แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่ออีก ให้เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีในการใช้ชีวิต การเป็นอยู่ก็มีสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อนมิตรก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี ให้เป็นยาหม้อใหญ่ การใช้ชีวิตเพื่อให้มันงดงาม เหมือนเหยี่ยวตกไปอยู่ภูเขาเงินก็เป็นสีเงิน ตกไปอยู่ภูเขาทองก็เป็นสีทอง ก่อนอยู่กับฝูงโจรก็เป็นโจร อยู่กับบัณฑิตก็เป็นบัณฑิต อยู่กับคนพาลก็เป็นคนพาลไป ชีวิตของเราถ้ามีสติก็ได้ใช้สติ ถ้าไม่มีสติก็ไม่ได้ใช้ มีแต่ความหลง ถ้ามีความเหงาก็ อะไรก็สำส่อน ความโกรธ ก็มา ความทุกข์ก็มา ความพอใจ ความไม่พอใจก็มา อาศัยชีวิตของเรา เราก็รับใช้เขา เสียเวลา ชาติทั้งชาติแทนที่จะมีอิสรภาพ ไม่เป็นอะไร ไม่รับใช้อะไร คนมีอะไรก็ใช้อันนั้น ไม่มีอะไรก็ไม่ได้ใช้ ถ้ามีเงินก็ใช้เงิน
เราสาธยายพระสูตรได้ เราก็ได้สาธยาย ได้พูดออกไป การพูดออกไปในพระสูตร เช่น เราสวดมนต์ มันก็เป็นไปได้หลายอย่าง ถ้าเราไม่รู้ ไม่มีอะไรใช้ ก็มืดแปดด้าน ไม่รู้กับเขาว่าอะไรกัน ภาษาอะไร พูดทำไม มีเหตุผลอะไร เช่น รูปไม่เที่ยง เราก็เห็นรูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง เราก็ว่าออกไป ไม่มีใครมาบอก ออกไปจากความรู้สึกภายในของเราที่ใส่ใจตาม
ว่าโดยย่อ กองทุกข์ทั้งหลายเกิดจากอุปาทาน ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ รูปังอนิจจัง ..... จำไม่ได้ ความยึดมั่นอะไร ความยึดมั่นคือรูป ความยึดมั่นคือเวทนา ความยึดมั่นคือสัญญา ความยึดมั่นคือสังขาร ความยึดมั่นคือวิญญาณ ถ้าไปยึดก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ยึดก็ไม่มีทุกข์ พระสาวกทั้งหลายก็รู้เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเรื่องนี้ เราก็ว่าไป ถึงจิตถึงใจเรา ไม่ได้ว่าแต่ปาก เวลาใดเราได้สาธยายพระสูตร เราก็อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เหมือนกับสะอาดอยู่เสมอ ยิ่งเราได้ว่า สมน้ำหน้ามัน ถ้าพูดถึงรูปไม่เที่ยง ชี้หน้ามันก็หนำใจมัน เวทนาไม่เที่ยง บอกมันแล้ว เวทนาไม่ใช่ตัวตน ก็บอกมันแล้ว อะไรเมื่อมันเกิดเวทนา เกิดสัญญา สังขาร วิญญาณเกิดขึ้นมา ก็บอกแล้ว มันก็มาไม่ได้ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดไม่ใช่ตัวตน สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ควรยึดว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา ก็เกลี้ยงไปเลย เหมือนกับอาบน้ำล้างบาง ล้างบาป เป็นอย่างนั้นจริงๆ การมีสติเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ชัดเจนแม่นยำ อยู่โดยชอบ พูดชอบ คิดชอบ ตั้งใจชอบ การงานชอบ ความพากเพียรชอบ ตั้งสติชอบ จนเข้าถึงสมาธิ เป็นอานิสงส์ของการถึงจุดหมายปลายทาง ได้ใช้ พอถึงวิตก วิจารก็เหมือนกับเราอยู่บ้าน ติดสุข ติดสงบ ก็ไม่ได้หลง ละไปๆๆ มีแต่ปล่อยไปๆ จนถึงอุเบกขา จนกว่าไม่เป็นอะไร พาให้เราไปถึงสุดยอดสูงสุด
คนมีลูกก็คิดแบบคนมีลูก คนมีผัวมีเมียก็คิดแบบคนมีผัวมีเมีย คนมีเงินก็คิดแบบคนมีเงิน คนจนก็คิดแบบคนจน คนรวยก็คิดแบบคนรวย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ไม่มีอะไรก็ไม่ต้องคิดต้องอะไร อะไรก็เห็นมาหมดแล้ว ในกองรูปกองนาม ธาตุสี่ขันธ์ห้า ถ้าเราไม่เห็นก็โชว์ เด่น ถ้าเราเห็น เราก็เห็นก็ไม่โชว์แล้ว ภาวะที่เห็นแข่งกับภาวะที่เป็น โดยเฉพาะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โชว์ที่สุด อันอื่นเราจะไม่โชว์ มากเท่ากับขันธ์ห้า เป็นครั้งเป็นคราว หรือโชว์ได้แต่มีสิ่งแวดล้อม อันตัว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีสิ่งแวดล้อมก็โชว์ เพราะมันมีอยู่ มันเป็นธาตุสี่ ขันธ์ห้า อยู่ในห้องไอซียูก็ยังโชว์ มันโชว์เวทนาคือ เจ็บปวด มันก็โชว์ความเห็นภาวะที่ไม่เป็น เป็นลบ มีแต่เห็น มีแต่ไม่เป็น มีแต่เห็น มีแต่ไม่เป็น ต่างคนต่างโชว์ ต่างคนต่างโชว์เรื่อย ธรรมย่อมชนะอธรรมเสมอ เพราะอะไรมันจึงได้ใช้ เพราะเรามี มีอันที่ไม่เป็น ก็ใช้อันไม่เป็นอะไร ถ้าไม่มีอันไม่เป็น ก็เป็นตะพึดตะพือ เวทนาก็เป็นทุกข์ สัญญาก็เป็นทุกข์ สังขารก็เป็นทุกข์ วิญญาณก็เป็นทุกข์ สำหรับผู้ที่เห็นก็ไม่เป็นทุกข์ เวทนาไม่เป็นทุกข์ สัญญาไม่เป็นทุกข์ สังขารไม่เป็นทุกข์ วิญญาณไม่เป็นทุกข์ และก็เป็นชีวิตส่วนตัว ตรงนี้เราต้องช่วยตัวเอง หัดเอาไว้ ถ้าไม่หัดก็ทำไม่เป็น จะหลงมาก จะหลงอยู่ในนี้มากที่สุด จน เวทนาก็จน สุขก็สุข ทุกข์เป็นทุกข์ ร้องไห้เสียใจ มีอยู่ในความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ รุมเข้ามา อะไรที่มันรุมเข้ามาให้เกิดเวทนาซ้ำลงไป ไปไกล เวทนาไปไกลเป็นภพเป็นชาติ พลัดพรากอะไรต่างๆ
ถ้าเราเห็น ไม่มีอะไรพลัดพราก มีแต่ตัวต่อตัว ตรงต่อตรง เหมือนคนมีความรู้ มีความสามารถทำงาน ไม่ต้องถืออะไร คนไม่มีความสามารถก็หอบหิ้วเครื่องไม้เครื่องมือ บางทีก็ใส่กระสอบ ใส่รถไป จึงหาเงินหาทองได้ ถ้าคนมีความสามารถไปมือเปล่า อย่างหลวงพ่อเทียนพูดอวดเรา เงินหมื่นเงินร้อยหายาก หาเงินพันเงินร้อยหายาก ถ้าหาเงินหมื่นเงินแสนหาง่าย ไปนั่งกินน้ำชาแก้วเดียวก็ได้เป็นแสน อันนี้ก็ดีสำหรับบางคน ถ้าหาเงินถ้าเป็นเงิน
ถ้าคนมีทรัพย์ภายในก็มีความฉลาด มีเครื่องมือเหมือนกัน แต่เครื่องมือในการหาทรัพย์ภายใน ไม่ต้องหอบต้องหิ้ว มีศรัทธา มีความเพียร มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ใช้ไปพร้อมกัน ศรัทธาก็มี เช่นมันหลง ศรัทธาไม่หลง มันมีอยู่ เวลามันทุกข์ มันมีศรัทธาแห่งความไม่ทุกข์ ไม่จน เข้าไปเกี่ยวข้อง มีแต่ว่าศรัทธา มีทุน มีเครื่องมือใช้ได้ เคารพความไม่หลง ไม่เคารพความหลง ไม่ทำตามความหลง มันหลงเวลาใด ไม่ทำตามมัน มีศรัทธา มีความไม่หลง หันมาทางนี้ เมื่อมันทุกข์มีศรัทธาต่อความไม่ทุกข์ เมื่อมันโกรธมีศรัทธาต่อความไม่โกรธ ใช้มันต่างกันอยู่ อันนึงใช้มันก็ได้เป็นทุกข์เป็นโทษ อันนึงใช้ได้เป็นประโยชน์ นี่ก็มีทุนอยู่แล้ว ถ้าเป็นทรัพย์ภายใน แต่ถ้าบางคนไม่มีอริยทรัพย์ภายในใช้ ก็จน ก็มันหลงก็สร้างความหลงสิ่งแวดล้อม ทำไมจึงพูดอย่างนั้น ทำไมจึงทำแบบนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น มันน่าจะเป็นอย่างนี้ไป
ดงแห่งความหลงเป็นอวิชชามืดบอดไปเพราะไม่เคยฝึกไว้ นั่นเท่ากับไม่มีเครื่องมือ มีความเพียรกล้าเปลี่ยน ความหลงเป็นความไม่หลง กล้ามาก ไม่ยอมเด็ดขาด หลงเป็นหลง ถ้าเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง นี่เรียกว่าความเพียร ไม่ใช่อาบเหงื่อ อยู่ในอิริยาบถใดก็ได้ นอนอยู่ก็ได้ นั่งอยู่ก็ได้ ยืนอยู่ เดินอยู่ก็ได้ เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ คือ ความเพียร มีสติซ้ำลงไป ร่างลงไป มีสมาธิหนักแน่นลงไป เวลามันเป็นเหตุการณ์เช่นนั้น หนักแน่นเอาไว้ สมาธิ มั่นใจๆ ไม่เป็นไรๆ เป็นเช่นนั้นเองๆ ธรรมชาติ ธรรมดา จะโต้ตอบมัน เรียกว่าสมาธิ แล้วก็มีปัญญาไปในตัวเสร็จ รู้ว่ามันเป็นอะไร ขณะที่มันหลง มันรู้ มันมีปัญญารอบรู้ ไม่ใช่โง่ ถ้าไม่มีสติปัญญาเกิดความโง่ได้ สติเป็นคู่กับปัญญา และคุณหมอคู่กับยา คู่กับความรู้ ตัวสมมติฐานของโรคดูเฉยๆ ก็มีปัญญา ดูออก เมื่อรู้สมมติฐานของโรคก็รู้จักยา ก้อนเนื้อในตับ ให้คีโมตัวใหม่เข้าไป นั่น! คนมีความรู้ คนมีสติมีปัญญาก็เป็นเช่นนั้น ถ้าคนมีสติมีแต่ปัญญา เช่น แม่กลืนสตางค์ค้างคอลูก แม่มีปัญญาแต่ขาดสติ คิด เอาน้ำกรดกรอกลงไปตาม เพื่อให้ละลายสตางค์ให้มันหมดไป พอสตางค์ค้างคอเอาน้ำกรดกรอกลงไป แล้วก็ต้องตาย คนไม่มีสติแต่มีปัญญาก็พาให้โง่ไป คิดได้ แล้วก็ถูก น้ำกรดก็กัดโลหะละลายได้ กว่าโลหะคือสตางค์จะละลาย คนก็ตายไปก่อนแล้ว ความโง่ในปัญญา ฉะนั้นมีปัญญาที่ไหนมีสติที่นั่น เป็นกงจักรเหมือนโล่ อันหนึ่งหมุนไป อันหนึ่งก็ผลักไป เช่นเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา มาเป็นกรุ๊ป รู้จักสมมติฐานของโรค รู้จักยา ใช้ยา รู้จักหลง ใช้ความไม่หลง รู้จักทุกข์ ใช้ความไม่ทุกข์ รู้จักโกรธ ใช้ความไม่โกรธ สนุกตรงนี้ มันเป็นชีวิตชีวา ถ้าเราหัดไว้ เราฝึกไว้ก่อนที่จะจำเป็นต้องหัด ต้องฝึกหัด ไม่ใช่เรียนรู้ เราก็ได้หัดอยู่ อาศัยสิ่งแวดล้อมหลายอย่างเป็นมิตรเป็นเพื่อนกัน แล้วก็มีเกณฑ์ชี้วัดให้เราได้ทดสอบ บอกผิดบอกถูกต่อเราอยู่ทุกโอกาส ถ้าเราศึกษา ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้อะไร ศึกษาคือถลุง ไปย่อย เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เอาอันที่เป็นดุ้นมาย่อยดู มาดู เรียกว่า ให้มันเห็น ให้มันเห็นเหตุ เห็นปัจจัย แล้วเราก็มาศึกษาเรื่องนี้ก็มีกายมีใจเป็นฐาน เป็นที่ตั้ง เป็นที่ศึกษา เป็นที่ดู มันก็เห็น ว่ามีรู้ มันก็เห็นรู้ สัมผัสกับความรู้ เราไปเกี่ยวข้องกับวัตถุคือรูป ให้มันรู้อยู่ตรงนี้ เหมือนเราท่องหนังสือ สาธยายพระสูตรจนติดปาก ตอนเช้าตื่นก็มาสาธยายพระสูตร อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา ออกมาจากจิตใจของเราความรู้สึกภายใน อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา เหมือนเราอยู่นั่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ไม่สงสัยเลย ในเรื่องนี้ ออกมาจากใจ ว่าหลงไปสมน้ำหน้า มันบอกตัวเอง พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกนี้ พร้อมทั้งพระธรรมคำสอนอันเป็นไปเพื่อทางออกจากทุกข์ เราอยู่ในฐานะแบบไหน ก็ออกมาจากภายในจิตใจของเรา ไม่ใช่อ้อนวอน อย่าเป็นการอ้อน ให้เป็นการกระทบกระทุ้งมัน พุทโธ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ให้มันได้ประโยชน์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง อย่าอ้อน พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็น พระอะระหันต์ (ลากเสียง) เหมือนกับอ้อนวอน ไม่ได้ความรู้สึก ไม่ได้ใส่ใจๆ เป็นการอ้อนวอน
การสาธยาย การสวดมนต์ ไม่ใช่อ้อนวอน เป็นการมองตนโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ออกไปบังเอิญ ไม่ใช่อยู่เรื่องคนคนอื่น เป็นเรื่องของเรา ดูอันอื่นมาเป็นเรื่องของเรา ส่วนประกอบ มันหลง ไม่ใช่หลงเป็นหลง เป็นส่วนประกอบ มันมี มันมีไม่หลง มีหน้าที่ไม่หลง ไม่ใช่ปล่อยทิ้ง เป็นงานเป็นการของเรา มันทุกข์ ไม่ทุกข์อย่าปล่อยทิ้ง การบ้านแล้ว เป็นโจทก์ เป็นจำเลย พิพากษา จบไป เปลี่ยนทุกครั้งเป็นทุกครั้งไป สนุก มีงานทำ ยิ่งเวลาใดมันคิดก็ดี จะได้รู้ จะได้เปลี่ยนมันให้มันรู้ อย่าเอาเป็นเรื่องยาก มีงานแล้ว กระโดดใส่ กระโจนใส่ นี่หรือๆ ที่เค้าลือว่ามันเก่ง คิดเลย ลองดู พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกนี้ พร้อมทั้งคำสอนเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ เป็นเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน เราปล่อยทิ้งเหรอ ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของเราด้วย
มีกำลังใจขึ้นมา ฮึดสู้ เข้มแข็ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ถ้าเราทำตรงนี้ หัดเข้มแข็ง อะไรก็ไม่กลัวงานกลัวการ กระโดดใส่ กระโจนใส่ มีศรัทธา มีความเพียร น่าทำ มีสติ แน่วแน่ ทำอะไรด้วยความรู้รอบ รอบรู้ ไม่ใช่โง่ นี่มันงูจริงๆ ออกไปจากงูจริงๆ ไม่ใช่งูแล้วไปลูบคลำมัน มันหลง ลูบคลำความหลง ทำไงให้มันหลงอยู่ มันโกรธ เราโกรธ ลูบคลำมัน มันเป็นพิษ เจ็บปวดพราะมัน ตายเพราะมัน ต้องเข้มแข็ง มีสมาธิเข้าไป หนักแน่น ยืนหยัด มันจะอ่อนไปหาความรัก โอ๊ย.. ต่างใส่ใจลำดับ ความโกรธใส่ใจลำดับ ความพอใจใส่ใจลำดับ มีเสน่ห์ มีอัสสาทะ มีสาทะ ความพอใจ ความไม่พอใจ มันมีรสชาติของสัตว์โลก ต้องติด เข้มแข็งไว้ เปลี่ยนลองดู ถอนออกมา อย่าอ่อนแอเกินไป เราจะเข้มแข็งตอนนั้น ก้าวแรกสู้แบบนี้ เช่น เราสาธยายพระสูตรสติปัฏฐานสูตร สัมมาสติ มีสติไปในกาย เห็นกายอยู่เป็นประจำ เราเข้าถึงจุดนี้ ไม่มัวแต่มาคิดอยู่ จำกันอยู่ ท่องจำกันอยู่ เก่ง อะไรๆ ก็รู้หมด ได้ทั้งหมด เหมือนพระอะไร? พระโพธิระ ใช่ไหมหลวงพ่อกลม พระโพธิระ โปฐิละ โกธิระ ไปนั่งอยู่กับใคร อะไรพูดขึ้นมา เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา
เอวะเมสุตัง สูตรนี้มาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนที่นั่น สอนที่นี่ เรื่องที่นั้น เรื่องอย่างนี้ จำได้แม่นยำ เป็นพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ แต่ไม่เอามาสอนตัวเอง มีทิฐิมานะ แข่งกันด้วย ประหัตประหารด้วยคำพูด ด้วยวาทะ โอ้อวด พระทั้งหลายก็กลัว เพราะพูดกับโปฐิละทีไร เอวัมเม สุตัง เอกัง ภะคะวา เข้ามานำหน้า ไม่ได้บอกว่า มันหลงไหมท่าน มันหลงเหรอ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ก็ได้หนา ลองเปลี่ยนดูสิ ไม่ได้พูดอย่างนี้โปฐิละ เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระสูตรนี้อ้าง ในที่สุดไม่มีใครเคารพนับถือ ไปพบพระพุทธเจ้า เวลาใดไปเฝ้าพระพุทธเจ้า มาแล้วหรือภิกษุใบลานเปล่า ไม่พูดคำใด พุทธองค์ไม่ตรัสอะไรกับโปฐิละ แทนที่จะสรรเสริญ ภิกษุใบลานเปล่า พอโปฐิละกราบ ไปแล้วหรือภิกษุใบลานเปล่า พูดพระองค์ตรัสแต่อย่างนี้กับพระโปฐิละ จนโปฐิละไม่สง่าราศี เลยคิดได้ เอ ทำไมๆ มันอะไรๆ พระทั้งหลาย แม่ชีทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลาย สามเณรทั้งหลายหลบ ไม่มีใครสู้ เอาแต่บาลี เอาแต่ภาษามาบอก ดังโบราณท่านว่า ‘เก้าสิฆ่า สิบสิฆ่า ให้เอาแก่นกระยูงตี อย่าเอาบาลีมาต่อยตีต่างฆ้อน’
ให้เอาแก่นกระยูง แก่นคือศาสนาฆ่ากิเลสตัณหา ไม่ใช่เอาบาลีมาอวดกัน เอาแก่นกระยูง แก่นกระยูงคืออะไร สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ใช่ไหม? ถ้าพูดบาลีจำไม่ค่อยได้ หัวใจของพระพุทธศาสนา แก่นของพระพุทธ ศาสนา สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ใช่ไหม? ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แก่นแท้ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเรา ว่าของเรา ธรรมทั้งหลายคืออะไรบ้าง ความหลงก็เป็นธรรม ความสุขก็เป็นธรรม ความทุกข์ก็เป็นธรรม อย่ายึดมั่นถือมั่น ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ เสยยะถีทัง ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดไม่ใช่ตัวตน สิ่งนั้นไม่ควรยึดว่าตัวว่าตนของเรา สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นี่ว่าแก่นกระยูงแท้ๆ ล่ะ เห็นไม่เป็น แก่นแท้ๆ แก่นไม้ยูง
‘เก้าสิฆ่า สิบสิฆ่า ให้เอาแก่นกระยูงตี อย่าเอาบาลีต่อยตีต่างฆ้อน’ อวดกันไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องอวด เป็นเรื่องที่จะต้องเปลี่ยน ถ้ามันมีก็เปลี่ยน ไม่ใช่อวดกันโชว์ มันหลงเปลี่ยนไม่หลง มันทุกข์เปลี่ยนไม่ให้ทุกข์ มันโกรธเปลี่ยนไม่ให้โกรธ มันคิดที่ไม่ตั้งใจเปลี่ยนให้มันรู้สึกตัวให้มีสติ เห็นมัน อย่าเป็นไปกับมัน เรียกว่า รู้ตัด รู้ตัด เหมือนหลวงพ่อเทียนท่านพูดว่า สติเหมือนหนู อ้อ! สติเหมือนแมว ความคิดเหมือนหนู ออกมาเจอตะครุบมัน แต่อย่าไปปิดประตูมันให้มันออกมา มันจึงจับมันได้ หวังจะจับหนู ไม่ใช่ไปปิดรูมัน ให้มันออกมาจึงจะได้ตัวหนู ออกมาก็จับ จับทีแรกไม่อยู่นะใช่ไหม แมวตัวเล็กจับหนูตัวใหญ่ไม่อยู่ จับอยู่ไหม? ไปถึงไหน คิดออกมา ไปถึงบ้านละ ไปถึงเกาะสีชังแล้ว (หัวเราะ) ไปแล้ว จับไม่อยู่ ทำไงหละ?
เมื่อแมวตัวเล็กจับหนูไม่อยู่ หนูตัวใหญ่ เลี้ยงมานานเหลือเกินหนูตัวนี้ ๒๐ ปีแล้วก็มี ๓๐ ปีก็มี ๔๐ ปีก็มี เลี้ยงหนูไว้ให้มันไปซุกซนอยู่ทั่วๆ ไป เสียหายเพราะหนู ประตูหลวงตาอยู่ มีเสื่อน้ำมันปูไว้ติดประตู ประตูก็เกือบจะถึงเสื่อน้ำมันแต่หนูมันพยายามจะเข้าไป มันก็กัดเสื่อน้ำมัน มันซุกซนขนาดนั้น หลวงพ่อเทียนเลยบอกว่า เลี้ยงแมวให้มันโต รู้จักเลี้ยงแมวให้โตไหม? ทำไง รู้สึกตัวๆ เลี้ยงแมว ขยันรู้เรียกว่าภาวนา นี่ แมวจะโตขึ้นมา จับทีเดียวอยู่เลยนะ จับทีเดียวอยู่เลย ขยันนะแมวนี้ จับทีเดียวอยู่หมัดเลย บางทีไม่ต้องจับเลย แมวตัวใหญ่ มองเห็นแมวก็ช็อคเลย ช็อคเลย กลัวอะไร หนูกลัวแมว เหมือนหมากลัวเสือ พอหมาได้กลิ่นเสือก็ แฮ่ๆๆ วิ่งไม่เป็นเลย มันแพ้กัน
เหมือนคนบางคนจับงู งูแพ้นะ อย่างอยู่น้ำพองนะ ชื่ออะไรนะพองูเห็นก็ปวกเปียกๆ เลยมันแพ้กัน มันก็มีนะ งูจงอางเห็นน่ะ เห็นป้อแป้ๆ ไปเลย บางทีเขาบอกว่าเห็นงูจงอาง เราเห็นงูเราก็ เฮ้ย! ระวัง บักหยังหละ? พ่อกลม ระวังบักปอดมานะ งูจงอางแพ้ไปเลย พอได้ยินก็ปอดเลยแหละ แพ้ไปเลย หลวงตายังเห็น พระ คุณประสิทธิ์ บ้านห้วยว่านไพรไปบวชอยู่ด้วย หลวงตาก็เดินจงกรม เหนื่อย นั่งอยู่กะทางเดินจงกรม นอนลงไป ก็นอนลงไป สมัยนั้นใช้ชีวิตเหมือนหมาตัวหนึ่ง ไม่ระมัดระวังอะไร เหมือนหมา ถ้าเหนื่อยหมดเรี่ยวหมดแรง ก็นอนบนทางเดินจงกรม เรียกไอ้สิทธิ์ พระสิทธิ์ พระประสิทธิ์น่ะ กิจไม่ใช่สิทธิ์ คุณกิจไม่ใช่สิทธิ์ รู้จักไหมพ่อแป๊ะ บ้านห้วยว่านไพร ลูกพ่อใหญ่มา คำมา หลานพ่อหงอกเศรษฐี ได้ข้าวเป็นหมื่นๆ อาจารย์ๆ งูๆ จะข้ามหนะ อาจารย์ๆ อยู่นิ่งๆนะ นึกว่ามันเรียกใคร อาจารย์นอนอยู่หนะ อาจารย์เขียนๆ งูมันเลื้อยไป มันจะข้ามนะ เราก็นอนอยู่นิ่งๆ ไอ้สิทธินี่ล่ะ วิ่งมาๆ คว้าจับหางงูเลย (หัวเราะ) บ้าแล้ว บอกมันวางๆ วางหัวมันล่ะ มันก็ไปดุ่ยๆ ไล่จับหางมัน บังคับให้ไป มันจะเลื้อยมาทางนี้ จับหางทางนั้น ส่งมันเข้าป่าไป ใครจะกล้าจับหางงูใหญ่ ตัวเท่านี้
บางทีเหมือนกับหมา เสือ แมวมันใหญ่ หนูตัวเล็ก พอมันเห็นแมวมันก็ช็อคเลย หลวงพ่อเทียนพูด ได้ยินหลวงพ่อเทียนพูดคำนี้ เอ๊ะ! พอมีสติจริงๆ นะ เสียงกิเลสเกิดขึ้น ฮึ่ม! แป๊บเดียวโกรธแล้ว ไม่ใช่ หน้าบูด หน้าบึ้ง อดทนๆ นอนอยู่ นี่มันมีนะ อ้าว! ออกเสียงซักหน่อย เหมือนกับแมว เสือร้องสมัย ๒๕๑๖ ที่นี่หนาวมาก เสือร้องตลอดคืน ตอนนี้มีไร่ชาวบ้าน แถวบ้านแม่ชีนี่ มีทางลากซุง เราเดินทางลากซุงไปนี่ ทางลากซุงออกไป ไปบ้านแม่สุด เป็นที่ทับไม้เขา ไม้โรงเลื่อยกองอยู่ที่นั่น แม่เพียรทันเห็นบ่ กองไม้วางอยู่นั่น มีทางลากซุงลงไป ในปีนั้นมันหนาวมาก ศูนย์ลบสี่ เณรน้อยมาอยู่กุฏิ กุฏิแถวกุฏิแม่ชีเค้าอยู่นะ มันมีไม้ไผ่ ไม้เรือนลำ ไม่ใช่มีฝาอะไร หลวงตาอยู่แถวนี้ เณรน้อยอยู่ศาลาไก่ เณรอะไรไม่รู้จำไม่ได้ เสือร้อง หง่าวๆๆ ไปออกไปนู่น เดินไปถึงบ้านแม่สุด เสียงร้องหง่าวๆๆ เณรน้อยร้องไห้ๆ กลัวเสือ เราก็สนุก ฟังเสือร้อง นอนฟัง เสียงเสือ ไม่ได้คิดกลัว เณรน้อยสองรูปนอนด้วยกันร้องไห้แล้ว กลัวไหม ได้ยินไหมเสียงเสือ ได้กลิ่นก็ไม่กลัวนะ เคยได้กลิ่นเสือนะ อันนี้ตัวจริงนะ ไม่ใช่ธรรมะนะ
ไปอยู่ดงใหญ่ ชุมพร ว่าจะไปอยู่ในถ้ำ เข้าไปในถ้ำไม่ได้ลิงมันเยอะ เลยออกมาอยู่ก้อนหิน กางมุ้งนอนเลย ไปแล้วมันค่ำออกไปไหนไม่ได้ ถ้าเดินกลับก็กลับไม่ได้ มืด นอนอยู่ตรงลานหินหน้าถ้ำ นอนได้ตีหนึ่ง ตื่นขึ้นมาได้กลิ่นเสือ ไม่เคยได้กลิ่นเสือ แต่พอได้กลิ่นรู้จัก อันนี้มันกลิ่นเสือนะ กลัวไหม? เหมือนหมาเลยเราหนะ ไม่ใช่หมานะนี่ พระนะนี่ กลัวรึ ลุกขึ้นนั่งๆ ก็มีมุ้งหลวงตามุ้งสีขาวนะ มุ้งสีดำทุกวันนี้ มุ้งพระกรรมฐานใช้ไม่ได้นะนี่ สีดำๆ สีกรักๆ นี่ไปอยู่ในป่านะ ไปอยู่ในป่าต้องมุ้งสีขาวๆ เหมือนกับผ้าแม่ชีนี่ จุดไฟ จุดตะเกียงตั้งไว้ จุดเทียนไข ต้องมีเทียนไข จุดแล้วก็มอง มองหา มันอยู่ที่ไหน? คงอยู่ใกล้ๆนี่แหละ มันมีกลิ่น คงอยู่ใกล้ๆนี่ เออ! เห็นนั่งทะมึน พอปันนี่ พอปันพู่นล่ะ เอ้! เสือนะ พอเราจุดเทียนดู มันก็ปุ๊บปั๊บๆ ลุกไปเลย มันลุกไปก็ไม่นอนแล้วหละ นั่ง เทียนก็นอนลงไป เอาเทียนมา ไม่เอามาทางนี่ เอามาทางนี่มันลับ รู้สึกว่า ตีนบาตร อะไร สว่างนะ เสือจะกัดคน มันกัดตอนแจ้ง ตอนสว่างจากความมืด มันจะกัดคนตอนนี้ เราก็เรียนรู้ว่า ได้ยินคนเฒ่าคนแก่ว่า แสงอาทิตย์ส่องป่า พอเห็นแสงอาทิตย์แจ้งหมดแล้ว มีแสงแดดแสงอะไรส่องมาก็ลุก เก็บมุ้ง เก็บมุ้ง พับมุ้งใส่บาตร พายบาตรออกมา เดินมาหาบ้านกลางดง เค้ามารับบาตรขึ้นไปบนบ้าน มีบ้านหลังเดียวตรงทาง นะ ดอนเค้าบอกว่า โอ๊ย! ผมนอนไม่หลับทั้งคืนอาจารย์ๆ ผมห่วงอาจารย์ เป็นยังไง นอนได้สบายเหรอ นอนได้ ไม่เป็นไร มีปัญหาอะไรไหม? ก็มี ก็มีเสือมา นั่นแหละๆ ผมบอกว่าอย่าเข้าไปๆ มีเสือ อันตราย ผมนอนไม่หลับทั้งคืน ห่วงอาจารย์ เหมือนเราไม่ใช่หมานะ เป็นพระนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีสติ มันเป็นพลังนะ มีสติ มีพลัง แกร่งกล้าถลาไกล กระโดดถึงสุดยอดกอดมงกุฎธรรม ไม่กลัวอะไร ไม่เป็นอะไรๆ เห็นไม่เป็น เนี่ย ไม่ใช่เป็นอยู่ตลอดเวลา เลี้ยงแมวให้มันโต ให้ความรู้สึกมันเรื่อยๆ ไม่มีใครเลี้ยงช่วยเรา มีแต่เราเลี้ยงเอง เอ้า สมควรแก่เวลา