แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ้า ฟังธรรมต่ออีก
หลาย ๆ แรงช่วยกัน อาจารย์ไพศาล อาจารย์ทรงศิลป์ อาจารย์ครรชิต อาจารย์วัฒนชัย อาจารย์ทองขาน หลายรูปช่วยกัน เราก็พยายามช่วยตัวเองบ้าง เข็นตัวเองบ้าง เหมือนกับเดินไปด้วยกันเป็นหมู่ ใครล้าใครเหนื่อยใครช้าก็ฉุดกันไป ก็คือบอกคือสอน พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกให้เราทำ การกระทำเป็นหน้าที่ของเรา เอาการกระทำตอนต้น ๆ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระองค์ทำอย่างไร อย่าทิ้งตรงนี้
6 ปีผ่านไป ทำอะไรบ้าง ทำไมไม่ได้อุบัติขึ้น ตอนพระพุทธองค์อุบัติขึ้น พระองค์ทำอย่างไร เราจับตรงนี้กัน ก็เริ่มต้นก็คือมีสติไปในกาย อย่าทิ้ง ดูมัน ให้มันเห็นอยู่ต่อตาต่อหน้าเนือง ๆ เมื่อมีสติไปในกาย จะเห็นเรื่องของกาย อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกาย ให้ทำหน้าที่เป็นผู้เห็นผู้ดู อย่าเข้าไปเป็นกับเรื่องอาการต่าง ๆ เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะอาการ เป็นผิดเป็นถูกเพราะอาการ เป็นยากเป็นง่ายเพราะอาการของกาย ไม่ใช่ ให้เห็นตรง ๆ เข้าไป มันจะมีอะไรเกิดขึ้น ความร้อน ความหนาว ความปวด ความเมื่อย ให้เห็นเฉย ๆ อย่าไปถือว่ายาก หรือว่ามันหลงก็อย่าถือว่าเป็นหลงให้เห็น มันถูกก็อย่าถือว่าเป็นถูกให้เห็น มันผิดมันสุขมันทุกข์ก็อย่าถือว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ ให้ทำหน้าที่เห็น จึงจะไปตามพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้วเฉลยไว้แล้วว่า เห็นกายสักว่ากาย ไปแล้ว หลุดไปแล้วมากมายอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายหลายอย่าง นับไม่ถ้วน อย่าเอามาเป็นตัวเป็นตน นอกจากกายก็ยังมีอะไรที่เกิดขึ้น ก็มีกายมีจิตใจมีรูปมีนาม ก็เห็นมันแสดงมาให้เราตามที่เห็น มันจะง่าย มันจะสะดวก เรียกว่าบำเพ็ญทางจิต ให้มันไปร่วมกันกับกาย อาศัยกายเป็นตำรา มันบอกผิดบอกถูก บอกสุขบอกทุกข์ให้เราได้ศึกษา ถลุงย่อยมีสติเป็นการศึกษา ไม่ใช่ความคิด ไม่ต้องไปใช้ความคิดเหตุผล ให้เห็นตรง ๆ เข้าไป เรียกว่าปฏิบัติตรง
อะไรที่มันผ่านมา ให้ทำหน้าที่เห็น มาทางนี้ ถ้าเป็น มันเนิ่นช้า มันจะยาก มันจะง่าย มันจะผิด มันจะถูก ถ้าเห็นแล้ว มันง่าย ๆ สะดวก เหมือนทางด่วน เหมือนถนนว่าง ถ้าเป็นแล้ว มันติดขัดเป็นจราจรติดขัด เป็นสุขเป็นทุกข์ ไปให้สุขให้ทุกข์ขวางกั้น ให้ผิดให้ถูกขวางกั้นเอาไว้ ไม่ใช่ ทำให้ตัวเองสะดวก อย่าทำให้ตัวเองมีปัญหา ถ้ายากก็ถือว่ามีปัญหา ทำให้ตัวเองมีปัญหา ถ้าง่ายก็ถือว่าตัวเองมีปัญหา เอาความง่ายมาต่อรอง เอาความยากมาต่อรอง หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไม่ใช่ การปฏิบัติธรรมมันเป็นเรื่องสะดวกที่สุด ไม่ใช่ยาก
ดังนักกรรมฐานเขาบอกว่า ฝึกจิตใจเหมือนจับปูใส่กระด้ง มันไม่ใช่ ผู้ที่มีราคะจริต โทสะจริต ต้องบำเพ็ญต่างกัน โทสะจริตต้องบำเพ็ญเมตตา ราคะจริตต้องบำเพ็ญอสุภะกรรมฐาน ไม่ใช่แบบนั้น มีอันเดียวเท่านี้ ภาวะที่เห็นที่ดูมีอันเดียว เหมือนมันเซเวไป เป็นทางไป ถ้าเป็นล่ะ ไม่มีทาง ตันแล้ว สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ เรียกว่าราคะหรือกามสุขัลลิกานุโยคก็ได้ ถ้าสุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ถือว่าอ่อนแอ ถ้าเห็นมันสุขเห็นมันทุกข์ถือว่าเข้มแข็ง การเข้มแข็งหรือทำถูกน่ะมันไม่ใช่ มันไม่ใช่มีอะไรติดขัด ฉะนั้น เราทำอะไรที่มันถูกมันไป งานมันบอก ความถูกพาไป เหมือนกับมันบอกทาง ภาวะที่เห็นมันพาไปเหมือนกับบอกทาง ภาวะที่เป็นมันเหมือนกับบอกอีกเหมือนกัน สัมผัสดู
เห็นกายเห็นเวทนา คือสุขคือทุกข์ เหมือนกันหมดภาวะที่เห็น เห็นจิตที่มันคิดก็ภาวะที่เห็น ถ้าไปควบคุมมัน ไม่อยากให้มันคิด มันก็คิด มันมีสิ่งเกี่ยวข้องให้เป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 ถ้าเป็นคน ก็เป็นคนที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ไป ก็ยาก มาเอาความคิดบ้าง เอากายบ้าง กลับมาหากาย ดึงความคิดกลับมา ไม่ได้ดึงสักหน่อย เพียงแต่รู้ ลักษณะจิตใจก็รู้ ยิ้ม ๆ ไว้ ทำสบาย ๆ ให้มันเรียบ ๆ ไว้ อย่าให้เป็นคลื่น มันคิดก็รู้เรียบ ๆ อันเก่า เห็นอันเก่า มันสงบก็รู้ ไม่ใช่ไปชอบความสงบ ไม่ชอบความฟุ้งซ่าน ถ้ามันคิดไปฟุ้งซ่าน ก็ไม่พอใจ ไม่ค่อยสะดวก เป็นความยากคร่ำเครียด หน้าบูดหน้าบึ้ง อันนั้นไม่ใช่ ให้เห็นเป็นเรียบ ๆ ไป
เคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า สติเหมือนใบมีดรถแทรกเตอร์ กรานไปทางไหน มันจะเรียบ สติเหมือนไม้กวาด กวาดไปตรงไหน มันจะสะอาด ใช้ดู ให้มันรู้เฉย ๆ ให้เห็นเฉย ๆ อย่าหลุดไปตรงนี้ ใครก็มีเหมือนกัน ใครก็คิดเหมือนกัน ได้แต่คิดมาก สมัยพระสิทธัตถะฝึกอาจจะคิดมากกว่าเรา อาจจะหลงมากกว่าเรา ไปกับความคิดเปรียบเทียบ เพราะเคยใช้ชีวิตสุขุมาลชาติ สะดวก เมื่อมาอยู่ลำพังในร่มไม้เฉย ๆ นี่ มันจะเกิดอะไรขึ้น ให้เราสังเกตดู อาจจะยากกว่าเรา แต่ว่าผู้ที่มีความเพียรไม่มีอะไรยาก ไม่มีอะไรง่าย ไม่เอายากง่ายมาต่อรองนะ
เห็น อะไรที่เกิดขึ้นมาครอบงำ ทั้งกายทั้งใจความง่วงเหงาหาวนอนก็เห็น ความคิดฟุ้งซ่านก็เห็น ความลังเลสงสัยก็เห็นมันเกิดขึ้นมา มันเคยคิดแบบนั้น เคยใช้แบบนั้น เวลามันง่วงก็หลับตาหาวอ้าปาก ไม่ใช่แบบนั้น ให้เห็น ภาวะที่ดูที่เห็นนี่ มันอาจจะแก้ได้ทุกอย่าง เฉลยได้ทุกอย่าง เป็นตัวเฉลยปัญหาที่เกิดกับกายกับใจได้ ไม่ต้องใช้สมอง ผ่านไปได้เลย มีแต่ผ่านตะพึดตะพือไป มันจะแสดงเป็นตลาดนัด เป็นอะไรที่มันรวมอยู่ที่กายที่ใจนี้ มันจะแสดงออกมาเป็นหมวดเป็นหมู่เป็นผิดเป็นถูกอย่างไร เห็นลู่เห็นทางไป เห็นศีล เห็นสมาธิ เห็นปัญญา อะไรที่มันเป็นฝ่าย เห็นเป็นหมวดเป็นหมู่ ก็สนุกนะ ปฏิบัติธรรมนี่
บางทีถ้าดูดี ๆ มันจะช่วยเรา ถ้าเป็นศีล ก็ศีลจะช่วยเรา ถ้าเป็นสมาธิปัญญาก็ช่วยเรา ถ้าเป็นอกุศลก็ลงโทษเรา เราก็รู้ สัมผัสเอา ไม่ใช่มีคำถาม สัมผัสดู ถ้ามีความหลง มันก็ไปอีกแบบหนึ่ง ถ้ามีความรู้ก็ไปอีกแบบหนึ่ง ความรู้ส่งไปคนละทาง ความหลงส่งไปคนละทาง เหมือนกับพระพุทธเจ้าเคยบอกไว้ กุศลอกุศล กุศลก็คือกุศลอื่นที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ถ้ามีกุศลคือความรู้ความเห็น ภาวะที่ดูที่เห็นนี่เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ภาวะที่เป็นก็เสื่อมลงเรื่อย ๆ ถ้ามีหลงก็เสื่อม อะไรเกิดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความหลงนี่เป็นต้นเหตุ ในความอกุศลมันก็เสื่อม ความรู้สึกตัวเป็นต้นเหตุ เหมือนการเป็นบิดาเป็นมารดาของบุญของบาปก็ว่าได้
เราจึงหัดตนสอนตน จะบอกว่าไปเป็นสูตรไป มันเป็นหลักสูตรไป ดังที่เราได้เคยสวดพระสูตรนี้ สติปัฏฐานสูตรนี้ มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เราก็อาศัยสูตรนี่แหละสอนเราไป ทำให้มันแจ้งขึ้นมา แม้แต่เราเป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาสก็อันเดียวกัน การทำพระนิพพานให้แจ้ง เมื่อกี้เราก็สวด นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การทำพระนิพพานให้แจ้ง เป็นมงคล แม้แต่เราออกบวช สัพพะทุกขะ, นิสสะระณะนิพพานะ, สัจฉิกะระณัตถายะ, อิมัง กาสาวัง คะเหตวา, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต ข้าพเจ้าอาศัยผ้ากาสาวะนี้ สบงจีวรนี้ โกนผมนี้ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่ใช่เพื่ออันอื่น ความหลงให้มันหมดไป ผ่านไป ความทุกข์ก็หมดไปผ่านไป มันหมด สิ่งใดที่มันหมดไป ไม่มีปัญหา ก็เรียกว่านิพพานชิมลอง
มันหมดไปจริง ๆ ไม่ใช่มันมี ทำสิ่งที่มันมีให้มันไม่มี ทำสิ่งที่ยังไม่มีให้มันมีขึ้นมา เรียกว่าเปลี่ยนหรือว่าพ้นภาวะเก่า หรือว่าญาณ วิปัสสนาญาณ แต่ก่อนหลงบัดนี้ไม่หลง ไม่หลงในความหลง เมื่อมันหลงมันไม่หลง ไม่หลงเพราะความหลง ไม่สุขเพราะความสุข ไม่ทุกข์เพราะความทุกข์ แต่ก่อนหลงเป็นหลง สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ พอลงมาดูจริง ๆ มันไม่ใช่ หลงก็เป็นปัญญาเป็นความรู้ ผิดก็เป็นถูกเป็นความรู้ สุขก็เป็นความรู้ ทุกข์ก็เป็นความรู้ เป็นความรู้เป็นปัญญา ปัญหาเป็นปัญญา อย่างนี้เรียกว่าล่วงพ้นภาวะเก่า ถ้าไม่ผ่านผิด มันก็ไม่ถึงถูก ถ้าไม่ผ่านทุกข์ก็ไม่ถึงไม่ทุกข์ จึงเห็นของจริง
อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรียกว่าของจริง จริงแบบไม่จริง ความหลงมันก็จริงแต่มันไม่จริง มันไม่จริงเหมือนไม่หลง ความทุกข์ก็จริงแต่มันไม่จริงเหมือนไม่ทุกข์ ความไม่ทุกข์มันมี ความไม่หลงมันมี มันเท็จมันจริงต่างกัน ความหลงจริงแบบนั้น ความทุกข์ก็จริงแบบนั้น แต่มันไม่จริงแบบไม่ทุกข์ เรียกว่าสมมติบัญญัติ ปรมัตถ์สัจจะ มีอยู่ในชีวิตเรานี้ อย่าให้สมมติมันท่วมท้น ให้มีปรมัตถ์ในชีวิตเรานี้ มันจริงมันไม่จริง มันเท็จมันจริง ความโกรธไม่จริง ความไม่โกรธจริงกว่า ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์จริงกว่า ความหลงไม่จริง ความไม่หลงจริงกว่า ใช้ได้ ชีวิตที่ใช้ได้ สำเร็จเป็นกระแสแห่งพระนิพพาน สัมผัสแล้วเห็นช่องเห็นทาง ทางมันจะบอกไปเอง บอกผิดบอกถูก
แม้แต่ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนที่มีอยู่ในรูปในนาม มันก็บอก เป็นพลังขับเคลื่อนให้เรา ถึงมรรคถึงผลได้ เห็นความไม่เที่ยงไม่ใช่ธรรมดา เห็นความเป็นทุกข์ไม่ใช่ธรรมดา เห็นความไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่ธรรมดา มันไปแล้วถ้าเห็นน่ะ เห็นความไม่เที่ยงก็พ้นจากความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ก็พ้นจากความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตนก็พ้นจากความไม่ใช่ตัวตน สัมผัสดู ถ้าไม่เป็นทุกข์ความไม่เที่ยง ถ้าไม่เป็นทุกข์ความเป็นทุกข์ ถ้าไม่เป็นทุกข์ความไม่ใช่ตัวตน มันจะมีอะไรเหลือแล้ว
มันเป็นอย่างนี้ ปฏิบัติธรรมไม่ใช่มาคิดเอา มโนภาพ มันเป็นการสัมผัสด้วยชีวิต มันได้ชีวิต ชีวิตไม่ถูกทำลาย ชีวิตไม่สูญเสีย แต่ก่อนความสุขความทุกข์กักขัง ความโกรธความโลภกักขัง บัดนี้มันผ่านมาได้หวุดหวิด มันจะเป็นเช่นไร เหมือนเราเห็นงู พ้นจากงู จะเลือกอะไรมาช่วยเหลือ มันไม่มี เป็นการกระทำของเรา พึ่งตน พึ่งดี พึ่งถูกต้อง พึ่งความหลุดพ้น อย่างพระพุทธเจ้าเห็นอริยสัจ 4 เห็นของจริงอันประเสริฐ เห็นทุกข์ก็เป็นของประเสริฐ เพราะมันพ้นจากทุกข์ เห็นความหลงก็พ้นจากความหลง มันประเสริฐ ไม่ใช่เห็นของอะไรที่มันเป็นฝ่ายโลก ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ไม่ใช่แบบนั้น มันเห็นธรรม
รสพระธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง อันอื่นไม่มี มีรสเดียว ถ้ามีรสอันอื่นไม่ใช่รส มันก็เป็นหลายรส แต่รสพระธรรมมีรสเดียว คือเห็น รสอันเดียวนี้ เห็นไม่เป็นนี่เป็นรสเลิศ เหมือนมัณฑะยอดโอชาแห่งโครส ดังที่เราสวดธัมมปหัง รสพระธรรมเหมือนมัณฑะยอดโอชาแห่งโครส คือมันไม่เป็นอะไร มันรส รสเดียว มันสุขก็เห็น มันทุกข์ก็เห็น แม้แต่รสที่เป็นกันทางตาก็เห็น ไม่ใช่ชอบ ไม่ใช่ไม่ชอบ ถ้าเห็นโลกก็เห็น ไม่มีความชอบไม่ชอบ อันชอบไม่ชอบเป็นรสแบบโลก เรียกว่าโลกียรส โลกุตระ โลกียะมันต่างกัน หูได้ยินเสียงก็มีรสถ้าโลกนะ พอใจไม่พอใจ มันเป็นรสของโลก ถ้าเห็นนั่นอันเดียว
พระพุทธเจ้าก็แสดงก็บอกไว้ มีสติเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ความพอใจความไม่พอใจถอนออกมา มันมีสติแล้วแลอยู่ สัมผัสดู แต่ส่วนมากเราก็อาจจะติดโลกมาแล้ว แต่ต้องมีสติเอาไปช่วยดู ถอนออกมาดูก่อนให้รู้เสียก่อน สัมผัสดูเป็นริบหรี่นิดเดียว แต่ก็นั่นแหละทาง อะไรก็ตาม ให้มีสติเป็นตัวเฉลยทั้งหมดเลย ถ้าเรามีสติเห็นกายมันก็มาทั้งหมด ทั้งจิตด้วย เห็นกายเคลื่อนไหว เห็นจิตใจมันเคลื่อนไหว กายเคลื่อนไหวก็เป็นยืนเดินนั่งนอนหยาบ ๆ กระพริบตา หายใจ
จิตใจมันเคลื่อนไหว คือมันคิด ถ้าจะไปเอาความคิดไปบังคับคิดเลยมันจะยาก หรือถ้าไม่ยากก็เป็นสมถะสงบอยู่นั่น ติดความสงบ เอาความสงบเป็นสมาธิ สมาธิแบบความสงบ สมาธิแบบเอาศิลาทับหญ้า สงบแบบศิลาทับหญ้า แต่ถ้าภาวะที่เห็นนี่ มันไม่ทับ มันทำให้หมดหญ้า หญ้าหมดไม่มีเชื้อ ไม่ใช่นั่งสงบก็มีสมาธิ ทำอะไรอยู่ก็มีสมาธิ เพราะสมาธิมันเป็นอันเดียวหนึ่งเดียว ทั้งหมดคือเห็นนี่รวมตรงที่สมาธิเหมือนกัน ภาวะที่เห็นไม่เป็นไร เป็นสมาธิที่กำจัดกิเลสได้ เรียกว่าศีลกำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญากำจัดกิเลสอย่างละเอียด พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ ไม่ใช่อย่างอื่น ก็คือสตินี่ทั้งหมด
ผู้มีสติเป็นหน้ารอบไม่เผลอ หรือว่าขีณาสพ มีคุณสมบัติเท่ากันหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงเหล่าสาวก มาถึงที่เดียวกัน พระพุทธเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว ท่านก็มาถึงที่นี่แล้ว ถ้ามีสตินี่ มันก็คือมีทั้งศีล มีทั้งสมาธิ มีทั้งปัญญา มีสติก็ละความชั่ว มีสติก็ทำความดี มีสติจิตก็บริสุทธิ์ นี่เป็นงานของพวกเรา ที่นี่ ถ้าเรามีพุทธศาสนา ไม่ถึงมรรคถึงผล เราจะถือศาสนาไปทำไม มีศาสนาไปเพื่ออะไร มันต้องเป็นมรรคเป็นผล พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพื่ออะไร ถ้าอะไรเชื่อพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดพระพุทธเจ้า มันทำอย่างไร เหนือการเกิดแก่เจ็บตายเป็นโจทก์ การเกิดการแก่การเจ็บการตายเป็นโจทก์ เราทุกชีวิตเป็นจำเลย ตกเป็นจำเลยของความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย สิทธัตถะมองถึงจุดนี้จึงแสวงหาคำตอบ ถามพระเจ้าปู่พระเจ้าย่า พระเจ้าตาพระเจ้ายาย ไม่มีใครตอบให้ได้ ในฐานะที่พระองค์เป็นเจ้าฟ้าชายเลยหาคำตอบเรื่องนี้ เลยยึดเอาหลักนักบวชเป็นดำเนินชีวิตเพื่อศึกษาเรื่องนี้ สะดวกกว่าทุกอย่าง ซึ่งมีมาก่อนแล้ว จนได้คำตอบออกมา
ดังที่เราสวดธรรมจักร ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างแก่ขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณคือมันล่วงพ้น มันข้ามทะลุทะลวง ญาณไม่ใช่เหาะเหินเดินอากาศ ญาณคือมันทะลุทะลวง อะไรที่มันมีอยู่ในกายในใจทะลุทะลวง ถ้าเป็นคำตอบก็ตอบคำเดียวคือว่ารู้แล้ว ๆ ๆ ความไม่เที่ยงก็รู้แล้ว มอบให้ความไม่เที่ยง ความไม่ทุกข์ก็รู้แล้ว มอบให้ความไม่ทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนก็รู้แล้ว มอบให้ความไม่ใช่ตัวตนไป เป็นที่ทิ้งให้สะอาด อะไรมันทำให้สะอาด จนได้ตรัสรู้ เราได้ตรัสรู้แล้ว มาเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย มีภพ ไม่มีภพอีกแล้ว เป็นชาติสุดท้ายแล้ว ไม่มีอีก คำว่าเกิด คำว่าแก่ คำว่าเจ็บ คำว่าตาย ไม่มีอีกแล้ว จึงได้ชื่อว่าพระพุทธเจ้า
ถ้าเริ่มต้นจากนี้ เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรา เอาสติเป็นนักศึกษา ใครก็มี มีกายมีใจ มี สามัญลักษณะเหมือนกันหมด ความไม่เที่ยงก็อันเดียวกัน ความไม่ทุกข์ก็เหมือนกัน ความไม่ใช่ตัวตนก็เหมือนกัน อย่าเอาความไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ อย่าเอาความไม่ทุกข์มาเป็นทุกข์ อย่าเอาความไม่ใช่ตัวตนมาเป็นทุกข์ เอามาเป็นพระนิพพาน พระพุทธเจ้าใช้ชีวิตอย่างนี้ อย่าเอาความหลงมาเป็นความหลง ก้าวไปเสียก่อน ให้ความหลงเป็นความรู้สึกตัว ให้ความสุขเป็นความรู้สึกตัว ให้ความทุกข์เป็นความรู้สึกตัว มันจึงจะไปเหนือการเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าไม่ก้าวผ่านตรงนี้ ไม่ข้ามตรงนี้ก็ไปไม่ถึง
ฐานอยู่ที่นี่ เรียกว่ากัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานอยู่ที่นี่ ที่ตั้งอยู่ที่นี่ การกระทำอยู่ที่นี่ เปลี่ยนหลงเป็นรู้นี่เป็นกรรม ถ้าหลงเป็นหลงไม่มีกรรม กรรมไม่มีผล ไม่จำแนกสัตว์ ถ้าเปลี่ยนหลงเป็นรู้ กรรมจำแนกไปแล้ว กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ศาสนานี้ไม่ใช่ศาสนาอ้อนวอน ศาสนาแห่งการกระทำ ถ้าเราหลงอยู่ นั่นแหละทางที่จะให้เกิดปัญญา เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ความหลงก็มีอยู่กับเราทุกคน ไม่เลือกเวลา การเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงก็ไม่เลือกเวลาเหมือนกัน เรียกว่าอกาลิกธรรม อกาลิกธรรม เป็นธรรมที่ปฏิบัติได้ให้ผลได้ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ภาวนาคือขยันรู้นี่ ขยันรู้เรื่องภาวนา เราก็ทำได้ นี่เรียกว่าอาชีพของพวกเรา ชีวิตของเรา
ถ้าท่านทั้งหลายมาสนับสนุนมาช่วยกัน ก็เป็นอาชีพอันนี้เหมือนกัน ไม่ใช่อย่างอื่น อย่างอื่นให้คนอื่นทำไป ที่จะไปทำงานแบบนี้จะมีอาชีพแบบนี้ให้สะดวก พวกท่านทั้งหลาย ญาติโยมคฤหัสถ์ ฆราวาสญาติโยมช่วยเหลือ ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้เสื้อให้ผ้าเครื่องนุ่งห่ม เจ็บไข้ได้ป่วย ดูแลรักษา เพื่อความสะดวกในการทำงานอันนี้ มีประสบการณ์บ้างก็มาบอก มันไม่ใช่ฟรี ไม่เสียแรง ยังมีผู้บอกอยู่ว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่คือธรรมะ
เราก็ทำตามพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันออกบวชไม่ลืมเลย สัพพะทุกขะ นิสสะระณะ, นิพพานะ นี่ เอาความทุกข์มาเป็นนิพพาน ทุกขะนิพพานะ สัพพะทุกขะ, นิสสะระณะนิพพานะ, สัจฉิกะระณัตถายะ, อิมัง กาสาวัง อาศัยผ้าจีวรสบงห่ม ไม่มีชุดไหนอีก มีชุดเดียวเท่านี้ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่ใช่เพื่อชีวิตอันอื่น ยังไม่ตาย ใช้ชีวิตแบบนี้ก็ยังไม่ตาย บางทีบางอย่างไม่จำเป็น ไม่จำเป็นที่จะทำอย่างอื่น ขอใช้ชีวิตจำเป็นเรื่องนี้ มันหลงนี่ จำเป็นต้องไม่หลง ปัญหานี้ต้องเป็นปัญญาให้ได้ ความผิดอันนี้จะต้องทำให้มันไม่ผิดต่อไป มันเกิดอะไรขึ้นมากับกายกับใจนี่จะพยายามไม่หลง มาเท่าไหร่ก็จะไม่หลง เปลี่ยนร้ายเป็นดี เรียกว่าภาวนา
เหมือนวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ศรอะไรยิงมาเป็นดอกไม้บูชา มันไม่ใช่ศร ลูกศร มันหมายถึงความเจ็บปวดในความคิดในตาในหู ทำให้มีสุขมีทุกข์เรียกว่าเวทนาน่ะ เวทนาไม่เป็นเวทนา มันเป็นดอกไม้บูชา ไม่ใช่ผิดไม่ใช่ถูก ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทำดู ผิดเป็นครู มันผิดก็กระตือรือร้น นั่งอยู่ดี ๆ สร้างสติอยู่ดี ๆ มันคิดไปโน่น ตื่นกลับมา อ๋อ ได้ประสบการณ์ ประสบการณ์กับบทเรียนที่ดี ผิดแท้ ๆ ทำไมมันไม่ผิด ทุกข์แท้ ๆ ทำไมมันไม่ทุกข์ มันไม่มีงานอะไรที่มันชัดเจนเท่ากับเรื่องนี้
ขอเวลาทำอันนี้ ขอเวลาพูดอย่างนี้ ให้คนได้มีเวลามาใช้ชีวิตแบบนี้ เป็นส่วนตัว อย่ารบกวนกัน อย่าทำให้กันเดือดร้อน อำนวยความสะดวก สนับสนุนให้คนได้ทำแบบนี้ลองดูนะ ให้ต่อเนื่องลองดู พออยู่กันได้ อันอื่นเราไม่มี ที่นี่ไม่มีอะไร ไม่ใช่พระเสกพระสวด ไม่ใช่พระสร้างอะไรมากมาย ทำอะไรพออยู่ได้ จะมุ่งเน้นในเรื่องนี้ เป็นส่วนใหญ่ ขอใช้ชีวิตกินข้าวชาวบ้าน อยู่กุฏิชาวบ้าน นุ่งห่มผ้าชาวบ้านที่ให้มาเพื่อใช้ชีวิตส่วนนี้ ทั้งนักบวชทั้งที่ใครก็ตาม ถ้าใครดำริออกจากความทุกข์นี้เรียกว่านักบวชได้ ดำริออกจากโลกเรียกว่านักบวช ถือบวชเป็นอุบาย แต่เป็นญาติโยมจะมาถือบวชก็ลองดู 5 วัน 10 วัน 7 วัน ชั่วช้างสะบัดหู ชั่วงูแลบลิ้น จะมีกระแสให้เห็นได้ เออ เราเคยรู้แบบนี้เวลามันหลง หรือมันจวนจะตายใจจะขาด มันจะมี ก็หัด บอกถ้าเราเคยไว้บ้าง พ่วงมาใช้ได้ ตกกะไดคอยกระโจนได้
ถ้ าไม่หัดจะไปมืดแปดด้านนะ ยังไงต้องเจ็บต้องแก่ต้องตาย เวลาเจ็บทำอย่างไร เจ็บเพราะความเจ็บหรือ แก่เพราะความแก่หรือ ตายเพราะความตายหรือ ทุกข์เพราะความทุกข์หรือ มันไม่ใช่ ชีวิตไม่ใช่ไปต่อรองเอาสุขเอาทุกข์ เอาอะไรมาต่อรองกับชีวิต แม้ลมหายใจก็ไม่มาต่อรองกับเรา หายใจไม่ได้ ไม่ใช่เอาลมหายใจมาต่อรอง ชีวิตต้องเป็นชีวิต เก่งไหม (หัวเราะ) เจ็บเป็นเจ็บ ไม่เก่ง ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่เก่ง ทุกข์ต้องไม่เป็นทุกข์ นี่มันต่างกันนะ คนเหมือนกัน ทำไมคนหนึ่งทำได้ คนหนึ่งทำไม่ได้ มีมาแล้ว ตายไม่เป็นตาย ลองดูสิ อะไรที่มันทำให้ตายหลายอย่าง อย่างน้อยที่สุด ล้าหลังที่สุดคือลมหายใจ ลองดูสิ ไม่ใช่ลองหรอก ฝึกไปให้มันชำนาญ
อย่าเอาลมหายใจมาทดลองกับชีวิต ชีวิตต้องไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไร มันเหนือทุกอย่างเลย นี่คือพุทธศาสนา ไม่ใช่อ้อนวอน ไม่ใช่รูปแบบ พุทธศาสนาคือมันไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไรมาต่อรองกับชีวิตเรา เห็นหมด เรื่องอะไรที่เกิดกับกายกับใจนี่เห็นหมดเลย ไม่มีปัญหาอีกต่อไป จบหมดแล้วจริง ๆ จบมาแล้ว ทุกคนจบได้ ทุกคนจบได้ ความหลงครั้งสุดท้ายได้ ความโกรธครั้งสุดท้ายได้ ความทุกข์ครั้งสุดท้าย
ถ้าหากมีหลงอยู่ มีโกรธอยู่ ถ้าไม่เปลี่ยนสักที มันก็มีตลอดไป ไม่รู้ว่ากี่วันกี่เดือนกี่ปี แล้วมีประโยชน์อะไร เราจึงมาเอาอันนี้ หัดอันนี้ให้มันเป็นซะ มีชีวิตตื่นแต่ดึกสึกแต่หนุ่ม ทำให้มันเป็น ไม่ใช่ให้มันรู้นะ ทำให้เป็น การเป็นต้องสอนตัวเอง มันหลง-รู้-เป็นไหม ถ้าหลงเป็นหลง ยังทำไม่เป็น แก่เพราะอยู่นาน แก่ต้องแก่เพราะความรู้ ไม่ใช่อยู่นาน หนุ่มก็หนุ่มด้วยความรู้อันนี้ จะเป็นชีวิตชีวาของพวกเรา อยู่เย็นเป็นสุข สงบร่มเย็นทั่วทุกถ้วนหน้าได้ นี่คือศาสนา จึงจะเป็นประโยชน์แก่พวกเรา สร้างวัดสร้างวา ทำบุญตักบาตร เพื่อการนี้โดยตรง ส่งเสริมสนับสนุนกัน
สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน