แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่อ เพื่อให้เป็นส่วนประกอบการศึกษาปฏิบัติ ที่พวกเรากำลังทำอยู่ศึกษาอยู่ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ เป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้เกิดชีวิตชีวาขึ้นมา ให้เป็นประโยชน์ เราศึกษาสูตรมาหลายสูตร เป็นศาสตร์ เป็นอาชีพ ศึกษาเรื่องใดก็รู้เรื่องนั้น ทำเรื่องนั้นได้ การเป็นหมอ รู้จักโรค รู้จักยา รู้จักรักษา แก้ได้ วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่ศึกษาชีวิตล้วนๆ ถ้าเราไม่ศึกษามันก็เป็นทุกข์เป็นโทษได้ เพราะมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแน่นอน ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลง โกรธเป็นโกรธ มานานเท่าไหร่ เพลิดเพลินในความมัวเมา เพลิดเพลินในความหลง เพลิดเพลินในความประมาท ก็ได้สิ่งเหล่านั้นไป ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลง โกรธเป็นโกรธ ครั้งแล้วครั้งเล่า จะให้เป็นเช่นนั้นตลอดไปหรือยังไง เราจะต้องยอมหรือ เจ็บเป็นเจ็บ แก่เป็นแก่ ตายเป็นตายหรือ เอาความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์หรือ มีทางที่ศึกษาได้หรือไม่ ลองใช้ชีวิตของเราศึกษาดู มีผู้ที่ทำได้แล้วเช่นพระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าพระพุทธเจ้า เพราะรู้แจ้งเรื่องนี้ เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย มีเหล่าสาวกเป็นหมื่นเป็นแสนรูปรู้ตามพระองค์ จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ รู้อะไรจึงเป็นพระพุทธเจ้า รู้อะไรจึงเหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรมคืออะไร อยู่ที่ไหน มีสูตร สูตรก็คือนี่ เรากำลังศึกษาอยู่นี้ ทำอยู่นี้ กาเยกายานุปัสสีวิหะระติ มีสติไปในกาย เริ่มต้นที่ตรงนี้ ก่อนที่จะเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา เกิดอยู่ที่นี่ มีสติไปในกาย มีสติรู้กายอยู่ตลอดเวลา มันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะบอก มันจะแสดง เวลามีสติเห็นกายมันก็เห็นจิต กายเป็นรูปธรรม จิตเป็นนามธรรม ทั้งสองอย่างมาให้เราศึกษา ย่อเข้ามาเหมือนแผนที่โลก ย่อให้เราดูใกล้ๆ อยู่หน้าจอ เราก็ดูเอา ว่ามันคืออะไร มันแสดงอะไร แสดงความทุกข์ให้เห็น อย่าเข้าไปเป็น แสดงความหลง
เห็น อย่าเป็น ให้เห็น ให้รู้เห็น ให้พบเห็น ถ้ารู้เห็น พบเห็น มันมีคำตอบแล้ว ไม่เป็น มันทุกข์ไม่เป็นทุกข์ มันหลงไม่เป็นหลง มีแต่เห็น เพราะมีหลักให้เห็น ให้ดู ไม่มีค่า สุขไม่มีค่า ทุกข์ไม่มีค่า สนุกดี มันจะแสดงออกมาให้เราเห็นนี่ สิ่งที่เกิดกับกาย มันก็จะมีการหลงตอนนั้น เป็นสุขเป็นทุกข์ เอากายมาเป็นสุขเป็นทุกข์ อย่าให้มันเป็นสุขเป็นทุกข์ ให้เห็นเฉยๆ กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ถ้าเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นตัวเป็นตน อะไรที่มันเกิดให้ทำให้เป็น เกิดกับกายมีมาก ความปวด ความเมื่อย ความร้อน ความหนาว ความหิว เป็นผู้ปวด เป็นผู้เมื่อย เป็นผู้ร้อน เป็นผู้หนาว เป็นผู้หิว อันนั้นมันเป็น ให้เห็นเฉยๆ จบลงง่ายๆ ถ้าเห็นแล้วจะหัวเราะ ถ้าเป็น หัวเราะมันออกหนัก ถ้าเห็นแล้วจะเบาๆ ถ้าเป็นแล้วจะหนัก ลดพลังความหนักด้วยอาการเห็น ถ้าเป็นแล้วมันหนัก ลองดู ให้เห็นเหมือนกับเราเห็นกายที่เคลื่อนไหวนี่ มันเบาๆ ถ้าเห็นอยู่เบาๆ ดีๆ จะไปเอาหนักพรึบเข้ามานี่ มันรู้สึกสัมผัสได้ แล้วก็วางให้เห็นซะ อย่าเป็นซะ สติจะเป็นอย่างนั้น เห็น ไม่เป็น สุขก็เห็นมันสุข ไม่เป็นสุข ทุกข์เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ จะได้เกิดภาวะเห็น พบเห็นผู้เห็น เห็นแบบนี้ไม่ใช่เห็นแบบใช้สมอง ความคิด มีหลักพิสูจน์ อะไรมันเกิดมาตรงๆ เห็น มันเกิดขึ้นมาก็เห็น อย่าไปหามัน เรามีหลักดูอยู่แล้ว มีสติไปในกาย กายเราก็มีเหมือนกัน ลักษณะเป็นอันเดียวกันหมด มันสรุปลงให้เราได้ศึกษาแบบง่ายๆ มันเกิดอะไรขึ้นกับกาย ให้เห็น ตอบได้แล้ว เห็น ไม่เป็น ตอบได้แล้ว เฉลยได้แล้ว ถ้าเป็น ไม่ได้เฉลย เป็นการบ้าน ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลง โกรธเป็นโกรธ พอใจไม่พอใจ มันจะต้องเป็นอยู่แบบนั้น ถอนออกมาให้เห็นซะ ถ้ามันจบ มันจบไป แล้วไป สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกาย จบไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เป็นทางผ่าน เหมือนการเดินทาง ผ่านอาการต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับกาย เกิดขึ้นกับใจ ทั้งสองอย่าง มันร่วมมือกันเป็นตัวเป็นตน เป็นภพเป็นชาติ ถ้าเกิดสุขก็เป็นสุขทั้งหมด เกิดทุกข์ก็เป็นทุกข์ทั้งหมด ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม เป็นล้วน เป็นก้อน เป็นเกิด เป็นแก่ เป็นเจ็บ เป็นตาย อยู่ลักษณะแบบนี้ ถ้าเห็นแล้วจะคุมกำเนิดของภพของชาติได้ ง่ายๆ แบบนี้ พลังน้ำหนักก็จะไม่มี เบาๆ สัมผัสความเบา สัมผัสความหนัก จะให้เราได้บทเรียน ที่ประสบการณ์ บทเรียนที่ เกิดขึ้นกับเราเอง เราก็จะได้สัมผัส สัมผัสความหลง สัมผัสความไม่หลง สัมผัสความทุกข์ สัมผัสความไม่ทุกข์ นี่คือบทเรียนที่มีค่า บทเรียนที่ไม่ต้องมีคำถาม เป็นคำตอบ เดี๋ยวนี้จะต้องหลีกทางแล้ว เป็นผู้นำไม่ได้ แต่ก่อนนำหน้า เดี๋ยวนี้ต้องตามหลัง โบราณท่านว่า หัวดำออกก่อน หัวอ่อนตามหลัง ให้หัวดำออกก่อน
เราก็มีที่อาศัย มีอาจารย์ไพศาล มีเพื่อนภิกษุสงฆ์ แต่ก็อยากจะมีส่วนร่วมในการศึกษาเรื่องนี้ เพราะเดินทางมายาวไกล ประสบการณ์ในเรื่องนี้จริงๆ จะไม่พาหลงทิศหลงทาง เดินทางมาไกลมาก การศึกษาเรื่องชีวิตนี้ ล้มลุกคลุกคลานมา หลายรสหลายชาติ กว่าจะมาถึงที่ได้ ก็ขอได้โชว์ฝีมือสักหน่อย ให้เป็นพระเอกก็เป็นพระเอกได้ เพราะแสดงมาหลายฉากในเรื่องนี้ ตอนนี้เป็นพระเอกมันต้องสู้ ผ่านทุกข์ผ่านยาก ถ้าสู้ความทุกข์ความยากไม่ได้มันก็ไม่ชื่อว่าพระเอกในหน้าจอ นางเอก เป็นชายเรียกพระเอก เป็นหญิงเรียกนางเอก ในเรื่องการใช้ชีวิต สำเร็จก็ว่าสำเร็จ ทำไมจะไม่สำเร็จ ทำได้ ถ้ามันหลงก็เป็นรู้ ในความหลงมีความรู้ ไม่ใช่หลงเป็นหลง ไม่มีใครทำไม่ได้ ในความทุกข์มีความไม่ทุกข์ ทำได้ทุกคน ในความโกรธมีความไม่โกรธ เราทำตรงนี้ ทำอย่างไรก็ได้ ทำเล่นๆก็ได้ มีสิทธิ มันหลงมีสิทธิไม่หลง มันทุกข์มีสิทธิไม่ทุกข์ เป็นธรรมที่สุด จึงน่ากระตือรือร้น ปิดไม่ได้ต้องบอกผู้บอกคน บอกความเท็จ ความจริงอันนี้ ความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง ความไม่เที่ยงมันจริงแบบไม่เที่ยง แต่มันไม่จริงแบบมันเที่ยง ความทุกข์มันจริงแบบเป็นทุกข์ แต่มันไม่จริงแบบไม่ทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนมันจริงแบบไม่ใช่ตัวตน แต่มันไม่จริงแบบตัวตน ง่ายๆ ไม่ใช่เป็นการบ้านน่าจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะมีปัญหา พอถูกความไม่เที่ยงเกิดขึ้นก็เสียใจร้องไห้ทั้งๆที่มันแสดงตามความเป็นจริงของมัน สภาวธรรมต่างๆ เพราะมีความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนครอบงำไม่ว่าอะไรในโลกนี้ เรียกว่าสามัญลักษณะ เสมอกันหมด ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ อากาศ ชีวิตของเรายิ่งตรงๆ เข้าไปเรื่องนี้โดยตรง ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ มีแต่เราเห็นแจ้ง ถ้าเห็นแจ้ง ง่ายๆ ถ้ายังไม่เห็นแจ้งก็หนัก ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ สุดแสนสาหัส ความเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์สุดแสนสาหัส หมดเนื้อหมดตัวกับความเป็นทุกข์ เคยผ่านมา ไม่ใช่ท่องได้แต่ปาก ถึงคราวมันไม่เที่ยงอะไรเกิดขึ้น พลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น ความคับแค้นใจเกิดขึ้น ทำอย่างไร ถ้าเราไม่ฝึกมันก็ทำไม่เป็น จน จนตรงนั้น เวลามันทุกข์ จนต่อความทุกข์ สารภาพความทุกข์ ยอมรับความทุกข์ สารภาพความทุกข์ ถ้าเราเห็นแล้ว ยอมรับ นี่คือความไม่เที่ยง หัวเราะ ไม่สารภาพต่อความไม่เที่ยง ให้ความไม่เที่ยงมาลงโทษ นี่เรียกว่าไม่ยอม ไม่จำนน ไม่จำนนต่อความไม่เที่ยง ไม่จำนนต่อความไม่ทุกข์ จริงแบบมันทุกข์ แต่มันไม่จริงแบบมันไม่ทุกข์ ไม่ยอม เราจะไม่ยอมทุกข์เพราะความไม่เที่ยง จะไม่ยอมทุกข์เพราะความทุกข์
ทำได้ไหมนี่ ทำได้ทุกคน กระตือรือร้นตรงนี้มาก จะบอกผู้บอกคน เมื่อมันผ่านตรงนี้ไปแล้ว เจ้าความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องง่าย เรามาศึกษาด้วยความรู้ ทำเป็นด้วย ไม่ใช่รู้เฉยๆ ทำเป็น การเป็นนี่ไม่ใช่เรียนรู้ เป็นการฝึกหัด เวลามันหลง รู้ นี่ทำเป็นไหม มันจะมีให้หลง เวลาเราดูกาย ดูไปในกาย ไปในเวทนา ไปในจิต มันจะเกิดตรงนี้แหละ ทางแยกมีขลุกขลักบ้าง ข้ามให้ได้ กายก็จะพาให้หลง ไม่ต้องหลงในกายทุกกรณี อะไรที่เกิดขึ้นกับกาย มีแต่ภาวะที่รู้ แต่ก่อนเป็นภาวะที่หลง เป็นเวทนา เป็นสุขเป็นทุกข์ สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ พอมารู้แล้ว ไม่เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ มีแต่เห็น ชี้หน้าได้ เหมือนกับเราเห็นงู เห็นทุกข์เหมือนเห็นงูพิษ เวลาเห็นงู ก็ไม่ใช่ไปให้งูมันกัด ถ้าเห็นแล้ว ไม่เป็นทุกข์ พ้นจากทุกข์ง่ายๆ ไม่ได้ก้าวไปสักหน่อย เป็นการทำความเห็นให้ถูกต้อง สิ่งที่เห็น ไม่เป็นดุ้นเป็นก้อน เป็นสภาวธรรมน้อยๆ ไม่ยิ่งใหญ่อะไร เห็นทุกข์ไม่ใช่งูจริงๆ ถ้างูจริงก็ต้องก้าวหรือถอยหลัง หรือหนีไป จนมันพ้นจากงู แต่ไม่เห็นทุกข์ที่มันเกิดขึ้น ในทุกข์อริยสัจนี่ ทุกข์ในความเป็นทุกข์วันนี้ในโลกนี้ มันไม่เหมือนงู เพียงแต่ความเห็นที่เรามีแล้ว ที่เรามี ที่เราตั้งไว้แล้ว มันก็ง่าย ให้เห็น ไม่เป็น ก็มีมาพร้อมกันเลย ภาวะที่เห็น เห็นก็ไม่เป็น ให้ชำนาญในการนี้บ้าง ถ้าเห็นอะไรเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่ใช่ ทุกข์ก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดไป หลงเป็นหลงตลอดไป โกรธเป็นโกรธตลอดไป ไม่มีการศึกษาแบบนั้น ก็หนีไม่พ้น ไม่ได้ข้ามสักทีเลย มันบอกเรา ของเท็จของจริงมันบอก เจอทุกคน พอมีสติไปในกายก็เห็นเรื่องนี้แหละ อย่าเอายาก อย่าเอาง่าย อย่าเอาผิด อย่าเอาถูก ถ้าทำยาก ถ้าทำยากก็หยุด ถ้าทำง่ายก็ทำ ให้ความยากความง่ายพาทำพาหยุด ไม่ใช่ ให้เห็นเฉยๆ อย่าให้ไปถึงยาก อย่าให้ไปถึงง่าย ให้เห็น มันผิดก็เห็น อย่าให้ผิดเป็นผิด มันถูกก็เห็น ไม่ให้ถูกเป็นถูก มันเห็นอันเดียว เป็นกุญแจลูกเดียว กุญแจลูกเอก นี่ให้หัดใช้ให้เป็น สุข-ทุกข์มี ในกายในเวทนา จิต มันก็คิดมี มันแสดงออกมา นั่งอยู่นี่กำลังเคลื่อนไหวมืออยู่นี่ มันคิดออกไปโดยที่ไม่ตั้งใจ อย่าหลงตรงนี้ ความคิดเป็นอันหนึ่ง เรานั่งอยู่นี่อันหนึ่ง ตัวรู้นี่เป็นผู้ดูอยู่ ให้เห็นมันสองลักษณะ
อันหนึ่งมันคิดไปอันหนึ่งนั่งเคลื่อนไหวอยู่นี่ เราก็ดูเห็นอยู่นี่ ถ้าเราไม่เห็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว ความคิดหอบหิ้วไปได้ พาให้ไปได้เสียเวลา ถ้าเห็น มันก็ไม่ไป มันคิดก็เป็นเรื่องคิด ไม่ใช่ตัวตนในความคิด ส่วนมากคนจะหลงในความคิด นักปฏิบัติ เป็นสุขเพราะความคิด เป็นทุกข์เพราะความคิด เกิดกิเลสตัณหาเพราะความคิด ความคิดนี่มันมีอำนาจ ถ้าเราไม่รู้มัน คิดที่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดนี่ ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ และไม่ควรมาตั้งใจคิดในเวลามาศึกษาเรื่องกายเรื่องใจ ไม่ใช่หาคำตอบจากความคิด เป็นการกระทำล้วนๆ กรรมจำแนกไปเอง กรรมฐานมันศักดิ์สิทธิ์ ว่าแต่เราตั้งไว้ในความรู้นี่ มันจะศักดิ์สิทธิ์ ให้มันมีพลังขึ้นมา เมื่อมีพลังในความรู้ มันจะถลาได้ไกล กระโจนได้ไกล เหมือนคนมีพลัง ย่อมทำอะไรได้ เรามีความอ่อนแอคนแก่คนเฒ่า เหมือนพวกเราก็ทำอะไรไม่ค่อยได้ พลังในความคิด มันเสมอกันหมดไม่เอามาอ้างว่าแก่ว่าเฒ่า ว่าหนุ่มว่าสาว เพศ วัย ลัทธิใด นิกายใดไม่เกี่ยว พลังแห่งความรู้นี่มันเสมอกันตามลักษณะ แก่แล้วทำไม่ได้ ไม่ใช่ หนุ่มแล้วทำไม่ได้ ไม่ใช่ จะศึกษาเรื่องนี้ต้องให้รอแก่ให้เฒ่าก่อน นั่นไม่ใช่ คนหนุ่มก็โกรธเป็น คนแก่ก็โกรธเป็น คนหนุ่มก็หลงเป็น คนแก่ก็หลงเป็น ทุกข์เป็นเสมอกันหมด เราจึงมีหน้าที่ การศึกษาเหมือนกันหมด ไม่ใช่คนนั้นศึกษาเรื่องนั้น คนนั้นศึกษาเรื่องนี้ ไม่ใช่ ชีวิตเรามีกายอันเดียวกัน รูปนาม ขันธ์ห้า ธาตุสี่ ขันธ์ห้า จะหลงตรงกาย ตรงเวทนา ตรงจิตที่มันคิด ตรงธรรม ความง่วงเหงาหาวนอน เป็นธรรม ความคิดสงสัยเป็นธรรม ความสงบเป็นธรรม ความฟุ้งซ่านเป็นธรรม ธรรมคนละอย่าง มันก็มีรสชาติ ความง่วงเหงาหาวนอนก็มีรสชาติ มันยิ่งใหญ่ ความลังเลสงสัยก็มีรสชาติ เพลิดเพลินในความมัวเมาอยู่นั้นกับความคิดลังเลสงสัย ไม่มีการกระทำเกิดขึ้น หาคำตอบจากความคิด ทำไมๆๆๆ ทำไมมันจึงหลง หลงก็หลงน้อยๆ แต่เรามาทำไมๆๆๆ ทำไมมันหลง ทำไมมันเป็นอย่างนี้ นั่นเรียกว่าเสียเวลา ไม่มีคำว่า ทำไม
ผู้เจริญสติมีแต่ หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง เข้าไปเลย หลงก็คือรู้ สงสัยก็คือรู้ สุขก็คือรู้ ทุกข์คือรู้ ง่วงคือรู้ สงบคือรู้ ฟุ้งซ่านคือรู้ แต่นี่ตรงนี้ก็หลงนะ เวลามันสงบ ชอบ เวลามันฟุ้งซ่าน ไม่ชอบ แย่อันนี้ไม่ไหว แย่ คิดมาก ฟุ้งซ่าน เครียด หลุดไปตามอาการ เสียเวลา ถ้านักเดินทางเสียเวลา ต้องผ่านตลอด ฟรีเวย์ สติเป็นฟรีเวย์ผ่านได้ตลอด เหมือนทางด่วน ฟรีเวย์ของสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยเราไม่มี ประเทศสหรัฐ ฟรีเวย์เขามีทั่วประเทศ รถนั่งเท่านั้นที่วิ่งฟรีเวย์ รถบรรทุก รถโดยสารนั่งไม่ได้ เดินไม่ได้ วิ่งไม่ได้ เขาไม่ให้วิ่งทางเส้นนี้ เป็นทางฟรีเวย์เฉพาะรถนั่งไปทำงาน ห้านาทีสิบนาทีกำหนดได้เท่านั้นไมล์เท่านี้ไมล์ ชั่วโมงกำหนดได้ เพราะมันเป็นฟรีเวย์มาตรฐาน การเจริญสติก็เป็นฟรีเวย์ สะดวกที่สุด สะดวกในการผ่าน ผ่าน มันหลง-รู้ ผ่านแล้ว เอาความหลงไว้หลัง ง่วงเหงาหาวนอน ลังเลสงสัย สงบ ฟุ้งซ่าน รู้ เป็นธรรมารมณ์ เป็นธรรมกุศล เป็นอกุศล รู้ กุศลคือความฉลาด สงบ สุข โง่ ไม่อยู่ในความสงบ ถ้าอยู่ในความสงบ มันก็ติดได้ง่ายๆ ถ้าจะฝึกแบบสงบ เคยฝึกมานานพอสมควร บริกรรมพุทโธก็ไป หายใจเข้าว่าพุท หายใจออกว่าโธ ว่าไปให้พุทโธตามลมหายใจ หลับตาลงไปอีก บังคับลงไปก็สงบ บางทีมันชินมากๆ ไม่ต้องว่าสักคำ มันก็ มันหิว เวลามาจากท้องไร่ท้องนา มาเข้าห้องพระ ตอนนั่งลงก็มันจะสงบตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปโน่น ถ้าวันไหนที่สำรวมระวัง ถ้าวันไหนไม่สำรวมก็ยากหน่อย มันเปรอะมันเปื้อน นับพุทโธก็ดีแล้ว เขาสำรวมดี ศีลบริสุทธิ์ ไม่ผิดศีลผิดธรรม มันกลัวจะทำสมถะได้ยาก ถ้ามันติด มันก็ติดสงบนี่ อยู่ที่ไหนก็คิดถึงห้องพระ ถ้านั่งสงบก็ลืม มันได้พักผ่อน เหนื่อยๆมา เมื่อเข้าไปถึงความสงบหายเหนื่อย มันก็ดีเหมือนกันสมถะ แต่ว่ามันตายอยู่ตรงนั้น ไม่มีปัญญา ยังมีกิเลสตัณหา มีความโกรธ ความโลภ ความหลงอยู่ ออกจากความสงบแล้วเหมือนเดิม ส่วนเรามาฝึกนี่เป็นวิปัสสนา มันสงบ เห็นมันนะ ไม่ไปอยู่ในความสงบ เรียกว่าวิปัสสนา ยกจิตขึ้นรู้สู่วิปัสสนาภูมิ คือรู้ จับปั๊บได้วิปัสสนาเลย ได้กระแสแห่งพระนิพพานเลย รู้ ความสงบ-รู้ มันฟุ้งซ่าน-รู้ นี่คือสู่วิปัสสนาญาณ ภาวะที่รู้ ทีแรกก็รู้เฉยๆ ต่อไปจะเป็นญาณ ปัญญา เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมา รู้ๆๆ รู้นามตามความเป็นจริงทะลุทะลวงได้ สิ่งที่ผ่านมามันบอก บอกกลับ สะท้อนกลับ บทเรียนมาเยอะแยะตอบไปคืนหลังได้หมด
สิ่งที่ผ่านมาเหมือนเราเดินทางจากที่ไหนมาถึงสุคะโตนี่ เมื่อถึงสุคะโตแล้วตอบได้ เราผ่านที่ไหน เราผ่านที่ตรงไหน มาเที่ยวหลังก็ง่าย หลับตามา หนทางเราเคยเดินเคยเที่ยว มันก็ง่าย ทางใครทางมัน ทางของคนก็ไปทางต่ำๆ ขรุขระ ทางมุดไปสูงๆ สะดวก ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ เรียกว่าทางขรุขระ ถ้าทุกข์ไม่เป็นทุกข์ ทางเรียบๆ ทางชีวิตมันเรียบ เรียกว่าอริยมรรค ไม่มีรสชาติ ขรุขระ สะดุด ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลง โกรธเป็นโกรธ รักเป็นรัก ชังเป็นชัง ขรุขระ ถ้ารู้ มันเรียบเหมือนเกรดเอาไว้ เหมือนมิตรภาพ ภาวะที่รู้เป็นมิตรภาพชีวิตจริงๆ พอเหยียบปั๊บนี่มันก็ได้แล้ว สำเร็จ มันเป็นปัจจัตตัง ไม่ต้องมีคำถาม เป็นอย่างไรในการเดินทางชีวิตแบบนี้ เรียกว่าศึกษาธรรมะนี่ มันตอบคืนหลังได้ เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณตอบคืนหลังแต่ก่อนเป็นยังไง เดี๋ยวนี้เป็นยังไง เกิดขึ้นแก่พระองค์ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ อ้อ!เจริญสติแบบนี้ไม่กี่ชั่วโมง เกิดญาณ ๓ ขึ้นแก่พระพุทธเจ้า แก่พระสิทธัตถะตอนนั้นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้ายังเป็นสิทธัตถะอยู่ ก็ทำแบบเรานี่ นั่งอยู่ต้นศรีมหาโพธิ์ไม่มีศาลาไม่มีกระดานนั่งเหมือนเรา ไม่มีเพื่อนเลย สู้อยู่ตรงนี้ เหมือนเรานี่แหละ กายก็เหมือนเรานี้ ใจก็เหมือนเรานี้ มีกิเลสตัณหาเหมือนกัน จะชวนให้คิดมากกว่าเราด้วย นั่งอยู่คนเดียวในป่าในดง มีพิมพาสวยงาม มีราหุลเพิ่งประสูติใหม่ๆ ได้เจ็ดวัน จากวันที่ออกบวชได้เจ็ดวัน มาบำเพ็ญนี่เป็นปีที่หกคงจะน่ารักมาก หกปีแล้วราหุล คิดถึงกลับมา ถ้าให้ความคิดหิ้วไปก็ไปได้ กบิลพัสดุ์ ไม่ยาก จากพุทธคยาไปกบิลพัสดุ์นี่ไปได้ คิดถึงพิมพา กลับมาเห็นความคิด คิดถึงพระราชทรัพย์สินศฤงคาร คิดถึงสาวสนมกำนัลใน ไม่มีบุรุษเจือปนเลย ดีดสีตีเป่า ขับกล่อมพัดวี มีปราสาททั้งสามฤดู ทำไมเปรียบเทียบกับศรีมหาโพธิ์นี่ เปรียบเทียบไม่ได้เลย ก็ย่อมคิด ขนาดนั้นยังเอาคืนมาได้ กลับมา กลับมาแล้วก็คิดไป กลับมาคิดไป กลับมา ปฏิบัติคือกลับมา เอามันจนแหลกเลยล่ะ ใครก็เหมือนกันนั่นแหละอย่ามานึกว่าเราคนเดียว เหมือนกันหมด เปรอะเปื้อนอะไรมา ชีวิตรถมือสองทั้งนั้น แล้วก็มีรอยทั้งนั้น รอยรัก รอยแค้น รอยสุข รอยทุกข์ รอยได้ รอยเสีย รอยผิด รอยถูก มีเหมือนกันหมด จนเกิดญาณขึ้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ เฉลยคืนหลัง
แต่ก่อนนั้นเป็นอย่างนี้ บัดนี้ไม่เป็นอย่างนี้ หลงเป็นหลง บัดนี้หลงเป็นรู้ กิเลสเป็นกิเลส ตัณหาเป็นตัณหา ราคะเป็นราคะ หลงจนหมดตัว พอมันเห็น มันไม่เป็นแล้ว มันก็มีแต่อือ อือนี่ล่ะวิปัสสนาเกิดขึ้น อือ ต่อมาก็จุตูปปาตญาณ เดี๋ยวนี้กับมันเป็นอยู่ตรงไหน แต่ก่อนอยู่ตรงไหน เดี๋ยวนี้อยู่ตรงไหน จุตูแปลว่าที่เกิดที่ตั้ง เดี๋ยวนี้อยู่ยังไง ไปอย่างนั้นได้ไหม ไม่ไป อย่าให้หลงเป็นหลง มันไม่ถูกต้อง หลงต้องเป็นรู้ โกรธเป็นโกรธไม่ถูกต้อง โกรธต้องเป็นรู้ จุตูแปลว่าได้ที่ตั้งแล้ว ได้ที่อยู่ ได้หลัก มั่นใจ ตอบได้ ไม่เหมือนเก่า พ้นภาวะเก่ามา ด้วยการกระทำของเราเอง ทำไมจะตอบไม่ได้ มันบ่งบอกถึงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ต่อมาญาณที่สามเกิดขึ้นมา อาสวักขยญาณทำให้สิ้นไป จะมีรสชาติเหมือนเมื่อเก่า มันไม่เป็นไปแบบนั้น มันจืด มันไม่เป็น ไม่มีค่า แต่ก่อนสุขมีค่า มีรสชาติ ทุกข์ก็มีค่า ความรักมีค่า เพลิดเพลินในความหลง เพลิดเพลินในความพอใจ เพลิดเพลินในความเกลียด เพลิดเพลินในกิเลสตัณหา มันเพลิดเพลินมีอัสสาทะ มีรสชาติ พอมาทำให้อาสวักขยญาณสิ้นไป ไม่มีรสชาติ ทิ้งไว้ก็ไม่ไป หยุดแค่นั้น ให้หลงสักหน่อยได้ไหม ให้โกรธสักหน่อยได้ไหม บังคับมันหน่อย ข่มขืนชีวิตมันเป็นไปไม่ได้ จะให้ไปโกรธให้ไปสุขไปทุกข์ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย จากทำตรงนี้แหละเอาสติมาดูกายดูจิต นี่ตรงนี้ เห็นกายเห็นเวทนาเห็นจิตเห็นธรรม ตามสูตรที่เราได้ยินมามากเรื่องนี้ แล้วมาทำแล้วมันเกิดเป็นจริงๆนะ ในพระสูตรว่าถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ คือมีสติมันถอนออกมา ความพอใจเป็นรสของโลก ความไม่พอใจเป็นรสของโลก มีสติถอนออกมา ถอนออกมา มีสติตั้งอยู่ในสุข ถอนออกมา ในทุกข์ถอนออกมา ในอะไรที่เป็นรสของโลกทั้งหลาย ทั้งหลาย 84,000 อย่างมันมาให้เราได้ลูบคลำมัน มาสัมผัส เข้าแถวมา ให้เราได้เห็นนี่ จนล่วงพ้นภาวะเก่า โพธิญาณ 3 เกิดขึ้น ก็ได้ทิศทาง ได้ทิศทางเหมือนว่ามีผลงาน เหมือนเราทำอะไรที่มันมั่นใจ มีผลงานเกิดขึ้น พิสูจน์ได้ มันเท็จมันจริงยังไง ในเที่ยงคืนในยามสามก็สะดวกแล้ว นั่งญาณ 3 เกิดขึ้นสะดวก เหมือนเราชำนาญในการอะไร สะดวก เป็นความสะดวกในการศึกษา เหมือนรถวิ่งทางเปลี่ยวไม่มีจราจรติดขัด ก็สะดวกวิ่งเอาๆๆ พาให้เราผ่านไปๆๆ ทบทวนแล้วทบทวนอีก ทางเส้นนี้กลับไปเอาใหม่ เหมือนเราทิ้งก้อนกรวดก้อนหินขึ้นเขาขึ้นที่สูงให้มันกลิ้งลงมา ทิ้งขึ้นไปอีก มันกลิ้งลงมาอีก จะให้มันอยู่ไม่ได้ เพราะที่สูงที่ต่ำ กลิ้งลงไปให้มันอยู่ไม่ได้มันก็กลิ้งลงมา จะให้หลง มันไม่อยู่ ไม่อยู่ในความหลง มันก็ลงมาหมด มันสะดวก ไม่มีวิธีใดที่สะดวกเท่ากับการเข้าถึงธรรม เรียกว่าเอียงไปไหลไป เหมือนแม่น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ อะไรก็ช่วยระวัง แต่ก่อนความทุกข์เป็นความทุกข์
บัดนี้ความทุกข์เป็นไม่ทุกข์ ความไม่เที่ยงเคยเป็นทุกข์แต่เดี๋ยวนี้ความไม่เที่ยงก็ไม่เป็นทุกข์ มาสนับสนุนเป็นเครื่องมือ เอาความไม่เที่ยงอย่างเดียว ก็ยั้งไปแล้ว สู่มรรคสู่ผลได้ เห็นที่เราผ่านมา สิ่งที่เราผ่านมา ในรูปในนามมีความไม่เที่ยง ในรูปในนามมีความเป็นทุกข์ ในรูปในนามมีความไม่ใช่ตัวตน รูปมันบอก นามมันบอก กายมันบอก ใจมันบอก เป็นสูตรของเขา ในความไม่เที่ยง ในความเป็นทุกข์ ในความไม่ใช่ตัวตน พาให้เอียงมาก สะดวกมาก แต่ก่อนในความไม่เที่ยง หนักมาก ในความเป็นทุกข์ก็หนัก ติดขัดมาก พอมาเห็นแจ้งแล้วมันมีน้ำหนัก เป็นมรรคเป็นผลตรงนี้ขึ้นมา จาก มรรคคือทำ ผลไม่ต้องทำ เลยบอกว่า เห็น ไม่เป็น ให้เห็นทุกข์ไม่เป็นทุกข์ พ้นจากความทุกข์ ง่ายไหม เห็นโกรธ ไม่โกรธพ้นจากความโกรธ คราวเดียวกันมี ๓ อย่าง เห็นอะไรมันเป็นไปแบบนี้ เห็นเพื่อความหลุดพ้น ไม่ใช่เห็นเพื่อความอยู่ เห็นความหลง ไม่หลงพ้นจากความหลง ง่ายๆ อย่างนี้ เรียกว่าอริยสัจ ๔ เห็นของจริงอันประเสริฐแบบนี้ เห็นหลง ไม่หลงพ้นจากหลง เห็นทุกข์ ไม่ทุกข์ พ้นจากความทุกข์ เห็นสมุทัยที่มันเป็นเหตุ ไม่หลงพ้นจากเหตุ ได้เห็นมรรค ทำแล้ว ทำแล้วประกอบแล้ว มรรคคือดู ดูแล้วเห็น เห็น ไม่เป็น สะดวกที่สุดแล้ว มรรคนั่นล่ะมรรคไม่ใช่ไปอ่านตำรา มรรคคือเห็น เห็นแล้วไม่เป็น ดูนี่แหละ ดูเห็น เห็นไม่เป็น เป็นมรรค มันก็นิโรธหลุดพ้นเลย มีแต่หลุดพ้นเป็นจุดหมายปลายทาง เป็นจุดหมายปลายทางของนักปฏิบัติ คือวิมุตติหลุดพ้นจากปัญหาต่างๆ ในชีวิตเรานี่ มันเป็นไปได้ ทุกชีวิตมีสิทธิ ถ้าทำถูกก็ได้ความถูก ถ้าทำผิดก็ได้ความผิด เราจึงมาหัด ฝึกตนสอนตน มันก็มีรสมีชาตินะ พูดธรรมะนี่ลืมเวลาเลย สมควรแก่เวลาแล้ว