แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่ออีก อยากจะชี้จะนำเพื่อให้เป็นส่วนประกอบกับการปฏิบัติธรรมที่เรากำลังทำอยู่ ให้ได้ยินสิ่งที่เราได้ทำ สิ่งที่เราได้ทำเป็นสิ่งที่เราได้ยิน สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราก็เหมือนกันหมด เป็นอันเดียวกันหมด ไม่แปลกอะไร เราก็ไม่คิดว่าตัวเราคนเดียวปฏิบัติธรรม ก็พร้อมอยู่แล้ว มีกายมีจิตใจมีสติ เหมือนมีตำรา กายใจเป็นตำรา สติปัญญาเป็นนักศึกษาไปดู เข้าไปดูไปเห็น
ดังที่เราสาธยายพระสูตร เมื่อใดพราหมณ์มีเพียรเพ่งอยู่ มีสติปัญญาเห็น อะไรที่เกิดขึ้นก็ย่อมเฉลยได้ถ้ามีสติ สติจะบอกว่ารู้แล้ว นี่คือกายรู้แล้ว อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายรู้แล้ว พร้อมกับปัญญา ถ้ารู้แล้วก็จบไปแล้ว จากเป็น คำว่าเห็น คำว่าเห็นต่างกันกับเป็น ถ้าว่าเป็นคือไม่ได้เห็น ถ้าเห็นก็หลุดพ้น ถ้าเป็นไม่หลุด เป็นสุขก็เป็นสุขติดอยู่ที่นั่น เป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ติดไม่หลุด ถ้าเห็นสุขเห็นทุกข์มันจะหลุด เหมือนทิ้งก้อนกรวดใส่ฝาผนัง พอสัมผัสมันก็ตกลง ไม่เหมือนทิ้งดินเหนียวใส่ฝาผนัง พอสัมผัสมันก็ติด ถ้าสุขเป็นสุขหมายถึงดินเหนียว ถ้าทุกข์เป็นทุกข์หมายถึงดินเหนียว มันติด ถ้าเห็นมันเป็นก้อนกรวดไม่ติด สัมผัสเหมือนกันแต่มันลักษณะมันต่างกัน การเห็นกับการเป็นมันต่างกันแบบนี้
จึงมาดู มาลืมตาภายใน ตาเนื้อนี่มันจะไม่ต้องใช้ แต่ว่าอย่าไปหลับ ต้องลืมไว้ก็ดี เพราะว่าจะได้เห็นอะไรที่มาเกิดขึ้นขณะที่เราทำความเพียรอยู่ เราอยู่ในป่า นั่งในป่า เดินในป่า บางทีมีงูเลื้อยมาจะได้เห็นงู ถ้าหลับมันก็จะไม่เห็นอาจจะเป็นอันตราย งูเข้าถึงตัว อาศัยตาเห็น ถ้าเห็นแล้วก็หลุดพ้น เห็นงูไม่ให้งูกัด ถ้าตาเนื้อก็ยังช่วยได้อยู่ ถ้าตาในนี่เห็น เห็นทุกข์ไม่ได้เป็นทุกข์ เหมือนเห็นงูไม่ถูกงูกัด เห็นโกรธ เห็นโลภ เห็นหลง เห็นอะไรต่าง ๆ มันก็หลุด มันไม่มีรสชาติ มันเห็นเฉย ๆ
อย่างที่หลวงตาพูดเมื่อวานว่า โจทก์เป็นโจทก์เป็นจำเลย ถ้าสุขเป็นสุข โจทก์ทำให้เราเป็นสุข ถ้าเราเป็นสุข ก็เราตกเป็นจำเลยตัวเองอยู่ ถ้าสุข เห็นมันสุข พิพากษาแล้ว สติปัญญาหลุดไปแล้ว ไม่ตกเป็นจำเลย ไม่ตกเป็นอะไร เป็นอิสระ ถ้าสุขเป็นสุข ไม่อิสระ สุขเห็นมันสุข เป็นอิสระ ไม่เปรอะเปื้อน เห็นเป็นพรหมจรรย์ เป็นพระได้ ถ้าเป็นนี่ เป็นพระไม่ได้
พรหมจรรย์หมายถึงความบริสุทธิ์ ไม่เปรอะเปื้อน เหมือนทิ้งก้อนกรวดใส่ฝา ไม่เปรอะเปื้อน ถ้าทิ้งดินเหนียวใส่ มันเปรอะเปื้อน ลักษณะการเห็นเนี่ย มันไม่เปรอะเปื้อนนะ มันจึงมีอุปกรณ์เบื้องต้นใช้ได้ทันที ไม่ต้องไปทดลอง ชีวิตไม่ใช่ทดลอง ไปทดลองกับความหลง ไปทดลองความโกรธ ไปทดลองกับความโลภความทุกข์ ถ้าทดลองก็เสียไปแล้ว ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ มันเสียไปแล้ว ถ้าสุขเป็นสุข มันเสียไปแล้ว เอาคืนไม่ได้แล้ว ถ้าหลงเป็นหลงก็เสียไปแล้ว ให้เห็นเนี่ย มันไม่เสียไม่ใช่ทดลอง จึงเป็นพรหมจรรย์ได้
ชีวิตทดลองไม่ได้ เหมือนทดลองตัดขา ขาก็ขาด ตัดแขน แขนก็ขาด ต้องรักษา ต้องระวังป้องกัน มีสติเข้าไป เห็นกาย มันก็มีอยู่กาย สิ่งที่มันเกิดกับกายก็มีอยู่ สิ่งเกิดแต่เหตุ ดับแต่เหตุ ย่อมผ่านไป มันมี เห็นกายอย่าเอากายมาเป็นตัวเป็นตน ไม่ผูกกับภพกับตัวกับตนในกาย ไม่ติดภพ สุขเป็นภพหนึ่ง ทุกข์เป็นภพหนึ่ง ถ้าร้อนเป็นร้อน เป็นภพ ถ้าหนาวเป็นหนาว เป็นภพ ถ้าหิวเป็นหิว เป็นภพ ถ้าปวดอะไรต่าง ๆ มันเป็นภพ อย่าผูกกับภพ ให้เห็น สิ้นภพ ไม่เป็น มันสำเร็จได้
พ้นภาวะเก่า พ้นภาวะเดิม เปลี่ยนเป็นภาวะใหม่ที่ไม่เป็น บริสุทธิ์ขึ้นมา เป็นทั้งศีล เป็นทั้งสมาธิ เป็นทั้งปัญญา วิธีปฏิบัติเนี่ย มันสัมผัสได้ ให้ผลได้ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ถ้าทำสนุก ๆ ไป ยิ้มแย้มแจ่มใส อย่าเอาความคิดไปเกี่ยวข้องมากเกินไป เอาเหตุเอาผล ถ้าใครปฏิบัติธรรมด้วยความคิดความอยาก จะมีปัญหา ไม่ค่อยจะสะดวก เป็นทุกขาปฏิปทา ไม่สะดวกลำบาก ทั้งกายก็ลำบาก ทั้งใจก็ลำบาก ให้ใจเป็นผู้สั่งงานสั่งการ ขี้เกียจก็หยุด ขยันก็ทำ แล้วแต่อารมณ์ อาการอะไรที่มันเกิดขึ้น ทำเฉย ๆ ทำซื่อ ๆ ให้มีสติซื่อ ๆ เข้าไป เห็นกายเราเห็นเหมือนกันอย่าไปเอาว่าผิดว่าถูก ถ้าผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก เป็นเรื่องของใจ ถ้าเห็นแล้ว เห็นเนี่ยเป็นธรรมดา เป็นรวมทั้งหมด เป็นทั้งสติเป็นทั้งปัญญา สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ เป็นเรื่องของใจ ถ้าเห็นเฉย ๆ ไม่เป็นเรื่องของอะไร บริสุทธิ์แล้ว
มีสติเห็นมันเนี่ย มันสะดวกที่สุดเลย มันรู้ก็เห็นมันอยู่เนี่ย มันหลงก็เห็นมันอยู่เนี่ย มันสุขก็เห็นมันเนี่ย มันทุกข์ก็เห็นมัน มันร้อนก็เห็นมัน มันปวดก็เห็นมัน เป็นอะไรที่มันเกิดขึ้นกับกาย มีแต่ภาวะที่เห็น ไม่มีรสชาติ ภาวะสุขภาวะทุกข์อะไรไม่มีรสชาติ มีแต่เห็นเนี่ย สติเป็นอย่างนี้ มักจะไม่ติดภพติดภูมิอะไร ถ้าเป็นกลางก็เป็นกลาง เป็นทางก็เป็นทางไป ไม่ใช่ซ้าย ไม่ใช่ขวา ไม่ใช่ชิดซ้าย ไม่ใช่ชิดขวา เมื่อไม่ชิดซ้ายไม่ชิดขวาก็ผ่านไปได้ง่าย เหมือนท่อนซุงที่ไหลตามแม่น้ำ
พระอรหันต์บางรูปสำเร็จเป็นอรหันต์ได้ ก็เพราะเห็นท่อนซุงไหลตามแม่น้ำ นั่งอยู่ฝั่งแม่น้ำ ท่อนซุงท่อนใดที่ไหลติดฝั่งซ้าย ก็ย่อมถูกอมนุษย์ลากขึ้นไปชำแหละเป็นอันอื่น ท่อนซุงท่อนใดติดฝั่งขวาก็ถูกอมนุษย์ลากขึ้นไป ไปไม่ถึงไหน ส่วนท่อนซุงท่อนใดไหลอยู่กลางน้ำก็ย่อมผ่านไปถึงแม่น้ำถึงทะเลมหาสมุทรได้ฉันใด ชีวิตของเราติดสุขฝั่งขวา ติดทุกข์ฝั่งซ้ายไม่เป็นมรรค มรรคต้องผ่านเป็นกลาง อันมรรคไม่ใช่เปรียญ เห็นน่ะเป็นมรรคที่สุดแล้ว เป็นน่ะไม่ใช่มรรคนะ เป็นสุขไม่ใช่มรรคแล้ว มรรคคือทาง ไม่ใช่เดินด้วยรูปด้วยกาย เป็นการเดินทางจิตใจบำเพ็ญทางจิต พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นพระอรหันต์ได้เพราะบำเพ็ญทางจิต มีสติดูจิต มีจิตดูจิต ถ้าดูกายก็ไม่เห็นจิต เวลามันคิด มันเห็นธรรม กุศลอกุศลมันเกิดจากจิต
กายไม่มีอะไรหรอกกายเนี่ย แต่เป็นมหาภูตรูป เป็นรูปอาศัย เหมือนกับพ่วงแพ แต่จิตเหมือนนายขี่บนแพนั้น จะให้ไปทางไหนมันก็ไป อันรูปนี่มันไม่รู้ จะแขวนคอมันก็แขวนคอตาย จะเอามีดเหรอแทง มันก็แทงตัวเอง จะเอาปืนมายิงก็ยิงตัวเอง จะโดดน้ำก็กระโดดถ้านายมันสั่ง รูปมันเป็นมหาภูตรูปแล้วแต่จะสั่ง ไม่ใช่เอาไปแบกไป เอาไปใช้ให้สำเร็จ ใช้ให้มันเห็นเนี่ย เอามากำหนดให้มันรู้ สร้างให้มันเกิดภาวะรู้ขึ้นมา มันก็ใช้ได้ ถ้ามันมีรูป มันไม่มีโอกาสที่จะเป็นมรรคผลนิพพานได้
เราจึงหัดใช้มัน หัดดูแลมัน หัดรักษามัน ถ้าสุขเป็นสุข ไม่ใช่รักษา ทำลายมันแล้ว ฉิบหายแล้ว เหมือนพ่วงแพ ใช้ไม่เป็น มีอะไรก็ไปทำให้ทรุดโทรมอยู่เรื่อย ชนไม้ชนโขดหินชนอะไรต่าง ๆ กระทบกระเทือน มันก็ช้ำ เหมือนกับใช้รถไปชนโน่นชนนี่ ก็ช้ำใช้ไม่ได้นาน ใช้กายใช้ใจก็เหมือนกันนะ ให้มันอยู่ในทาง ให้เห็นเนี่ยเป็นทางไม่กระทบกระเทือนอะไร ถ้าเป็นแล้วกระทบ สุขก็กระทบเท่ากัน สุขก็เท่ากัน ทุกข์ก็เท่ากัน เป็นสังขารไม่เที่ยง หัวเราะก็เหนื่อยเหมือนกัน ร้องไห้ก็เหนื่อยเหมือนกัน ดีใจเสียใจเท่า ๆ กัน ฟู ๆ แฟบ ๆ อันหนึ่งมันบวกเข้ามา อันหนึ่งลบออกไป การกระทบกระเทือนทางจิตใจก็เท่า ๆ กัน ไม่มีใครหัวเราะได้ทั้งวัน ก็เหนื่อย ไม่มีใครร้องไห้ทั้งวัน ก็เหนื่อยเหมือนกัน การที่ไม่เป็นไรคืออยู่ตรงกลางนี่ เห็นนี่ เริ่มหัดไปเนี่ย เห็นกาย อะไรที่มันเกิดกับกาย อย่าเป็น เห็นมันหิว ไม่ใช่เป็นผู้หิว เห็นเหนื่อย ไม่เป็นผู้เหนื่อย เห็นยุงมันกัดมันเจ็บ ไม่ได้เป็นผู้เจ็บ เห็นมันเจ็บเนี่ย หัดแยกไปอย่างนี้ ก็เข้าทางเลยแบบนี้
ถ้ามันชำนาญตั้งแต่นี้ไป มันจะเป็นเกรดดี เกรด A ผ่านได้ง่าย เหมือนคนเรียนหนังสือเก่ง ถ้าจะผ่านเข้ามหาวิทยาลัยได้สะดวก เอาเกรดไปอ้างเอา ไม่ต้องสอบ เดินเข้าไปได้เลย มนุษย์เกรด A คือเห็นอย่างเนี่ย ก็เหมือนเกรดดี ก็ผ่านถึงมรรคถึงผลได้ง่าย เห็นมันเกิด ไม่เป็นผู้เกิด เห็นมันแก่ ไม่เป็นผู้แก่ เห็นมันเจ็บ ไม่เป็นผู้เจ็บ เห็นมันตาย ก็ไม่เป็นผู้ตาย ไปได้ง่าย
เริ่มต้นที่เดียวกัน ท่ามกลางที่เดียวกัน ที่สุดก็อันเดียวกัน เริ่มต้นก็คือสติ ท่ามกลางคือสติ ที่สุดคือสติ มันชำนาญต่างกัน ถ้าเป็นศีลก็เป็นศีล ถ้าเป็นศีลก็เป็นอริยกันตศีล เป็นศีลขันธ์ เป็นสมาธิขันธ์ เป็นปัญญาธิขันธ์ มันถี่เข้าไป เหมือนทอผ้าที่มันขัน มันเนื้อดี ถ้าเนื้อไม่ดี เขาเรียกว่าไม่ขัน ห่อน้ำไม่ได้ ถ้าเนื้อดี ห่อน้ำได้ ศีลก็เหมือนกัน ทีแรกก็ศีลทะลุ ไม่ค่อยดี พอมันเห็นทีใด ไม่เป็นไปกับมัน เรามีศีลแล้วน่ะ ละความชั่วแล้ว ทำความดีแล้ว จิตบริสุทธิ์แล้ว เมื่อใดที่เกิดกับกาย มีแต่เห็นเข้าไปดูสิ อย่าเอาเหตุเอาผล เวลามันหลงไม่ชอบ เวลามันรู้ เออดี ไม่ใช่ เวลามันสงบ เออดี เวลามันฟุ้งซ่านเออ ไม่ดี ไม่ใช่แบบนั้น
ไปถามนักปฏิบัติ เห็นหน้าเง้าหน้างอ นั่งทำจังหวะอยู่ “เป็นไงหนู” พูดออกมา “ไม่ไหว วันนี้แย่”พูดก็ไม่เพราะนะ หน้าบูด ๆ ทำท่าจะเป็นทุกข์ “ทำไมเล่า” “มันเครียด คิดมาก ฟุ้งซ่าน ง่วงก็ง่วง ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ เมื่อวานก็ยังดีวันนี้ไม่ดี” หลวงตาบอกว่า “นักกรรมฐานนักปฏิบัติไม่พูดอย่างนั้นหรอก ไม่เอา ตอบแบบนี้ไม่ใช่นักกรรมฐาน ตอบใหม่” “ก็ไม่รู้จะตอบยังไง มันก็เป็นอย่างนี้ มันต่างกันกับเมื่อวาน วันนี้มันเลยเครียดน่ะ”
หลวงตาไม่ได้บอกอย่างนั้น หลวงตาบอกให้ดูให้เห็นมัน หลวงตาสอนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มาอยู่นี่ก็สอน ให้เห็นให้ดูมัน เห็น อย่าไปเป็นไปกับมัน เห็นมันเครียดไม่เป็นผู้เครียด เห็นมันง่วงไม่เป็นผู้ง่วง หลวงตาบอกอย่างนี้ ทำไมไปเป็น มันดื้อหรือ ทำไมดื้อ ทำไมไม่เชื่อฟัง มีคนบอกแล้ว ตัวเองไม่ทำต่างหาก ไม่ใช่ว่าไปโทษตัวเรา ไปโทษอะไรต่าง ๆ มันอยู่ที่เราเนี่ย ให้เห็นนั่นน่ะ เขาก็เข้าใจขณะนั้นทันที ทีนี้หน้าตางอ ๆ บูด ๆ ก็มีรอยยิ้มขึ้นมา เออ หนูเพิ่งมาเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง นี่ก็มีเหมือนกัน
มันมีเหตุ มันจึงมีผล ถ้าดูดี ๆ นะมาพร้อมกัน ความหลงมาพร้อมกันกับความไม่หลง ดูดี ๆ ตรงนี้ อย่าให้หลงเอาไปฟรี เอาคืนมา ให้มันเป็นภาวะที่รู้เหมือนของเสียไปแล้ว หาคืนมาให้ได้ ชื่อว่ารักษา ถ้าหลงเป็นหลง ชื่อว่าไม่รักษากาย ไม่รักษาชีวิต ใช้ชีวิตปนเปสำส่อนไม่ใช่ชีวิตนะนั่นน่ะ ชีวิตต้องไม่เป็นอะไร มันตั้งต้นจากภาวะที่เห็นนี่ มันเลยไม่เป็นอะไรไปเนี่ย ชีวิตมันจึงจะอยู่เหนือเกิดแก่เจ็บตายได้ เราเวลาปฏิบัตินี่ที่สุดชีวิตคือไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ก็ตั้งต้นไปจากตรงนี้ เข้าทางให้ถูก อะไรที่เกิดกับกายกับใจเนี่ย มีอันเดียวเท่านี้ เวลามันโกรธ เห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธเนี่ย อันเดียวเฉลยไปได้เลย เอามาใช้มาก ๆ ให้ชำนาญ ให้มันชำนาญ ใช้ให้มันเป็น ทำให้มันเป็น
เวลามันหลง ถ้าหลงน่ะ ทำไม่เป็น ยังเป็นอนุบาลอยู่ ยังเป็นผู้ใหม่อยู่ ไม่ใช่ผู้เก่า ไม่ใช่แก่กล้า เหมือนไม้ยอดอ่อนเถายอดอ่อน เด็ดยอดอยู่เรื่อย มันก็ไม่มีโอกาสแก่ ถ้ามันงอกขึ้นมาก็เด็ดเหมือนต้นไม้อาภัพ ต้นผักสะเดา ผักหวาน ผักเม็ก อยู่แถวตามขอบสระทางไปอาสนะศาลาหอฉันที่ฉัน คนเดินผ่านไปก็เห็นยอดติ้วยอดเม็กก็เด็ดเอา ๆ ก็เลยไม่สูงสักที ผักขี้เหล็กถ้ามันสูงก็ตัดลงมา มันจะมียอด อันนั้นก็เป็นต่างหาก ชีวิตของเราต้องมีอินทรีย์แก่กล้าถึงจะเกิดมรรคเกิดผลแล้วมันอยู่ได้นาน ๆ ลองดู
ถ้าหลงเป็นหลง ไม่มีโอกาสแก่กล้า สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่มีโอกาสแก่กล้า ยังอ่อนอยู่ เป็นนวกะผู้ใหม่อยู่ ไม่เป็นอาวุโส ไม่แก่กล้า ถ้ามันแก่กล้าจึงเกิดดอกออกผล เหมือนมะม่วงถ้าต้นไหนดูออกดอก มันออกยอดแสดงว่าใช้ไม่ได้แล้วไม่เกิดลูกแล้ว ถ้ายอดแก่ ๆ อยู่นานปีหนึ่งจึงเกิดดอกออกผลได้ กรรมฐานเช่นกัน ให้มีสติเนี่ย ทีแรกก็รักษาทำให้เป็นเวลามันหลง รู้ นั่นทำเป็นไหม เวลามันโกรธ รู้สึกตัว เวลามันทุกข์ รู้สึกตัว อะไรที่มันเกิดกับกายกับใจนี่ เฉลยไปเลยรู้สึกตัวเนี่ย ให้มันแก่กล้าตรงนี้ ทำให้เป็น เอาไปเอามาก็ไม่ได้หัดหรอก มันเป็นไปเอง
ใหม่ ๆ ก็ต้องหัดน่ะแหละ สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่ได้หัดตัวเอง เห็นมันสุข เห็นมันทุกข์ หัดแล้ว ฝึกหัดแล้ว ให้ความสุขเป็นภาวะที่เกิด เป็นภาวะที่รู้ที่เห็น ให้ความทุกข์เป็นเหตุให้เกิดภาวะที่รู้ที่เห็น ให้ปัญหาเกิดภาวะที่รู้ที่เห็น เป็นปัญญาไป ปัญหานั่นน่ะ มันก็เป็นปัญญาในตัวเอง มันมีเกิดเป็นเหตุ ดับก็ดับที่เหตุเนี่ย
ทุกสิ่งทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ จะดับก็ดับที่เหตุเนี่ย พระสารีบุตรฟังธรรมเท่านี้ของพระอัสสชิ ได้เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ดวงตาเห็นธรรมเลย ได้ข้อมูลได้หลักฐานเป็นคู่มือพับเอาใส่กระเป๋าไปเลย ไปไหนก็เอาเรื่องนี้ไป จนเป็นเสนาบดีของพระพุทธเจ้า ศึกษาเรื่องนี้เท่านั้น เห็นเนี่ย ไม่ใช่เล็กน้อยนะ แล้วก็ทำได้ทุกชีวิต สิ่งที่เราต้องเห็น ก็ไม่ได้ไปหาซอกค้นดูที่ไหน มันเกิดขึ้นมาเป็นชุมทาง สติปัฏฐาน4 เป็นชุมทางทำให้เกิดอะไรต่างๆ เหมือนตลาดนัดสินค้า ไปที่เดียวเลือกได้สะดวกซื้อสะดวกหา เวลาเรามีสติดูกายดูเวทนาดูจิตดูธรรมเนี่ยทั้งหมดแล้ว ถ้าหลุดตรงนี้ก็ไปได้แล้ว ผ่านที่ไหนก็ผ่านได้ง่าย ถูกที่สุดแล้ว เหมือนเดินทางไปต่างประเทศมีคู่มือมีหนังสือเดินทาง ไปได้ตลอด ไม่ถูกกักถูกขัง เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมเป็นชุมทาง เป็นทางผ่านของหลงของรู้ ถ้าไม่หลงตรงนี้ก็ไปได้ แล้วก็ไปมีอะไรที่มันแสดงออกแตกฉานเลยแหละแบบนี้
เริ่มต้นจากตรงนี้ แตกฉานไปเลย เห็นรูปทำ เห็นนามทำ แตกฉานไปเลยปานนี้ รูปมันทำ นามมันทำ เห็นรูปทุกข์นามทุกข์ เอ้า สนุกกับมัน สนุกรื้อถอนโครงสร้าง รูปทุกข์ นามทุกข์ รูปโรค นามโรค โอ้ พอเห็นรูปโรคนามโรคนี่ ตื่นแล้วบัดนี้ ไม่หลับแล้ว อะไรนิดหน่อยที่เป็นทุกข์ ที่เป็นโรคนี่ ใส่ใจ ใส่ใจมาก การเปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์น่ะ มันเป็นงาน... จริง ๆ นะ ไม่ใช่นั่งหน้าบูดทั้งวัน นอนไม่หลับหมกมุ่นครุ่นคิด ไม่ใช่ อารมณ์ค้าง ไม่ใช่ ไม่มีเลย เห็นรูปทุกข์นามทุกข์ เห็นรูปโรคนามโรค เห็นรูปสมมตินามสมมตินี่ แก่กล้าแล้วบัดนี้
มีแต่สมมติบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถ์สัจจะ ความหลงเป็นสมมติบัญญัติ ความไม่หลงเป็นปรมัตถ์สัจจะ ความทุกข์เป็นสมมติบัญญัติ ความไม่ทุกข์เป็นปรมัตถ์สัจจะ ความโกรธเป็นสมมติบัญญัติ ความไม่โกรธเป็นปรมัตถ์สัจจะ มันจริงกว่ากัน ถ้าจะเรียกว่าเข้มแข็งมากตอนนี้แหละ เป็นเพชรน่ะ ตัดกระจกได้ ไม่มีอะไรที่ตัดกระจกได้นอกจากเข็มเพชร มันเข้มแข็ง ถ้าเห็นสมมติ เห็นบัญญัติ เห็นปรมัตถ์แล้ว เข้าสู่อริยบุคคลได้ ตัดสังโยชน์ได้ มันก็มีสติปัญญา มันไม่ต้องหัดหรอก มันใช้ได้นะ มันไม่ได้ไปหัดแล้ว เหมือนเราทำอะไร เรานั่งอยู่เนี่ย เราไม่รู้ว่าเราชำนาญศิลปะในเรื่องใดหรอก ถ้าเราใช้เป็นนั่นนะ เขาหัดมาแล้ว
อย่างอาจารย์ไพศาลนี่ พิมพ์ดีด เล่นคอมพิวเตอร์นี่ ตาท่านไม่ดูเลย อ่านหนังสือนี่ มือไปถึง เอ้อ เป็นไปแล้ว มันเป็นน่ะ ไม่ใช่ไปหัดนะ อย่างหลวงตานี่ มันต้องลูบคลำนะ แม้แต่หลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่อกรม ให้โทรศัพท์ก็ต้องดูเลข 1 มันอยู่ตรงไหน เออ หัดใช้แล้วมันก็อยู่ที่เก่าน่ะเลข 1 น่ะใช่ไหม มือมันไปเองน่ะ นิ้วมือมันไปเอง 1 มันก็อยู่ตรงนั้น 0 มันอยู่ตรงนี้มันก็ไปเอง ถ้าหัดมันก็ต้องหัดอย่างลูบคลำนะ ไม่ได้ใส่ใจ
มันหลงทีไรก็เป็นหลงอยู่ไม่ได้หัดสักที ทำไม่เป็นเลย มันโกรธก็ยังโกรธอยู่ ไม่หัด ทำไม่เป็นเลย มันทุกข์ก็ทุกข์อยู่ หัด เห็นสมมติ เห็นบัญญัติ เห็นปรมัตถ์วัตถุอาการต่าง ๆ เข้าสู่ศีล เข้าสู่สมาธิ เข้าสู่ปัญญา ศีลก็ช่วยเราล่ะบัดนี้ แต่ก่อนรักษาศีล ต่อไปนี้ศีลจะรักษาเรานะ สมาธิช่วย ปัญญาช่วยล่ะบัดนี้ สะดวกนะตอนนี้ เหมือนกับหัดอะไรที่มันเป็นแล้วมันสะดวกใช้ หัดม้าก็สะดวกขี่ จับสายบังเหียนขึ้นหลัง หัดวัวหัดควายก็ใช้งานได้ ถ้าหากตัวไหนที่ไม่หัด ก็เหนื่อยหน่อย ถ้าหัดเป็น มันก็เป็น ไม่ลืมนะ หัดวัวเทียมเกวียน หัดควายเทียมไถ ไถปีละเดือนสองเดือน ปล่อยทิ้งไป เวลาปีใหม่จับมาไถอีก ก็เป็นอีก มันไม่ลืมน่ะ มันไม่ลืม
หลวงตาไปอยู่เมืองเลยเนี่ย เขาไถนาน่ะ เขาไม่ใช้เชือกหรอก เขามีแต่เว่า ถ้าวัวเทียมไถไปเขาไปทางซ้าย ก็บอกว่าขวา ๆ มันก็ไปขวา ถ้าไปขวาเกินไป เขาบอกซ้าย ๆ ถ้ามันไปตรง ก็บอกว่าตรงไป ๆ ๆ ยู้ด! มันก็หยุด ไป๊! มันก็ไป วัวเทียมเกวียนนี่ เขาไม่ได้ปลดวัวเทียมเกวียนนะ เขาต้องให้มันถอยนะถอยหลัง ให้มันดันหน้า เวลามันถอยหลังถอย ๆ มันก็ยกคอขึ้นถอยหลังไป แอกติดคอมัน ยกขึ้นสูง ๆ ยกหัวขึ้นสูง ๆ บอกให้มันเดินหน้า มันก้มลงก็ดันไปเนี่ย ยู้ด! มันก็หยุด เอาไม้ลงก็เหมือนกัน
เคยให้ชาวบ้านลากไม้มาเลื่อยในวัดพุทธยาน สร้างวัดพุทธยาน ต้นใหญ่ เขาขึ้นคนเดียว เอาลงคนเดียว วัวเทียมเกวียนมันเก่งมันเป็น อย่างไปพม่าเนี่ย คนหนึ่งขี่เกวียนเป็น 10 เล่มนะ เจ้าของคนเดียว เขายังเอาเกวียน(บรร)ทุกอ้อยเข้าโรงงาน เขาไม่มีรถอย่างบ้านเรานะ เขาก็นั่งอยู่เกวียนเล่มเดียว ให้เกวียนคันหนึ่งออกก่อน หลายคันออกก่อน บางทีก็ไปนั่งข้างหน้า แล้วก็เดินขึ้น เพียงแต่ยกไม้สายตะพดขึ้นมา ชี้ไปทางโน้น ชี้ไปทางนี้ มันไปของมัน เอง เวลาไปจอดโรงงานมันไม่ปลดแอก มันเอายอดอ้อยไปวางไว้ที่มันยืนอยู่ มันไม่ปลด จนกว่าโรงงานเขาจะสั่งให้เข้าไป มันก็เข้าไป เอาอ้อยลงก็ไม่ได้ปลดเลย คือมันเป็นแล้ว
ชีวิตเรา เมื่อมันเป็นแล้ว มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก มันหัดได้จริง ๆ ประเสริฐจริง ๆ นะ ชีวิตมนุษย์เนี่ย เราจึงมาหัดกันเถอะ ไม่ใช่สอนให้รู้ การหัดต้องช่วยตัวเอง การสอนให้รู้ คนอื่นสอนให้ได้ การสอนให้เป็น เราต้องหัดเอา เริ่มไปจากหัดให้มันรู้กายนี่ไป ให้มันเห็น ปัญหาก็อยู่ที่กายนี่แหละ ถ้ารู้ใจ ปัญหาก็อยู่ที่ใจนี่แหละ การเคลื่อนไหวของกายคือนี่เราหัดอยู่นี่ อิริยาบถต่าง ๆ ตามสติปัฏฐาน 4 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติดูกายเป็นประจำ มันจะเห็นเวทนาสุขทุกข์เกิดกับกาย ก็เห็นอีก มันจะเห็นจิตที่มันคิดน่ะ ความคิดคือการเคลื่อนไหวของจิต เหมือนเสียงฆ้อง ถ้าไปตีมันก็ดัง จิตถ้ามันได้สัญญาณอะไร ก็คิดไป บางทีมันติดมา ติดมาตั้งนานแล้วหลายปีแล้ว คนมีลูก ก็คิดแบบคนมีลูก คนมีพ่อมีแม่คิดแบบคนมีพ่อมีแม่ คนมีผัวมีเมียก็คิดแบบคนมีผัวมีเมีย คนมีวัวมีควายก็คิดแบบคนมีวัวมีควาย คนมีทรัพย์สินเงินทองก็คิดแบบคนมีทรัพย์สินเงินทอง คนจนก็คิดแบบคนจน
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ไม่มีไม่เป็นอะไรกับอะไรเนี่ย มันดีที่สุดแล้ว มันก็ติดมา ชีวิตเราใช้ไม่ค่อยเป็น สำส่อนเกินไป ใช้สุรุ่ยสุร่าย ติดความสุข ติดความทุกข์ เกิดความรักความชัง ความโลภความโกรธความหลง ความดีใจเสียใจ มันเคยใช้แบบนั้นก็เลยมีรอยอยู่ มันก็จะเห็นพวกนี้ด้วย มันไปแล้วก็กลับมา
สมัยก่อน พระสิทธัตถะอาจจะนั่งอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ คิดถึงพิมพา ราหุล คิดไปก็กลับมา คิดถึงพระราชทรัพย์สินศฤงคาร คิดไป กลับมา คิดถึงสนมกำนัลใน คิดไป กลับมา คิดถึงปราสาทสามฤดู มาเปรียบเทียบกับศรีมหาโพธิ์เนี่ย ก็ย่อมคิดถึงปราสาทสามฤดู เคยอยู่สะดวกสบาย มานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ก็ต้องคิดถึง กลับมา บางทีก็เกิดอาการขึ้นมา ทำท่าจะเป็นร้อนเป็นหนาวเป็นไข้กลัวตาย มันคิดกลัวตายขึ้นมา ก็มีสติรู้ขึ้นมา บางทีเห็นงูมันเลื้อยมาก็อันตรายเกิดขึ้น ก็คิดกลัวไปไม่ปลอดภัย ฝนตกก็ถูก แดดออกก็ถูก ก็ย่อมคิดน่ะ อาจจะยากกว่าพวกเรานี้ด้วยนะ สมัยสิทธัตถะบำเพ็ญโพธิญาณอยู่เนี่ย
พวกเราก็มีเพื่อนนั่งอยู่นี้ไม่ต่ำกว่าร้อยชีวิตนะ มีเสียงพูดเสียงจา มีพระสูตรมาสาธยายบอกอยู่ มีตำรามีแผนที่ มันสะดวกที่สุดแล้วนะเดี๋ยวนี้น่ะ ฉวยโอกาสเถิดพวกเรา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว มีเสนาสนะสัปปายะ มีที่อยู่อาศัย อุปกรณ์อาหารก็สัปปายะ มีอาหารกิน บุคคลก็สัปปายะ มีเพื่อนมีมิตร มีผู้บอกมีผู้สอน ตัวเราก็มี ธรรมสัปปายะมีธรรม มีอยู่ธรรม ความหลงความไม่หลงมีอยู่ ความทุกข์ความไม่ทุกข์มีอยู่ ความโกรธความไม่โกรธมีอยู่ มีธรรมสัปปายะ 4 สัปปายะนี่พอแล้ว พร้อมแล้วชีวิตเราเนี่ย ไม่ต้องไปหาอะไรอีกมากไปกว่านี้ ถ้าจะใช้ชีวิตแบบนี้ เท่านี้ก็พอ ไม่ใช่ไปใช้ชีวิตแบบอื่น ถ้าจะใช้ชีวิตเพื่อบรรลุธรรมนี่ เพียงพอแล้ว เพียงพอจริง ๆ เรียกว่าประเทศไทย ศาสนาพุทธในเมืองไทย พระสงฆ์ในเมืองไทย ธรรมะที่สอนกันในเมืองไทย ไปพิสูจน์ดู
ตอนนี้อาจารย์โน้สก็ไปจีนแล้ว ไปองค์เดียว หลวงตาไม่ไป อาจารย์โน้สก็เก่งแล้ว ไปหลายเที่ยวแล้ว อาจารย์ไพศาลก็มีธรรมะแก้ปัญหาของประเทศชาติ ก็อาศัยธรรมะเนี่ย จนได้รับรางวัลศรีบูรพา นับโล่ไม่ไหว อยู่กุฏิหลวงตาก็มีโล่อาจารย์ไพศาล ยังไม่เอามาสำนักงาน มันก็เป็นอย่างนี้ มีอยู่จริงอันความใช้ได้ งานที่มันใช้ได้จากมนุษย์คนหนึ่งน่ะ ในเรามันก็มี มีสติ มีหน่อโพธิแล้ว สร้างขึ้นมา ให้มันงอกมันงาม
วันนี้เราจะไปทำวัตร(..)จังหวัด อยากจะปฐมนิเทศสักหน่อย ห่มผ้าเฉียงบ่า ผ้าสังฆาฏิ ผ้ารัดอก ในจังหวัดชัยภูมิเขานิยมห่มดองเหมือนหลวงพ่อกรม มีห่มลูกบวบแต่วัดเราน่ะส่วนใหญ่ ถ้าแบบที่เราห่มนี่แบบธรรมยุตินะ แบบมหานิกายต้องห่มดอง หลวงพ่อใหญ่ยืนขึ้นสักหน่อย ขออนุญาต (หัวเราะ)