แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราออกบวชจากเรือน มีศรัทธาไม่เกี่ยวข้องด้วยบ้านด้วยเรือนแล้ว มีอาชีพ สิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของพวกเราทั้งหลาย ไม่ประมาท ชาวนาเขาก็ทำนาเป็นอาชีพ เขาก็ขยัน ชาวไร่ชาวสวน พ่อค้า เขาก็ขยัน จนเลี้ยงชีวิตได้ เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานได้ มั่นใจในชีวิตของเขา นี่ก็คืออาชีพ เฝ้าระวังในอาชีพ สิกขาและธรรมก็มีวิธีทำ ชาวนาก็มีวิธีทำ มีจอบมีเสียม มีแผ่นดิน มีมีด เครื่องนุ่งห่มก็อาศัยแผ่นดิน อาศัยมีด อาศัยจอบเสียม เครื่องมือไปทำให้มันเกิดขึ้นมา จนมีใช้มีจ่าย กินอะไรทำสิ่งนั้น ใช้อะไรทำสิ่งนั้น มีสิ่งที่เรากิน มีสิ่งที่เราใช้ อย่าประมาท ถ้าสิ่งที่เราใช้ไม่มี สิ่งที่เรากินไม่มี มันก็ถือว่าจน น่าอายคนอื่นเขา
ชีวิตของเราเอาสิกขาและธรรมเป็นเครื่องชีวิตนี่ ก็มีเครื่องมือเหมือนกัน มีความเพียร เหมือนที่เราศึกษาในพระสูตรธัมมปาหัง ทำยังไงก็ไม่ ไม่ง่ายไม่ยาก บุคคลผู้เกียจคร้านก็หาทรัพย์ไม่ค่อยได้ คนขยันก็หาทรัพย์ได้ ตอนมีชีวิตนี้ถ้าเราขยันก็มีชีวิตได้หาได้ มีสติมีสัมปชัญญะเอาไว้ก่อน เหมือนเครื่องมือ ชาวนาฝนตก จอบขึ้นบ่าแล้ว เสียมขึ้นบ่าแล้ว มือจับจอบจับเสียมแล้วบ่อย ถ้าฝนตกคิดเห็นอะไร แดดออกคิดเห็นอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับชาวนาชาวไร่ ก็ไม่ช้า ไวมือไวเท้าเข้าไป เกือบจะเดินไม่ได้ ถ้าฝนตกต้องวิ่งลงทุ่งนาทุ่งไร่ของตน ชาวนาก็ต้องไวแบบชาวนา ชาวสวนก็ต้องไวแบบชาวสวน พ่อค้าต้องไวแบบพ่อค้า พวกเรามีอาชีพสิกขาและธรรมต้องไว พอมีหลงก็รู้ไวๆ พอมีทุกข์ก็รู้ไวๆ พอมีโกรธก็รู้ไวๆ ให้มันทันเวลา มันจะเสีย สูญเปล่า เหมือนชาวนา ฝนตกก็ไวไปปิดทางนาทางไร่ให้น้ำไหลเข้านา ถ้ามันท่วมก็เปิดออก เราทุกข์แสดงว่าเราไม่มีความรู้ หาไวๆ ประกอบไวๆ ให้มันทันเวลา
ถ้าทุกข์จนเป็นทุกข์ เป็นวิบากเป็นกิเลส มันก็เหือดแห้งไปแล้ว แทนที่จะได้ก็เลยไม่ได้ เหมือนชาวนาไวมือก็ได้พืชได้ต้นกล้า ฝนตกมองเห็นต้นกล้าต้นข้าว ต้นฝ้าย ต้นแตง ของอยู่ของกิน ลองหลงเสียแล้ว คนที่ช้าก็ไม่ได้ลงหลงลงดินเลย มัวแต่โอ้เอ้อยู่ โบราณท่านว่าสิบต้นล่าไม่เท่าห้าต้นปี ใครปลูกอะไรล่า สิบต้นไม่เท่าห้าต้นที่ปลูกต้นปี ครึ่งต่อครึ่ง ชีวิตของเรามันครึ่งต่อครึ่ง ชีวิตมีกาย มีขา มีแขน มีมือเหมือนกัน แต่มันครึ่งต่อครึ่งไม่ทันเขา ความหลงหลงเสร็จแล้ว ความทุกข์ทุกข์เสร็จแล้ว ความโกรธโกรธเสร็จแล้ว คนอื่นก็ไม่หลงก็ไม่ทุกข์แล้ว ไม่ทันเขา อาชีพของเราก็เลยจน คนทุกข์ คนโกรธ คนโลภ คนหลง คือคนจน เพราะไม่มีอาชีพ ไม่ทำอาชีพ แล้วก็วิบากเป็นไปอย่างนั้น เคยชินอย่างนั้น ง่ายที่หลง ง่ายจะทุกข์ ง่ายจะโกรธ พอใจไม่พอใจ ก็ไม่เคยไม่ชำนาญในการประกอบอาชีพอย่างนี้ เราจึงมีกรรมฐาน มีความเพียร ทำได้ทุกโอกาส สำหรับเรื่องนี้ให้มันมีมาก เหมือนกับเราทำงานมีสติที่ใดมันจะอิ่ม ไม่หิว เหมือนเราทำนาทำไร่มีความขยันก็ได้ข้าวไม่รู้จักหิว เป็นทรัพย์ มีสติก็อิ่มไม่รู้จักหิว จนไม่เป็นอะไรกับอะไร คืออิ่ม คือได้ชีวิต ชีวิตมันไม่เป็นอะไรกับอะไร ถ้ายังเป็นโน้นเป็นนี่ไม่ใช่ชีวิต เป็นสุขเป็นทุกข์ก็ไม่ใช่ชีวิต พอใจไม่พอใจก็ไม่ใช่ชีวิต ชีวิตจริงๆไม่เป็นอะไร เหมือนเรากินข้าวอิ่มมันก็ไม่ต้องหิว คนที่หิวแสดงว่าไม่อิ่ม ไม่มีอะไรกิน เพราะขี้เกียจขี้คร้าน หลงก็เลยเป็นหลง คนขี้เกียจ ทุกข์ก็เป็นทุกข์ โกรธเป็นโกรธ ดีใจเสียใจ เรียกว่าไม่มีอะไรใช้ อะไรก็เป็นไปตามนั้นๆ หลงก็เป็นหลง ทุกข์ก็เป็นทุกข์ โกรธก็เป็นโกรธ นั่นเรียกว่าจน รู้จักว่าตัวเองจนไหม เขาไม่หลงกัน เขาไม่ทุกข์กัน เขาไม่โกรธกัน จนอิ่มแล้ว นี่คือชีวิต ชีวิตมันไม่เป็นอะไรกับอะไร ถ้ายังเป็นอยู่แสดงว่าไม่ได้ชีวิต ถ้ายังเป็นโน้นเป็นนี่ ยังมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ถ้ามันไม่เป็นอะไรก็ไม่มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เราจึงมารู้สึกตัว รู้สึกตัวตามวิชากรรมฐาน รู้ทีหนึ่งเหมือนกับกินข้าวก็ว่าได้ เหมือนเราหิวเราก็กินข้าว ความอิ่มมักเกิดจากการกิน ไม่ใช่เกิดจากความคิด กิริยาที่กินข้าว กวฬิงการาหาร เคี้ยวลงไปกลืนลงไปไม่ต้องไปคิด ไม่ใช่ไปหาเหตุหาผลในขณะที่กินข้าว เป็นกรรมเป็นการกระทำ มันก็เกิดความอิ่ม ถ้ามันอิ่มมันก็บอกมันความอิ่มมันเป็นยังไง มันก็ไม่มีคำถาม อธิบายความอิ่มให้กันฟังไม่ได้ รู้อิ่มก็ต้องรู้เองคนเดียว ปัจจัตตัง
ชีวิตที่ไม่เป็นอะไรเหมือนกินข้าวอิ่ม เมื่อมันอิ่มแล้วมันก็ไม่หิวนั้นแหละ มันก็เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายต่อชีวิต ได้เลือดได้เนื้อ ความไม่เป็นอะไรมันเป็นทั้งหมด เป็นทั้งศีลเป็นทั้งมรรคเป็นทั้งผลเป็นทั้งบุญกุศล แล้วก็ทำอะไรได้ คนที่อิ่ม ก็ไม่เกียจคร้านนะ คนหิวต่างหากทำอะไรไม่ได้ นั่งงอมือขอ ใครจะให้ก็พอได้กินถ้าใครไม่ให้ก็ไม่ได้กิน ต้องมีวิธีทำอุทิศ ปรทัตตูปชีวีเปรต อาศัยอุทิศส่วนบุญกุศลให้ เป็นหวังน้ำบ่อหน้า ไม่จริงจัง ต้องเป็นการสัมผัส ปฏิบัติธรรมเป็นปัจจัตตัง พอรู้มันก็ไม่หลง น่าจะขยัน ขณะที่เรามันอิ่มนี่ไม่เป็นไรกับอะไร ก็ทำประโยชน์ มีโอกาสได้ทำอะไรเยอะแยะ เพื่อนก็มี ทรัพย์สมบัติก็มีอะไรทำเยอะแยะ เราได้ใช้ได้สอยทุกวันนี้ ได้อยู่ได้กินทุกวันนี้ ก็มีคนมีความอิ่ม เขาให้เราใช้ ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้เครื่องนุ่มห่ม ให้ยารักษาโรคมาใช้ มันก็ไม่ได้จากคนที่จน ชีวิตของเราที่ไม่เป็นอะไร ก็มีแต่ให้คนอื่นๆไป เช่นพระพุทธเจ้าของเราเนี่ยเมื่อพระองค์อิ่มแล้วทำอะไร 45 ปีพระองค์ทำอะไร อนึ่งพุทธกิจเกิดขึ้นแก่พระองค์ 5 ประการคือ คนอิ่มไม่ได้ขี้เกียจขี้คร้าน แต่ความอิ่มก็คือมีชีวิต ชีวิตมันก็มีประโยชน์ ไม่มีโทษ เมื่อเห็นประโยชน์ก็เห็นคนอื่น มันบ่งบอก เห็นสิ่งอื่นวัตถุอื่นที่มันจะเกิดประโยชน์ ทั้งหมด แผ่นดิน แม่น้ำ ป่าไม้ อากาศ สัตว์สาราสิ่ง เป็นประโยชน์ เมื่อคนอิ่มแล้ว ไม่ใช่นอนอยู่เฉยๆ พระสาวก พระอรหันต์ทั้งหลาย พระโสณะ พระอุตตระข้ามทะเลข้ามน้ำมาถึงสุวรรณภูมิประเทศไทย ถ้าคนอิ่มเป็นพระอรหันต์ ความเห็นพระเถระไปอยู่ศรีลังกา ไปคนละทิศละทาง 9 สาย เพราะความอิ่มของชีวิตของคนสมัยสองพันปีกว่าๆ เกือบสามพันปีมาแล้ว เราก็อยู่ได้เพราะคนอิ่ม คือมีชีวิตพอจะแบ่งปันกันได้ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น บางชีวิตนี่ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ ช่วยตนเองไม่ได้ก็ช่วยคนอื่นก็ได้ยาก อาจจะไม่ได้ซะเลย น้ำใจก็เหือดแห้ง จะคิดถึงความดีหาได้ยาก มีแต่จะเอารัดเอาเปรียบ เป็นอันตรายต่อสังคม เนี่ยจึงมา ช่วยกันพวกเรามาฝึกกรรมฐาน อยู่ได้
พวกเรามาอยู่วัดวาอาราม มีสถานที่ มีเพื่อน มีมิตร มีประเพณี มีศีลธรรม วัฒนธรรมของคนไทย อำนวยให้เราได้ทำประโยชน์นี้ได้มากที่สุด คนอยู่วัดเป็นคนมีศักดิ์ศรี พ่อแม่มาอยู่วัดลูกเต้าก็มีศักดิ์ศรี ยิ่งมีการบวช ได้เป็นพ่อพระ แม่พระ ก็ยิ่งมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ได้ลูกเป็นพระ ได้แม่เป็นพระก็ยิ่งดีใหญ่ อย่างพระสาลีบุตรนี่มีน้องชายเท่าไหร่เอามาบวชหมด พระพุทธเจ้ามีอะไรเอามาบวชหมด ราหูลก็มาบวช อนุรุทธะก็มาบวช อานนท์ก็มาบวช แล้วก็นันทะเอามาบวชเห็นประโยชน์ จนพระเจ้าสุทโธทนะขอร้อง อย่าทำอย่างนั้นเถิด อย่าทำสิ่งนั้นพ่อขอร้อง พ่อเป็นทุกข์ สิทธัตถะออกบวชแล้วหวังพึ่งราหูลเพื่อสืบสกุล เจ้าเอาราหูลไปบวชพ่อก็เสียใจ นันทะ ก็หวังพึ่งนันทะอีก นันทะโตขึ้นมาก็ไปบวช พ่อก็เสียใจ อานนท์ก็หวังจะให้สืบสกุลเอาไปบวชอีก พ่อก็เสียใจ อนุรุทธะลูกพี่ลูกน้องหวังเป็นเจ้าจักรพรรดิแทน ก็เอาไปบวช พ่อก็เสียใจ ถ้าจะบวชกุลบุตรลูกหลานใครให้ขออนุญาตจากพ่อจากแม่ก่อนเถอะ พระพุทธเจ้าจึงเอามาเป็นวินัย อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ ถามเสียก่อนเวลาจะบวชพ่อแม่อนุญาตรึยัง เจ้านาคก็บอกว่า อามะ ภันเต อนุญาตแล้ว อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ ถามไป ถามไปหมด อามะ ภันเต อามะ ภันเต อนุญาตมาแล้วผ่านมาแล้วจึงบวชให้ เหมือนกับเรื่องนี้ ราหูลบวชเป็นเอตทัคคะในการศึกษาเลิศ อานนท์เลิศ อนุรุทธะก็เลิศ นันทะก็เลิศ มีแต่เลิศเอตทัคคะทั้งนั้น นี่เรียกว่าศักดิ์ศรี เราได้อ่านพุทธประวัติดูแล้วก็โอ้! ศรัทธา เอาเป็นอย่างติดชีวิตจิตใจมาตั้งแต่เป็นเด็ก เรียนหนังสือพุทธประวัติอ่านคำสอนพระพุทธเจ้า เอามาใช้ประกอบอาชีพ ไม่มีพ่อ เอามาสอนตัวเอง ไม่มีประโยชน์ เอาตัวรอดได้ นี่เรามันน่าจะทิ้งไปไหน ชีวิตเรานี่อันเดียวแท้ๆ สูตรมันอันเดียวกัน มีสติ มันก็ไม่หลง ตรงกันข้าม เมื่อไม่หลงก็ไม่โกรธก็ไม่ทุกข์ ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อนทำคนอื่นเดือดร้อน เป็นประโยชน์ สามารถเป็นแบบของคนดีได้ เป็นพิมพ์ของคนดี เราจึงมาฝึกกรรมฐาน ยิงตรงทีเดียวหละ เป็นทางตรงไปเลย แล้วก็มีอยู่จริง กรรมฐานก็มีจริง กายก็มีจริง เวทนาก็มีจริง จิตก็มีจริง ธรรมก็มีจริง เจอเข้าเรื่องนี้จริงๆ เมื่อเห็นมันก็เจอจริงๆ มีอะไรที่เกิดขึ้นมาในกายในใจในชีวิตเราเจอทุกอย่าง มันไม่ลับไม่ลี้ มาแสดงให้เราเห็นนี่มันคืออะไร
ถ้าเรามีตา มีสติ มีการศึกษาไม่ปล่อยทิ้ง เช่น คนมีการศึกษาใช้อะไรใช้ยาสมุนไพร เห็นต้นยาก็นี่มีประโยชน์ เอามาปลูกเอาสร้างไว้ให้คนได้อยู่ได้กิน คนมีศิลปหัตถกรรม ศิลปกรรม สถาปัตย์ สถาปนิกมองอะไรก็เห็น รู้จักใช้ ใช้ใจถูกต้องที่สุด ใช้ชีวิตถูกต้อง ใช้เหตุปัจจัย ใช้วัตถุสิ่งของถูกต้อง มีรถก็ใช้รถเป็น มีมีดก็ใช้มีดเป็น มีเสียมก็ใช้เสียมเป็น มีจอบใช้จอบเป็น อะไรที่มันใช้ เห็นต้นไม้เป็นบ้านเป็นเรือนเป็นขื่อเป็นเสา เห็นไม้งอๆ เอามาทำคราด ทำไถ ทำแอก เห็นต้นไม้ต้นใดที่เป็นเชือกเป็นปอลอกมาทำเป็นเชือกผูกวัวผูกควาย เห็นผักที่มันกินได้เก็บมา เห็นเห็ดที่มันกินได้เก็บมา มันก็เป็นประโยชน์ถ้ามีความรู้มีการศึกษา ชีวิตของเรามันประเสริฐที่สุด มันหลง ใช้ไม่ได้ เอาความไม่หลงมา มีสิทธิ มันโกรธ ใช้ไม่ได้ เอาความไม่โกรธใช้ไป ก็มีอานิสงค์แบบนี้ เชื่อมั่นในการใช้ชีวิตของนักธรรมะ ไปทางไหนมันเรียบๆ ไม่หวั่นไหว เป็นคนแกล้วกล้าตลอดเวลาองอาจอยู่ในที่ทุกแห่ง ถ้ามีศีล มีธรรม มีสติ ไม่เก้อเขิน ไม่มีปมด้อย ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สะทกสะเทือนเพราะมีสติมีปัญญาในเรื่องชีวิต สรุปแล้วชีวิตอันเดียวกันหมด ถ้าพูดถึงคุณค่าของชีวิตแล้วอันเดียวกันหมด ถ้าพูดถึงการศึกษานอกจากชีวิตอาจจะต่างกันอยู่ แต่ชีวิตจริงๆที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อพระนิพพานอันเดียวกัน มีกาย มีใจ มีสติ มีความไม่หลง มีความปกติจนไม่เป็นอะไรกับอะไร ไม่หวั่นไหวในทิศทั้งปวง ฝึกเอาไว้ หัดเอาไว้ มันต้องมีแน่นอน มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ฝึกเอาไว้ แล้วก็สิ่งที่มันเกิด มันก็เห็นอยู่ มาให้เราเห็น นี่คือความไม่เที่ยง นี่คือสติ นี่คือหลง นี่คือทุกข์ นี่คือไม่ทุกข์ นี่คือความง่วงเหงาหาวนอน นี่คือความคิดลังเลสงสัย นี่ความคิดฟุ้งซ่าน นี่คือราคะ พยาบาท ถีนมิทธะ ง่วงเหงาหาวนอน มันฉายมาให้เราเห็น บางทีมันติด มันติดมา ซุกซนอะไรมาก็ติดเรื่องนั้น จริต ราคะจริต ออกหน้าออกตา โทสะจริต ความโกรธหลง ออกหน้าออกตา โมหะจริต ความโมโห ออกหน้าออกตา โชว์ ไม่มีความรู้ก็ไม่ได้โชว์ มีแต่เขามาตั้งเวทีโชว์ในชีวิตของเรา สิบชาติก็ยังโชว์อยู่ สิบปี ห้าสิบปี ร้อยปีก็โชว์แต่เรื่องนี้ จนตาย บางคนจะตายแล้วยังโกรธ คนเราไปใกล้ไม่ได้ จะเข้าใกล้ก็ต้องหมอบต้องคลานเข้าไป คอยจะด่าคอยจะว่าอยู่ก็มี มันมีโทสะจริต จิตเราเศร้าหมอง ทุกขาปฏิปทา จิตเต สังกิลิฎเฐ ทุกคติปาฎิกังขา เมื่อจิตมันเศร้าหมองทุกคติกี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้ แม้แต่จะตายยังทุกข์ยังหลงอยู่ มันจะมีค่าอะไรเกิดมา ลูกก็มี เมียก็มี ทรัพย์สินก็มี อะไรมันใช้ได้ เอามาแก้ทุกข์ก็ใช้ไม่ได้ ไม่ใช่เพื่อทุกข์นะชีวิตเรานี่ มันต้องไม่เป็นอะไร เสียดาย ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน ปล่อยให้ตัวเองหลงอยู่ ทุกข์อยู่ โกรธอยู่ มันจึงมีสตินี่ มันจะไม่เป็นอะไรกับอะไร เป็นชีวิตล้วนๆหละนี่ ไม่หวั่นไหวในทิศทั้งปวง เห็น มันมาให้เราเห็น เห็นรูป เห็นนาม เห็นธรรมชาติของรูป เห็นธรรมชาติของนาม ตามความเป็นจริง แต่ก่อนเรียกว่าสุขเรียกว่าทุกข์ ถ้าภาษาบาลีเรียกว่าเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา ถ้าไม่เห็นรูปเห็นนามเรียกว่าอาการ ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ เป็นอาการ ขอบคุณมัน มันร้อน มันหนาว มันหิว มันปวด มันเมื่อย ขอบคุณมัน
ถ้ามันไม่มีมันก็อยู่ไม่ได้มันเป็นสัญญาณภัยของมันที่ว่ารูปว่านามนี้ เกี่ยวข้องกับมันถูกต้อง มีสติ มีปัญญา ไม่เอามาสุข ไม่เอามาทุกข์ เป็นอาการ ผิวๆ เผินๆ ตกอยู่ในความไม่เที่ยง รูปนามนี้ ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน รูปนามนี้ยึดถือไม่ได้ไม่ใช่ตัวใช่ตนอะไร มันเป็นใหญ่ในความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์เป็นใหญ่ในโลก ความไม่ใช่ตัวตนเป็นใหญ่ในรูปในนามนี้ หลอกเรา นี่มันคือความจริงและความไม่จริงมาพร้อมกัน ในความทุกข์มันก็จริงแบบมันทุกข์ มันไม่จริงแบบไม่ทุกข์ ในความไม่เที่ยงก็จริงแบบมันไม่เที่ยง มันไม่จริงแบบความเที่ยง แต่คนเราไม่รู้ไปตู่เอา เสียใจเพราะความไม่เที่ยง พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ รู้ไหมนี่ว่ามันไม่เที่ยง พอรู้จำได้อยู่ แต่ทำไม่เป็น เป็นทุกข์เพราะของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะความไม่ใช่ตัวตน มันจะฟังเสียงใคร ไม่มีใครเป็นใหญ่รูปนามนี้ได้ มันไหลไปอยู่ นั่งอยู่นี่ก็ไหลไปอยู่ ไหลไปๆ จนหมดโอกาส หลวงตาก็ไหลมาหลายปีแล้วจนหมดเรี่ยวหมดแรง มันก็แสดงออกถึงความไม่เที่ยงอยู่เรื่อยๆ แสดงออกถึงความเป็นทุกข์ แสดงออกถึงความไม่ใช่ตัวตน เห็นแจ้งจริงๆ แล้วก็บรรลุธรรมด้วย เวลามันไม่เที่ยงบรรลุธรรมตรงนี้ ยิ้มได้ เวลามันเป็นทุกข์บรรลุธรรมตรงนี้ ยิ้มได้ บรรลุธรรมตรงที่ไม่ใช่ตัวตน เวลามันไม่ใช่ตัวตนหนะ ยิ้มได้ บรรลุธรรมทำให้เราไม่เป็นอะไรกับความไม่เที่ยง ไม่เป็นอะไรกับความเป็นทุกข์ ไม่เป็นอะไรกับความไม่ใช่ตัวตน มันต้องมีแน่นอน ถึงคราวมันหายใจไม่ได้ ถึงคราวมันปวดมันเจ็บ ไม่ต้องทุกข์เพราะหายใจไม่ได้ ไม่ต้องทุกข์เพราะมันปวด ไม่ต้องทุกข์เพราะมันตาย เราไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว นี่คือชีวิตแท้ๆแหละนี่ ว่าสุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ดีใจเสียใจไม่ใช่ชีวิต จะมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ชีวิต
ชีวิตจริงๆมันเกี่ยวกับอันอื่น เป็นอยู่ในตัวมันเอง นี่แหละได้จากความรู้สึกตัวเนี่ย ประกอบไว้สร้างไว้ ให้มีเอาไว้ มันจะอิ่ม มันเต็มที มันอิ่ม มันไม่เป็นอะไร มันไม่พร่อง ไม่มีที่นั่ง มีความไม่เป็นอะไรเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนเป็นเจ้าชีวิตอยู่แล้ว มันจึงไม่พร่อง ไม่พร่องเหมือนคนไม่หิว คนไม่หิว แต่มันไม่ใช่แบบหิวข้าว ชีวิตมันไม่หิวแบบหิวข้าว อันหิวข้าวเป็นรูปเป็นนาม ชีวิตจริงๆ มันไม่มีความหิวความพร่องอะไร จึงจำเป็นสำหรับเราเกิดมานี่ ยากเหลือเกินนะ เกิดมานี่ กิจโฉ มนุสสะปฏิลาโภ การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นของยากเป็นลาภอันประเสริฐ มาละความชั่วก็ได้ มาทำความดีก็ได้ จะทำความชั่วก็ได้สำเร็จ จะไม่ทำความดีก็ได้ ไม่มีอะไรบังคับกัน มีแต่ตัวบทกฎหมาย ถ้าอย่างชั่วที่สุดก็ถูกจับประหารชีวิต ไม่มีประโยชน์อะไร ประหารชีวิตก็ยังไม่ถูกต้อง มันชั่วมันเกิดจากอะไร ชั่วเกิดความไม่รู้ ให้ประหารตรงนี้กัน พระพุทธเจ้าฆ่าคน พระพุทธเจ้าฆ่าคน พระพุทธเจ้าประหารคน คนมันเป็นอันโน้นอันนี้มันหลายเรื่อง ให้เป็นมนุษย์ คนตายไปให้เป็นมนุษย์ ให้เป็นพระ ตายจริงๆ ความเป็นคนนะ ไม่ปนเป ไม่เป็นคนอีกแล้ว ฆ่าแล้ว สิ้นภพแห่งความเป็นคนแล้ว ไม่ฟูไม่แฟบ ไม่อะไรทั้งสิ้น คือมันหมดไปแล้วชาติความเป็นคน จนเป็นพระ ประเสริฐแล้ว นี่นะเราจะเป็นคนหละมันชั้นดี เป็นมนุษย์ขึ้นไปสูงขึ้นไป สิทธิมันอยู่ที่นี่ จะไปสู่นรกอบายภูมิก็ได้ จะไปสู่สุคติก็ได้ ไปสู่พรหมโลกก็ได้ ไปสู่มรรคผลนิพพานก็ได้ ทางสี่แพร่งเรายืนอยู่แล้วเวลานี้ ยืนอยู่บนทางสี่แพร่งแล้ว สิทธิที่เราจะไปทางไหน ถ้าหลงเป็นหลงไปสู่อบายแล้ว ไปต่ำลงไปแล้ว ถ้าหลงเป็นรู้เป็นมนุษย์ขึ้นมา มันหลงเป็นหลงหรือหลงเป็นรู้ เราทั้งหลายเนี่ย ทุกข์เป็นทุกข์หรือทุกข์เป็นรู้ ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ไปสู่อบายแน่นอน ต่ำลงไปแล้ว เป็นคนร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าทุกข์ รู้มันทุกข์ เห็นมันทุกข์เป็นมนุษย์ขึ้นมา สูงขึ้นมาหน่อย หัดเดินหัดหันหน้ามาทางนี้ มีให้เราเห็นอยู่ แต่เราข้ามล่วงได้ไหม เวลาสิ่งนี้เกิดขึ้นข้ามไหมหรือว่าคล้อยเอียงไปตามมัน แล้วก็หัดตนสอนตนก่อนจะข้ามต้องฝึกมีสติไว้เป็นทุนก่อน ถ้าไม่มีสติก็ง่ายแหละ เหมือนคนว่ายน้ำไม่เป็นก็จม คนว่ายน้ำเป็นก็ไม่ค่อยจม ถ้าไม่ฝึกมีสติเวลามันหลงก็หลงง่าย รู้ยาก ทุกข์ก็ทุกข์ง่ายๆ ความไม่ทุกข์ยาก ทุกวันก็เสียชีวิต เอาไม่ไหว เอาไม่อยู่ เอาไม่อยู่ แล้วก็เรื่องโกรธเอาไม่อยู่หรอก ใครมาดึงกูก็ไม่อยู่หรอก มีเหมือนกัน เวลาคนโกรธดึงไว้ก็ไม่อยู่ หลุดมือไปตีกัน ฆ่ากันได้ มันไม่ได้หัดตนสอนตนนะ เบื่อหน่ายไหมฟังธรรมเนี่ย เท่านี้นะกราบพระพร้อมกัน