แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่ออีกสักหน่อย ให้เป็นส่วนประกอบการศึกษาปฏิบัติธรรม ก็พยายามใส่ใจ มั่นใจในการศึกษาอะไร อย่าทำแบบผิวๆเผินๆ ให้เป็นน้ำครึ่งแก้ว เติมเข้าไปอยู่เรื่อย ชีวิตเรา มันมีอะไรเกิดขึ้นภายนอกภายใน ให้ใส่ใจดู อย่าปล่อยทิ้ง เรามีสติเป็นหลักอยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นที่กาย ที่ใจเรา อย่าจำนน ไม่ว่าจะยอมรับความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน ยอมทุกข์เพราะความทุกข์ ยอมโกรธเพราะความโกรธ มันไม่ใช่ อันนั้นว่าจำนน ทั้งยอมรับทั้งจำนน ยอมแพ้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ใส่ใจ แม้แต่เห็นรถติดโคลนติดตมของคนอื่นก็ใส่ใจ ไปช่วยหาทางออก แม้แต่คนเจ็บไข้ได้ป่วยก็ใส่ใจ จะช่วยชี้แนะนำอะไรต่างๆ อย่าปล่อยทิ้ง อะไรก็ต้องศึกษา เมื่อปัญหาเกิดขึ้นให้มันเกิดปัญญา อย่าให้ปัญหาเกิดปัญหา ในตัวนอกตัว เสนอตัวเราเข้าไป หัดเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ หัดเป็นผู้นำทางความคิด มีปัญหาเกิดขึ้นกับเราแท้ๆ เราหลง ปล่อยทิ้งไปทำไม ให้มันหลงทำไม เราทุกข์ปล่อยให้มันทุกข์ทำไม เราโกรธปล่อยให้โกรธทำไม มีคนที่ไม่ทุกข์ มีคนที่ไม่หลง มีคนที่ไม่โกรธในโลกนี้ เราอย่ายอม ศึกษาให้ถ้วนถี่ ถี่ถ้วน บางทีเกิดปัญญาขณะที่มีปัญหาได้ เกิดความพ้นทุกข์ขณะที่มันทุกข์ได้ เราจะโล่งแจ้งในความทุกข์ เคยเศร้าหมองก็จะหัวเราะออกมาได้ ยิ้มได้ภายในใจ เอามันออกมา ของเท็จของจริง ดีแล้ว มันหลงจะได้รู้ ดีแล้ว มันทุกข์จะได้รู้ ดีแล้ว มันผิดจะได้รู้ ดีแล้ว มันถูกจะได้รู้ เป็นพ่อมันออกมา ผิดมันออกมา ใครเป็นพ่อบ้านแม่บ้านก็ให้เต็มที่ อย่าทำครึ่งๆกลางๆ จะเป็นผัวเป็นเมียก็เป็นกันให้เต็มที่ ทำหน้าที่ เป็นพ่อคนแม่คนก็ทำให้เต็มที่ ให้เชื่อฝีมือของตัวเอง
ในการกระทำทั้งกายทั้งใจทั้งความคิด ในโลกนี้มันก็ไม่ยากอะไรมากมาย อะไรก็ไม่ได้ ทำไม่ได้ ยาก อันนี้ก็ยาก อันนี้ง่าย ไม่ใช่แบบนั้น ความยากความง่ายไม่มีปัญหา เรามันใส่ใจเรื่องนี้อยู่ เวลาเราเนี่ย มันก็เห็นน่ะ มันยาก ยากเป็นยากหรือ ยากเป็นรู้ เห็นแล้วรู้แล้ว ไม่ให้ความยากเป็นความยาก ความผิดเป็นความผิด ความถูกเป็นความถูก เรียนรู้มัน มันก็มีโจทย์ มีการเฉลยได้ มันจะเก่งตอนที่มันเฉลย โจทย์เป็นโจทย์ยอมรับอยู่ไม่ใช่ เราเป็นโจทก์ตัวเรา เราเป็นจำเลยตัวเรา เราก็ต้องพิพากษาตัวเราเอง ให้พ้นไป ไม่ใช่เรียกร้อง แม้คนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์ เราก็ไม่ได้ยอมรับเสมอไป เราเป็นตัวของเราเอง แม้แต่การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นกับเรา เราก็ไม่ยอมรับ ไม่จำนนมัน มีทางอยู่ เหมือนกับเปรียบเทียบ เหมือนกับเกณฑ์ชี้วัด เมื่อมีทุกข์มันก็ต้องมีไม่ทุกข์ เมื่อมีโกรธก็ต้องมีไม่โกรธ เมื่อมีเจ็บก็ต้องมีไม่เจ็บ เมื่อมีแก่ต้องมีไม่แก่ เมื่อมีตายต้องมีไม่ตาย เกณฑ์มันชี้วัดแบบนี้ แล้วก็อย่าจน หาทาง หาทาง รู้เอาไว้ นี่หรือคือทุกข์ นี่หรือคือเหตุ แล้วก็ทำอะไรที่พอทำได้ ทวนกระแสดู มันจึงก้าวหน้า ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ปอกๆแปกๆ เราก็ทำได้ เช่นเราไปดูคนป่วย เสนอตัวเราเข้าไป เข้าให้ถึง สมัยก่อนเคยเป็นหมอทำคลอด ไปดูคนป่วย คนจะคลอด คนจะคลอดเขามีทุกข์ เขากลัว กลัวตายอยู่แล้ว เราไปดูเขา ไปนั่งอยู่โน่น ให้เรียก หมอมาหรือยัง หมอมาหรือยัง ไม่ใช่ความเป็นหมอ เข้าให้ถึง เดินเข้าไปอย่างองอาจ นั่งลงใกล้ๆ มีคำพูดออกมา เต็มที่ ถ้าเขาเจ็บ มันต้องเจ็บนั่นแหละ คนทั้งคนอยู่ในครรภ์ในท้อง มันต้องเจ็บ แม้แต่เราปวดหนักปวดเบา มันก็ยังเจ็บ มันเจ็บ มันจะออก มันจะเคลื่อน มันจะออก เหมือนเราปวดหนักก็ต้องถ่ายได้ นี่มันจะปวด มันก็ดีแล้ว มันก็ทำอย่างนี้มาทั้งบ้านทั้งเมือง เราเกิดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ไปกลัวอะไร ไม่ใช่เราคนเดียว มันเจ็บที่ใด มันปวดที่ใดนั่นแหละเด็กมันเคลื่อน มันจะคลอด มันจะออก ไม่ต้องกลัว ผมก็ทำคนคลอดมาเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว ไม่เป็นไร บางคนก็เจ็บนาน บางคนก็เจ็บไม่นาน คนที่พูดไม่เป็น มันเจ็บนาน ทำไมมันมีอะไรขัดข้องอยู่หรือเปล่า ไปหา หักดอกไม้ดู อะไรดู มันก็ยิ่งกลัวใหญ่ คนที่เจ็บก็กลัวอยู่แล้ว ไปพูดให้กลัวอีก จะมีอะไรมาทำให้เขาต้องตายหรือนี่ เขาก็กลัว คิดไป เราก็ห้ามไม่ต้องให้คนอื่นพูด เราพูดคนเดียวเอง เมื่อดูคนทำคลอด บอกคนอื่นอยู่เฉยๆ นั่ง-นอนเอาก็ได้ เราจะดูคนเดียว ต้องชี้ ให้มันกล้าขึ้นมา คนที่กำลังจะคลอดมันก็ใจดี มันพึ่งเรา เราก็ทำให้เขาพึ่งได้ มีคำพูดคำจาออกมา มีพิธีกรรมอะไรก็ทำเอา เสกน้ำมนต์น้ำอะไร ล้างหน้าล้างตา ให้หวีผม ทาแป้ง มันก็ยิ้มได้ เวลาใดมันเจ็บ มันจะไม่ร้อง มันจะสู้ได้ เมื่อจิตใจมันดี เราให้ทำจิตใจมัน เป็นเพื่อนมัน เมื่อใจมันดี มันก็ไม่กดดัน เด็กมันก็คลอดได้ง่าย ถ้าใจไม่ดี ขวาง ขวางกั้น ไปทางขวาง เด็กก็หมุนผิดทิศผิดทางไป มันก็มีปัญหา
นี่ตัวเราเนี่ย สร้างปัญหาให้ตัวเองนี่ อาจจะครึ่งหนึ่ง ปัญหามันเกิดมาอาจจะไม่มาก แต่เราสร้างให้มากขึ้น เวลาเจ็บนิดหน่อย มันสร้างปัญหา เป็นนั่นเป็นนี่ไปแล้ว กลัวตาย กลัวจะเป็นอย่างนั้นกลัวจะ..... ไปกันใหญ่แล้ว เลยเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ความหลงเฉยๆก็ยาก หัวเราะมันลองดู มันทุกข์ ก็เฉย ก็ยาก ในความทุกข์มันอาจจะมีการหัวเราะลึกๆภายในใจ ยิ้มๆ เหมือนพระพุทธเจ้าเป็นโกญจนาท ทุกข์ ทุกข์นี่สนใจที่สุด ว่าเกิด ว่าแก่ ว่าเจ็บ ว่าตาย สนใจ ใส่ใจเรื่องนี้ เมื่อมันเกิด ก็เห็นมันอย่างใส่ใจ เหมือนเราเห็นงู ใส่ใจมัน เห็นเสือ ก็ใส่ใจมัน เห็นปัญหา ก็ใส่ใจมัน ไม่ใช่ทิ้ง กลบเกลื่อน ลองดูซิ มันจะแกล้วกล้าขึ้นมา แกล้วกล้าลักษณะนี้ มันถลาได้ กระโดดได้ เหมือนเราไปเจองู กระโดดได้ ไม่คิดจะกระโดด แต่มันกระโดดได้ หัดความเข้มแข็งในความอ่อนแอ อย่าขี้แพ้ ปราชัย ศึกษาอะไรก็ตาม ให้ใส่ใจ เรียนรู้ แม้แต่จะเป็นศิลปกรรม หัตถกรรม ก็สนใจบ้าง เคยสนใจอยากเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า สมัยเป็นหนุ่ม ไปตัดผ้า ไปดูเขาเย็บผ้า ไปดูเขาเข้าขอ ไปดูเขาเข้าซิป เขาตัดยังไงกะยังไง แล้วก็ถาม แล้วก็มาทำดู แม้แต่ทำคราดทำไถ ทำเครื่องจักรเครื่องสานเขาทำอะไร จับไม่ไผ่ขึ้นมาเป็นตอก เป็นบวย เป็นกล่องข้าว เป็นกระบุงตะกร้า ก็สนใจ เมื่อสนใจสิ่งใดก็ทำได้สำเร็จ ชีวิตของเรามันประเสริฐจริงๆ อะไรก็ทำไม่เป็น อะไรก็ทำไม่เป็น ไม่กล้า ไม่แกล้วกล้า นี่คือฝึกฝนตนเอง ว่าศึกษา สนใจ คนอื่นนินทาเราก็ใส่ใจดู ฟังดู ไม่ใช่พอใจไม่พอใจ ใส่ใจมันนินทาเรื่องอะไร ใส่ใจ ฟังดู ถ้ามันถูกของเขาก็ขอบคุณ ถ้าไม่ถูกก็ขอบคุณ ได้ทั้งสองแบบ เรียกว่าทำให้เราได้มองตัวเอง ถ้าเขาสรรเสริญเราก็ไม่ต้องใส่ใจก็ได้ แบบเขาพูดเอาเอง อย่าไปใส่ใจ
ถ้าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำก็พยายามตั้งใจ เอาใหม่ เหมือนพระพุทธเจ้าใส่ใจ ตรัสรู้ใหม่ๆ ออกจากศรีมหาโพธิ์ จะไปประกาศศาสนา ไปพบกับอุปกาชีวกสุภัททะ ไม่ใช่ใครที่ไหนจำไม่ได้ เขาถาม คนที่เดินมาเห็นพระพุทธเจ้า อาจจะเป็นอุปกาชีวกเนี่ย ใช่ไหมสุภัททะ ท่านเป็นใคร ท่านมาจากไหน ใครเป็นครูของท่าน อุปกาชีวกถามอย่างสนใจเพราะว่าดูท่าทางแล้วสง่างาม เหมือนคนมีความสามารถอะไร พระพุทธเจ้าก็พูดแบบองอาจทันที เราเป็นชาวสยัมภู ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีใครเป็นครูของเรา อุปกาชีวกก็บ้วนน้ำลายใส่ เดินหนีไปเลย ไม่สนใจ เอ๊ะ ก็ถือว่าเราพูดผิดไป เอาใหม่ๆ ตั้งต้นใหม่ แทนที่จะได้แสดงธรรมแก่คนผู้พบเห็นคนแรก เลยผ่านไป ทำให้เขาไม่พอใจ ตั้งต้นใหม่เอาใหม่ ไปพบปัญจวัคคีย์ หนีจากอีก ก็ยังตามไปอยู่ ใส่ใจ สองครั้งแล้ว ผิดพลาด พอไปถึงครั้งที่สาม ปัญจวัคคีย์ ไปเห็น ปัญจวัคคีย์ไม่ลุก นั่ง พระพุทธเจ้าก็พูดขึ้นว่า ดูก่อนปัญจวัคคีย์ ดูก่อน อะไรก็ดูก่อน ไม่เหมือนเรา เราเป็นสยัมภู ไม่ใช่แบบนั้น ดูก่อนปัญจวัคคีย์ ดูก่อน ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ดังที่เราสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มันเพราะที่สุดเลย ไม่เหมือนคำตรัสออกจากพระโอษฐ์ตอนแรก เราเป็นชาวสยัมภู ตรัสรู้อย่างโดยชอบ มันไม่ยอมรับ คนฟัง มันอวดเกินไป เลยรับไม่ได้ นี่ก็คือ เมื่อคนมันเข้าใจจริงสิ่งใดก็พยายามใส่ใจ พยายามใส่ใจ ไม่ยอม เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้ก็พยายามใส่ใจ เหมือนหลวงตาเนี่ย หายใจไม่ได้ หมอเอาท่อมาใส่ปาก หมอจะถอดท่อออกเพื่อให้ยาคีโม ถ้าไม่ถอดท่อจากปากจะให้ไม่ได้ เราก็จะตาย ก้อนเนื้อมันโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องให้คีโม ก่อนให้คีโมต้องถอดท่อออกจากปาก หมอตั้งสามคนมายืนอยู่ หลวงพ่อผมจะถอดท่อจากปากหลวงพ่อ พอถอดออกจากปากให้หลวงพ่อสูดลมดู เราก็ได้ยินได้ฟังดู ก็แล้วแต่เขาจะทำ ถ้าหายใจไม่ได้ ผมจะเอาถุงนี่กลบจมูก ให้หลวงพ่อสูดลมดู ถ้ามันไม่เข้าผมจะเอานี่ใส่ ก็บอกเขาตามสบายๆ พอเขาถอด เราหายใจลองดู ไม่ได้ หายใจไม่ได้ “กื้ด” ขึ้นมา หมอเอาถุงมาคลุมก็หายใจไม่ได้ หมอเอาออก เอาท่อสอดเข้าปากอีก หมอคนหนึ่งบอกว่าผมว่ามันถอดไม่ได้ หมออีกคนหนึ่งบอกว่ามันต้องได้ มันต้องถอดได้ ถ้าเอาไว้นาน มันมีผลข้างเคียงไม่ดี ต้องถอดได้ พยายามถอดให้ได้ เนี่ย ในที่สุดเขาก็ถอดได้ หมอคนหนึ่งบอกว่าต้องถอดได้ หมออีกคนบอกว่าไม่ได้ พอบอกว่าถอดได้ก็พยายามทำได้ ก็จริงนะ นี่เราก็เหมือนกัน ลองดูซิ เหมือนนั่งเครื่องบินไปลงนิวยอร์ก เครื่องบินลงไม่ได้ ว่าจะลงมันเจิดขึ้นอีก สองรอบสามรอบ แล้วก็ดูคอมพิวเตอร์ที่หน้าจอเขาก็พูดว่า พยายามลงให้ได้ เวลานี้อากาศข้างล่างปั่นป่วนมาก มันก็เจิดไปอีก วิ่งไป บินไป ลงอีกก็ลงไม่ได้ คนเขาก็บอกว่าจะพยายามลงให้ได้ มันหัว มันยังยิ้มอยู่ได้ด้วย มันก็ลงได้ พยายามลงให้ได้ พอลงสู่พื้นดิน เราก็ แม้แต่เราจะเปิดเดินออกก็จีวรสบงไม่อยู่ตัวเลย ลมมันพัดแรง ต้องพยายามเนี่ย ประสาอะไรความหลง พยายามที่จะรู้มัน ความทุกข์พยายามที่จะรู้มันหน้าตาเป็นยังไง ใส่ใจลองดู จัดสรรกันเป็นอย่างดี
ทำอะไรก็ตาม จะเป็นพื้นนาก็จัดสรรอย่างดี ลำดับ นาแปลงนี้จะปักดำวันนี้ ดูแผนที่เป็นอย่างไร ที่ลุ่มที่ดอนไหม ถ้าที่ดอน ไปถอนกล้าแปลงนั้นใส่ ที่ดอนก็ต้องเอากล้าอีกแบบหนึ่ง ที่ลุ่มก็เอากล้าอีกแบบหนึ่ง กล้าที่ดอนกล้าก็ต้องเอากล้าไม่แช่น้ำ กล้าแช่น้ำมันอ่อนแอ มาฝังในที่ดอนไม่มีน้ำขัง มันจะไม่ค่อยสู้ เอากล้าแปลงที่ไม่มีน้ำถอนมาปลูก เหมือนต้นไม้กลางแจ้ง ถ้าหากต้นไม้ในร่มออกไปกลางแจ้ง จะไปตากกลางแจ้งทีเดียวเลยไม่ได้ ตาย ต้องค่อยๆย้ายออกไปรับแสงสว่าง ตากแดดครึ่งๆกลางๆ รำรี้รำไรไป แล้วค่อยๆออกไป เราเป็นชาวนา ถ้าเอาต้นกล้าไปปักในที่ดอน เอากล้าแช่น้ำไม่ได้ ต้องเอากล้าไม่แช่น้ำไปปัก มันก็อยู่ได้ ถ้าที่ลุ่มเอากล้าที่ดอนไม่แช่น้ำไปปัก มันก็ไม่ได้ ปูก็กัด แล้วก็ที่ลุ่มมันน้ำขัง ปักดำตรงน้ำขัง ต้องเอากล้าที่แช่น้ำไปปัก มันชินต่อกัน ก็ขึ้นได้ จัดสรรใส่มันอย่างดี ทำอะไรก็ตาม มันมีสูตรของมันอยู่ ถ้าใส่ใจศึกษาเรื่องใด ให้มันมั่นใจ ทำอะไรมั่นใจ มั่นใจ ถูกต้อง เป็นผู้นำ นำตัวเอง นำการงาน สมัยหนึ่งเห็นรถกำลังจะตกคลองหน้าวัด ข้ามฝายจากโรงทานข้ามมาทางนี้ มันคันคูน้อยๆรถไถ ไถดิน ไถไปไถไป มันเถลลงไป กำลังจะคว่ำตกคลองลงไป มันก็หยุด เราก็บอกให้มันหยุด เราก็ช่วยมัน แล้วจะหารถมาลาก มันอาจจะตกเหมือนเดิม ก็เอาเชือกมาดึงไว้ มันก็ได้ แต่ว่าเราดูท่าทางต้องขุดร่องที่ล้อมัน แต่มันเอียงไปเนี่ย ล้อหนึ่งมันเอียง ขุดหลุมลงไป ขุดลงไปมันลึกสักหน่อย ลึกลงไปสักหน่อย เราแสดงความเป็นผู้นำสักหน่อย เราไม่เคยมีรถ แต่ว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้ ขุดร่องเนี่ย เราขุดร่องมันต่ำลงไปใต้ล้อรถ ล้อรถมันตั้งอยู่ ขุดร่องมันต่ำลงไปใต้ล้อรถ ดิ้นแป๊บเดียว มันดิ้นแป๊ปเดียว ไถได้ร่อง ได้สบายเลย
นี่เราหัดเป็นผู้นำ ไม่ใช่อะไร เห็นปัญหาอะไรไม่ทอดทิ้ง ปัญหาเกิดจากเราแท้ๆน่ะ ทำไมเราไปทิ้ง มันดี ปฏิบัติธรรมมันสนุก สนุก โต้ตอบ ทักท้วง ตรวจสอบ มันง่วงหรือ ใส่ใจ มันหลงหรือ ใส่ใจ มันทุกข์หรือ ใส่ใจ มันยากหรือ ใส่ใจมัน เนี่ยไม่มีอะไรทำไม่ได้ชีวิตเรานี่ ใส่ใจเรื่องใดสำเร็จเรื่องนั้น ให้มีความมั่นใจ การปฏิบัติธรรม มันเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ไม่ใช่มันเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่มีสาระอะไร มันมีสาระ ในความหลงมันก็มีความไม่หลง แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ในความทุกข์มันก็มีความไม่ทุกข์ มีสิทธิที่ไม่ทุกข์ในเวลาที่มันทุกข์ มีสิทธิไม่หลงในขณะที่มันหลง จริงๆเรื่องนี้ ต้องหัดผ่าน อย่าให้เป็นการบ้าน เฉลยไป พอเจอความหลง ความง่วง ดีแล้วๆ โชว์ฝีมือของเรา โชว์ฝีมือ แสดง เป็นนักแสดงบทบาทในเวทีของชีวิตเราทุกกรณี ไม่ขี้แพ้ มาทางไหนแบบไหน ปัญหาที่เกิดกับกายกับใจนี่ มันจะเกิดอะไรขึ้น จะมาทางไหน กิเลสไม่ได้ขี่ข้างขี่ม้ามาอะไรมากมาย มันเกิดจากน้อยๆ เหมือนอ่านหนังสือ เมื่อวานนี้มีคนเฒ่าคนแก่มีปัญหาชีวิตมานาน หาคำตอบว่าอะไรมันเป็นความทุกข์ความสุข เจอทีไร นั่งอยู่ นั่งหงายท้อง ความสุขมันอยู่ที่จิต ความทุกข์อยู่ที่ความคิด หัวเราะตัวเองขึ้นมา โอย!ความทุกข์ก็คือความคิด ความสุขก็คือความคิด เกิดจากความคิดนี่เอง มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เรียกว่าบรรลุธรรมชั้นใดชั้นหนึ่ง เห็นความคิด ไม่หลงไปในความคิด เห็นความทุกข์ไม่หลงในความทุกข์ เนี่ย ไม่เคยเห็นความคิดก็ไม่เห็นความคิดที่มันคิดขึ้นมา ตัวที่มันเห็น มันใหญ่กว่า เหมือนเหล็กกล้ามาเจอหินชา มันอยู่ได้ เห็นนี่ ไม่ได้เป็นไปกับมัน มันเกิดอะไรขึ้นมากับกายกับใจ เห็นมัน เหล็กหินชา ความเป็น มันเหล็กกล้า แต่ก่อนเป็นสุขเป็นทุกข์ ยอม สุขเป็นสุข มันทุกข์เป็นทุกข์ มันหลงเป็นหลง มันโกรธป็นโกรธ ยอม เมื่อมาเจอ ภาวะที่เห็น เหล็กหินชาเข้าไป มันก็ มันก็พ่ายแพ้เหมือนกันหนะ ใหญ่ถือว่าราชาธรรม ธรรมราชา ภาวะที่เห็นไม่เป็น เป็นราชาธรรม เป็นมงกุฎธรรม ทำอย่างนี้มันไม่ยาก ไม่เหลือวิสัยที่เราทำได้ ถ้ามันหลงเห็นมันหลง มันทุกข์เห็นมันทุกข์ ไม่เข้าไปอยู่ในความคิด ความคิดกับความรู้มันเป็นคนละอันกัน ภาวะที่เห็นนี่ อันนั้นมันคิด
นั่งอยู่นี่คือรูปคือนาม มันรู้อะไรอยู่นี่ แต่มันคิดไปโน่น มันไม่ได้ตั้งใจ อันนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง มันจะหอบหิ้วเราไปไม่ได้ เรานั่งอยู่ ไม่คิดให้ลุกก็ไม่ลุกตามที่มันคิด เดินอยู่มันคิดจะให้นั่งก็ไม่นั่งตามความคิด แม้มันคิดก่อน เราจะใช้มัน ตัดหางยัดปากมัน เป็นการตอบปัญหา ตัดหางยัดปากในความคิดนั่นแหละ ให้ความคิดรับสารภาพ จะให้เรานั่งจากความคิดเราจะนั่งของเราเอง ในความคิดนั่นแหละมันบอกให้เรารู้ ให้เรารู้จักใช้มัน ใช้ความคิดที่มันหลงให้เป็นประโยชน์เรียกว่าตัดหางยัดปาก เอาคำตอบของมันตอบมันเอง เหมือนเข็มเหมือนหนาม ต้องบ่งหนาม ปัญหา เหตุเกิดเอาเหตุนั่นแหละแก้ อะไรที่มันเกิดพระพุทธเจ้าจึงบอก เหตุเกิดจุดใดแก้ตรงนั้น ไม่ใช่ไปหาถึงที่อื่น มันมีหลักแบบนี้จริงๆ การศึกษาธรรมะจึงเป็นการปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ปฏิเสธไม่ได้เรื่องนี้ ถ้าใครปฏิเสธเรื่องนี้เท่ากับว่าปฏิเสธตัวเราเอง ใครก็ช่วยเราไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ใครก็ช่วยเราไม่ได้ถ้าเราปฏิเสธตัวเอง หลงเป็นหลง ทุกข์เป็นทุกข์ โกรธเป็นโกรธ อะไรนั่น ปฏิเสธตัวเอง ไม่ถูกต้อง ดูถูกตนเอง ปิดบังตนเอง เป็นบาป บาปอะไรก็ไม่เท่ากับทำบาปให้ตนเอง แผ่แต่เมตตาแต่ตัวเองยังไม่แผ่เมตตาให้ตัวเอง มันก็ไม่ใช่ เราต้องตั้งต้นให้ได้ เมื่อเราตั้งต้นได้ มันจะเป็นไป เหมือนเราก้าวหนึ่ง ถ้าไม่ก้าวอีกก้าวหนึ่ง ก้าวที่สองก็ไม่มี ถ้ามันหลง รู้ เป็นก้าวแรก มันหลง รู้ ก้าวที่สองรู้ไปในความหลง รู้ไปในความทุกข์ มันก็จะมากขึ้น มันจะลึกลงไป เหมือนต้นไม้ที่เราปลูก ต้นปลูกแต่ต้นปีก็งามกว่าต้นปลูกเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้หลวงพ่อกลมไปปลูก มันก็ยังไม่มีรากอะไร ถ้าปลูกต้นปีมันก็ต่อยอดแล้ว ความหลงต่อยอดเป็นรู้ไปแล้ว ความทุกข์ต่อยอดเป็นรู้ไปแล้ว คนละใบกันแล้ว คนละชาติกันแล้ว คนละภพกันแล้ว คนละต้นกันแล้ว ต่อไปมันเกิดแก่กล้าเกิดดอกออกผลโตได้ ถ้ามันหลงไม่รู้ตรงนั้น มันก็เหมือนต้นกล้าอยู่เรื่อย มันก็ไม่เกิดดอกออกผลได้ ถ้าหลงเป็นรู้น่ะ มันดี เรียกว่าเหตุ เย ธัมมา เหตุปัปพวา เตสัง เหตุ ต ถาคโต ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ จะดับก็ดับที่เหตุ นั่นหนะ ถ้าใครปฏิบัติมีหลงอยู่นั่นและ มันจะมีพื้นเพที่ปลูกลงไปเหมือนมีแผ่นดิน มีอะไรปลูกลงไปแล้ว ถ้าจะพูดว่า ดินดีเพราะหญ้าปก ป่ารกเพราะเสือดุ เสือมันดุอยู่ในป่า ป่าจึงรก ดินจะดีเพราะหญ้ามันปกอยู่นาน ณ ที่ใดเห็นดินเห็นหญ้าปก
คนโบราณไปดูไปย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น ถ้าเห็นหญ้าปกบนดิน หน้าแล้งเห็นต้นไม้ต้นหญ้าเขียวๆ นั่นแหละเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าไม่อดไม่อยาก เห็นต้นหญ้า เห็นต้นบก เห็นต้นยาง เห็นต้นไม้สูงๆ เขาก็มักจะซื้อที่ตรงนั้นเป็นที่ทำอยู่ทำกินของเขา คนโบราณ หญ้าปกตรงไหนดินดีตรงนั้น ไม่ใช่ตรงไหนไม่มีหญ้า โล่งๆ อันนั้นฉิบหาย ถ้าพูดถึงดิน พวกเขาจะทำลายต้นหญ้าให้หมดจากแผ่นดิน ใช้กรัมม็อกโซน สปาร์กฉีดลงไป หญ้าก็ตาย ถ้าหญ้าไม่มีในแผ่นดินเราก็อยู่ไม่ได้ อันนี้คือหญ้าคือความหลง ความโกรธ ความโลภ ความทุกข์ เป็นหญ้า เปลี่ยนมัน มันก็เป็นผลดี มันจะเป็นปุ๋ย รู้ได้เพราะมันหลง พ้นทุกข์เพราะมันทุกข์ พ้นโกรธเพราะมันโกรธ ขอบคุณความทุกข์ ขอบคุณความโกรธ ขอบคุณความหลง ไม่ใช่ไปรังเกียจมัน ปัญหาที่ไหน ขอบคุณมันทำให้เรามีปัญญา ในชีวิตเรานี้ถ้าเจอปัญหาหนะดีแล้ว ให้ใส่ใจ มันละลาย จะได้แก้ นี่คือปฏิบัติธรรม มันเป็นงานเป็นการของเรา สร้างสติมันก็มีสติจริงๆ เคลื่อนไหวมือ รู้สึกก็รู้จริงๆ เวลาเคลื่อนไหวมือ ไม่หลง พอมันหลงก็หลงไป เปลี่ยนหลงเป็นรู้ก็ได้ ได้จริงๆ ปฏิบัติได้ ให้ได้ผลได้จริงๆ ก้าวไปๆๆ ผ่านหลงเป็นรู้ ผ่านหลงเป็นรู้ไป เรื่องง่ายต่อไป ถ้าไม่ผ่าน หลงเป็นหลงก็ยากอยู่เรื่อย ไม่สะดวก ผ่าน เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ผ่านได้ก็ง่าย อันอื่นก็ง่ายไป เมื่อผ่านหนึ่งได้หนึ่งก็ง่ายไป วันนี้ว่าจะไปขอนแก่น สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน