเป็นยี่สิบ ไม่ถูกต้อง นี่เราเรียนมาเป็นสูตร สูตรชีวิตเราก็มีสูตรถูกต้อง กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นั่น เอารหัสไว้ก่อน เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาช่วยเสียก่อน แม้ยังไม่ลงตัว ก็ว่าไปก่อน เหมือนเราท่องสูตรคูณ สองหนึ่งเป็นสอง สองสองเป็นสี่ สองสามเป็นหก ท่องได้แล้ว ไปทำคณิตศาสตร์ เขียนวิธีทำ แล้วก็เขียนได้ เขียนลงไปแล้วเราก็ท่อง เอาสูตรที่เราท่องมาเฉลย มันก็เป็นไปได้ กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นั่น เฉลยไปก่อน เมื่อมันเกิดขึ้นทีไร เฉลยไปก่อนอย่างนี้ มันก็จะชำนาญขึ้น มันถูกต้องที่สุด เห็นกายสักว่ากาย อย่าเอาความร้อนความหนาวเป็นตัวเป็นตน อย่าเอาความหิว ความปวด ความเมื่อย เป็นตัวเป็นตน กู มันก็ไม่เฉลย เลยเป็นการบ้าน เป็นจำเลยอยู่เช่นนั้น เป็นสุขเพราะกาย เป็นทุกข์เพราะกาย เอากายมาเป็นสุข เอากายมาเป็นทุกข์ แล้วแต่เขาจะสั่ง เราก็เลยไม่พ้นการเกิดแก่เจ็บตาย เกิดดับ เกิดดับ อยู่ตรงนี้ เกิดขึ้นมา แล้วไม่พอ เกิดอีก ต่อๆอีกหลายชั้นเรื่องกายนี่ ต้องหาอะไรที่แก้ไข มันก็แก้ไม่ได้ เพราะเราไปทำตามมัน มันไม่จบไม่สิ้น เราจึงมาศึกษาดูซิ มันจะเห็นนิมิต เห็นกระแส
ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานนี้มักจะเห็นกระแสแห่งพระนิพพาน เวลามันหลงมันมีไม่หลงกระแส เวลามันโกรธมันมีไม่โกรธ กระแสนั่นแล้ว เวลามันทุกข์มันมีไม่ทุกข์ กระแส แม้ว่าริบหรี่ ก็แบกไปก่อน มันจะพบทางอันกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนไฟตามติดอาการต่างๆ เขาบอกทางออก ถ้าไฟมันดับ ถ้าหลงไปต้องวิ่งออกได้ แม้ริบหรี่ก็ไปเถอะ มันยังไม่มาก สติยังไม่มาก แต่ก็ใช้ได้ จะพยายามทำให้มาก มันยิ่งใช้ได้ การทำให้มาก ว่าภาวนา ขยันรู้นี่ วิชากรรมฐาน สติปัฏฐาน ๔ กายานุปัสสนาบรรพะต่างๆ เยอะแยะในกาย เคลื่อนไหวก็เป็นบรรพะทางกาย กายบรรพะ หายใจเข้าก็เป็นกายบรรพะ ใจมันคิดก็เป็นจิตตบรรพะ เอามาใช้ให้รู้ได้ เยอะแยะเลย แต่ก่อนที่จะไปดูจิตต้องหัดให้มันดูกายเสียก่อน ให้มันเห็น ให้มันแก่กล้า ถ้าฝึกใหม่ๆ จะไปคุมจิตเลย มันก็ยาก บางทีอาจจะเป็นความกลัวไปเลย มันยาก กลับยากไปเลย ถ้ามาหัดกายก่อน มันก็ค่อยอ่อนลง หัดจิตก็ง่ายแล้วบัดนี้ เราจึงหัด ถ้าไม่หัด มันไม่เป็น ไม่ใช่รู้ ไม่ใช้สมองหรอก กรรมฐานไม่ใช้สมอง เป็นการกระทำประกอบเอา สติมันจะเกิดเพราะการประกอบ ไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่เหตุผล ประกอบยังไง เอากรรมฐานนี่ เคลื่อนไหวมือบ้าง หายใจบ้าง ให้มีที่ตั้ง หัดตั้งไว้ ถ้าไม่ตั้ง ไม่มีที่ตั้ง มันไหลไปข้างหน้า มันไหลคืนข้างหลัง ไม่มีข้างหน้ามีข้างหลัง ข้างหน้าก็ไม่จริง ข้างหลังก็ไม่จริง ปัจจุบันนี้มันจริง ทำอะไรได้ ครู่นี้ก็มีอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้ เมื่อวานก็มีอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้คือเดี๋ยวนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้ เรารู้ มันจะมีพรุ่งนี้ มันก็จะรู้ เมื่อวานนี้ก็จะรู้ วันนี้ มันเป็นเมื่อวาน มันเป็นพรุ่งนี้ด้วย การรู้สึกตัวปัจจุบันนี้ มันป้องกันวันหน้าด้วย มันแก้ไขวันก่อนๆ ด้วย มันใช้ชีวิตผิดพลาดมา และจะกลับไปแก้เมื่อวานไม่ได้ ต้องเอาเดี๋ยวนี้ นี่แหละกรรมฐานเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจุบันเสียก่อน อยู่ที่ไหนให้อยู่นั่น อยู่กับกายลองดู โดยการยกมือสร้างจังหวะ 14 จังหวะ จังหวะหนึ่งอาจจะวินาทีหนึ่ง หรือไม่ช้าเกินนั้น หรือไม่ไวเกินนั้น พอดีๆ รู้ทุกวินาที มันจะชำนาญขึ้น นี่เรียกว่าพิพากษา เรียนรู้ให้มันป้องกันไว้ดีกว่าแก้ไข ถ้ารู้เป็นทุน เหมือนตาที่เรามีลืมไว้ก่อน มันถึงจะเห็น ตาในคือสตินี้ ลืมไว้ รู้ไว้ อะไรที่มันเกิดขึ้น สติมันเห็นแม้กระทั่งรูปธรรมนามธรรม เห็นอารมณ์ เห็นความคิดเห็นอาการต่างๆ หลอกตัวเองไม่ได้ อาจจะหลอกคนอื่นได้ จะหลอกตัวเองไม่ได้ เป็นสัจธรรม จึงหัด ต่อไปเราจะอายความหลง อายความทุกข์ อายความคิด คิดอย่างนี้ก็คิดได้หรือ อายแม้กระทั่งมันคิด แล้วก็จะเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา เกิดการสำรวมสังวรเอง เป็นรั้วไปเอง เหมือนธรรมนครที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ศีลเป็นรั้ว ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ เป็นเสาระเนียด ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ อะไรจำไม่ได้ ญาณปัญญาที่เกิดจาก วิปัสสนาเป็นป้อมปราการ สติปัฏฐานเป็นชุมทางที่แยก อย่าหลง ชุมทางสี่แยก กายานุปัสสนา อย่าหลง เวทนานุปัสสนา อย่าหลง เป็นสุขเป็นทุกข์ก็นั่น อย่าหลง สักว่าเวทนา จิตอีกแยกที่สาม มันคิดอย่านึกว่าตัวเอง คิดอะไรก็ทำตามความคิด ความคิดมี 2 ลักษณะ คิดแบบตั้งใจ ก็ไม่ควรตั้งใจเวลาทำกรรมฐาน ให้เป็นเรื่องเดียวเสียก่อน คิดที่ไม่ได้ตั้งใจ นั่นแหละเปลี่ยนทันที อย่าให้โอกาสมัน แต่ก่อนกลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว มันไหล สันตติเกิดขึ้น ไหลไป เกิดดับ เกิดดับ เหมือนน้ำ ที่มันไหล จิตใจของเรามันคิด อย่าให้ความคิดมันสั่งงานสั่งการ ให้มีสติ จับความคิดมาใช้ อย่าให้ความคิดมันใช้เรา อันจิตที่มันคิด สักแต่ว่าจิตไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา อย่าเอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับจิต ให้จิตพาเป็นสุขเป็นทุกข์ เสียเปรียบมัน เสียเปรียบความสุขความทุกข์ คิดขึ้นมานอนไม่หลับ คิดขึ้นมาน้ำตาไหล แค่นี้หรือ เปราะบางที่สุด
เราจึงมาเห็นมัน จิตสักว่าจิต เป็นทางแยกอีกอันหนึ่ง อย่าหลง ธรรมสักว่าธรรม ทางแยกที่สี่ สี่แพร่ง คือความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย ความคิดฟุ้งซ่าน กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ เป็นธรรมที่ครอบงำชีวิตของสัตว์โลก อย่าหลง มันเป็นธรรมสักว่าธรรมเฉยๆ ไม่ใช่ตัวใช่ตนอะไร บางทีก็มีความสงบอย่าไปหลง มีความสุขก็อย่าไปหลง ไม่หลงแม้กระทั่งสุข แม้กระทั่งทุกข์ ให้เห็นเฉยๆ อย่าเป็น นี่ชุมทาง อย่าหลง สติปัฏฐานนี้เป็นความชำนาญในการเดินทางให้ผ่าน เป็นทางผ่านไป เอาความหลงไว้หลัง เอาความโกรธไว้หลัง เอาความทุกข์ไว้หลัง มันก็ก้าวหน้า ถ้ามีความสำเร็จได้ มันเป็นไปได้ ให้ผลได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติก็ย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ใครเกียจคร้านก็ไม่รู้ ใครขยันก็รู้มาก ขยันรู้ วันหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง วินาทีหนึ่ง ลองดูซิ มันจะมากรู้ มันเป็นภาวนา มันจะมากขึ้น วินาทีละรู้ ชั่วโมงก็ ๓,๖๐๐ วินาที ก็ ๓,๖๐๐ รู้ มันก็จะเป็นมหารู้ หรือมหาสติปัฏฐาน เมื่อรู้มาก ความหลงก็น้อยลง เมื่อหลงมาก ความรู้ก็น้อยลง อันนี้เดี๋ยวนี้ เป็นคู่อย่างนี้ แต่เราก็ทำได้ ฝึกหัดอย่างนี้ไปก่อน อย่าไปประเมินตัวเอง เอาเรื่องการสัมผัส เอาเรื่องการพบเห็นมา ไม่ใช่คิดเห็น ปฏิบัติธรรมมันเป็นการพบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น คิดเห็นมันอยู่ไกล พบเห็นมันอยู่ต่อหน้านี้ เวลาเปลี่ยนหลงเป็นรู้ โอ๊ย มันชื่นใจ เปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธ มันชื่นใจ เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ มันชื่นใจ มันเป็นความถูกต้องที่สุด ไม่เคยดูแลตัวเอง ปล่อยตัวเองทิ้งไป พอมาทำงานนี้เข้า โอ๊ย รู้สึกว่ากระตือรือร้น มันหลงทีไร เรารู้สึกว่าขนหัวลุกนั่นแหละ แค่นี้ก็หลงแล้ว มันทุกข์ก็ดี เห็นชัด ยิ่งมันโกรธ โอ๊ย พอใจ เหมือนกับส่องกระจกเงาเห็นหน้าตัวเอง รีบ เหมือนไฟตกใส่ขา รีบปัดออก อันความโกรธที่มันเกิดกับจิตกับใจเรา รีบเอาออก เปลี่ยนเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนเป็นความไม่ทุกข์ นี่มันถูกต้องที่สุด ไม่ใช่ว่าถ้าได้โกรธแล้วไม่ลืม ถ้ากูได้โกรธ ตายไม่ลืม ไม่ใช่คิดแบบนั้น เราเคยทำตามความโกรธ เคยทำตามความทุกข์ เคยตามความรัก เคยทำตามความเกลียดชัง เสียเปรียบความโกรธ เสียเปรียบความทุกข์ เสียเปรียบความเกลียดชัง ทำตามกัน เกิดการทะเลาะกันแตกแยก ก็ให้ความโกรธสั่ง มันก็ไม่มีอะไร มันไม่มีตัวมีตนนะ อันความโกรธมันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
ฉะนั้นเราจึงมารื้อขึ้นมาร้อง พิพากษา ชนะได้ ชิตังเม ชนะแล้วโว้ย ต่างคนขี่เสืออยู่หน้าวัด เสือมันดุร้าย ชีวิตของเรานี่มันก็ดุร้ายนะ น่ากลัว อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับคน ถ้าเป็นมนุษย์ก็พอพึ่งได้ คนมันปนเป คุ้มร้ายคุ้มดี ถ้ามนุษย์นี่สูงขึ้นมาหน่อย ถ้าหลงเป็นหลงเรียกว่าคน ทุกข์เป็นทุกข์เรียกว่าคน โกรธเป็นโกรธเรียกว่าคน รักเป็นรักเป็นคน พอใจไม่พอใจเป็นคน ถ้ามนุษย์เขาไม่หลงตรงนี้ มันหลง เห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง เป็นมนุษย์ ไม่ใช่สองขาสองแขน มันบ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่มันฝึกหัดมา ถ้าเปลี่ยนนี่ มนุษย์เท่านั้นที่เป็นพระได้ คนเป็นพระไม่ได้ มีแต่ไปตกนรกมาก เหมือนกับขนของโค ถ้าเป็นคน ถ้าเป็นมนุษย์ ตกนรกน้อยๆ เท่ากับเขาโค เพราะเขาเห็น เขาไม่เป็น มันทำได้อยู่ เช่น หลง เห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง พ้นจากความหลง มันก็ได้ประโยชน์ ได้ปัญญา ปัญหาเป็นปัญญาไป ปัญญาเกิดแบบนี้ ปัญญาพุทธะ ปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามีอยู่กับเราทุกชีวิตแล้ว ความทุกข์เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากทุกข์ นั่นแหละมนุษย์ไปแบบนี้ เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน พระธรรมคำสอนนี้เป็นไปเพื่อทางออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ปรินิพพานคือมันหมด บางทีความหลงก็จะหมดไปเลย ความโกรธจะหมดไปเลย ความทุกข์ก็จะหมดไปเลย ไม่มีเชื้อเลย ต่างก็พึ่งพาอาศัยกันได้ เราก็พึ่งได้ พึ่งตัวเองได้ เวลานี้เราก็พึ่งตัวเองไม่ได้นะ ไม่มั่นใจตัวเอง ไม่รู้จะเป็นยังไง คุ้มร้ายคุ้มดี อันตราย เพราะอะไร เพราะมันยังเป็นจำเลยเขาอยู่ แล้วแต่เขาจะสั่ง เขายังเป็นโจทก์เราอยู่ ไม่เคยพิพากษาตัวเองให้มันพ้นไป พึ่งตัวเองก็ไม่ได้ มีใจก็พึ่งใจไม่ได้ เอาความสุขความทุกข์ไปห้อยไปแขวนไว้กับใจ เอาความสุขความทุกข์ไปห้อยไปแขวนไว้กับกาย มันใช้ได้ไหมล่ะ เหมือนเอาอาศัยอันอื่นเป็นนิมิต ต้องเป็น อัตตาหิ อัตโนนาโถ ต้องไม่เป็นอะไร ชีวิตของเราไม่ต้องเป็นอะไร เห็นทุกอย่าง เหนือโลก
ก็โลกมันมีอยู่จริง สุข ทุกข์ นินทา สรรเสริญ ได้ เสีย มีนี่รสของโลกแสบเผ็ดมาก นินทาก็มี สรรเสริญก็มี ได้ก็มี เสียก็มี สุขก็มี ทุกข์ก็มี ถูกโลกนี้ครอบงำสัตว์โลกอยู่ แต่ถ้าเรามาเห็นแล้ว มันจะไม่ถูกโลกนี้ครอบงำ เหนือโลกเพราะเห็นแล้ว ความไม่เที่ยงก็เห็นแล้ว นอกจากความไม่เที่ยงมันไป ความเป็นทุกข์ก็เห็นแล้ว นอกจากความเป็นทุกข์มันไป ไม่ใช่ตัวเองเป็นผู้ทุกข์ ไม่ใช่ตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เพราะความไม่เที่ยงมีอยู่แต่ไหนแต่ไรมา มาถูกครอบงำแล้ว ความไม่ทุกข์หยั่งเอาแล้ว ความไม่เที่ยงหยั่งเอาแล้ว เห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ความไม่เที่ยงเป็นนิพพาน ไม่ต้องเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ ไม่ใช่ ความเป็นทุกข์เป็นนิพพานไปเลย พระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ นั่นแหละเป็นทางพระนิพพาน อย่าไปทุกข์เพราะความเป็นทุกข์ ให้มันจบไปซะ ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม อย่าได้มีชีวิตอยู่ อิสรภาพ ไม่มีภัย ชีวิตไม่มีภัยเขาเรียกว่า อริยเมตไตรย เรียกได้ว่าผู้ที่พ้นภัย หรือเรียกว่าพระอะไรก็ได้ มันเป็นสมบัติของเรานะ ถ้ายังหลงเป็นหลง เสียชาติแล้ว ไม่ได้บทเรียน ถ้ายังโกรธเป็นโกรธอยู่ ทุกข์เป็นทุกข์อยู่ ไม่มีประโยชน์เลยชีวิตเรา เราจึงต้องฝึกตนสอนตนเตือนตน พิพากษาตัวตนอยู่เสมอ อย่ายอม มันหลง ไม่ต้องหลง เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง เริ่มกรรมฐานเปลี่ยนไปนี้ก่อน สนุกเปลี่ยน มาเป็นหมวดเป็นหมู่ความหลง ความไม่หลงก็มาเป็นหมวดเป็นหมู่เหมือนกัน มีสติที่ใดก็ละความชั่ว มีสติที่ใดก็ทำความดี มีสติเมื่อใดก็จิตบริสุทธิ์ ง่ายๆ ไม่ใช่ไปคุมโน่นคุมนี่ ปฏิบัติธรรมไม่เหมือนจับปูใส่กระด้งนะ ที่เขาพูดแบบนั้นนะไม่ใช่เป็นนักกรรมฐาน ปฏิบัติธรรมมันง่าย ทำได้ง่าย ถ้าจะให้หลงมันยาก มันไม่ถูก เมื่อมีสติก็ละความชั่วแล้ว มาเป็นพวงแล้ว ความถูกต้องมาเป็นพวง ละความชั่วแล้ว ทำความดีแล้ว การละความชั่ว การทำความดี การทำจิตบริสุทธิ์ก็เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาแล้ว เหมือนเราเหยียบเส้นทางแล้ว ดำเนินไป ทางมันจะพาไป แต่ทางที่จะพาไป ไม่ใช่ทางที่ให้เราไหลไปเหมือนทางไฟฟ้า ต้องก้าวไป เปลี่ยนหลงเป็นรู้ นี่ก้าวไป ถ้าข้ามหลงเป็นรู้ ผ่านไปแล้ว ไกลออกไป ไกลออกไป เป็นผู้ไกลจากข้าศึก ไม่มีข้าศึก เปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนผิดเป็นถูกไป
ปฏิบัติธรรมเป็นแบบนี้ สติปัฏฐานเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ไปท่องจำ เป็นการสัมผัส อันเป็นการหลุดพ้น มีคำตอบเอาเอง ไม่ต้องไปถามใคร เวลามันหลง เปลี่ยนหลง ไม่หลง ไม่มีคำถาม การเปลี่ยนหลงไม่หลง ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร ทำได้เอง ทำได้เลย สิทธิร้อยเปอร์เซ็นต์ เวลามันโกรธ มันมีสิทธิไม่โกรธ เวลามันทุกข์ มันมีสิทธิไม่ทุกข์ นี่สิทธิของเรา ใช้สิทธิของเรา แต่ว่าธรรมาธิปไตย อิสรภาพ ปลดปล่อยตัวเอง ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ ถ้าสิ่งเหล่านี้หมดไป ความโกรธ ความโลภ ความหลง หมดไป กุศลอื่น ความดีก็เกิดขึ้น ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ถ้าอกุศลนี้มี ความโกรธ ความโลภ ความหลง มี อกุศลอื่นที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้นเป็นบาป เป็นทุกข์ขึ้นมา มันก็เปลี่ยนตรงนี้เท่านั้นเอง เหมือนกับเราจะทำอะไรแก้ความผิด มันจึงเป็นถูก ถ้าไม่แก้ตรงที่ผิด มันก็ไม่ถูกสักทีหรอก ผิดอยู่เรื่อยไป หลงเรื่อยไป นี่เราฝึกตนสอนตนอย่างนี้ ความหลงครั้งสุดท้าย ความโกรธครั้งสุดท้าย ความทุกข์ครั้งสุดท้าย ความโลภก็ครั้งสุดท้าย มันมีครั้งสุดท้ายด้วยนะ มันจบเป็นชีวิตของคนนี่ เรียนจบได้ เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นต้องทำไม่มีอีกแล้ว จบแล้ว จะเป็นยังไงชีวิตของเรา ที่สุดก็คือไม่เป็นอะไรกับอะไร เป็นมงกุฎธรรมสูงสุด มงกุฎธรรมเหนือทุกอย่าง เพราะเห็นทุกอย่างที่เกิดกับกายกับใจ ไม่มีหลบลี้ที่ไหน ทะลุทะลวงได้หมด มันเรียนจบได้ ไม่ควรจะมีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้มีปัญหาเพราะกายเพราะใจ จนสร้างคุกสร้างตะราง จนมีกองทัพ มีตัวบทกฎหมาย ให้คนมาปฏิบัติตามกฎหมาย มันก็ไม่จบไม่สิ้น ถ้าเรามาดูตัวเองแบบนี้ มันก็จบ นับหนึ่งจากเราดูซิ ประเทศไทยมีคนประชากรอยู่หกสิบกว่าล้านคน
ทุกคนเริ่มต้นจากตัวเรานี่ มันก็จบได้ เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง ลองดู ธรรมวินัยมันทำให้เราเป็นคนคนเดียวกันได้ นี่เรามีสติ เรานั่งอยู่นี่ เป็นคนคนเดียวกันเลย ถ้าเราหลงก็เป็นคนละคนกันไป มันอัศจรรย์นะ ธรรมะเป็นของอัศจรรย์จริงๆ คำสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติได้ ให้ผลได้จริงๆ ไปเอาอะไร ไปคิดอะไร ใช้สมองเรื่องไหน นี่มันอยู่ตรงนี้ โซ่ไม่แก้ กุญแจไม่ไข มันก็ไปไม่ได้ ไขตรงนี้ แก้ตรงนี้หลุดไปก่อน หลุดไปก่อน มันก็จะเป็นไปได้ง่าย โดยเฉพาะเรื่องกาย เวทนา จิต ธรรม หน้าด่าน แยกเลยนี่ ก้าวแรกไปเลยของพวกเรา ทำไมถ้าเห็นปัญหา มันก็ดี มันผิดตรงไหน จะได้แก้ไข เหมือนนักซ่อม อันนักซ่อม ถ้าเขาเห็นอันที่มันเสีย เขาแก้นะ เหมือนคนป่วยไปหาหมอ หมอวินิจฉัยโรคออก มันอยู่ตรงนี้ ก็แก้ เอายามาใส่ หลวงตาป่วยเหมือนกัน กว่าที่จะวินิจฉัยโรคดีโรคได้ตั้งหลายวัน ทำหลายแบบ จนไปพบโรค หมอก็ให้ยา ก็หายได้ พ้นจากโรค การที่จะปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน พ้นจากโรคได้ โรคความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พ้นได้ จึงช่วยตัวเอง ใครก็ช่วยเราไม่ได้ มันอยู่ที่นี่แหละ มันหลงนี่แหละ มันคือแก้ตรงนี้ เรานี่มันเคยถูกรอยอะไรมา นี่รอยรักรอยแค้น รอยสุขรอยทุกข์ รอยได้รอยเสีย เต็มไปหมดเลย เหมือนรถมือสอง มาซ่อมมาเข้าอู่ มา หลงมา รู้น่ะ มันซ่อมแล้ว มันโกรธ มันทุกข์ มันคิดไปก็รู้ ซ่อมขึ้นมา ให้มันดีขึ้นมา มันทำได้ปฏิบัติได้ จนมันไม่มี นี่คือปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือเปลี่ยนร้ายเป็นดี ดูแลตัวเอง ดูแลกายดูแลใจของเรา มีสติเป็นเจ้าของ อย่าปล่อยตัวเองทิ้ง รู้จักช่วยตัวเอง อันนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม ดี๊ดี ชอบที่สุด เป็นความชอบที่สุด ฝึกตนสอนตน ชั่วช้างสะบัดหูชั่วงูแลบลิ้น เป็นกระแสไว้ เป็นคราวที่จนมาจะใช้ได้ แล้วมันแก่ ทำยังไง เวลามันเจ็บ ทำยังไง เวลามันตาย ทำยังไง หัดไปก่อน ไปช่วยกัน เวลามันใกล้จะตายมันทำไม่ได้ มันไม่ฝึกเอาไว้ ยามสงบเราฝึก ยามศึกเรารบได้ สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน