แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่ออีก เพื่อย้ำเตือนกันในการงาน เพื่อให้มันคล่องตัว อาศัยการบอกการเล่าการคลี่แผนที่ ให้ดูให้เห็น แล้วเอาไปทำ ทำให้มันเป็น กรรมฐานเป็นงานกระทำ ไม่ใช่งานความคิด ไม่ได้หาความคิด ใช้สมองแยกแยะเหมือนคณิตศาสตร์ เช่น ชาวนาอาชีพทำนาก็ทำให้มันเป็น ปลูกข้าวยังไง จับมัดกล้ายังไง เวลาเอาต้นกล้าออก คลี่ยังไงให้ได้ทีละสองต้นสามต้น ถ้ามันปนต้นหญ้ามาอีกจะทำยังไง รู้จักไหม ต้นหญ้าต้นข้าวต่างกันไหม ถ้าไม่ดูก็ไม่เห็น ถ้าไม่รู้ ผิดๆ ถูกๆ จะปลูกข้าวแต่ไปปลูกหญ้าก็มี เอาลงลึกลงตื้น ลงลึกเกินไปก็ไม่ขึ้น ตื้นเกินไปก็ถอน ทำไม่เป็น ทำอย่างไรก็ทำไม่เป็น ศิลปกรรม หัตถกรรม เกษตรกรรม แม้แต่การทำการทำงานอื่นๆ ต้องรู้เพราะเคยหัดมา
อย่างเรานั่งอยู่ที่นี้ มันไม่บอก การกระทำอย่างไร มีอาชีพอย่างไร ชำนาญเรื่องใด ท่านที่เห็นเคยทำมาแล้ว ท่านเป็นหมอ พอทำงานคนป่วยก็ทำได้เลย ถ้าเราไม่เคยฝึกหัดเรื่องนี้ก็ทำไม่เป็น กรรมฐานทำให้เป็น เวลามันหลง เปลี่ยนเป็นไม่หลง ให้รู้ให้เป็น เวลามันทุกข์ให้รู้ให้เป็น เวลามันโกรธให้รู้ให้เป็น มันทำให้เป็น เมื่อมันเป็นแล้วไม่ต้องหัด ถ้าหลงก็รู้ ต่อไปความหลงอาจจะครั้งสุดท้ายได้ ความโกรธที่ได้รู้ทุกที มีสติ ต่อไปความโกรธอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายได้ ความทุกข์ มันทุกข์ทีไร รู้ทุกที กลับมามีสติ ความทุกข์อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายได้ มันจบเป็น มันเป็น ไม่ใช่มันรู้
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช้สมอง มันเป็นสัมผัส การสัมผัสสำคัญมาก เอากายสัมผัสกับสติ เอาใจสัมผัสกับสติ สติเป็นยังไง ความหลงเป็นอย่างไร ต่างกันไหม อะไรมันถูกต้อง อะไรเป็นธรรม สิทธิของเราควรที่จะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เราเอาตะพึดตะพือ บ้าหอบฟาง เลือก ชีวิตนี้มันเลือกได้ เรียกว่าวาสนา บุญวาสนา เลือกทำความดี พูดดี คิดดี เรียกว่ามีบุญวาสนา มันลิขิตได้ มันจำแนกได้ กรรมจำแนกสัตว์ได้ ศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์เราเป็นไปตามกรรม ชาวนาปลูกข้าวก็ได้ข้าว ไม่ใช่คิดเอา ต้องทำลงไป ผู้ฝึกสติก็ได้สติ มันเป็นกรรม กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ตามที่เราสวด บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผู้ทำความดีก็ย่อมได้ผลดี ผู้ทำความชั่วก็ย่อมได้ผลชั่ว
นี่คือชีวิตของเรา จึงมีบุญวาสนา เลือกได้ตั้งแต่หนุ่มๆ น้อยๆ จะได้มีวาสนาไปยาวนาน อาศัยได้ มีความดีก็พึ่งดีได้ เป็น อัตตาหิ อัตโนนาโถ พึ่งได้ ถ้ามีความชั่วก็พึ่งไม่ได้ ไม่มีวาสนา มีบุญก็ไม่รู้จักรักษาบุญ ไปเอาบาป บุญทำได้ แต่รักษาไม่ค่อยได้ ศีลก็ขอได้ แต่รักษาไม่ค่อยได้ สำคัญอยู่ที่รักษา การรักษานี้สำคัญที่สุด แล้วก็มีการกระทำ เรียกว่าหัวใจเศรษฐี หนึ่งรู้จักหา รู้จักสร้างให้มี สองรู้จักรักษา สามรู้จักใช้ สี่มีมิตรมีเพื่อนดี สิ่งแวดล้อมดี เรียกว่า อุ-อา-กะ-สะ หัวใจเศรษฐี อะไรก็อยู่ในเกณฑ์นี้ทฤษฎีนี้ สำเร็จ
ถ้าไม่มีทฤษฎีสี่ข้อนี้ ทำอะไรไม่สำเร็จ เรียกว่า อุ-อา-กะ-สะ หัวใจเศรษฐี เป็นข้อปฏิบัติ ไม่ใช่คิดเอา ทำลงไป หา มีแล้ว รู้จักรักษาไว้ รู้จักใช้ ใช้อะไร ใช้ตา ใช้หู ใช้จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช้อย่างไร ใช้ให้เป็น ถ้าใช้ผิดก็เป็นทุกข์เป็นโทษ ถ้าใช้ถูกก็เป็นประโยชน์ เดือดร้อน ถ้าใช้ผิด ก็มีคุกมีตะรางมีกฎหมาย มีตัวบทกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญ มีศาสตราวุธ มีกองทัพ มีตำรวจ ทหาร แม้แต่งานบุญที่มีอยู่ทั่วไป ก็ต้องมีตำรวจมารักษา เป็นสองโรงพัก สามโรงพัก บุญอะไร เป็นอย่างนั้นน่ะ
ถ้าเรามีบุญจริงๆ ก็ไม่ต้องมีใครมารักษา บุญมันรักษา กุศลมันรักษา ธรรมรักษา พระธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมอยู่เป็นนิจ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว แล้วเราได้อานิสงส์ไหม ปฏิบัติธรรมมันรักษาเรายังไง ไม่ใช่อ้อนวอน เวลามันหลง เราไม่หลง เคารพพระธรรม อย่าไปเคารพความหลง ไปพอใจในความหลง ไปพอใจในความหลง หมกมุ่นครุ่นคิดในความหลง ให้เคารพพระธรรมความไม่หลงเอาไว้ เลือกเป็นเลือกได้ ชีวิตนี้มันเลือกได้ เคารพพระธรรม พระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม ได้เป็นมาแล้วและเป็นอยู่ด้วย และจะเป็นไปด้วย นานเท่าไหร่ไม่จบไม่สิ้น ธรรมยังมีอยู่ มีอยู่เช่นนั้น มีอยู่ในชีวิตเรานี้ ไม่ต้องจน
เวลามันหลง ไม่ต้องจนในความหลง ออกมารู้สึกตัว ให้หัดอย่างนี้ เรียกว่ากรรมลิขิตไป เป็นทางไป สะดวก ทางนี้สะดวก เป็นอริยมรรคคือดู เห็นกาย เห็นทาง เห็นทิศเห็นทาง ดำเนินไปอย่างถูกต้อง พูดถูก ทำถูก คิดถูก การงานชอบ ตั้งใจชอบ ตั้งสติชอบ มีสมาธิชอบ ถึงมรรคถึงผล สำเร็จได้ ก้าวแรกก็คือเปลี่ยนหลงเป็นรู้ ก้าวไปข้ามไป ทุกข์ทีไร เปลี่ยนเป็นรู้ ข้ามไปก่อน จะได้ผ่าน เหมือนกับเราเดินทาง ผ่านบ้านนั้นเมืองนี้ มันก็บอก ธรรมมันบอก ทำอะไรมันสำเร็จ มันบอก เอาความหลงไว้หลัง ความโกรธความทุกข์ไว้หลัง ก้าวไปเรื่อยๆ ความยากความง่ายไว้หลัง ความผิดความถูกไว้หลัง มีแต่รู้ไป พาให้ไป ให้หลุด ให้พ้น ดูให้เห็น รู้เห็น รู้เห็น
ภาวะที่ดูที่เห็น เห็นแล้วไม่เป็น ทางมันนำไป สัมผัสดู มันถูก เหมือนเราเดินทาง ในป่าในพง ทางพอหลวมเท้า แกว่งเท้าไป เท้ามันบอก เหมือนคนตาบอด เอาไม้เขี่ยไปข้างหน้าก็รู้จักทาง ไปทางนี้ สัมผัส ชีวิตคนเราก็สัมผัส ว่าดีมีสติรู้ ดูแล้วเห็น เห็นแล้วไม่เป็น มันสัมผัส มันสะดวก ถ้าเป็นแล้วไม่สะดวก ติดขัด เป็นสุขก็ติด เป็นทุกข์ก็ติด ดีใจเสียใจก็ติด ถ้าผ่านได้ก็สะดวก จึงจะถึงมรรคผลนิพพาน เหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ถ้ายังเจ็บเป็นอยู่ เรียกว่าไปไม่ได้ ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ก็ไปไม่ได้ ถ้าตายเป็นตายก็ไปไม่ได้
เห็น มีแต่เห็น เห็นแจ้ง เรามีความแก่เป็นธรรมดา เห็นแจ้งไม่ใช่ปากพูด มันออกมาจากหัวใจ หทัยลึกๆ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เห็น ไม่เป็น อันนี้เรียกว่าเทวทูต เรียนมาตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆ พ่อแม่บอก
เวลาไปดูคนป่วย แม่จะบอก ถ้าไม่รู้เทวทูตจะเป็นบาป ถ้าเห็นเทวทูตแล้วจะไม่บาป ไปดูคนเกิด ก็ว่า ชาติปิ ทุกขา หันทาหัง อาทิ กัลยาณัง กโรมิ ใช่ไหม (หัวเราะ) พ่อเปรม หลวงพ่อกรม แม่นบ่ ผู้เฒ่า คนโบราณ
เห็นคนแก่ ชาติปิ ทุกขา หันทาหัง อาทิ กัลยาณัง กโรมิ
เห็นคนแก่ ชราปิ ทุกขา หันทาหัง อาทิ กัลยาณัง กโรมิ
เห็นคนเจ็บ พะยาธิปิ ทุกขา หันทาหัง อาทิ กัลยาณัง กโรมิ
เห็นคนตาย มะระณัมปิ ทุกขา หันทาหัง อาทิ กัลยาณัง กโรมิ
ไม่มีเสียง (หัวเราะ) เรามีกรรมเป็นของๆ ตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น นี้คือภาษาที่คนโบราณสอน ลูกเล็กเด็กแดงจะได้ไม่กระทบกระเทือน มันลื่นๆ ชีวิตจะลื่นๆ เรียบๆ ไม่ใช่ดีใจ เสียใจ
เดี๋ยวนี้เราอยู่ในฐานะแบบไหน เห็นคนอื่น พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์หรือ พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่ต้องทุกข์ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ก็ไม่ต้องทุกข์ ความคับแค้นใจก็ไม่เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็ไม่ต้องทุกข์ ถ้าเอาสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ว่าถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ทำอย่างไรจึงจะออกจากความทุกข์นั้นได้ ก็มารู้แบบนี้แหละ ให้เห็นนี่แหละ เห็นแล้วอย่าเข้าไปเป็นนี่แหละ ทำไฉน ทำตามพระพุทธเจ้า เดินตามรอยพระบาท เห็น เห็นอะไร จึงเรียกว่าเห็นถูก สัมมาทิฐิ เห็นทุกข์ นั่นแหละดีแล้ว ถ้ามันทุกข์แหละดี จะได้เปลี่ยนมัน
มันก็เริ่มต้นมาจากความหลง เจอกันทีแรกต่อหน้าต่อตา พอมีสติ ก็เห็นความหลงนี่แหละ นั่นแหละดี หลงไปทางไหนก็คือหลง หลงในตา ในหู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันหลงไปทางใจนี่ยาวนานมาก เรียกว่าจิตใจ ธรรมสักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา อันตาก็มีเวลา หูก็มีเวลา จมูก ลิ้น กายก็มีเวลา แต่ใจไม่ค่อยมีเวลา ไปเห็นอะไรก็มีเวทนา ความคิด นอนอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรเห็นก็สัมผัสได้ เป็นสุขเป็นทุกข์ ความคิด คิดขึ้นมานอนไม่หลับ คิดขึ้นมาแล้วน้ำตาไหล คิดขึ้นมาแล้วรัก คิดขึ้นมาแล้วเกลียดชัง มีเหมือนกัน
แต่ถ้าหัดตั้งแต่ดูกายไป ดูเรื่อยๆไป ดูเวทนาเรื่อยไป ดูจิตเรื่อยไป จะได้เห็นธรรม ดูจิตเห็นคิดเห็นธรรม จะได้เห็น จะได้เปลี่ยน ถ้าเห็นแล้ว ไม่ใช่เป็นอยู่ข้างหน้า เห็นแล้วเอาไว้ข้างหลัง เอาเห็นไว้ข้างหลังคือเห็นแล้ว ไม่เป็น มันก็พ้น เหมือนเราผ่านป่า เอามือแหวกไป ถ้าแหวกไปได้ตรงไหนก็เดินไป แหวกอีกเดินไป แหวกอีกเดินไป เหมือนเราผ่านป่าข้าวที่เราปลูกเอาไว้ เวลาข้าวออกรวง เดินป่าเหมือนลงไปในทุ่งนา เหมือนเรานวดข้าว เนอะข้าว เอาไม้ยาวคร่อมไว้ ให้ไปทางเดียวกัน ก็จะเกี่ยวง่าย พอผ่านไปแล้วก็ผ่านไป พอแหวกไปข้าวมันหนา ถ้าแหวกไม่เป็นข้าวก็หักขาดหล่น แหวกไปก็ผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป เสร็จไปเป็นแปลง เป็นแปลงไป
หลงไปข้างหลัง เห็น มีกิริยาอย่างนั้นจริงๆ นะ มันดี๊ดี เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงเนี่ย ยิ่งมันทุกข์ เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์นี่ โอ๊ย สุดยอดเลย ไม่เคยช่วยตัวเองเลยในเรื่องนี้ ไม่เคยช่วยตัวเองเวลามันหลง ไม่เคยช่วยให้ไม่หลง เวลามันทุกข์ ไม่เคยช่วยให้มันไม่ทุกข์ เวลามันโกรธ ไม่เคยช่วยให้มันไม่โกรธ พอมาได้หลักหลวงพ่อเทียนสอน โอ๊ย คิดถึงพระพุทธเจ้า นี่แหละ พระพุทธเจ้าอยู่เฉพาะหน้านี้แล้ว พระพุทธองค์ก็คิดแบบนี้ ทำแบบนี้ กระตือรือร้น อยากให้มันทุกข์ อยากให้มันคิด แกว่งเท้าหาเสี้ยนนั่นแหละ
บางทีลองไปคิดดูซิ มันจะทุกข์ไหม มันไม่ลง ถ้ามันเห็นแล้ว ไม่ลง ไม่มีค่าอะไร เมื่อก่อนทุกข์ก็มีค่า โกรธก็มีค่า หลงก็มีค่า ความรัก ความชัง ความยาก ความง่ายมีค่า ความยากก็มีค่าแบบหนึ่ง ความง่ายก็มีค่าแบบหนึ่ง ทุกข์ก็มีค่าแบบหนึ่ง พอเห็นแล้วมันลื่นๆ โอ๊ย! นี่ทาง โอ๊ย! นี่ทาง พ่อแม่ก็ไม่เคยสอนเราเลย เอาจริงๆ เรามาสอนตัวเอง มีแต่ครูอาจารย์บอก พระพุทธเจ้าบอก แต่ไม่เคยทำ เรียนจบนักธรรมมา แต่ไม่เอามาทำ ท่องได้ติดปาก
พอมาเห็นหลวงพ่อเทียนนี่ เอาการกระทำมายกมือ เอามือวางไว้เข่าดูสิ ให้ดูภาษาเมืองเลย ให้เหน่ง ให้เหน่ง ทำอิ้นๆ เหน่งบ่อยๆ เรื่อยๆ เหน่งคือติง ภาษาที่เรียกก็ไม่ใช่แบบเรานะ ไหว นิ่ง ติง นิ่ง ภาษาเรานะ ติง...นิ่ง (หัวเราะ) ติง...นิ่ง นะ ติง...นิ่ง อาตมาก็ไหว...นิ่ง ภาษาเมืองเลย เหน่ง เหน่ง เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนะ ไปอยู่เมืองเลยใหม่ๆ ภาษาลาวฝั่งแม่น้ำโขง ต่อมาก็มีแต่รู้สึก มันคัดมาอย่างดีแล้ว แต่ก่อนมันใช้หัวคิด เหน่งมันคืออะไรวะ มาแต่สิเด้อ มาล่าล่า มา ไม่รู้เรื่อง ทำล่าล่า เฮ็ดล่าล่า มันต้องใช้สมอง เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้ว รู้สึกตัว รู้สึกตัวภาษากลางๆ ถ้าภาษาบาลีเรียกว่าสติสัมปชัญญะ ภาษาไทยเรียกว่ารู้สึกระลึกได้ ภาษาฝรั่ง aware เหรอ เคยไปสอนฝรั่ง (หัวเราะ) ใช่ไหม ภาษาจีนว่าอย่างไร
ข้างหลังก็มีญาติธรรมเมืองจีนมาสิบคน คนละภาษา ความรู้สึกก็คืออันเดียวกัน เรียกว่าปฏิบัติ มันหลงเรากลับมา ก็เหมือนหลังมือ หลงคือหลังมือ ความไม่หลงมันหน้ามือ ปฏิบัติคือกลับ ปฎิคือกลับ มันผิดกลับ มันถูก กลับ มันสุข มันทุกข์ กลับ ปฏิบัติ ถ้ามันหลงไม่กลับ ให้รู้ ไม่ใช่นักปฏิบัติ จะสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี ก็ไม่ใช่นักปฏิบัติ นักปฏิบัติคือเปลี่ยน เปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ คือนักปฏิบัติ อยู่ที่ไหนล่ะ อยู่กับชีวิตของเราทั้งหมด ใม่ใช่อยู่ที่สุคะโต อยู่กับเรา มันหลงที่ไหน บนรถเมล์หรือ เปลี่ยนได้ ปฏิบัติ นั่งรถกรุงเทพ มันติด ปฏิบัติ มันจะด่านายกรัฐมนตรี ก็มารู้สึกตัว มันจะคิดอะไรทำอะไร ปฏิบัติ เข้าห้องน้ำเห็นคูถเต็มห้องน้ำ ปฏิบัติ
ทำเรื่องไม่ดีให้มันดี ใช้ลองดูสิ เพียรลองดู ตรงไหนไม่ดี พยายามทำให้มันดีด้วยมือของเรา มันจะง่าย ถ้าเห็นอะไรไม่ดี จะไม่ทำ ทิ้งไป ไม่ใช่ ปฏิบัติ ถ้ามีนักปฏิบัติเต็มบ้านเต็มเมือง เจริญ มีแต่คนทำดี ทำไม่ดีให้มันดี ห้องน้ำไม่ต้องเขียนไว้ กรุณาทำความสะอาด รักษาความสะอาด ไม่ต้องเขียน หน้าที่เราคือทำไม่ดีให้มันสะอาด สิ่งไหนไม่ดี ในหัวคิดเรา ทำให้มันสะอาด ให้มันดี
หลงไม่ถูกต้อง ความไม่หลงถูกต้อง ดีกว่า ความทุกข์ไม่ถูกต้อง ความไม่ทุกข์ถูกต้อง ดีกว่า ความโกรธไม่ถูกต้อง ความไม่โกรธดีกว่า ถูกต้องที่สุด เราอยู่ในโลกใบนี้ ไปไหนก็มีแบบนี้ ไม่มีอันอื่น ความทุกข์ก็พันธุ์เดียว ความโกรธก็พันธุ์เดียว ความหลงก็พันธุ์เดียว ไม่งอกไม่งาม เมื่อมันจบก็จบไปเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใหม่ เหมือนโรคภัยไข้เจ็บ ไข้หวัดพันธุ์ใหม่ยังมีอยู่ แต่โรคตัวนี้รักษาได้ จนพระพุทธเจ้าไปยืนตรงสี่แพร่งห้าแพร่ง ตะโกนเรียก อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คือโรคอันนี้ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง ความสุข ความทุกข์ หมดไปเลย มีชีวิตก็ล้วน แจกของส่องตะเกียงเลี้ยงคนทั้งโลกไป
บอกความเท็จความจริงต่อกัน ความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง ความโกรธไม่จริง ความไม่โกรธมันจริง บอกความจริงอย่างนี้ มันมีอยู่ อันเท็จอันจริงในโลกนี้ อันที่มันไม่จริง มันมีปัญหา อันที่มันจริง มันไม่มีปัญหา ชีวิตเราจะเป็นคนคนเดียวกัน ถ้าเรารู้สึกตัวเปลี่ยนร้ายเป็นดี อันเดียวกัน ถ้ามันร้ายแล้วไม่เปลี่ยนเป็นคนละคนไปแล้ว ยากแล้วแบบนั้น ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว แล้วทำไงถึงจะเป็นคนคนเดียวกัน นี้แหละอัศจรรย์ ปฏิบัติธรรมนี้แหละอัศจรรย์ อัศจรรย์ ผู้ปฏิบัติรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ทำให้คนมากๆ เป็นคนๆ เดียวกันได้ เพราะอันเดียวกันแท้ๆ ชีวิตเรานี้
จึงเขียนไว้ว่า ที่นี่ไม่มีใครแปลกหน้า มีแต่ญาติจึงได้เห็นกัน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไม่ต้องไปจงเกลียดจงชัง อิจฉาเบียดเบียนกัน มาช่วยกัน ยิ่งพวกเรามีลูกมีเมีย มีเพื่อนมีมิตร ยิ่งดีจะได้ช่วยกัน กระตือรือร้น เห็นมันหลง ช่วยให้ไม่หลง ช่วยกันให้เป็นเวลาคนหนึ่งหลง เห็นคนหนึ่งทุกข์ช่วยกันไม่ให้ทุกข์ เห็นคนหนึ่งโกรธช่วยกันไม่ให้โกรธ เมียของเรา ผัวของเรา ลูกของเรา พ่อแม่ของเรา เพื่อนเรา ให้ช่วยกัน มาๆ มาช่วยกัน ถ้ามีลูกมีเต้า เห็นพ่อโกรธ เมียก็บอกว่า ลูกๆ มาช่วยกันพ่อโกรธแล้ว พ่อโกรธแล้ว ทำยังไงพ่อถึงจะหายโกรธ มาช่วยกัน ล้อมรุมช่วยกันดูสิ เรื่องอะไรพ่อถึงโกรธล่ะ พูดไปพูดมา โอ๊ย ขอโทษๆๆ กราบลง ฉันไม่รู้ ขอโทษๆ ดีมาก มีใครบ้างทำแบบนี้ มีบ้างมั้ย ถ้าเป็นครอบครัวกัน
ปวารณาต่อกัน เอาละ เรานะ เป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว จะทุกข์จะจน จะมั่งจะมีก็เราสองคน จะสุขจะทุกข์เพราะชีวิตเราสองคน จะทำไง ถ้าผิดก็บอกกันด้วยนะ ถ้าถูกก็บอกกันหน่อย เวลาบอกเวลาสอนจะไม่ต้องโกรธกันนะ บอกกันแน่นะ สัญญากัน อย่าโกรธ อย่าเคืองนะ ให้ปวารณาต่อกัน สัญญากันยาวๆ ตลอดชีวิต ความรักก็ยาวๆ มีเท่านี้ ไม่มีอีกแล้ว สัญญาดีๆ ลงสนธิสัญญาในหัวใจ เห็นคนหนึ่งทุกข์ก็ช่วยกัน เห็นคนหนึ่งโกรธก็ช่วยกัน เห็นคนหนึ่งหลงก็ช่วยกัน ยิ่งมีคำสอน เอ้า! พลิกมือดูซิ
“นอนไม่หลับ ฉันนอนไม่หลับ” ทำไมนอนไม่หลับล่ะ “พ่อนอนหลับไม่คิดหวงลูกห่วงเต้าเหรอ” ปลุกสามีขึ้นมา คิดถึงลูกก็นอนให้หลับ “ฉันนอนไม่หลับ ลูกคนนั้นก็อยู่กรุงเทพ ลูกคนนั้นก็อยู่เชียงใหม่ ฉันนอนไม่หลับ” ทำยังไงถึงจะนอนหลับ ถ้าคิดถึงลูก มาคิด มันไม่ใช่ ถ้าคิดแล้วนอนไม่หลับก็สุขภาพไม่ดี เจ็บไข้ได้ป่วย เดี๋ยวก็ยากกับลูกกับเต้าอีกล่ะ ถ้านอนไม่หลับคิดถึงลูก รักลูกรักเต้าก็ทำให้สบาย อย่าต้องให้เจ็บไข้ได้ป่วย “ฉันนอนไม่หลับ ฉันนอนไม่หลับ” สามีก็เอามือตะแคงไว้ นอนตะแคงข้างซ้ายข้างขวา พลิกมือขึ้นดูให้รู้ นี่นะ พลิกมือให้รู้ มันก็ยังไม่หยุด มันก็ยังคิดอยู่ นั่นแหละ มันคิดทีไร ให้กลับมา สอนเมียในห้องนอน (หัวเราะ) กลับมา กลับมารู้นี่ มันคิดไป กลับมา พอพลิกไปๆ เห็นกรนคร่อกๆๆๆ (หัวเราะ) มันหลับนะ
มันคิด ไม่รู้จักเปลี่ยนให้มันรู้อะไร มีนิมิตมีเครื่องหมาย กระดิกนิ้วก็ได้ หายใจก็ได้ ถ้าเราเก่งนะ ทีแรกก็ต้องอาศัยหยาบๆ หายใจหยาบๆ หรือนอนเอามือวางไว้หน้าท้อง พลิกมือหรือกระดิกนิ้ว มันคิดไป กลับมา เรียกว่ากรรมฐานมีที่ตั้ง มีการกระทำ ให้มันติด ให้มันคุ้นเคย สอนมัน เหมือนเชือก เราหัดวัวหัดควายใช้เชือกดึง สตินี้มันคล้ายเหมือนเชือก รู้สึกตัว ถ้ามันคิดก็กลับมา ถ้ามันง่วงก็กลับมา ทำแรง ยืดคอขึ้น บางทีก็หานอกรูปแบบ พลิกมือขึ้น รู้สึก ยกมือขึ้นสูง หายใจเข้า เหวี่ยงมันแรงๆ ยกมือขึ้น รู้สึก หายใจเข้า นอกรูปแบบ ให้มันเขย่าธาตุรู้มากๆ ไม่ใช่พอง่วงก็เปาะแปะๆๆ (หัวเราะ) ต้องเคลื่อนไหว ง่วง หลับตาปี๋ อ้าปากหาว ไม่อายเหรอ (หัวเราะ) ปิดปากไว้ ให้ลมมันหูอื้อ ดึงขึ้นมา ให้มันรู้สึกตัว นั่นแหละโอกาสดีนาทีทอง นาทีทองแท้ๆ
ความผิดจะได้แก้ให้มันถูก ความทุกข์จะได้แก้ให้ไม่ทุกข์ ความโกรธจะได้แก้ให้ไม่โกรธ ให้รู้สึกตัว มันจะเก่งขึ้นมา เก่งขึ้นมา นี่ฝึกอย่างนี้ ไม่ใช่ไปอ้อนวอน ขอให้ถึงมรรคผลนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ (ลากเสียงยาว) โน้นเท่าไหร่ กี่ภพกี่ชาติ เดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือ ใจดีแบบนี้ไม่ได้เหรอ ใจเย็นเดี๋ยวนี้ไม่ได้เหรอ ใจดีก็มีสวรรค์แล้ว กินได้นอนหลับ ใจเย็นก็มีนิพพาน ถ้าใจร้าย อ้อนวอนเท่าไหรก็ไม่ได้หรอก มันอยู่ที่ใจแท้ๆ มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จอยู่ที่ใจ ใจมันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่นี่ มันไม่ไปโน้นไปนี่ นั่งอยู่นี่ คิดไปข้างหน้า นั่งอยู่นี่ คิดไปข้างหลัง นอนอยู่ก็ไปทั้งหน้า ไปทั้งหลัง เราจึงให้มีกรรมฐานตั้งไว้ ตั้งไว้ ให้อยู่เป็นปัจจุบัน
ปัจจุบันคือจริงๆ เปลี่ยนได้จริงๆ ใจดีเดี๋ยวนี้ ใจเย็นเดี๋ยวนี้ ทำได้ ไม่มีใครมาแย่งปัจจุบันเราไปได้ อันอื่นยังแย่งได้ อันชีวิตจริงๆ แย่งไม่ได้ เรามีสิทธิส่วนตัว มันหลง เรามีสิทธิไม่หลง มันโกรธ เรามีสิทธิไม่โกรธ มันทุกข์ เรามีสิทธิไม่ทุกข์ นี่สิทธิของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ว่า จิตโส ทำได้ทุกคน จิตของเราประเสริฐตรงนี้ มนุษย์ประเสริฐตรงนี้ ถ้าไม่เปลี่ยนร้ายเป็นดี ไม่ใช่มนุษย์หรอก อาจจะเลวร้ายกว่าสัตว์นะ มนุษย์นี้มันตกนรกนะ คนนี่มันตกนรกนะ อบายนะ เพราะมีสมอง เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานมันไม่มีนรกสวรรค์หรอก คนเรามันมีนรกมีสวรรค์ ถ้ามันไม่ฝึก
ถ้าคนหลงเป็นหลง ไปทางต่ำ ถ้าทุกข์ป็นทุกข์ ไปทางต่ำ มีโอกาสสู่อบายได้ ถ้าหลง ให้มันรู้ ไปทางสูง เป็นมนุษย์เป็นสวรรค์นิพพานได้ มันแยกตรงนั้น ถ้าหลงเป็นหลง ไปทางต่ำ ตกนรกเท่ากับขนโค ถ้าหลงเป็นรู้ ไปทางสูง ตกนรกเท่ากับเขาโค ถ้าตกนะ น้อยที่สุดเลย ถ้าไม่เปลี่ยนนะ ตกนรกเท่ากับขนโค มันอยู่ตรงนี้ สี่แพร่งจะไปทางไหน มันหลงเปลี่ยนหลงไม่หลง ไปแล้วไปทางสูงๆ ถ้าหลงเป็นหลง ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ ไปทางต่ำ อย่างนี้นะ
สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน