แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน เพื่อให้เป็นส่วนประกอบกับการปฏิบัติธรรม พวกเรามีหัวอกอันเดียวกัน มาจากบ้านจากเรือน ลางานลาการมา มาถือบวช มาปฏิบัติ ออกจากเรือนไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือน ก็ให้ได้มีบทเรียนหลาย ๆ อย่าง หลวงตาจะพูดให้ฟัง สิ่งที่พูดนี้มีอยู่ในเราด้วย มีอยู่ในคัมภีร์ตำราด้วย ไม่ใช่ลม ๆ แล้ง ๆ พวกเราก็ไม่ใช่ตาสีตาสาโง่เง่าเต่าตุน มีการศึกษาเป็นปัญญาชนกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันที่ 20 พฤษภาคม พุทธศักราช 2551 ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 เมื่อวานนี้เป็นวันเพ็ญ เราก็ได้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญในทางพุทธศาสนาทั่วโลก เป็นวันสากลของโลก วันวิสาขบูชา ป่านนี้พระพุทธเจ้าของเราคงจะมองต้นศรีมหาโพธิ์อย่างไม่กระพริบตา เสวยวิมุตติสุขเพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้วในโลกพร้อมพระธรรมสมบูรณ์แบบ ธรรมอันใดที่ทำให้เกิดการตรัสรู้ขึ้นมา ทำอย่างไร ได้บทเรียนจากตัวเอง ไม่มีครูสอน เหมือนกับเราสวดเมื่อกี้นี้ สติปัฏฐาน กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา มันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาในเวลามีสติ เวลาทำความเพียร เวลาบำเพ็ญทางจิต เราก็ได้สวด สิ่งเหล่านี้สอนให้หลง สอนให้รู้ด้วย กาย เขาสอนให้เราหลงก็มี กายเขาสอนให้เรารู้ก็มี เวทนาเขาสอนให้เราหลงก็มี เวทนาสอนให้เรารู้ก็มี จิตสอนให้เราหลงก็มี เป็นทุกข์เป็นสุขเพราะทุกข์ของจิตก็มี ธรรมสอนให้เราหลงก็มี สอนให้เรารู้ก็มี ก็ได้บทเรียนไปจากของจริงคือร่างกายนี้ ปฏิบัติอย่างนี้เป็นหนึ่งก่อน จึงมามีตำราทีหลัง เรียกว่า พระไตรปิฎก มันมีอยู่ในเรา
พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว พระธรรมเกิดขึ้นมาทันที ธรรมอันใดที่ทำให้เกิดการตรัสรู้ รู้รอบ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง มีอรรถะมีพยัญชนะ เอามาพูดมาสอนผู้คนได้ นับจากนี้ไปประมาณเดือนกว่า ๆ จึงได้แสดงธรรม กำลังวางแผนจะทำอะไร ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ก็ไม่สอน แม้ไปแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ใด อุทกดาบส อาฬารดาบส ท่านก็ไม่พูดเรื่องนี้ เป็นการตรัสรู้เองโดยชอบขึ้นมา จะเอาอย่างไรดี ในเวลานั้นประเทศอินเดียมีลัทธิแน่นหนามาก มีกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร จัณฑาล ในคนที่มีวรรณะ ถือกันมาก แต่พระองค์ก็ปฏิวัติออกบวชจากกษัตริย์ เขาเกล้าผม แต่สิทธัตถะโกนผมทิ้ง นุ่งห่มฝาด ไม่ใส่เครื่องประดับตกแต่งอะไร มันก็แปลกที่จะไปสอนใคร ก็วางแผนยุ่งยากไม่เหมือนพวกเรา พวกเราในเวลานี้มีที่รองรับเยอะแยะ การเผยแพร่ก็เป็นรูปแบบอย่างหนึ่ง ในวัดวาอาราม มีสมณะสารูปเป็นพระเป็นสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกา วัดวาอาราม
แต่ในขณะที่พระองค์อยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ เสวยวิมุตติสุข ก็วางแผนที่จะไป ทำยังไง มองหาคนที่จะไปสอน ใครหนอที่จะรู้เรื่องนี้ จึงมองเห็นปัญจวัคคีย์ที่เคยอยู่ด้วยกันมา คงจะพอฟังได้ เดือนกว่า ๆ เดินทางจากพุทธคยาไปถึงพาราณสี ตามไป กระแสไป เพราะพาราณสีนี้มีอิสิปตนมฤคทายวัน เป็นที่ของพราหมณ์ของฤาษีชีไพรทั้งหลายที่ไปอยู่อาศัยที่นั้น ห่างจากพาราณสีไปประมาณ 7 กม. ก็ตามไป ขณะที่เดินทางออกจากพุทธคยาจากการตรัสรู้ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้น เราไม่พูดรายละเอียดนะ ก็จำมานะ แต่ว่ามีหลักฐาน น่าจะพูดบ้างเพื่อเป็นส่วนประกอบให้ท่านผู้ฟังไม่ดุ้นเดา เดินทางออกจากต้นศรีมหาโพธิ์ มีอุปกาชีวกคนหนึ่งเห็นก็เกิดความเลื่อมใส ก็ถามดูว่า ทำไมสมณะองค์นี้จึงมีสง่าราศี ไม่เหมือนสมณะอื่น ๆ เมื่ออยากถามก็ถาม ท่านเป็นใคร มาจากไหน ทำไมท่านจึงมีผิวพรรณผ่องใสยิ่งนัก ครูของท่านคือใคร ใครเป็นครูสอนท่าน สมัยนั้นชอบอวดกันเรื่องครู เมื่อเจอกันก็พูดขึ้นมาว่าเราเป็นพราหมณ์ เราเป็นกษัตริย์ เราเป็นแพศย์ มาจากตระกูลนั้นตระกูลนี้ ครูของเราคือครูทั้ง 6 อะไรก็ว่ากันไป ปกุทธะกัจจายนะ อะไรครูทั้ง 6 นะ เราเคยเรียนมา จำไม่ได้
เมื่ออุปกาชีวกคนนั้นถามอย่างนั้น ทำไมไม่เหมือนครูของเราที่เคยอยู่ด้วยกันมา พระพุทธเจ้าก็ตรัสขึ้นอย่างไม่กระไรเลย เราเป็นชาวสยัมภู ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีใครเป็นครูของเรา อุปกาชีวกแลบลิ้นใส่เลย บ้วนน้ำลายหนีไป คุยโวเกินไป ไม่ฟังเลย แทนที่จะได้ฟังธรรม พอเห็นแล้วก็ไม่ชอบทันที ถอนความพอใจและความไม่พอใจออกไม่เป็น ด่วนรับด่วนปฏิเสธ คำพูดแบบนี้ไม่ชอบ อุปกาชีวกคนนั้นก็หันหลังหนีไปทางอื่น ก็ได้บทเรียนเลย พระพุทธเจ้าได้บทเรียน โอ! เราพูดมากเกินไป จึงหนีกันไป เมื่อเดินไปถึงปัญจวัคคีย์ ตอนไปพบทีแรก เห็นปัญจวัคคีย์อยู่ ปัญจวัคคีย์หนีไปเลยเพราะจำได้ แปดเดือนกว่า ๆ สิทธัตถะสมณะมักมากมาแล้ว ตามมาแล้ว พวกเราอย่าต้อนรับเพราะคนล้มเหลว ไป! หนีไป จึงพากันเดินไปจนถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไปพักที่นั้น พระพุทธเจ้าก็ตามไปอีก พอตามไป ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าก็ อ้าว! มาอีกแล้ว สมณะมักมากมาอีกแล้ว พวกเราอย่าสนใจ ถ้าจะนั่งก็นั่งได้ ไม่นั่งก็แล้วแต่ ไม่ต้องต้อนรับอะไร พระพุทธเจ้าก็เดินไปถึง ขณะที่ปัญจวัคคีย์นั่งสนทนาธรรมกันอยู่ ไม่ใช่พูดอะไรพระพุทธเจ้า ดูก่อนปัญจวัคคีย์ ดูก่อนไม่ใช่เราเป็นชาวสยัมภู ตรัสรู้เอง ไม่ใช่คำนั้นแล้ว ดูก่อนปัญจวัคคีย์ เราได้ตรัสรู้โดยชอบ เราจะบอกปัญจวัคคีย์ซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมา โดยเฉพาะโกณฑัญญะพราหมณ์เราเคารพเป็นสัตตบุรุษ เป็นบรรพบุรุษของเรา ดูก่อน ดูก่อน ฟังเราตรัสรู้แล้ว
พอได้ยินคำว่าตรัสรู้ โกณฑัญญะพราหมณ์หันหน้ามาใส่ ส่วนวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิยังหันหลังให้อยู่ ไม่สนใจ ก็เลยเอาอาสนะไปปูให้นั่ง ให้แสดงธรรม ก็ปรากฏว่าวันนั้นเกิดพระสงฆ์ขึ้นมา อัญญาโกณฑัญญะ การเทศนาของพระพุทธเจ้าครั้งแรกคือวันเพ็ญเดือน 8 เรียกว่า วันอาสาฬหบูชา นับจากเดือน 6 ไปถึงเดือน 8 ก็ประมาณเดือนกว่า ๆ จึงเกิดพระสงฆ์ขึ้นมา ตามลำดับคืออัญญาโกณฑัญญะรู้ก่อน ส่วน วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ รู้ทีหลัง 4 วัน 5 วัน 7 วัน 10 วันไป เกิดเป็นพระสงฆ์ขึ้นมา มีรัตนะ 3 พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สมบูรณ์แบบ พระองค์จึงได้ชื่อว่าสัมมาสัมพุทโธ สามารถสอนคนอื่นให้รู้ตามได้ มีหลักฐาน
การที่เรามาปฏิบัติธรรมนี้อย่ามาเชื่อเรา ให้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะบอกวิธีที่ทำให้รู้เรื่องธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ใช่เราวิเศษกว่าพระพุทธเจ้า มารู้มาเห็นด้วยกัน มันจะเป็นยังไง ถ้าไม่มีใครบอก ไม่มีใครสอนเรื่องนี้มันจะเป็นยังไงประเทศชาติ ผู้คน มนุษย์ทั้งหลาย จะหันหลังกลับไปหาสองพันห้าร้อยปี มันก็ไม่ไหวแล้ว ก็ต้องเจริญก้าวหน้าแล้วทุกวันนี้ อย่างที่หลวงตาเคยพูดให้ฟังวันก่อนว่า
ถ้ายังทุกข์อยู่ ล้าสมัย ถ้ายังโกรธอยู่ ล้าสมัย ถ้ายังหลงอยู่ ล้าสมัย เขาไม่หลงเขาไม่ทุกข์เขาไม่โกรธแล้วทุกวันนี้
เราจึงไปกัน ก็สอนอยู่ที่นั้น ในที่สุดมีสักขีพยานเฉลยขึ้นมา คือปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 อยู่ไปอีกไม่นาน ยสะกุลบุตรเป็นลูกเศรษฐีในเมืองพาราณสีนั้น ร้องออกมาตอนเช้าประมาณตีสีตีห้า ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ออกจากพาราณสีมาอิสิปตนมฤคทายวัน เพราะที่นั้นเหมือนที่ปลดปล่อย ทั้งสัตว์สาราสิ่งใครมาอยู่ก็ไม่มีอันตราย เมืองพาราณสีกันเอาไว้ เป็นที่ปลดปล่อยของสัตว์ทั้งหลาย สมณะฤาษีชีไพรมาใช้กัน ยสะกุลบุตรก็รู้ก็เดินมา อาจจะมีฤาษีชีไพรอยู่แถวนี้บ้าง ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ขณะนั้นพระพุทธเจ้ากำลังจงกรมอยู่ ประมาณนี้ คำนวณดูนะ มโนภาพนะ ตอนเช้ามืด ยสะกุลบุตรหนีออกจากบ้านมา ไม่ให้ใครรู้เพราะคนกำลังหลับอยู่ มาจนถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ วุ่นวายเหลือเกิน วุ่นวายเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกชายคนเดียวของเศรษฐีก็ยังมีทุกข์ น่าจะไม่ทุกข์เลย อะไรก็ไม่อดไม่อยาก
พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ก็เรียกแล้วตอบว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่มีทุกข์ มาที่นี่เถิด ยสะกุลบุตรได้ยินเสียงที่ตรงกันข้ามกับความเป็นไปในชีวิตจิตใจของตน จึงถอดรองเท้าเดินเข้าไป พระพุทธเจ้าซึ่งเดินจงกรมอยู่ ก็แสดงธรรมให้ฟัง ในอนุปุพพิกถาทั้ง 5 เหมือนกับซักฟอกชีวิตจิตใจ มันเปื้อนมาด้วยความทุกข์หรือความวุ่นวาย ชีวิตของยสะกุลบุตร จึงออกมาเป็นคำพูด ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ วุ่นวายหนอ เหมือนเสื้อผ้าที่มันเปรอะเปื้อนมา พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมอนุปุพพิกถา เหมือนกับซักให้มันสะอาดแล้วก็ย้อม พระธรรมเทศนานั้นที่แสดงโปรดยสะกุลบุตร ในที่สุดยสะกุลบุตรก็ได้สำเร็จได้ดวงตาเห็นธรรม ถือบวชเหมือนปัญจวัคคีย์
บิดามารดาบริวารของยสะกุลบุตรเมื่อไม่เห็น ก็ตามหา วุ่นวายกัน คงจะไปป่าอิสิปตนมฤคทายวันโน้นแหละ ใครก็ไปที่โน่น เมื่อมาก็มาเห็นรองเท้าอยู่หน้าวัด เศรษฐีผู้เป็นบิดาของยสะกุลบุตรก็จำได้ว่า นี่เป็นรองเท้าของยสะกุลบุตร จึงตามเข้าไป พอเห็นยสะกุลบุตรบวชเสียแล้ว นั่งล้อมพระพุทธเจ้าอยู่ เศรษฐีบิดามารดาเพื่อนของยสะกุลบุตรก็ไปร่วมฟังธรรม ในขณะที่โปรดยสะกุลบุตร รวมทั้งภรรยาเก่าด้วย ไปด้วยกันนะ พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรม ก็ได้เกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็นอุบาสกอุบาสิกาคนแรกเกิดขึ้นขณะนั้น พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา เกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นคนแรกคือพ่อของยสะกุลบุตร แม่ของยสะกุลบุตร และภรรยาของยสะกุลบุตร ก็นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมหมู่สงฆ์ ปัญจวัคคีย์ และยสะกุลบุตร ไปฉันที่บ้าน ไปโปรดญาติโยมทั้งหลาย เพื่อนของยสะกุลบุตรเห็นยสะกุลบุตรบวช ก็มาถือบวชอีก 45 คน มันก็เกิดขึ้นมา นี่หลักฐาน ใครล่ะ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือผู้คนทั้งหลาย ปัญจวัคคีย์ ยสะกุลบุตร เพื่อนยสะกุลบุตร
นับจากนั้นไปอีก พระพุทธเจ้าได้สั่งให้พระสงฆ์ที่เป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงแห่งมาร พวกเราไปได้แล้ว ไม่ต้องอยู่ตรงนี้ ไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คน ถ้าสิ่งนี้เป็นความจริง ไปบอกไปสอนผู้คนทั้งหลายที่เขาหลงเขาไม่รู้ ให้เขาได้รู้เรื่องนี้ ไปเถอะพวกเรา อย่าไปทางละสองรูปนะ ให้ไปทางละรูป แยกย้ายกันไป เราก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม คือราชคฤห์ ที่ได้นัดกันกับพระเจ้าพิมพิสารสมัยที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช ซึ่งเป็นเมืองกษัตริย์ด้วยกัน พระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าสุทโธทนะเป็นกษัตริย์ด้วยกัน ครองบ้านครองเรือนตามหัวเมืองต่าง ๆ มา ก็บอกว่าถ้าสิทธัตถะค้นพบสัจจธรรมตรงไหนก็นำมาบอกด้วยนะ ให้มาบอกด้วย อย่าทิ้งพ่อนะ ก็ไปบอกไปสอน นี่คือการประกาศพระศาสนา จึงเกิดวัดแรกขึ้นมานับจากวันเพ็ญเดือน 8 ไป ถึงวันเพ็ญเดือน 3 ประมาณ 9 เดือน มีพระอรหันต์เกิดขึ้น 1,250 รูป นับไปดูสิ ทำไมได้มาจากไหน 1,250 รูปนี้ เพราะพระพุทธเจ้าจำอยู่ที่เวฬุวัน พระเจ้าพิมพิสารสร้างให้เป็นวัดที่แรกสุดเลย
ในวันเพ็ญเดือน 3 ภิกษุทั้งหลายที่แยกย้ายกันไป ต่างไปเผยแพร่ ได้ผู้รู้ตาม อัญญาโกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ พร้อมทั้งยสะกุลบุตร แยกย้ายกันไป ในวันเพ็ญเดือน 3 นั้นเป็นวันประเพณีของชาวอินเดียสมัยโบราณ เขาก็เคยไปร่วมกับเขา เหมือนกับพวกเรานะ วันสงกรานต์คนไปอยู่ที่ไหน ก็กลับบ้าน วันตรุษจีนก็พักผ่อนกลับบ้านกลับช่อง ไหว้บรรพบุรุษ แต่นี่พระอรหันต์เกิดขึ้นมาจะไปไหว้ใคร มันไม่โง่หลงงมงายแล้ว จะไปหาใครล่ะ ไม่กลับไปหาบรรพบุรุษ ไปทำพิธีรีตอง เล่นสงกรานต์เหมือนคนไทย ไปตรุษจีนเหมือนคนจีน กลับบ้านกลับช่อง เที่ยวเล่นขี่รถเล่น เที่ยวโน่นเที่ยวนี่ พระอรหันต์เหล่านั้นที่เกิดจากผลงานของภิกษุที่ไปเผยแพร่ ก็ชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะวันเพ็ญเดือน 3 เป็นวันสำคัญของประเพณีของเขา
หลวงตาก็เคยไปเวียนเทียนที่สาญจี เมืองลัคเนา ไปวันเพ็ญเดือน 3 พอดี ไปเจอพิธีของเขา เขาเรียกวันใส่ร้ายป้ายสี เขาสนุกสนานนะ ใส่ร้ายป้ายสีก็เหมือนวันสงกรานต์บ้านเรา เล่นมอมกันเหมือนคนโบราณ ไม่มีแป้ง เอามือไปทาก้นหม้อดำ ๆ ไปป้ายหน้ากัน ไม่โกรธกันในวันนั้น เดี๋ยวนี้ก็มีแป้ง ไม่มีก้นหม้อเหมือนเมื่อก่อนใช่ไหม ใครเกิดอายุ 70 80 ปีก็คงเห็น สมัยนั้นไม่มีแป้ง เอาก้นหม้อดำ ๆ ไปปะกัน นี่ก็เหมือนกันแหละ หลวงตาเคยไปเวียนเทียนอยู่ที่นั่น ไปอยู่ที่สาญจี เขาก็เล่นกัน ไปใส่ร้ายป้ายสี เขาจะมาป้ายเรา สีของเขานี่ซักไม่ออกนะ ทาหน้าก็เป็นเดือนแหละถึงจะออก แต่ว่าไม่ใช่สีดำเป็นสีต่าง ๆ สีเหลือง สีแดง สีชมพู สีอะไรต่าง ๆ ใส่เสื้อก็เขียนไว้เลย
เราก็นั่งอยู่ที่วัดในสาญจี เขาก็เฮขึ้นมา ไม่เห็นหลวงตานั่งอยู่ นั่งดูบรรพบุรุษที่สร้างกุฏิสร้างวัดขึ้นมาด้วยหิน กุฏิหลังนั้นที่ไปนั่งอยู่ยังงดงามอยู่เลย ระหว่างเสา ระหว่างขื่อ ระหว่างจันทัน เป็นหินทั้งนั้น ต่อกันเหมือนไม่มีอะไรเลย ประณีตยิ่งกว่าไม้เสียอีก แต่หลังคาไม่มี มีแต่เสากับขื่อกับจันทัน มองสวยงามที่สุดเลย ระหว่างพื้น ระหว่างดวด ระหว่างจั่ว สวยงามที่สุดเลย ไปนั่งดู โอ๊ย สองสามพันปี สมัยพระพุทธเจ้า มาดูฝีมือของคนโบราณ พอดีพวกที่เล่นใส่ร้ายป้ายสีขึ้นไป ดาไลลามะ ดาไลลามะ มันเห็นเรานึกว่าองค์ดาไลลามะ เป็นนักบวช ดาไลลามะ ดาไลลามะ รุมเข้ามาหาเรา เราก็นั่งหลับตาเฉย พอเข้ามาใกล้ ๆ ก็ลดเสียงลง เราก็ลืมตาขึ้นมา มันก็คลานเข้ามา เอาสีมาติดจีวรเรานิดหนึ่ง มันก็ออกหนีไป เออ! นี่ก็ดีเหมือนกัน ไม่ใช่ถึงเนื้อถึงตัวเหมือนเขาเล่นสงกรานต์บ้านเรา ทุกวันนี้ถึงเนื้อถึงตัวกันเลย
พวกพระอรหันต์ทั้งหลายที่เกิดจากการเผยแพร่ นับจากวันเพ็ญเดือน 8 ถึงเดือน 3 ก็ประมาณ 8-9 เดือน เกิดพระอรหันต์ 1,250 รูป ไปรวมกันที่สวนเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ เดินทางไปพบพระพุทธเจ้าโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันเลย ไปอยู่ที่นั้น พระพุทธเจ้า โอ! อัศจรรย์หนอ พระสงฆ์ที่มานี้ มารวมกันไม่ได้นัดหมายตั้ง 1,250 รูป ล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เลยแสดงโอวาทปาติโมกข์ ขนาด 8-9 เดือน มีพระอรหันต์เกิดขึ้น 1,250 รูป นี่คือผลงานของธรรมะที่เป็นหลักฐานความจริง ที่เป็นปรากฏการณ์สมัยพุทธกาล
อันนี้ก็อยากจะให้อาจารย์ทรงศิลป์เขียนป้ายไว้ให้ว่า ที่นี่ไม่ทุกข์เลย ที่นี่ไม่ทุกข์เลย อยากจะบอกอย่างนั้น เหมือนกับป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่พระพุทธเจ้าพูดคำนี้ออกมา ที่นี่ไม่ทุกข์ ที่นี่ไม่วุ่นวาย มาที่นี่ อยากจะเขียนไว้เลย มันจะเกินไปเนาะ แค่เพียงจะเขียนว่าวัดป่าสุคะโตสถาบันสติปัฏฐาน แค่นี้ก็คุยแล้ว ใช่มั้ย มีวัดใดที่เขียนว่าอย่างนี้ มีไหม สุคะโตก็เขียนลงไป ท้าทายสักหน่อยหนึ่ง สถาบัน บางทีสถาบันการศึกษา อะไรเป็นสถาบันล่ะ ทำไมถึงชื่อสถาบัน สมัยก่อนมีสถาบันราชภัฏ แล้ววัดนี้มาเขียนเป็นสถาบัน อะไรเป็นสถาบัน มีคณะอะไร ไม่มี ศาลาก็ไม่มี กุฏิก็ไม่มี
สถาบันอยู่ตรงไหน อยู่ที่ชีวิตจิตใจของเรา มีหลักฐานอยู่ที่นี่ มีกาย มีเวทนา มีจิต มีธรรม
เรื่องของสติ เอาอันนี้เป็นสถาบัน จบเรื่องนี้กัน จบกายดูสิ มีปัญหาเรื่องกายไหม ใครมีปัญหาเรื่องกายยกมือขึ้นดูสิ เอ้า! ยกมือถ้าใครมีปัญหาเรื่องกาย ไม่มีเหรอ ไม่เคยเดือดร้อน ไม่เคยหิวข้าวหรือ ไม่เคยทุกข์ เคยไปสอนมหาวิทยาลัยพายัพที่เชียงใหม่ สอนบาทหลวงเขา มาถามได้เลย เราเป็นคนเหมือนกัน คนเรามีเหมือนกันคือกายกับใจ ใครมีกายอยู่นี่ ยกมือขึ้นดูสิ เอ้า! ใครมีปัญหาเรื่องกาย ใครมีใจอยู่นี่ ยกมือขึ้นดู เรามีใจ ใครมีปัญหาเรื่องกายเรื่องใจยกมือขึ้นดูสิ เราก็ยกมือขึ้น ถามบาทหลวงเขา เอ้า! ใครแก้ปัญหาเรื่องกายเรื่องใจได้ยกมือขึ้นดูสิ ไม่มีใครยกเลย มีเรายกมือขึ้น นี่สถาบันของเรา
ให้มันหมดเสียปัญหาเรื่องกาย เป็นตัวเป็นตนอยู่ในกายมีไหม เอาตนเอากายไปวัดกับอะไรต่าง ๆ เราชอบ เราไม่ชอบ มีตนอยู่ในเวทนา เอาเวทนาเป็นตนมีไหม เป็นสุขเป็นทุกข์มีไหม เอาจิตมาเป็นสุขเป็นทุกข์มีไหม มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรามาเห็นเรื่องนี้เป็นสถาบันของเรา จึงประกาศว่านี่คือสถาบัน ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว ปัญญาชนทั้งหลายมาศึกษาลองดู พิสูจน์ลองดูสิ ให้สุดฝีมือลองดู ทำยังไง มีสติสัมปชัญญะ ตั้งอยู่อย่างที่เราสวด ประคองตั้งจิตไว้ มีสติสัมปชัญญะ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกคือกายคือใจออก ให้เห็นมัน รู้กายสักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ฐานกรรมฐานอยู่ตรงนี้ กรรมฐานตั้งไว้ตรงนี้ ไม่ใช่เอาหนังสือตำรามาเรียน หนังสือตำราคือกายคือใจเรา สติเป็นนักศึกษา เข้าไปศึกษาให้มันจบเสีย จนพูดออกมาว่า จบแล้ว
เหมือนพระพุทธเจ้าจบเรื่องนี้เมื่อวานนี้ จบจริง ๆ พระองค์ยังตรัสออกมาอุทานออกมาว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ ภาระปัญหาเรื่องกายเรื่องใจไม่มีหรอก หมดลง ปลงไว้ ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในเมื่อคืน ตอนรุ่งเช้าเมื่อวานนี้ เกิดขึ้นมาแล้วพร้อมทั้งพระธรรมที่ทรงแสดงเรื่องนี้ แล้วก็แสดงในเรื่องนี้มาตลอด แล้วใครบ้างที่พิสูจน์เรื่องนี้กันในคนไทย มีบ้างไหมที่มีสติ 1 วัน 2 วันต่อเนื่องกันมีไหม 2 ชั่วโมงมีไหม 1 ชั่วโมงมีไหม 30 นาทีมีไหม ถ้ายังไม่มีก็ควรอย่างยิ่ง พวกเราจะเป็นเพื่อน ไม่ใช่เป็นอาจารย์ ขอเป็นเพื่อนในเรื่องนี้กัน จะไม่พาหลงทิศหลงทาง แต่ว่าตั้งฐานไว้ให้ดี
มีสติอย่าเข้าไปเป็นกับอะไร มันสุขก็อย่าไปเป็นผู้สุข มันทุกข์ก็อย่าไปเป็นผู้ทุกข์ เรื่องสุขเรื่องทุกข์เพราะกาย เพราะเวทนา เพราะจิต เพราะธรรม อย่าให้เป็น อย่าให้รสชาติมัน มีสติอย่างเดียว รู้สึก รู้สึก เข้าไป
ภาษาพระพุทธเจ้าสอนว่า กายสักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เคยว่าเคยบอกตัวเองอย่างนี้ไหม เวทนาคือมันสุขมันทุกข์ก็ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จิตมันคิดโน้นคิดนี้ก็ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เคยสอนเคยกลับมาอย่างนี้ไหม หรือว่าเป็นไปกับมันเลย เรื่องของกายเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ เรื่องของเวทนาเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไปแย่งกัน ไปข่มขืน ไปซื้อเอา ปล้นเอามา ถ้าความสุขของเรามันเป็นความทุกข์ของเขา แต่ว่าเป็นความสุขของเราก็เอา อันนั้นก็ไม่ถูกเสมอไป
เราจึงมารู้อย่างนี้ พิสูจน์กัน ลองดู ให้สุดฝีมือเรา อย่าไปเชื่อใครง่าย ๆ แม้ตัวปฏิบัติก็อย่าไปเชื่อ อันความรู้เรื่องนี้ อาจารย์ก็หลอกลูกศิษย์ไม่ได้ ลูกศิษย์ก็หลอกไม่ได้ แม้เราเอามือมาวางบนหัวเข่า มือเราอยู่ตรงไหน พลิกมือขึ้น ใครเป็นผู้รู้ เรารู้เอง ใครจะมาว่ามือเราอยู่ที่อื่น เราไม่เชื่อ เพราะรู้สึกตัว มือเราอยู่ตรงนี้ ยกมือขึ้นมือเราก็รู้ เมื่อมีใครบอกว่ามือของคุณวางอยู่ ไม่มีใครเชื่อ วางมือลงเราก็รู้ มันคิดไปโน่น มันหลงเรารู้เอง มันรู้ ความรู้สึกตัวเราสร้างขึ้นมา ความหลงหมดไป เรารู้เอง สัมผัสความรู้ความหลง ลองดู มันจะเป็นอย่างไร เวลามันหลง-รู้สึกตัว เวลามันทุกข์-รู้สึกตัว เวลามันโกรธ-รู้สึกตัว มันจะเป็นอย่างไร เรียกว่าฐาน เรียกว่าปฏิบัติ เรียกว่ากลับมา ภาวนาคือขยันรู้ ไม่ใช่มานั่งคิดหาเหตุหาผล ภาวนาคือขยันรู้
อ้าว มันก็หมดเวลาแล้วนะ พูดให้ฟังนะ